ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : กลางสายฝน
“เอ...ที่นี่ที่ไหน?? นี่เอเมอรัลด์ แฟง นี่ทุกคนอยู่ไหนกานหมด” เด็กสาวผมแกละร้องเรียกเมื่อเธอพบว่าตนอยู่ในที่ที่ไม่รู้จัก
เธอเดินไปเรื่อยๆพลางมองซ้ายขวาอย่างคนหลงทาง เสียงดนตรีที่แผ่วเบาดังแว่วมาตามสายลม สะกดทุกอารมณ์รวมทั้งวาด้วย น่าประหลาดที่เสียงดนตรีนั้นทำให้ความกังวลและความทุกข์ในใจของเด็กสาวค่อยๆหายไป วาเดินไปหาต้นเสียงช้าๆ ราวกับเธอโดนมนต์แห่งเสียงสะกดไว้ เด็กสาวเดินมาเรื่อยๆจนกระทั่งเธอมาหยุดอยู่หน้าซุ้มดอกไม้ที่มีดอกไม้หลากสีแข่งกันอวดความงาม เสียงดนตรียังคงดำเนินต่อไป ราวกับมันกำลังร้องเรียกผู้ที่ได้ยินให้เข้าไปหาผู้เล่น วาเดินผ่านซุ้มดอกไม้ไปบนทางเดินหินอ่อน ขาที่ค่อยๆก้าวไปของเธอนั้นเหมือนจะโดนเสียงอันไพเราะดึงดูด เธอเดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งพบกับหญิงงามคนหนึ่งที่กำลังพรมนิ้วลงบนพิณสีขาวอันหนึ่ง ในชุดผ้าแพรที่ยาวกรอมเท้าสีครามแขนกุด ใต้ผ้าซาตินเนื้อบางสีแซปไฟร์  ผมหยักศกที่งดงามราวเส้นไหมสีน้ำตาลอ่อนปลิวไปด้านหลังตามแรงลมที่พัดมาอ่อนๆ ดวงตาสีฟ้าอ่อนที่แฝงความอ่อนโยนไว้ หลุบลงไปมองพิณ ริมฝีปากที่เรียวบางของเธอกระตุกนิดๆดูราวกับว่าเธอรับรู้ว่าบัดนี้ได้มีคนมามองเธอด้วยความชื่นชม คอที่ขาวใสของเธอนั้นประดับด้วยสร้อยที่มีจี้สีน้ำเงินที่มีรูปคล้ายตะเกียง เบื้องหลังไม่ไกลกันนัก แสงสีน้ำเงินและแสงสีทองสลับไขว้กันไปมาตามเสียงเพลงของหญิงสาว วามองหญิงงามตรงหน้าด้วยความตะลึง แล้วริมฝีปากของเธอก็ค่อยๆขยับ
“ชไลเดนงั้นเหรอ?”
หญิงงามในชุดผ้าแพรค่อยๆเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ
“ไงจ้ะวา” ชไลเดนทักทาย
วารู้สึกถึงใบหน้าของตนที่ร้อนผ่าวเพราะรัศมีความงามของคนตรงหน้า เธอเลยรีบหลบตาลง
“เอ่อ........ขอโทษนะค่ะ คุณชื่ออะไรค่ะ”
คนตรงหน้ายิ้มอย่างเอ็นดู
“อ้าว......เมื่อกี้เธอพึ่งเรียกชื่อเราไม่ใช่เหรอ?”
