คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : อภิปรัชญา
ความหมาย
"อภิปรัชญา" มาจากภาษาอังกฤษคำว่า "Metaphysics"
"Metaphysics" แปลว่า วิชาที่ว่าด้วยความเป็นอยู่และจิตใจของมนุษย์ เวทมนต์คาถา เป็นสาขาที่ว่าด้วยความจริง ความจริงของจักรวาล โลกและธรรมชาติของมนุษย์
ความจริงสูงสุด อันติมะ Ultimate Reality อันเป็นพื้นฐานที่มาของความจริงอื่นๆ
1. สสารนิยม Materialism
- นักปรัชญาสมัยเก่า
- เชื่อว่าความจริงสูงสุดคือวัตถุ
- เป็นเอกนิยม Monism ปรากฏการณ์ของสสารเท่านั้นที่เป็นจริง
- วิวัฒนาการมาจากปรัชญากรีกโบราณ เป็นจุดเริ่มต้นของปรัชญาตะวันตก
- นักปรัชญารุ่นแรกมีทัศนะแบบสสารนิยม
- เกิดปัญหาเรื่องปฐมธาตุ ธาเลสเป็นผู้แรกที่ตอบคำถามดังกล่าว (การแยกออกจากแนวคิดทางศาสนาครั้งแรก)
- ศาสนาและปรัชญาแยกออกจากกัน
- มนุษย์สามารถอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติได้โดยไม่ต้องอ้างถึงเทพเจ้า
- การอธิบายธรรมชาติได้ต้องรู้ถึงกฎของธรรมชาติ จะรู้กฎของธรรมชาติได้ต้องรู้จักปฐมธาตุเสียก่อน
- นักปรัชญาสมัยใหม่
- โธมัส ฮ๊อบส์ (นักจักรกลนิยม) นำเอาทฤษฎีอะตอมของเดโมคริตุส มาพัฒนามนุษย์คิด ทำ ตามการสั่งงานของสมอง ไม่ใช่จิต เพราะสมองเป็นวัตถุ
- คาล มาร์กซ์ (นักปรัชญาเยอรมัน) เป็นต้นกำเนิดลัทธิคอมมิวนิสต์ ในปัจจุบัน วางตัวให้ขัดแย้งเพื่อจะได้หาทางประนีประนอมเพื่อส่วนรวมจะได้ก้าวหน้า
- ให้กำเนิดลัทธิ Marxism ภายหลังเกิดเป็น Communism
- แนวคิดนี้ปรากฏในตะวันออกที่ลัทธิจารวาก
แนวความคิดด้านการศึกษา ของสสารนิยม/วัตถุนิยม
เมื่อนำมาใช้กับการศึกษา ว่า การศึกษาคือการค้นให้พบธรรมชาติของเอกัตบุคคล และนำออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนตัวและส่วนรวม
โรงเรียน เป็นสถานที่ที่มีสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติ มีลักษณะเป็นหุ่นจำลองของสังคมปัจจุบัน เน้นความใกล้เคียงธรรมชาติ เน้นประสบการณ์ตรง การเรียนรู้เกิดจากของจริงให้ผู้เรียนเข้าใจกฎธรรมชาติให้มากที่สุด
วิธีสอน เน้นการตัดสินใจได้ของนักเรียนมากกว่าการจดจำ ผู้สอนอธิบายตามหลักข้อเท็จจริง ไม่แสดงความเห็นของตนเองเพิ่มเติม (ไม่ครอบงำทางความคิด) วิธีที่ดีที่สุดคือวิธีสอนที่ไม่ได้ยึดถือรูปแบบตายตัว ครูต้องเชื่อมั่นในกระบวนวิชาที่ตนเองสอน เนื้อหาต้องมีภาพแจ่มแจ้ง ชัดเจนและมีประโยชน์กับผู้เรียนโดยสาธิตให้เห็นเป็นรูปธรรม เช่นการสังเกตจากของจริง จากสภาวะตามธรรมชาติ (ทัศนศึกษา,วีดีทัศน์ฯลฯ)
