ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ch@pter 1 : หลีกหนี
        คุณเคยสูญเสียคนที่คุณรักและรักคุณมากที่สุดไปไหม?  ถ้าคุณเคยล่ะก็ ฉันขอแสดงความเสียใจให้กับคุณสักพันครั้ง 
เพราะฉันรู้ดีว่ามันโศกเศร้าเพียงใดเมื่อคนที่เรารักต้องจากเราไปอย่างไม่มีวันหวนกลับมาอีก
        ฉันเคยคิด เคยคิดว่าโลกนี้เป็นอะไรที่งดงามสดใส มีครอบครัวที่อบอุ่น  เรียนจบมีงานทำ  ทุกอย่างดูเหมือนไปได้สวย
และปกติดีเสียทุกอย่าง  กระทั่งพ่อของฉันผูกคอตายที่ต้นไม้หลังบ้านอย่างไร้สาเหตุ    พ่อฉันไม่เคยมีเรื่องทุกข์ร้อนกับใคร 
ไม่เคยมีเรื่องอะไรต้องเครียด  ท่านเป็นคนอารมณ์ดีและน่ารักที่สุดในโลกนี้เลยก็ว่าได้   
        เช้าวันที่ฉันเห็นศพพ่อห้อยต่องแต่งที่หน้าต่างมันเหมือนกับโลกนี้กำลังถูกครอบงำด้วยความมืดสนิท  ความหนาวเหน็บ 
และความโศกเศร้าเดียวดาย .เฮ้อ!  ฉันคงพร่ามมากไปจนคุณเบื่อจะฟังเลยสินะ ฉันชื่อ  เม๊ค  โอลิเวต  เป็นหญิงอายุ  21  ปี
ที่เพิ่งเรียนจบไปหมาดๆ  แต่แล้วชะตากรรมอันโชคร้ายก็นำพาให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น เรื่องที่ว่าก็คือการที่ฉันสูญเสียคนที่ฉันรักไป
พ่อของฉัน 
“ฉันเสียใจด้วยนะจ๊ะ”  เพื่อนที่มาร่วมงานบอกกับฉันในงานศพที่จัดขึ้นภายในโบสถ์ 
คำว่า “เสียใจด้วย”  ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นหรือแย่ลง เลยแม้แต่นิด  มันเหมือนสิ่งที่ทุกคนควรจะพูดออกมาเพื่อเป็นธรรมเนียมมากกว่า
แต่ถ้าพูดคำว่า “เสียใจด้วย”  สักพันแสนล้านหนแล้วทำให้พ่อฉันกลับมามีชีวิตได้ล่ะก็  ฉันยอมทำทุกอย่างเลยล่ะ 
อย่างน้อยก็ขอแค่ให้พ่อตื่นมาพูดกับฉันว่าทำไมพ่อถึงต้องฆ่าตัวตายด้วย
          แม่ฉัน คาธี่  โอลิเวต เสียใจมากกว่าฉันเป็นทวีคูณ  เธอได้แต่นั่งเหม่อมองไปยังโลงศพที่บาทหลวงกำลังทำการสวด 
และน้ำตาไหลพรากๆตลอดเวลาด้วยสีหน้าล่องลอย  แม่รักพ่อมากกว่าทุกสิ่งรวมถึงฉันและน้องชายอีกสองคน 
คนโตคือ ร๊อด  โอลิเวตอายุ  17 ปี และคนเล็กชื่อ  ไมเคิล  โอลิเวต  เรียนอยู่เกรด 1 
