คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : +Bloodmoon+ 3 : เจอกัน.. อีกครั้ง [100%]
-3-
‘แม่ครับ..’ เด็กชายวัยสิบขวบเอ่ยพร้อมสะอื้น พยายามเอื้อมมือไปจับมือมารดาของตน
‘หนีไปเร็วลูก.. ไป’ มารดาเอ่ยด้วยน้ำเสียงขาดๆหายๆ เธอส่งยิ้มให้ลูกกชายอย่างอ่อนโยนเพื่อปลอบขวัญ เด็กชายส่ายหน้า
‘ฮึก.. ไม่เอา.. แม่ต้องไปด้วย’
โครม!!
สองแม่ลูกหันขวับไปทางต้นเสียงอย่างตกใจ เด็กชายพยายามใช้แรงอันน้อยนิดของตนเพื่อดึงแม่ของเขาที่ติดอยู่ใต้ตู้เสื้อผ้าเกือบครึ่งตัว เขาออกแรกมากขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคนกลุ่มนึงค่อยๆใกล้เข้ามาเรื่อย ผู้เป็นมารดามองใบหน้าของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนพลางยกมือขึ้นลูบใบหน้าของเด็กชายอย่างแผ่วเบา..
‘แม่รักลูกนะ.. มาร์ค’ เมื่อรู้ว่าตนคงไม่สามารถหนีรอดออกไปได้ ผู้เป็นแม่เอ่ยประโยคสุดท้ายก่อนใช้พลังเฮือกสุดท้ายผลักตัวลูกชายของตนกระเด็นออกไปกระแทกกับกระจกจนแตก
เพล้ง!!
เด็กชายพยายามยันตัวลุกขึ้นแต่ทำไม่ได้ เขาได้แต่นอนมองสภาพบ้านที่เริ่มถูกไฟไหม้ไปที่ละน้อย พร้อมกับภาพของแม่ที่กำลังถูกคนกลุ่มนึงฆ่าอย่างไม่ใยดี
‘แม่..!!’
เฮือก..!!
ร่างสูงสะดุ้งตื่น เม็ดเหงื่อผุดขึ้นตามใบหน้าหล่อเหลาราวรูปสลัก นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มที่บัดนี้กลับกลายเป็นสีแดงฉานไหววูบฉายแววตื่นกลัวและตกใจอยู่ไม่น้อย เสียงหอยหายใจดังขึ้นภายในห้องนอนหรูที่ตกแต่งอย่างดี ชายหนุ่มพยายามตั้งสติ เขากวาดสายตามองไปรอบห้อง
.. แค่ฝันสินะ.. เขาคิด
ชายหนุ่มหลับตาลงเพียงชั่วครู่ก่อนนัยน์ตาสีแดงคู่นั้นจะกลับเป็นสีเดิม เขาย้ายตัวเองลงจากเตียงขนาดคิงส์ไซต์เมื่อเหลือบมองนาฬิกาที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง ตอนนี้เป็นเวลาตีห้าแล้ว แม้ว่าเพิ่งจะได้นอนไปเมื่อสามชั่วโมงก่อนและยังคงมีอาการง่วงนอนหลงเหลืออยู่ แต่คงไม่สามารถข่มตาให้หลับได้เมื่อนึกถึงเรื่องที่ตนเองฝัน
เขาฝันแบบนี้ติดต่อกันมาตลอดหลายปี เป็นความจริงที่ถึงแม้มาร์คอยากจะลืมแต่กลับทำไม่ได้เพียงสักครั้ง ทุกครั้งที่ร่างกายอ่อนเพลียมากๆ ฝันนี้มักกลับมาทำร้ายเขาเสมอเมื่อข่มตาหลับ มาร์คเงยหน้ามองตัวเองในกระจก ใบหน้านั้นเรียบเฉย หากแต่ลึกๆดวงตาคู่นั้นกลับฉายความเจ็บปวดออกมาอย่างปิดไม่มิด
หลายครั้งที่เขาพยายามลืม หลายต่อหลายครั้งที่คนรอบตัวมักคอยปลอบโยนและบอกให้ลืมเรื่องร้ายๆนั้นไปซะ แต่มาร์คก็ไม่สามารถเมื่อมีสิ่งหนึ่งที่เป็นความจริง ที่ไม่ว่าจะลบยังไง.. ก็เปล่าประโยชน์
.. ความจริง..