ผู้เรียน คือสิ่งมีชีวิต ซึ่งประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ ที่มีความสามารถในการรับรู้ได้ด้วยตนเอง เสรีภาพของนักเรียนย่อมมีอยู่ภายในขอบเขตแห่งกฎธรรมชาติ สนับสนุนให้เด็กมีวินัยในตนเอง ซึ่งการสร้างวินัยจะต้องสอดคล้องกับกฎของธรรมชาติ
ไม่สนับสนุนการทำโทษให้เจ็บกาย ควรปล่อยให้ถูกลงโทษตามธรรมชาติ (ผลการเรียนตกต่ำ, ส่งงานไม่ทันฯลฯ) มากกว่าการทรมานทางจิตใจและร่างกาย (การตี,การดุด่าให้เกิดความอับอาย) แต่การลงโทษนั้นต้องให้ผู้เรียนได้คิดเองว่าเกิดผลเสียกับตนอย่างไร
ทฤษฎีการเรียนรู้ การเรียนรู้ที่แท้จริงจะต้องอาศัยของจริง (ประสบการณ์ตรง) และจะต้องเป็นการเรียนรู้ที่มีลักษณะเป็นความจริงที่สามารถสังเกตเห็นได้ (Observable Knowledge) โดยการเรียนรู้นั้นต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้โดยประสาทสัมผัส อาศัยสถานการณ์จริงและอาศัยอุปกรณ์การสอน และมีการนำเอาทฤษฎีจิตวิทยามาเป็นหลักในการดำเนินการเรียนการสอน
โดยมีการกำหนดเป้าหมายทางการศึกษาเพื่อให้เด็กมีความสามารถทางวิทยาศาตร์ พร้อมทั้งส่งเสริมเทคนิคต่างๆในการสอน มีการฝึกอบรมทำงานและสร้างการใช้ชีวิตให้มีความสุข เน้นให้เด็กสามารถเข้าใจสังคมของมนุษย์ ธรรมชาติของมนุษย์และความเป็นไปของสถาบันต่างๆ (สถาบันครอบครัว การศึกษา ฯลฯ)
- ฝึกให้เด็กมีทักษะ ศิลปะและหัตถกรรม เพื่อพัฒนาการด้านอารมณ์ สังคมทางกายให้มีพัฒนาการรอบด้าน
- พวกวัตถุนิยมไม่ต้องการบุคคลที่เรียนเก่งเท่านั้น แต่ต้องการส่งเสริมให้คนเป็นคนที่เหมาะกับทุกอาชีพ คือเด็กสามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้
- พวกวัตถุนิยมไม่ยอมรับในสิ่งใดๆที่มิได้ผ่านการทดสอบ การสังเกตและการทดลอง
2. จิตนิยม (Idealism)
เป็นลัทธิที่ถือว่าความจริงแท้หรือความจริงสูงสุด จิตนิยมถือเป็นอสสารซึ่งมีอยู่ นิรันดร์ไม่เปลี่ยนแปลง มีวิวัฒนาการมาจากปรัชญาสมัยกรีกโบราณเช่นเดียวกัน แต่เกิดภายหลังสสารนิยม จิตนิยมเพียวๆไม่เด็นชัดเท่าตะวันออก
พาร์มีนิดีส Parmenides ได้คิดเรื่อง สัตและอสัตขึ้น (สิ่งที่เป็นจริงสูงสุด) โลกแห่งวัตถุเป็นผัสสะเป็นภาพมายา ไม่จริงเป็นอสัต สัตเท่านั้นที่เป็นจริง
