ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    DEV!L C@NTACT คำสั่งนรก

    ลำดับตอนที่ #1 : ch@pter 1 : หลีกหนี

    • อัปเดตล่าสุด 24 ต.ค. 48


             คุณเคยสูญเสียคนที่คุณรักและรักคุณมากที่สุดไปไหม?   ถ้าคุณเคยล่ะก็ ฉันขอแสดงความเสียใจให้กับคุณสักพันครั้ง  

    เพราะฉันรู้ดีว่ามันโศกเศร้าเพียงใดเมื่อคนที่เรารักต้องจากเราไปอย่างไม่มีวันหวนกลับมาอีก


             ฉันเคยคิด…เคยคิดว่าโลกนี้เป็นอะไรที่งดงามสดใส มีครอบครัวที่อบอุ่น  เรียนจบมีงานทำ  ทุกอย่างดูเหมือนไปได้สวย

    และปกติดีเสียทุกอย่าง  กระทั่งพ่อของฉันผูกคอตายที่ต้นไม้หลังบ้านอย่างไร้สาเหตุ    พ่อฉันไม่เคยมีเรื่องทุกข์ร้อนกับใคร  

    ไม่เคยมีเรื่องอะไรต้องเครียด  ท่านเป็นคนอารมณ์ดีและน่ารักที่สุดในโลกนี้เลยก็ว่าได้    

             เช้าวันที่ฉันเห็นศพพ่อห้อยต่องแต่งที่หน้าต่างมันเหมือนกับโลกนี้กำลังถูกครอบงำด้วยความมืดสนิท  ความหนาวเหน็บ  

    และความโศกเศร้าเดียวดาย….เฮ้อ!  ฉันคงพร่ามมากไปจนคุณเบื่อจะฟังเลยสินะ…ฉันชื่อ  เม๊ค   โอลิเวต   เป็นหญิงอายุ  21  ปี

    ที่เพิ่งเรียนจบไปหมาดๆ  แต่แล้วชะตากรรมอันโชคร้ายก็นำพาให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น เรื่องที่ว่าก็คือการที่ฉันสูญเสียคนที่ฉันรักไป

    …พ่อของฉัน  



    “ฉันเสียใจด้วยนะจ๊ะ”  เพื่อนที่มาร่วมงานบอกกับฉันในงานศพที่จัดขึ้นภายในโบสถ์  

    คำว่า “เสียใจด้วย”  ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นหรือแย่ลง เลยแม้แต่นิด  มันเหมือนสิ่งที่ทุกคนควรจะพูดออกมาเพื่อเป็นธรรมเนียมมากกว่า

    แต่ถ้าพูดคำว่า “เสียใจด้วย”  สักพันแสนล้านหนแล้วทำให้พ่อฉันกลับมามีชีวิตได้ล่ะก็  ฉันยอมทำทุกอย่างเลยล่ะ  

    อย่างน้อยก็ขอแค่ให้พ่อตื่นมาพูดกับฉันว่าทำไมพ่อถึงต้องฆ่าตัวตายด้วย

              แม่ฉัน…คาธี่   โอลิเวต เสียใจมากกว่าฉันเป็นทวีคูณ  เธอได้แต่นั่งเหม่อมองไปยังโลงศพที่บาทหลวงกำลังทำการสวด  

    และน้ำตาไหลพรากๆตลอดเวลาด้วยสีหน้าล่องลอย   แม่รักพ่อมากกว่าทุกสิ่งรวมถึงฉันและน้องชายอีกสองคน  

    คนโตคือ ร๊อด   โอลิเวตอายุ  17 ปี และคนเล็กชื่อ  ไมเคิล   โอลิเวต  เรียนอยู่เกรด 1  

              ทั้งคู่ก็แสดงอาการเศร้าโศกมากเช่นกัน  โดยเฉพาะไมเคิลที่ปกติจะซุกซนร่าเริงอยู่ไม่นิ่ง  แต่วันนี้ดูราวกับเด็กเป็นโรคซึมเศร้า

    ที่นั่งเงียบแววตาเหม่อมองโลงศพที่เคลื่อนย้ายออกไปนอกโบสถ์พร้อมเพลงสวดที่ก่ออารมณ์โศกมากขึ้นไปอีก  