วารู้สึกอายที่ตัวเองถามอะไรไม่เข้าท่าออกไป แต่คนงามกลับไม่คิดอย่างนั้น
“นี่อย่าเกร็งไปเลย เราหน่ะไม่ใช่คนน่ากลัวนะ” ชไลเดนว่าพลางแกล้งทำเป็นน้อยใจ
เด็กสาวรีบขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ แต่ 1 ใน 4 ผู้กล้าในตำนานได้แต่ยิ้มในความไร้เดียงสาของวา
หลังจากที่ทั้งสองนิ่งเงียบไปหลังเสียงขอโทษ ชไลเดนก้มหน้าลงไปปรับสายพิณที่เริ่มหย่อนของเธอ เด็กสาวรู้สึกอึดอัดเลยตัดสินใจทำลายความเงียบ
“เอ่อ.....คุณชไลเดนค่ะ” วาเรียก
หญิงงามเงยหน้าขึ้น
“อะไรจ้ะ”
“คือดูเหมือนว่า เอ่อ.....คือ...” เด็กสาวเริ่มเกร็ง
ผู้ครอบครองผลึกแซปไฟร์ยิ้มนิดๆก่อนจะแกล้งต่อว่าวา
“อะไรกัน เอาอีกแล้วเหรอจ้ะ บอกแล้วไงว่าไม่ต้องเกร็ง”
เด็กผมแกละเห็นรอยยิ้มที่มุมปากเลยเข้าใจกับสิ่งที่ตนกำลังเจอ
“เอ้า.....ว่าไงจ้ะ”ชไลเดนถาม
วามองตรงไปที่สายตาที่แฝงแววอ่อนโยนของคนตรงหน้าแต่ถามด้วยเสียงที่ดังกว่ากระซิบนิดหน่อย
“เป็น 1 ใน 4 ผู้กล้านี่ต้องทำอะไรบ้างเหรอ?  คือใครๆและเหตุการณ์ทุกอย่างที่เราเจอมามันราวกับว่าเราเป็น 1 ใน 4 ผู้กล้ารุ่น 2 งั้นแหละ เออ......แล้วเราไม่มีพลังพิเศษอะไร คือหมายถึงเรียนก็พอไปได้ ความสามารถพิเศษที่เด่นขึ้นมาก็เห็นจะมีแต่ดนตรีนี่แหละ แล้วอย่างนี้เราจะช่วยได้ยังไงกัน ถ้าจะบอกให้ดูที่คอ มันก็อาจเป็นแค่เรื่องบังเอิญก็ได้จริงไหม?”
ชไลเดนทำหน้าคิดก่อนที่จะถามด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน
“เธอลืมพูดอะไรไปบางอย่างรึเปล่า?”
เด็กสาวก้มหน้ามองพื้นพลางเค้นสมองว่าเธอลืมอะไรไปรึเปล่า แสงสว่างอ่อนๆ ในที่แห่งนั้น มาโดนผลึกสีแซปไฟร์ที่มือน้อยๆของเธอกุมมันไว้ เกิดเป็นแสงสะท้อนสีน้ำเงินที่ดูงามตา เธอจ้อมมองมันอย่างเหม่อลอย แล้วเธอก็ร้องขึ้น
“หมายถึงจี้นี้ใช่ไหมค่ะ”
คนงามพยักหน้า แต่ก็ถามต่อ
“เธอจำได้ไหมว่าเธอได้มันมายังไง?”