          ทั้งคู่ก็แสดงอาการเศร้าโศกมากเช่นกัน  โดยเฉพาะไมเคิลที่ปกติจะซุกซนร่าเริงอยู่ไม่นิ่ง  แต่วันนี้ดูราวกับเด็กเป็นโรคซึมเศร้า
ที่นั่งเงียบแววตาเหม่อมองโลงศพที่เคลื่อนย้ายออกไปนอกโบสถ์พร้อมเพลงสวดที่ก่ออารมณ์โศกมากขึ้นไปอีก 
โลงศพถูกขนไปยังสุสานโดยมีพวกเราและผู้มาร่วมงานเดินตามอย่างช้าๆ 
“ไปสบายนะคะคุณพ่อ!!!”  ฉันร้องไห้โฮกอดโลงศพพ่อไว้แน่นแต่ก็ได้รับเพียงสัมผัสของความเย็นจากฝาโลงเท่านั้น 
ฉันรู้ว่ามันคงดูเหมือนคนบ้าแต่ฉันไม่อาจทนรับความจริงได้ว่าพ่อของฉันได้จากฉันไปแล้วตลอดกาล 
แม่ฉันดึงน้องชายสองคนและฉันเข้ามากอดไว้แล้วร้องไห้  ใครจะว่ายังไงก็ตาม  อย่างน้อยตอนนี้ ฉันก็พอจะตระหนักได้ว่า
ฉันจะต้องก้าวต่อไป  เพราะยังมีแม่และน้องเป็นคนในครอบครัวโอลิเวตซึ่งหวังพึ่งในตัวฉัน  ฉะนั้นต่อแต่นี้ไปฉันจะต้องเข้มแข็ง 
พ่อฉันจะต้องหวังอย่างนั้นแน่
            เพื่อเป็นการหลีกหนีจากสภาพความทรงจำเก่าๆที่คอยทำร้ายจิตใจ  ฉันจึงตัดสินใจพาแม่และน้องชายย้ายมาอยู่ใน
เมืองเกรทฟิล์ด  ที่นี่มีบรรยากาศที่แปลกหูแปลกตา  แถมร่มรื่นเย็นสบายอีกด้วย 
ฉันเชื่อว่าไม่นานแม่กับน้องและก็หวังว่าตัวฉันเองจะสามารถลืมความเจ็บปวดของการสูญเสียไปให้เร็วที่สุด 
แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะทิ้งความทรงจำเกี่ยวกับพ่อไปหรอก  
พ่อยังคงอยู่ในตัวฉัน  และฉันจะไม่ทำให้พ่อต้องผิดหวัง 
    ฉันตัดสินใจว่าจะไปสมัครเป็นบรรณารักษ์ของโรงเรียนมัธยมเกรทฟิล์ด  ที่นั่นเป็นโรงเรียนเก่าที่ดูโอ่โถงกว้างใหญ่ 
เด็กนักเรียนที่วิ่งเล่นกันไปมาในสนามทำให้ฉันสัมผัสได้ถึงจิตใจที่บริสุทธิ์ที่ไม่เคยต้องสัมผัสกับเรื่องร้ายๆ  จะว่าไปแต่ก่อนนั้นฉัน
ก็มีจิตใจที่ซื่อตรงบริสุทธิ์แบบนี้จนไม่คาดคิดว่าจะมีวันที่ต้องเสียใจมากขนาดลืมไม่ลง  ซึ่งเมื่อเราเติบโตมากขึ้นอาจจะต้องเจอ
ประสบการณ์แนวนี้ผ่านเข้ามาอีกมากมายเพื่อทดสอบความแข็งแกร่งในจิตใจของเรา
“วุฒิของคุณเนี่ยสูงพอดูเลยนะ ไม่สนใจจะเป็นครูสอนหนังสือโดยตรงเลยเหรอ?” 