ความแตกต่างระหว่างผัสสะและเหตุผล ความแตกต่างระหว่างการหาความจริงทางประสาทสัมผัสและด้านความคิด
พาร์มีดินีสเน้นว่าความจริงมีอยู่ในเหตุผลเท่านั้น เป็นการเริ่มต้นขั้นพื้นฐานของจิตนิยม แต่ความความคิดของพาร์มีดินีสเป็นทั้งจิต (สัต) มากกว่า สสารนิยม (อสัต)
ต่อมาเพลโตรับเอาจิตนิยมไปพัฒนา เอ็มพีโคดลีสและเดโมคริตุสรับเอาแนวคิดเรื่องสสารนิยมไปพัฒนา
เพลโตเป็นบิดาแห่งจิตนิยม เพราะสร้างทฤษฎีแบบ Form เป็นความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลง และได้แบ่งจักรวาลออกเป็น 2 ส่วนคือ
1. สิ่งที่จับต้องไม่ได้เรียกว่า อสสาร หรือแบบ หมายถึงลักษณะกลางของสิ่งหลายสิ่งที่มีร่วมกัน เช่น นายดำ นางแดง ยายมา ทั้งสามสิ่งล้วนมีร่างกายเป็นวัตถุ มีลักษณะเหมือนกันคือ เป็นมนุษย์
นักปรัชญาสมัยใหม่ (จิตนิยม)
เฮเกล Hegel นักปรัชญาชาวเยอรมัน แนวคิดที่เรียกว่า สัมบูรณ์นิยม Absolutism อันมีธรรมชาติเป็นจิต เพราะเชื่อว่ามนุษย์สามารถรู้ความจริงได้โดยอาศัยเหตุผล หรือวิธีทางตรรกวิทยา (Logic)
คาร์มาร์ก (Karl Marx) นำทฤษฎีของเฮเกลไปสร้างเป็นทฤษฎีใหม่ขึ้นอีกมากมายที่เน้นเป็นทฤษฎีทางวัตถุ ซึ่งเป็นทฤษฎีทางเศรษฐกิจและสังคม (ทฤษฎีวิภาษทางวัตถุ)
จิตนิยมกับการศึกษา
แนวคิดทางจิตนิยมได้ถูกนำมาใช้ในด้านการจัดหลักสูตร โดย
- จัดเนื้อหาวิชาที่มีลักษณะเป็นจินตนาการและสัญลักษณ์ ซึ่งได้แก่คณิตศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ภาษาวรรณคดี ปรัชญาสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง
- เนื้อหาวิชาที่เรียนรู้โดยผัสสะ เป็นวิชาที่สำคัญรองลงมา (วิทยาศาสตร์)
- เนื้อหาที่อยู่ในระดับต่ำที่สุด วิชาที่อาศัยเทคนิคการเรียนรู้โดยการปฏิบัติด้วยมือ เช่น งานฝีมือ คหกรรมศาสตร์ ช่าง เพราะอาศัยความรู้น้อย
- ในทางกลับกันหากเป็นพวกสสารนิยมจะเน้นที่วิทยาศาสตร์เป็นหลัก และในระดับต่ำคือด้านจินตนาการ
3. ธรรมชาตินิยม Naturalism
บางครั้งเรียกว่าปรัชญาสัจจนิยม โลกประกอบไปด้วย "สิ่งธรรมชาติ" ธรรมชาติมีการเกิดและดับ ธรรมชาติทุกสิ่งดำรงอยู่ในระบบ อวกาศ-เวลา และในระบบที่ทุกสิ่งเป็นไปตามสาเหตุ
พระเจ้าไม่ใช่สิ่งธรรมชาติ พระเจ้าจึงไม่มีจริงตามทัศนะของธรรมชาตินิยม
โลกแห่งความเป็นจริงของธรรมชาตินิยมและสสารนิยมคล้ายกันคือ "สสาร" ทุกชนิดต้องอยู่ในระบบของกาลเวลา
อ้างอิงจาก http://www.hrd.ru.ac.th/TotalSubject/EF603_4.html
ความคิดเห็น