วาลองคิดทวนเหตุการณ์และเธอก็จำได้ว่ามันมาจากจี้มรกตของแฟง ที่ชี้มาทางเธอและเปลี่ยนตัวมันเองเป็นฟ้าของแซปไฟร์ เด็กสาวมองคนตรงหน้าอย่างตื่นๆ ชไลเดนยิ้มอีกครั้งก่อนจะพยักหน้าช้าๆ
“ใช่แล้วหล่ะ การที่เธอได้จี้นี้มามันเป็นหลักฐานสำคัญที่จะบอกว่าเธอ คือ 1 ใน 4 ผู้กล้าชุดปัจจุบัน”
“แต่....แต่ว่ามันอาจจะเกิดการผิดพลาดก็ได้นี่ค่ะ”
วาถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ ผู้ครอบครองแซปไฟร์เลยส่ายหน้า
“ผลึกนั้นจะเป็นสิ่งที่เลือกเจ้าของของมันเอง เพราะงั้นจะไม่มีการผิดพลาดเกิดขึ้นแน่ และที่เธอไม่มั่นใจในคุณสมบัติของการเป็นผู้กล้าของเธอ แต่แซปไฟร์ไม่คิดอย่างนั้น ที่มันเลือกเธอเพราะมั่นใจในตัวเธอ”
“งั้นคุณบอกงั้นเหรอว่าผลึกมันมีความรู้สึกนึกคิด?”เด็กสาวถามอย่างไม่แน่ใจ
ชไลเดนหัวเราะ
“ดูเหมือนเมออซจะมีเพื่อนซะเล้วสิ” เธอพึมพำก่อนจะตอบคำถามวา “ไม่ใช่หรอกนะ ผลึกหน่ะไม่มีความรู้สึกนึกคิดหรอก แต่สิ่งที่อยู่ในผลึกมันไม่แน่นี่”
เด็กสาวรู้สึกงงกับคำพูดของคนตรงหน้า
“หมายความว่าไงค่ะ?” ชไลเดนหลิ่วตาให้ก่อนที่จะเรียก
“ซี ออรัมมานี่หน่อย”
แสงสีน้ำเงินกับแสงสีทองพุ่งตรงมายังเธอ แล้วมาหยุดอยู่บนมืออันเรียวงามของคนเรียก วาพยามเขม้นมองว่าสิ่งที่อยู่บนมือของคนงามคืออะไรกันแน่ แล้วเธอก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อเธอพบว่าสิ่งที่อยู่บนมือผู้ครอบครองแซปไฟร์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆที่มีปีกขนาดใหญ่กว่าตัว โดยมีปีกสีน้ำเงิน และมีปีกสีทอง
“สิ่งมีชีวิตพวกนี้แหละที่สร้างโลกElements ที่เป็นตัวคัดเลือกบุคคลที่จะมีสิทธิเป็น 4 ผู้กล้าในตำนานคนต่อไป..........”
วาพูดคุยกับชไลเดนไปเรื่อยๆ ทำให้เธอได้ความว่า ผลึกของธาตุแต่ละชนิดที่มาทำเป็นจี้เป็นที่อยู่ของเหล่าพลาย และวิญญาณ โดยแซปไฟร์เป็นที่อยู่ของวิญญาณทอง และพรายน้ำ สปิเนลเป็นที่อยู่ของ นางไม้และวิญญาณดิน อะเกตเป็นที่อยู่ของวิญญาณไฟและโลหะ ส่วนโพเทซเป็นที่อยู่ของวิญญาณลม และเผ่าสายฟ้า ทั้งสองพูดคุยกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งคนงามพูดขึ้น “เราว่าถึงเวลาที่ธอต้องกลับแล้วนะ” วามองชไลเดนอย่างงงก่อนที่เธอจะพยักหน้าช้าๆ “เอาสิค่ะ แล้วเจอกันใหม่นะ”เด็กสาวว่าและออกเดิน เธอเดินไปเรื่อยๆ แต่เพราะความเหนื่อยทำให้เธอล้มลงและฟุบหลับไป
   
“อ๊าก!!มันมาอีกแล้วเหรอ!!”