อาจารย์ใหญ่โรงเรียนบอกขณะกวาดสายตาอ่านแฟ้มประวัติของฉันในมือ
“คือ ถ้าได้น่ะก็ได้อยู่หรอกค่ะ..แต่ว่าดิฉัน ไม่คิดว่าตัวเองจะ..ดูแลเด็กๆไหว”  ฉันตอบโง่ๆออกไป
“งั้นก็ ผมรับคุณแน่นอน”  เขาพูดขณะปิดแฟ้มวางบนโต๊ะ
“จริงหรือคะ?”  จริงๆแล้วฉันก็ไม่ได้ประหลาดใจหรอกเพราะวุฒิของฉันได้รับการรับรองมาอย่างดี
ประกอบกับฉันทราบแหล่งข่าวมาว่าบรรณารักษ์ที่นี่ลาออกไปคนหนึ่งพอดี  แน่นอนว่าฉันต้องได้รับเข้ามาทำงาน
“แล้วถ้าคุณพร้อมดูแลเด็กๆไหวเมื่อไหร่ อยากจะเป็นครูสอนโดยตรงล่ะก็ มาปรึกษาผมได้ทุกเมื่อเลยนะ”
อาจารย์ใหญ่บอก
“ขอบคุณค่ะ”  ฉันหยิบแฟ้มตัวเองออกมาจากห้อง  อย่างน้อยที่ก้าวหน้าตอนนี้ก็คือฉันมีบ้านใหม่อยู่
และมีงานใหม่ทำรองรับอนาคตเรียบร้อยแล้ว 
“ห้องสมุดอยู่ทางไหนหรือจ๊ะ?”  ฉันถามเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่เดินสวนกัน 
เธอมีหน้าตาน่ารัก  ดวงตาสีฟ้ากับผมบรอนซ์ทองผูกเป็นเปียอยู่ด้านหลัง
“สวัสดีค่ะ คุณคงจะเป็นบรรณารักษ์คนใหม่สินะคะ”  เด็กหญิงคนนั้นพูด  เด็กอะไรก็ไม่รู้ หน้าตาน่ารักขนาดนี้ 
ฉันว่าการได้ทำงานอยู่กับเด็กๆอาจจะช่วยทำให้ฉันรู้สึกถึงโลกใหม่ที่เต็มไปด้วยความสุขก็ได้
“ว่าไงคะ?” 
“อ้อ!  เปล่าจ้ะ!  ว่าแต่หนูรู้ได้ยังไงจ๊ะเนี่ยว่าฉันเป็นบรรณารักษ์คนใหม่?”  ฉันถาม
“ก็หนูเห็นคุณเข้าไปหาอาจารย์ใหญ่  แถมถือแฟ้มอะไรก็ไม่รู้เข้าไปข้างใน  แล้วอออกมาก็มาถามทางไปห้องสมุดกับหนู 
หนูก็เลยมั่นใจว่าต้องใช่แน่ค่ะ”  เด็กหญิงบอก
“แสดงว่าหนูไม่ได้บังเอิญมาเจอกับฉันแต่รออยู่นานแล้วล่ะสิเนี่ย  ฉลาดไม่เบาเลยนะจ๊ะ”  ฉันขยี้ผมเด็กหญิงอย่างเอ็นดู
“ว่าแต่..ทางไหนไปห้องสมุดจ๊ะ” 
“ตามหนูมาสิคะ หนูเองก็เป็นหนอนหนังสือกำลังจะไปห้องสมุดพอดี”  เด็กหญิงบอกพลางดึงมือฉันไป
“อะ-อ้อ  เดี๋ยวสิจ๊ะ  จะรีบไปไหน  ฉันยังไม่รู้ชื่อหนูเลยนะจ๊ะ”  ฉันพูดพร้อมๆกับที่ถูกลากไปตามโถงทางเดิน
“หนูชื่อ  สเตลล่า ค่ะ  แล้วคุณครูล่ะคะชื่ออะไร?”