    โลงศพถูกขนไปยังสุสานโดยมีพวกเราและผู้มาร่วมงานเดินตามอย่างช้าๆ  



    “ไปสบายนะคะคุณพ่อ!!!”  ฉันร้องไห้โฮกอดโลงศพพ่อไว้แน่นแต่ก็ได้รับเพียงสัมผัสของความเย็นจากฝาโลงเท่านั้น  

    ฉันรู้ว่ามันคงดูเหมือนคนบ้าแต่ฉันไม่อาจทนรับความจริงได้ว่าพ่อของฉันได้จากฉันไปแล้วตลอดกาล  

    แม่ฉันดึงน้องชายสองคนและฉันเข้ามากอดไว้แล้วร้องไห้  ใครจะว่ายังไงก็ตาม  อย่างน้อยตอนนี้…ฉันก็พอจะตระหนักได้ว่า

    ฉันจะต้องก้าวต่อไป  เพราะยังมีแม่และน้องเป็นคนในครอบครัวโอลิเวตซึ่งหวังพึ่งในตัวฉัน  ฉะนั้นต่อแต่นี้ไปฉันจะต้องเข้มแข็ง  

    พ่อฉันจะต้องหวังอย่างนั้นแน่…



                เพื่อเป็นการหลีกหนีจากสภาพความทรงจำเก่าๆที่คอยทำร้ายจิตใจ  ฉันจึงตัดสินใจพาแม่และน้องชายย้ายมาอยู่ใน

    เมืองเกรทฟิล์ด   ที่นี่มีบรรยากาศที่แปลกหูแปลกตา  แถมร่มรื่นเย็นสบายอีกด้วย  

    ฉันเชื่อว่าไม่นานแม่กับน้องและก็หวังว่าตัวฉันเองจะสามารถลืมความเจ็บปวดของการสูญเสียไปให้เร็วที่สุด  

    แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะทิ้งความทรงจำเกี่ยวกับพ่อไปหรอก…  

    พ่อยังคงอยู่ในตัวฉัน  และฉันจะไม่ทำให้พ่อต้องผิดหวัง  



        ฉันตัดสินใจว่าจะไปสมัครเป็นบรรณารักษ์ของโรงเรียนมัธยมเกรทฟิล์ด  ที่นั่นเป็นโรงเรียนเก่าที่ดูโอ่โถงกว้างใหญ่  

    เด็กนักเรียนที่วิ่งเล่นกันไปมาในสนามทำให้ฉันสัมผัสได้ถึงจิตใจที่บริสุทธิ์ที่ไม่เคยต้องสัมผัสกับเรื่องร้ายๆ  จะว่าไปแต่ก่อนนั้นฉัน

    ก็มีจิตใจที่ซื่อตรงบริสุทธิ์แบบนี้จนไม่คาดคิดว่าจะมีวันที่ต้องเสียใจมากขนาดลืมไม่ลง  ซึ่งเมื่อเราเติบโตมากขึ้นอาจจะต้องเจอ

    ประสบการณ์แนวนี้ผ่านเข้ามาอีกมากมายเพื่อทดสอบความแข็งแกร่งในจิตใจของเรา



    “วุฒิของคุณเนี่ยสูงพอดูเลยนะ…ไม่สนใจจะเป็นครูสอนหนังสือโดยตรงเลยเหรอ?”  

    อาจารย์ใหญ่โรงเรียนบอกขณะกวาดสายตาอ่านแฟ้มประวัติของฉันในมือ



    “คือ…ถ้าได้น่ะก็ได้อยู่หรอกค่ะ..แต่ว่าดิฉัน…ไม่คิดว่าตัวเองจะ..ดูแลเด็กๆไหว”  ฉันตอบโง่ๆออกไป



    “งั้นก็…ผมรับคุณแน่นอน”  เขาพูดขณะปิดแฟ้มวางบนโต๊ะ



    “จริงหรือคะ?”   จริงๆแล้วฉันก็ไม่ได้ประหลาดใจหรอกเพราะวุฒิของฉันได้รับการรับรองมาอย่างดี