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นทั่วสารทิศ พร้อมเสียงฟ้าผ่าที่ดังขึ้นเป็นระยะ วาค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นและพบว่าตนอยู่บนเตียงสี่เสาในห้องที่มืดมิดห้องหนึ่ง เด็กสาวมองรอบๆอย่างงๆ แต่ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตเลย ด้วยตกใจเด็กสาวรีบหาทางออก เธอพบบันไดและปีนขึ้นไปด้วยหัวใจที่สั่นรัว เสียงร้องข้างนอกยังคงดำเนินต่อไป วาอยากรู้จับใจว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น เธอปีนบันไดขึ้นไป ทีละขั้น ทีละขั้น
“รีบพาผู้กล้ากลับไปที่โลกมนุษย์ก่อนถอะแฟงที่นี่เราจะจัดการเอง”
เสียงร้องดังขึ้นมาจากด้านบน พร้อมเสียงลงบันไดอย่างเร่งรีบ วายืนนิ่ง *นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?*เด็กสาวคิด  แล้วก็มีอะไรบางอย่างวิ่งมาชนเธอ ทำให้เธอเกือบตกบันได
“วาตื่นแล้วเหรอ ไปเร็วเข้ากลับโลกของเธอกัน” เสียงของเฟงว่าขึ้นอย่างเร่งรีบ
“แฟงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” วาถามอย่างใจเย็น
แต่แฟนธอมบอกให้วากลับลูกเดียว จนในที่สุด
“แฟง!! ลืมไปแล้วหรือไงว่าเราเป็น 1 ใน 4 ผู้กล้าที่ต้องช่วยโลกนี้นะ!! ถ้าเธอให้เราหนีและคนอื่นๆหล่ะจะว่ายังไง!!”เด็กสาวตวาด
สัตว์มายานิ่งคิด
“รู้แล้ว แต่เธอยังไม่ต้องก็ได้นี่ ตอนนี้มันอาจจะอันตรายเกินไปสำหรับคนที่ยังไม่รู้เหนือรู้ใต้อย่างเธอ” เขาตอบ
วารู้สึกเดือดดาลในใจ *แล้วเอาเรามาที่นี่ทำไม งั้นเราก็เป็นได้แค่ตัวถ่วงงั้นสิ* เธอเลยเดินผ่านสัตว์มายาไปอย่างไม่สนใจ และไม่คิดที่จะเหลียวหลังกลับมา
“มนุษย์นี่ดื้อจัง ให้ตายเหอะ ถ้าเจอกันแล้วคงไม่ดีแน่” แฟงพึมพำสิ่งที่เขาเข้าใจคนเดียวกับตัวเอง
   
วาวิ่งออกไปด้านนอก สายฝนลงมาปะทะกับร่างกายเธอ เด็กสาวเพ่งมองไปด้านหน้าและเธอก้ต้องประหลาดใจที่รอบตัวเธอนั้นเต็มไปด้วยสัตว์มายาตัวหลากสีที่วิ่งหนีตายอย่างไม่คิดชีวิต เด็กสาวก้าวเดินออกไป เธอเดินไปเรื่อยๆ พลางมองสองข้างทาง เปรี๊ยง!! สายฟ้าผ่าลงมายังบ้านหลังหนึ่งซี่งลุกเป็นไฟทันที เด็กสาวมองมันด้วยความงงซักพักก่อนจะตัดสินใจเดินจากไป เปรี๊ยง!! เสียงสายฟ้าดังอีกครั้ง แต่คราวนี้มันเฉียดหูของวาไปแค่หน่อยเดียว
“เฮอะ.....พลาดแหะ แต่คราวหน้าไม่พลาดแน่” เสียงผู้หญิงที่คุ้นหูดังขึ้นในประสาทรับรู้ของเธอ