“แหม เรียกครูเลยหรือจ๊ะ เขินจังเลย ครูชื่อ  เม๊ค  จ้ะ นี่ แต่ว่าเรียกว่าพี่เม๊คดีกว่านะ..ครูมันฟังดูแก่ไปน่ะพี่ยังสาวอยู่เลยนะ” 
ฉันพูดไปเรื่อยขณะที่ขาก็เดินตามมือเด็กน้อยที่จูงนำไปตลอดทาง
“ฮิๆๆๆ”    เด็กหญิงหัวเราะปิดปาก
“ขำอะไร ก็พี่ยังสาวอยู่จริงๆนี่ เดี๋ยวเถอะ  แอบขำผู้ใหญ่ไม่ดีนะจ๊ะ”  ฉันชักชอบเด็กที่นี่แล้วสิ  และก็หวังว่างานนี้คงไปได้สวยนะ
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@=@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
เพราะฉันรู้ดีว่ามันโศกเศร้าเพียงใดเมื่อคนที่เรารักต้องจากเราไปอย่างไม่มีวันหวนกลับมาอีก
        ฉันเคยคิด เคยคิดว่าโลกนี้เป็นอะไรที่งดงามสดใส มีครอบครัวที่อบอุ่น  เรียนจบมีงานทำ  ทุกอย่างดูเหมือนไปได้สวย
และปกติดีเสียทุกอย่าง  กระทั่งพ่อของฉันผูกคอตายที่ต้นไม้หลังบ้านอย่างไร้สาเหตุ    พ่อฉันไม่เคยมีเรื่องทุกข์ร้อนกับใคร 
ไม่เคยมีเรื่องอะไรต้องเครียด  ท่านเป็นคนอารมณ์ดีและน่ารักที่สุดในโลกนี้เลยก็ว่าได้   
        เช้าวันที่ฉันเห็นศพพ่อห้อยต่องแต่งที่หน้าต่างมันเหมือนกับโลกนี้กำลังถูกครอบงำด้วยความมืดสนิท  ความหนาวเหน็บ 
และความโศกเศร้าเดียวดาย .เฮ้อ!  ฉันคงพร่ามมากไปจนคุณเบื่อจะฟังเลยสินะ ฉันชื่อ  เม๊ค  โอลิเวต  เป็นหญิงอายุ  21  ปี
ที่เพิ่งเรียนจบไปหมาดๆ  แต่แล้วชะตากรรมอันโชคร้ายก็นำพาให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น เรื่องที่ว่าก็คือการที่ฉันสูญเสียคนที่ฉันรักไป
พ่อของฉัน 
“ฉันเสียใจด้วยนะจ๊ะ”  เพื่อนที่มาร่วมงานบอกกับฉันในงานศพที่จัดขึ้นภายในโบสถ์ 
คำว่า “เสียใจด้วย”  ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นหรือแย่ลง เลยแม้แต่นิด  มันเหมือนสิ่งที่ทุกคนควรจะพูดออกมาเพื่อเป็นธรรมเนียมมากกว่า
แต่ถ้าพูดคำว่า “เสียใจด้วย”  สักพันแสนล้านหนแล้วทำให้พ่อฉันกลับมามีชีวิตได้ล่ะก็  ฉันยอมทำทุกอย่างเลยล่ะ 
อย่างน้อยก็ขอแค่ให้พ่อตื่นมาพูดกับฉันว่าทำไมพ่อถึงต้องฆ่าตัวตายด้วย
          แม่ฉัน คาธี่  โอลิเวต เสียใจมากกว่าฉันเป็นทวีคูณ  เธอได้แต่นั่งเหม่อมองไปยังโลงศพที่บาทหลวงกำลังทำการสวด 