.. ที่เขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้แม่ต้องตาย..
มาร์คพ้นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อนพลางเอื้อมมือไปเปิดก๊อกน้ำ เขาวักน้ำล้างหน้าตนเองทำซ้ำไปซ้ำมาแบบนั้นอยู่หลายรอบ หวังให้น้ำช่วยบรรเทาและหยุดอาการฟุ้งซ่านของเขาลง
ไม่นานมาร์คอาบน้ำและจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย เขาอยู่ในชุดสบายๆ สวมเสื้อเชิร์ตสีขาวพับแขนถึงข้อศอกและกางเกงยีนส์ขายาวสีดำ ชายหนุ่มเดินมาทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาพร้อมกาแฟหนึ่งแก้วในมือ เขายกมันขึ้นดื่มก่อนวางลงบนโต๊ะแล้วหยิบรีโมตมาเปิดโทรทัศน์
RRR~~~~
มาร์คละสายตาจากโทรทัศน์มองสมาร์ตโฟนสีดำข้างตัวอยู่พักหนึ่ง ก่อนหยิบและสไลด์หน้าจอเพื่อรับสาย
“ฮัลโหล” เสียงเรียบกรอกถามปลายสาย
// กว่าจะรับได้นะมึง // ปลายสายตอบกลับ
“โทร.มามีอะไร.. เจบี”
// โทร.หานี้ต้องมีธุระด้วยอ่อวะ // ปลายสายเอ่ยด้วยน้ำเสียงกวนๆ
“งั้นแค่นี้นะ” ว่าจบก็ยกสมาร์ตโฟนออกห่างจากหูเตรียมกดวางสาย
// เฮ้ยยย เดี๋ยวมึง เดี๋ยวๆ ไอ้มาร์คคค กูล้อเล่น // ร่างสูงชะงักมือเล็กน้อยก่อนยกสมาร์ตโฟนเครื่องหรูขึ้นแนบหูเช่นเดิม
“มีอะไร”
// เฮ้อ.. ใจหายใจคว่ำเลยกู..// เจบีถอนหายใจ
“....”
// วันนี้มึงตอนบ่ายๆมึงว่างมั้ย // เจบีถาม มาร์คเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“ว่าง.. ทำไม”
// เออ ดีๆ งั้นวันนี้มึงเข้าไปหาไอ้แจ็คกับกูหน่อย // เจบีเอ่ยพาดพิงถึงเพื่อนอีกคน
“โรง’บาล..?” มาร์คเอ่ยถาม
// เออ มันบอกมีอะไรจะให้ดู // เจบีตอบ มาร์คเงียบไปครู่นึง กำลังใช้ความคิด
“....”
// มึงยังอยู่ดีมั้ยไอ้มาร์ค // เจบีเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่จริงจังนัก
“เจอกันตอนบ่ายล่ะกัน แค่นี้นะ” ว่าจบก็กดตัดสายทันที ไม่รอฟังแม้แต่คำกล่าวลาใดๆของเพื่อนสนิท มาร์คโยนสมาร์ตโฟนไว้ข้างตัวเช่นเดิม
:: Mark Part ::
“ไงมึง” ทันทีที่ผมมาถึงที่นัดหมาย ผมมองไปตามเสียงทักจากเพื่อนตาตี่ที่ยืนเท้าโต๊ะทำงานของแจ็คสันอยู่ก่อนเจ้าตัวจะเบนสายตากลับไปสนใจคอมพิวเตอร์ตรงหน้าต่อ
“มึงมาก็ดีล่ะ.. ไอ้ตี่มึงหลบดิ๊” แจ็คสันเจ้าของห้องพูดพร้อมปัดมือไล่ เจบีเหล่มองอย่างไม่สบอารมณ์แต่ก็ยอมหลบให้ ผมส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจก่อนเดินยืนแทนที่เจบี
“มีอะไรให้ดู” ผมถาม สายตาจับจ้องไปที่หน้าจอ
“นี่เลยมึง..” แจ็คสันชี้ไปที่ภาพวีดีโอภาพหนึ่งซึ่งอยู่ขวาสุด ผมไล่สายตามองตามไปก่อนขมวดคิ้ว
มันให้ผมดูอะไร? ภาพคนยืนพิงเสาเนี่ยนะ..