พร้อมกับเสียงสายฟ้าที่ดังติดต่อกัน เปรี๊ยงๆๆๆๆ วาวิ่งหลบสายฟ้าไปมาอย่างทุลักทุเล เสียงผู้หญิงที่วาคุ้นเคยกลับหัวเราะอย่างมีความสุข เด็กสาวผมแกละเลยวิ่งไปที่ต้นเสียง เธอเห็นเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับเธอแต่ผมซอยเป็นรางๆ เพราะฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก เมื่อวิ่งเข้าไปใกล้เด็กสาวก็สวนหมัดเข้าไปที่ท้องของคนที่ยืนหัวเราะจนล้มคว่ำไป
“อย่า-ทำ-แบบ-นี้-อีก” วาว่าพลางหอบหายใจ แต่เธอก็ยิ้มและยื่นมือให้คนตรงหน้า “โทษทีนะพลั้งมือไปหน่อย”
ท้องฟ้าที่มืดมิดกลับกลายมาสดใสอีกครั้ง ดวงอาทิตย์ที่โดนบดบังอยู่นานเริ่มส่องแสง เผยให้วาเห็นโฉมหน้าที่เท้จริงของคนตรงหน้า
“มะ........ไม่จริง”เด็กสาวอุทาน
เมื่อพบว่าคนตรงหน้าเธอคือ............................................ เมธินี หรือที่เพื่อนเรียกกันว่า *ไอสไตน์ยุค 2010* นั่นแหละ 
   
เธอเดินไปเรื่อยๆพลางมองซ้ายขวาอย่างคนหลงทาง เสียงดนตรีที่แผ่วเบาดังแว่วมาตามสายลม สะกดทุกอารมณ์รวมทั้งวาด้วย น่าประหลาดที่เสียงดนตรีนั้นทำให้ความกังวลและความทุกข์ในใจของเด็กสาวค่อยๆหายไป วาเดินไปหาต้นเสียงช้าๆ ราวกับเธอโดนมนต์แห่งเสียงสะกดไว้ เด็กสาวเดินมาเรื่อยๆจนกระทั่งเธอมาหยุดอยู่หน้าซุ้มดอกไม้ที่มีดอกไม้หลากสีแข่งกันอวดความงาม เสียงดนตรียังคงดำเนินต่อไป ราวกับมันกำลังร้องเรียกผู้ที่ได้ยินให้เข้าไปหาผู้เล่น วาเดินผ่านซุ้มดอกไม้ไปบนทางเดินหินอ่อน ขาที่ค่อยๆก้าวไปของเธอนั้นเหมือนจะโดนเสียงอันไพเราะดึงดูด เธอเดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งพบกับหญิงงามคนหนึ่งที่กำลังพรมนิ้วลงบนพิณสีขาวอันหนึ่ง ในชุดผ้าแพรที่ยาวกรอมเท้าสีครามแขนกุด ใต้ผ้าซาตินเนื้อบางสีแซปไฟร์  ผมหยักศกที่งดงามราวเส้นไหมสีน้ำตาลอ่อนปลิวไปด้านหลังตามแรงลมที่พัดมาอ่อนๆ ดวงตาสีฟ้าอ่อนที่แฝงความอ่อนโยนไว้ หลุบลงไปมองพิณ ริมฝีปากที่เรียวบางของเธอกระตุกนิดๆดูราวกับว่าเธอรับรู้ว่าบัดนี้ได้มีคนมามองเธอด้วยความชื่นชม คอที่ขาวใสของเธอนั้นประดับด้วยสร้อยที่มีจี้สีน้ำเงินที่มีรูปคล้ายตะเกียง เบื้องหลังไม่ไกลกันนัก แสงสีน้ำเงินและแสงสีทองสลับไขว้กันไปมาตามเสียงเพลงของหญิงสาว วามองหญิงงามตรงหน้าด้วยความตะลึง แล้วริมฝีปากของเธอก็ค่อยๆขยับ
“ชไลเดนงั้นเหรอ?”
หญิงงามในชุดผ้าแพรค่อยๆเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ
“ไงจ้ะวา” ชไลเดนทักทาย
วารู้สึกถึงใบหน้าของตนที่ร้อนผ่าวเพราะรัศมีความงามของคนตรงหน้า เธอเลยรีบหลบตาลง
“เอ่อ........ขอโทษนะค่ะ คุณชื่ออะไรค่ะ”
คนตรงหน้ายิ้มอย่างเอ็นดู
“อ้าว......เมื่อกี้เธอพึ่งเรียกชื่อเราไม่ใช่เหรอ?”