    ประกอบกับฉันทราบแหล่งข่าวมาว่าบรรณารักษ์ที่นี่ลาออกไปคนหนึ่งพอดี  แน่นอนว่าฉันต้องได้รับเข้ามาทำงาน



    “แล้วถ้าคุณพร้อมดูแลเด็กๆไหวเมื่อไหร่…อยากจะเป็นครูสอนโดยตรงล่ะก็…มาปรึกษาผมได้ทุกเมื่อเลยนะ”

    อาจารย์ใหญ่บอก



    “ขอบคุณค่ะ”  ฉันหยิบแฟ้มตัวเองออกมาจากห้อง  อย่างน้อยที่ก้าวหน้าตอนนี้ก็คือฉันมีบ้านใหม่อยู่

    และมีงานใหม่ทำรองรับอนาคตเรียบร้อยแล้ว  



    “ห้องสมุดอยู่ทางไหนหรือจ๊ะ?”  ฉันถามเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่เดินสวนกัน  

    เธอมีหน้าตาน่ารัก  ดวงตาสีฟ้ากับผมบรอนซ์ทองผูกเป็นเปียอยู่ด้านหลัง



    “สวัสดีค่ะ…คุณคงจะเป็นบรรณารักษ์คนใหม่สินะคะ”  เด็กหญิงคนนั้นพูด   เด็กอะไรก็ไม่รู้…หน้าตาน่ารักขนาดนี้  

    ฉันว่าการได้ทำงานอยู่กับเด็กๆอาจจะช่วยทำให้ฉันรู้สึกถึงโลกใหม่ที่เต็มไปด้วยความสุขก็ได้



    “ว่าไงคะ?”  



    “อ้อ!  เปล่าจ้ะ!  ว่าแต่หนูรู้ได้ยังไงจ๊ะเนี่ยว่าฉันเป็นบรรณารักษ์คนใหม่?”   ฉันถาม



    “ก็หนูเห็นคุณเข้าไปหาอาจารย์ใหญ่  แถมถือแฟ้มอะไรก็ไม่รู้เข้าไปข้างใน  แล้วอออกมาก็มาถามทางไปห้องสมุดกับหนู  

    หนูก็เลยมั่นใจว่าต้องใช่แน่ค่ะ”   เด็กหญิงบอก



    “แสดงว่าหนูไม่ได้บังเอิญมาเจอกับฉันแต่รออยู่นานแล้วล่ะสิเนี่ย   ฉลาดไม่เบาเลยนะจ๊ะ”  ฉันขยี้ผมเด็กหญิงอย่างเอ็นดู



    “ว่าแต่..ทางไหนไปห้องสมุดจ๊ะ”  



    “ตามหนูมาสิคะ…หนูเองก็เป็นหนอนหนังสือกำลังจะไปห้องสมุดพอดี”  เด็กหญิงบอกพลางดึงมือฉันไป



    “อะ-อ้อ  เดี๋ยวสิจ๊ะ  จะรีบไปไหน  ฉันยังไม่รู้ชื่อหนูเลยนะจ๊ะ”   ฉันพูดพร้อมๆกับที่ถูกลากไปตามโถงทางเดิน



    “หนูชื่อ  สเตลล่า ค่ะ  แล้วคุณครูล่ะคะชื่ออะไร?”



    “แหม…เรียกครูเลยหรือจ๊ะ…เขินจังเลย…ครูชื่อ  เม๊ค  จ้ะ…นี่…แต่ว่าเรียกว่าพี่เม๊คดีกว่านะ..ครูมันฟังดูแก่ไปน่ะพี่ยังสาวอยู่เลยนะ”  

    ฉันพูดไปเรื่อยขณะที่ขาก็เดินตามมือเด็กน้อยที่จูงนำไปตลอดทาง



    “ฮิๆๆๆ”    เด็กหญิงหัวเราะปิดปาก



    “ขำอะไร…ก็พี่ยังสาวอยู่จริงๆนี่…เดี๋ยวเถอะ  แอบขำผู้ใหญ่ไม่ดีนะจ๊ะ”  ฉันชักชอบเด็กที่นี่แล้วสิ  และก็หวังว่างานนี้คงไปได้สวยนะ…





    @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@=@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×