“อะไรของมึง” ผมถาม
“ก็นี่ไง เนี่ย!!” เพื่อนตัวเตี้ยของผมยังคงชี้ไปที่วีดีโอนั้นเช่นเดิม ผมกรอกตาอย่างเบื่อหน่าย
“คนยืนพิงเสา? แล้วไง.. ถ้าไม่มีอะไรกูกลับล่ะ” ผมพูดก่อนยืดตัวขึ้นตรง เตรียมกลับบ้าน
.. ไร้สาระชะมัด..
“เฮ้ยยยย มึงอย่าเพิ่งมาซื่อบื้อตอนนี้ได้ป่ะ!! หยุดเลยมึง ห้ามกลับ” แจ็คสันพูดเสียงดังพร้อมยื้อแขนผมไว้ คิ้วผมขมวดมากกว่าเก่าด้วยอารมณ์หงุดหงิด มองไปทางเจบีที่ตอนนี้ยืนขำอยู่ข้างๆ
“ฟังมันหน่อยหน่า..” เจ้าตัวเอ่ยบอกพร้อมพยักหน้าขึ้นลง ผมพ้นลมหายใจเล็กน้อยแล้วหันไปมองหน้าแจ็คสัน
“ว่ามา”
“กูรู้มึงกำลังคิดว่ากูให้มึงดูวีดีโออะไรไร้สาระ แต่มึงใจเย็นและฟังสิ่งที่กูจะพูดต่อจากนี้ก่อน..” แจ็คสันเอ่ยเสียงเข้ม น้ำเสียงขี้เล่นในยามปกติหายไปแล้วตอนนี้อยู่ในโหมดจริงจัง
“ไอ้ผู้ชายคนนี้ มันมาแอบดูอยู่หน้าโรง’บาลกูอยู่หลายวันแล้ว เกือบอาทิตย์หนึ่งแล้วมั้ง.. ตอนแรกกูไม่เชื่อก็เลยขอวีดีโอที่บันทึกได้จากกล้องวงจรปิดทุกจุดมาดู กูถึงเห็นว่ามันเป็นความจริงเหมือนที่หัวหน้ายามมาบอกกับกู”
“แล้วไงวะ”
“มันมาเฝ้าที่นี้ทุกๆเย็นเวลาเดิมแต่มาแค่แป๊บเดียวแล้วก็กลับไป กูสงสัย..”
“มึงจะสงสัยทำไม เขาอาจจะมายืนรอใครก็ได้ป่ะวะ” เจบีพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“ตอนแรกกูก็คิดแบบนั้น.. แต่เมื่อวานแทนที่มันจะกลับไปเหมือนทุกทีมันเดินเข้ามาฝากอะไรบางอย่างไว้กับประชาสัมพันธ์ กูเลยไปขอมาดู.. แล้วก็เจอไอ้นี่” แจ็คสันหยิบสมุดเล่มนึงที่วางไว้ข้างตัวยื่นให้ผม ผมรับมาเปิดดู ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยอย่างตกใจ
นี่มัน..