วารู้สึกอายที่ตัวเองถามอะไรไม่เข้าท่าออกไป แต่คนงามกลับไม่คิดอย่างนั้น
“นี่อย่าเกร็งไปเลย เราหน่ะไม่ใช่คนน่ากลัวนะ” ชไลเดนว่าพลางแกล้งทำเป็นน้อยใจ
เด็กสาวรีบขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ แต่ 1 ใน 4 ผู้กล้าในตำนานได้แต่ยิ้มในความไร้เดียงสาของวา
หลังจากที่ทั้งสองนิ่งเงียบไปหลังเสียงขอโทษ ชไลเดนก้มหน้าลงไปปรับสายพิณที่เริ่มหย่อนของเธอ เด็กสาวรู้สึกอึดอัดเลยตัดสินใจทำลายความเงียบ
“เอ่อ.....คุณชไลเดนค่ะ” วาเรียก
หญิงงามเงยหน้าขึ้น
“อะไรจ้ะ”
“คือดูเหมือนว่า เอ่อ.....คือ...” เด็กสาวเริ่มเกร็ง
ผู้ครอบครองผลึกแซปไฟร์ยิ้มนิดๆก่อนจะแกล้งต่อว่าวา
“อะไรกัน เอาอีกแล้วเหรอจ้ะ บอกแล้วไงว่าไม่ต้องเกร็ง”
เด็กผมแกละเห็นรอยยิ้มที่มุมปากเลยเข้าใจกับสิ่งที่ตนกำลังเจอ
“เอ้า.....ว่าไงจ้ะ”ชไลเดนถาม
วามองตรงไปที่สายตาที่แฝงแววอ่อนโยนของคนตรงหน้าแต่ถามด้วยเสียงที่ดังกว่ากระซิบนิดหน่อย
“เป็น 1 ใน 4 ผู้กล้านี่ต้องทำอะไรบ้างเหรอ?  คือใครๆและเหตุการณ์ทุกอย่างที่เราเจอมามันราวกับว่าเราเป็น 1 ใน 4 ผู้กล้ารุ่น 2 งั้นแหละ เออ......แล้วเราไม่มีพลังพิเศษอะไร คือหมายถึงเรียนก็พอไปได้ ความสามารถพิเศษที่เด่นขึ้นมาก็เห็นจะมีแต่ดนตรีนี่แหละ แล้วอย่างนี้เราจะช่วยได้ยังไงกัน ถ้าจะบอกให้ดูที่คอ มันก็อาจเป็นแค่เรื่องบังเอิญก็ได้จริงไหม?”
ชไลเดนทำหน้าคิดก่อนที่จะถามด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน
“เธอลืมพูดอะไรไปบางอย่างรึเปล่า?”
เด็กสาวก้มหน้ามองพื้นพลางเค้นสมองว่าเธอลืมอะไรไปรึเปล่า แสงสว่างอ่อนๆ ในที่แห่งนั้น มาโดนผลึกสีแซปไฟร์ที่มือน้อยๆของเธอกุมมันไว้ เกิดเป็นแสงสะท้อนสีน้ำเงินที่ดูงามตา เธอจ้อมมองมันอย่างเหม่อลอย แล้วเธอก็ร้องขึ้น
“หมายถึงจี้นี้ใช่ไหมค่ะ”
คนงามพยักหน้า แต่ก็ถามต่อ
“เธอจำได้ไหมว่าเธอได้มันมายังไง?”
วาลองคิดทวนเหตุการณ์และเธอก็จำได้ว่ามันมาจากจี้มรกตของแฟง ที่ชี้มาทางเธอและเปลี่ยนตัวมันเองเป็นฟ้าของแซปไฟร์ เด็กสาวมองคนตรงหน้าอย่างตื่นๆ ชไลเดนยิ้มอีกครั้งก่อนจะพยักหน้าช้าๆ
“ใช่แล้วหล่ะ การที่เธอได้จี้นี้มามันเป็นหลักฐานสำคัญที่จะบอกว่าเธอ คือ 1 ใน 4 ผู้กล้าชุดปัจจุบัน”
“แต่....แต่ว่ามันอาจจะเกิดการผิดพลาดก็ได้นี่ค่ะ”
วาถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ ผู้ครอบครองแซปไฟร์เลยส่ายหน้า
“ผลึกนั้นจะเป็นสิ่งที่เลือกเจ้าของของมันเอง เพราะงั้นจะไม่มีการผิดพลาดเกิดขึ้นแน่ และที่เธอไม่มั่นใจในคุณสมบัติของการเป็นผู้กล้าของเธอ แต่แซปไฟร์ไม่คิดอย่างนั้น ที่มันเลือกเธอเพราะมั่นใจในตัวเธอ”