และน้ำตาไหลพรากๆตลอดเวลาด้วยสีหน้าล่องลอย  แม่รักพ่อมากกว่าทุกสิ่งรวมถึงฉันและน้องชายอีกสองคน 
คนโตคือ ร๊อด  โอลิเวตอายุ  17 ปี และคนเล็กชื่อ  ไมเคิล  โอลิเวต  เรียนอยู่เกรด 1 
          ทั้งคู่ก็แสดงอาการเศร้าโศกมากเช่นกัน  โดยเฉพาะไมเคิลที่ปกติจะซุกซนร่าเริงอยู่ไม่นิ่ง  แต่วันนี้ดูราวกับเด็กเป็นโรคซึมเศร้า
ที่นั่งเงียบแววตาเหม่อมองโลงศพที่เคลื่อนย้ายออกไปนอกโบสถ์พร้อมเพลงสวดที่ก่ออารมณ์โศกมากขึ้นไปอีก 
โลงศพถูกขนไปยังสุสานโดยมีพวกเราและผู้มาร่วมงานเดินตามอย่างช้าๆ 
“ไปสบายนะคะคุณพ่อ!!!”  ฉันร้องไห้โฮกอดโลงศพพ่อไว้แน่นแต่ก็ได้รับเพียงสัมผัสของความเย็นจากฝาโลงเท่านั้น 
ฉันรู้ว่ามันคงดูเหมือนคนบ้าแต่ฉันไม่อาจทนรับความจริงได้ว่าพ่อของฉันได้จากฉันไปแล้วตลอดกาล 
แม่ฉันดึงน้องชายสองคนและฉันเข้ามากอดไว้แล้วร้องไห้  ใครจะว่ายังไงก็ตาม  อย่างน้อยตอนนี้ ฉันก็พอจะตระหนักได้ว่า
ฉันจะต้องก้าวต่อไป  เพราะยังมีแม่และน้องเป็นคนในครอบครัวโอลิเวตซึ่งหวังพึ่งในตัวฉัน  ฉะนั้นต่อแต่นี้ไปฉันจะต้องเข้มแข็ง 
พ่อฉันจะต้องหวังอย่างนั้นแน่
            เพื่อเป็นการหลีกหนีจากสภาพความทรงจำเก่าๆที่คอยทำร้ายจิตใจ  ฉันจึงตัดสินใจพาแม่และน้องชายย้ายมาอยู่ใน
เมืองเกรทฟิล์ด  ที่นี่มีบรรยากาศที่แปลกหูแปลกตา  แถมร่มรื่นเย็นสบายอีกด้วย 
ฉันเชื่อว่าไม่นานแม่กับน้องและก็หวังว่าตัวฉันเองจะสามารถลืมความเจ็บปวดของการสูญเสียไปให้เร็วที่สุด 
แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะทิ้งความทรงจำเกี่ยวกับพ่อไปหรอก  
พ่อยังคงอยู่ในตัวฉัน  และฉันจะไม่ทำให้พ่อต้องผิดหวัง 
    ฉันตัดสินใจว่าจะไปสมัครเป็นบรรณารักษ์ของโรงเรียนมัธยมเกรทฟิล์ด  ที่นั่นเป็นโรงเรียนเก่าที่ดูโอ่โถงกว้างใหญ่ 
เด็กนักเรียนที่วิ่งเล่นกันไปมาในสนามทำให้ฉันสัมผัสได้ถึงจิตใจที่บริสุทธิ์ที่ไม่เคยต้องสัมผัสกับเรื่องร้ายๆ  จะว่าไปแต่ก่อนนั้นฉัน
ก็มีจิตใจที่ซื่อตรงบริสุทธิ์แบบนี้จนไม่คาดคิดว่าจะมีวันที่ต้องเสียใจมากขนาดลืมไม่ลง  ซึ่งเมื่อเราเติบโตมากขึ้นอาจจะต้องเจอ
ประสบการณ์แนวนี้ผ่านเข้ามาอีกมากมายเพื่อทดสอบความแข็งแกร่งในจิตใจของเรา
“วุฒิของคุณเนี่ยสูงพอดูเลยนะ ไม่สนใจจะเป็นครูสอนหนังสือโดยตรงเลยเหรอ?” 