“งั้นคุณบอกงั้นเหรอว่าผลึกมันมีความรู้สึกนึกคิด?”เด็กสาวถามอย่างไม่แน่ใจ
ชไลเดนหัวเราะ
“ดูเหมือนเมออซจะมีเพื่อนซะเล้วสิ” เธอพึมพำก่อนจะตอบคำถามวา “ไม่ใช่หรอกนะ ผลึกหน่ะไม่มีความรู้สึกนึกคิดหรอก แต่สิ่งที่อยู่ในผลึกมันไม่แน่นี่”
เด็กสาวรู้สึกงงกับคำพูดของคนตรงหน้า
“หมายความว่าไงค่ะ?” ชไลเดนหลิ่วตาให้ก่อนที่จะเรียก
“ซี ออรัมมานี่หน่อย”
แสงสีน้ำเงินกับแสงสีทองพุ่งตรงมายังเธอ แล้วมาหยุดอยู่บนมืออันเรียวงามของคนเรียก วาพยามเขม้นมองว่าสิ่งที่อยู่บนมือของคนงามคืออะไรกันแน่ แล้วเธอก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อเธอพบว่าสิ่งที่อยู่บนมือผู้ครอบครองแซปไฟร์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆที่มีปีกขนาดใหญ่กว่าตัว โดยมีปีกสีน้ำเงิน และมีปีกสีทอง
“สิ่งมีชีวิตพวกนี้แหละที่สร้างโลกElements ที่เป็นตัวคัดเลือกบุคคลที่จะมีสิทธิเป็น 4 ผู้กล้าในตำนานคนต่อไป..........”
วาพูดคุยกับชไลเดนไปเรื่อยๆ ทำให้เธอได้ความว่า ผลึกของธาตุแต่ละชนิดที่มาทำเป็นจี้เป็นที่อยู่ของเหล่าพลาย และวิญญาณ โดยแซปไฟร์เป็นที่อยู่ของวิญญาณทอง และพรายน้ำ สปิเนลเป็นที่อยู่ของ นางไม้และวิญญาณดิน อะเกตเป็นที่อยู่ของวิญญาณไฟและโลหะ ส่วนโพเทซเป็นที่อยู่ของวิญญาณลม และเผ่าสายฟ้า ทั้งสองพูดคุยกันไปเรื่อยๆ จนกระทั่งคนงามพูดขึ้น “เราว่าถึงเวลาที่ธอต้องกลับแล้วนะ” วามองชไลเดนอย่างงงก่อนที่เธอจะพยักหน้าช้าๆ “เอาสิค่ะ แล้วเจอกันใหม่นะ”เด็กสาวว่าและออกเดิน เธอเดินไปเรื่อยๆ แต่เพราะความเหนื่อยทำให้เธอล้มลงและฟุบหลับไป
   
“อ๊าก!!มันมาอีกแล้วเหรอ!!”
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นทั่วสารทิศ พร้อมเสียงฟ้าผ่าที่ดังขึ้นเป็นระยะ วาค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นและพบว่าตนอยู่บนเตียงสี่เสาในห้องที่มืดมิดห้องหนึ่ง เด็กสาวมองรอบๆอย่างงๆ แต่ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตเลย ด้วยตกใจเด็กสาวรีบหาทางออก เธอพบบันไดและปีนขึ้นไปด้วยหัวใจที่สั่นรัว เสียงร้องข้างนอกยังคงดำเนินต่อไป วาอยากรู้จับใจว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น เธอปีนบันไดขึ้นไป ทีละขั้น ทีละขั้น
“รีบพาผู้กล้ากลับไปที่โลกมนุษย์ก่อนถอะแฟงที่นี่เราจะจัดการเอง”
เสียงร้องดังขึ้นมาจากด้านบน พร้อมเสียงลงบันไดอย่างเร่งรีบ วายืนนิ่ง *นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?*เด็กสาวคิด  แล้วก็มีอะไรบางอย่างวิ่งมาชนเธอ ทำให้เธอเกือบตกบันได
“วาตื่นแล้วเหรอ ไปเร็วเข้ากลับโลกของเธอกัน” เสียงของเฟงว่าขึ้นอย่างเร่งรีบ
“แฟงมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” วาถามอย่างใจเย็น
แต่แฟนธอมบอกให้วากลับลูกเดียว จนในที่สุด
“แฟง!! ลืมไปแล้วหรือไงว่าเราเป็น 1 ใน 4 ผู้กล้าที่ต้องช่วยโลกนี้นะ!! ถ้าเธอให้เราหนีและคนอื่นๆหล่ะจะว่ายังไง!!”เด็กสาวตวาด
สัตว์มายานิ่งคิด
“รู้แล้ว แต่เธอยังไม่ต้องก็ได้นี่ ตอนนี้มันอาจจะอันตรายเกินไปสำหรับคนที่ยังไม่รู้เหนือรู้ใต้อย่างเธอ” เขาตอบ
วารู้สึกเดือดดาลในใจ *แล้วเอาเรามาที่นี่ทำไม งั้นเราก็เป็นได้แค่ตัวถ่วงงั้นสิ* เธอเลยเดินผ่านสัตว์มายาไปอย่างไม่สนใจ และไม่คิดที่จะเหลียวหลังกลับมา
“มนุษย์นี่ดื้อจัง ให้ตายเหอะ ถ้าเจอกันแล้วคงไม่ดีแน่” แฟงพึมพำสิ่งที่เขาเข้าใจคนเดียวกับตัวเอง
   
วาวิ่งออกไปด้านนอก สายฝนลงมาปะทะกับร่างกายเธอ เด็กสาวเพ่งมองไปด้านหน้าและเธอก้ต้องประหลาดใจที่รอบตัวเธอนั้นเต็มไปด้วยสัตว์มายาตัวหลากสีที่วิ่งหนีตายอย่างไม่คิดชีวิต เด็กสาวก้าวเดินออกไป เธอเดินไปเรื่อยๆ พลางมองสองข้างทาง เปรี๊ยง!! สายฟ้าผ่าลงมายังบ้านหลังหนึ่งซี่งลุกเป็นไฟทันที เด็กสาวมองมันด้วยความงงซักพักก่อนจะตัดสินใจเดินจากไป เปรี๊ยง!! เสียงสายฟ้าดังอีกครั้ง แต่คราวนี้มันเฉียดหูของวาไปแค่หน่อยเดียว
“เฮอะ.....พลาดแหะ แต่คราวหน้าไม่พลาดแน่” เสียงผู้หญิงที่คุ้นหูดังขึ้นในประสาทรับรู้ของเธอ
พร้อมกับเสียงสายฟ้าที่ดังติดต่อกัน เปรี๊ยงๆๆๆๆ วาวิ่งหลบสายฟ้าไปมาอย่างทุลักทุเล เสียงผู้หญิงที่วาคุ้นเคยกลับหัวเราะอย่างมีความสุข เด็กสาวผมแกละเลยวิ่งไปที่ต้นเสียง เธอเห็นเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับเธอแต่ผมซอยเป็นรางๆ เพราะฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก เมื่อวิ่งเข้าไปใกล้เด็กสาวก็สวนหมัดเข้าไปที่ท้องของคนที่ยืนหัวเราะจนล้มคว่ำไป
“อย่า-ทำ-แบบ-นี้-อีก” วาว่าพลางหอบหายใจ แต่เธอก็ยิ้มและยื่นมือให้คนตรงหน้า “โทษทีนะพลั้งมือไปหน่อย”
ท้องฟ้าที่มืดมิดกลับกลายมาสดใสอีกครั้ง ดวงอาทิตย์ที่โดนบดบังอยู่นานเริ่มส่องแสง เผยให้วาเห็นโฉมหน้าที่เท้จริงของคนตรงหน้า
“มะ........ไม่จริง”เด็กสาวอุทาน
เมื่อพบว่าคนตรงหน้าเธอคือ............................................ เมธินี หรือที่เพื่อนเรียกกันว่า *ไอสไตน์ยุค 2010* นั่นแหละ 
   
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น