อาจารย์ใหญ่โรงเรียนบอกขณะกวาดสายตาอ่านแฟ้มประวัติของฉันในมือ
“คือ ถ้าได้น่ะก็ได้อยู่หรอกค่ะ..แต่ว่าดิฉัน ไม่คิดว่าตัวเองจะ..ดูแลเด็กๆไหว”  ฉันตอบโง่ๆออกไป
“งั้นก็ ผมรับคุณแน่นอน”  เขาพูดขณะปิดแฟ้มวางบนโต๊ะ
“จริงหรือคะ?”  จริงๆแล้วฉันก็ไม่ได้ประหลาดใจหรอกเพราะวุฒิของฉันได้รับการรับรองมาอย่างดี
ประกอบกับฉันทราบแหล่งข่าวมาว่าบรรณารักษ์ที่นี่ลาออกไปคนหนึ่งพอดี  แน่นอนว่าฉันต้องได้รับเข้ามาทำงาน
“แล้วถ้าคุณพร้อมดูแลเด็กๆไหวเมื่อไหร่ อยากจะเป็นครูสอนโดยตรงล่ะก็ มาปรึกษาผมได้ทุกเมื่อเลยนะ”
อาจารย์ใหญ่บอก
“ขอบคุณค่ะ”  ฉันหยิบแฟ้มตัวเองออกมาจากห้อง  อย่างน้อยที่ก้าวหน้าตอนนี้ก็คือฉันมีบ้านใหม่อยู่
และมีงานใหม่ทำรองรับอนาคตเรียบร้อยแล้ว 
“ห้องสมุดอยู่ทางไหนหรือจ๊ะ?”  ฉันถามเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่เดินสวนกัน 
เธอมีหน้าตาน่ารัก  ดวงตาสีฟ้ากับผมบรอนซ์ทองผูกเป็นเปียอยู่ด้านหลัง
“สวัสดีค่ะ คุณคงจะเป็นบรรณารักษ์คนใหม่สินะคะ”  เด็กหญิงคนนั้นพูด  เด็กอะไรก็ไม่รู้ หน้าตาน่ารักขนาดนี้ 
ฉันว่าการได้ทำงานอยู่กับเด็กๆอาจจะช่วยทำให้ฉันรู้สึกถึงโลกใหม่ที่เต็มไปด้วยความสุขก็ได้
“ว่าไงคะ?” 
“อ้อ!  เปล่าจ้ะ!  ว่าแต่หนูรู้ได้ยังไงจ๊ะเนี่ยว่าฉันเป็นบรรณารักษ์คนใหม่?”  ฉันถาม
“ก็หนูเห็นคุณเข้าไปหาอาจารย์ใหญ่  แถมถือแฟ้มอะไรก็ไม่รู้เข้าไปข้างใน  แล้วอออกมาก็มาถามทางไปห้องสมุดกับหนู 
หนูก็เลยมั่นใจว่าต้องใช่แน่ค่ะ”  เด็กหญิงบอก
“แสดงว่าหนูไม่ได้บังเอิญมาเจอกับฉันแต่รออยู่นานแล้วล่ะสิเนี่ย  ฉลาดไม่เบาเลยนะจ๊ะ”  ฉันขยี้ผมเด็กหญิงอย่างเอ็นดู
“ว่าแต่..ทางไหนไปห้องสมุดจ๊ะ” 
“ตามหนูมาสิคะ หนูเองก็เป็นหนอนหนังสือกำลังจะไปห้องสมุดพอดี”  เด็กหญิงบอกพลางดึงมือฉันไป
“อะ-อ้อ  เดี๋ยวสิจ๊ะ  จะรีบไปไหน  ฉันยังไม่รู้ชื่อหนูเลยนะจ๊ะ”  ฉันพูดพร้อมๆกับที่ถูกลากไปตามโถงทางเดิน
“หนูชื่อ  สเตลล่า ค่ะ  แล้วคุณครูล่ะคะชื่ออะไร?”
“แหม เรียกครูเลยหรือจ๊ะ เขินจังเลย ครูชื่อ  เม๊ค  จ้ะ นี่ แต่ว่าเรียกว่าพี่เม๊คดีกว่านะ..ครูมันฟังดูแก่ไปน่ะพี่ยังสาวอยู่เลยนะ” 
ฉันพูดไปเรื่อยขณะที่ขาก็เดินตามมือเด็กน้อยที่จูงนำไปตลอดทาง
“ฮิๆๆๆ”    เด็กหญิงหัวเราะปิดปาก
“ขำอะไร ก็พี่ยังสาวอยู่จริงๆนี่ เดี๋ยวเถอะ  แอบขำผู้ใหญ่ไม่ดีนะจ๊ะ”  ฉันชักชอบเด็กที่นี่แล้วสิ  และก็หวังว่างานนี้คงไปได้สวยนะ
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@=@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น