“มึงสงสัยว่าจะเป็น ‘พวกมัน’ ใช่มั้ยแจ็ค..” เจบีเอ่ยเสียงเครียดพลางมองสมุดที่อยู่ในมือของผมอย่างกังวล
“ใช่.. ประเด็นคือถ้ามันรู้ว่าพวกเราอยู่นี่ตั้งแต่แรกทำไมถึงเพิ่งลงมือเอาป่านนี้”
“เจอแล้วสินะ..” ผมพึมพำเบาๆ แจ็คสันและเจบีหันมามองผมทันที ผมเงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อนทั้งสอง
“มาร์ค.. มึงคงไม่ได้หมายถึง..” เจบีพูดพร้อมหรี่ตาลง ผมพยักหน้า บรรยากาศในห้องตึงเครียดขึ้นฉับพลัน
มันเข้าใจถูกแล้ว..
ประวัติศาสตร์.. กำลังจะซ้ำร้อยเดิม
.. อีกครั้ง..
:: Bambam Part ::
“โอ๊ยยยย เหนื่อยชะมัด” ผมบ่นเสียงดังไปพลางนวดแขนตัวเอง ให้ตายเถอะนี่ตั้งแต่เช้าผมยังไม่ได้พักเลยนะ เข้าวอร์ดนู้น ออกวอร์ดนี้ ไหนจะห้องผ่าตัดอีก จะบ้าตาย
“เอาหน่า ก็แค่วันนี้นั้นแหละ” ยองแจพูดปลอบใจผมก่อนเดินเลี่ยงไปซื้อกาแฟ ส่วนผมก็เดินกลับห้องพัก.. อยากนอนแล้วววววว
“แบม!!” ผมหันไปตามเสียงเรียกก่อนพบกับเพื่อนตัวสูงกำลังโบกไม้โบกมือแล้ววิ่งมาหาผม
“ไม่ต้องรีบขนาดนี้ก็ได้นะ คิม ยูคยอม” ผมพูดยิ้มๆ มองเพื่อนตัวสูงที่ตอนนี้กำลังหอบแฮ่ก เจ้าตัวเงยหน้าขึ้นมามองผมแล้วส่งยิ้มให้
“ก็กลัวตามแกไม่ทันอ่ะ แล้วยองแจล่ะ” ยูคยอมถามหาเพื่อนอีกคน
“ไปซื้อกาแฟนู้นนนนนน” ผมพูดพลางพยักพเยิดไปทางร้านกาแฟที่เพิ่งเดินผ่านมาได้ไม่ไกล ยูคยอมพยักหน้า
“เออนี่!! วันเสาร์นี้ว่างป่ะ” ยูคยอมถามพร้อมยิ้มกว้าง ผมเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างแปลกใจ
“ก็.. น่าจะมั้ง” เพื่อนตัวสูงเบ้ปากเล็กน้อยอย่างไม่พอใจเมื่อได้ยินคำตอบ
เอ้า.. ก็คนมันไม่แน่ใจป่ะวะ..
“ขอคำตอบชัวร์ๆได้ม่ะ”
“บอกมาก่อนดิว่ามีไร” ผมตอบพร้อมยักคิ้วให้อย่างกวนๆ ดูมันทำหน้า หน้ามันตอนเอือมโลกนี่โคตรฮาอ่ะ หน้าอย่างมึน
“วันเสาร์นี้มีงานเลี้ยงเปิดโรงแรมใหม่ของพี่เราอ่ะ” ยูคยอมพูดพลางล้วงมือไว้ในกระเป๋าเสื้อกาวน์ด้วยท่าทีสบายๆ
“แล้ว..?”
“เราก็เลยจะมาชวนแบมกับยองแจไปด้วยไง”
“เรื่องอะไรเราต้องไปด้วยอ่ะ น่าเบื่อออก” ผมบอกปัดทันที ไม่เอาหรอก ให้ไปงานเลี้ยงที่มีแต่พวกผู้ใหญ่แก่ๆ ชอบทำตัวอวดรวยกันแบบนั้นอ่ะ ไม่เอาหรอก
แล้วอีกอย่างนะ ผมไม่รู้จักพี่ชายมันสักหน่อย
ไม่ต้องสงสัยกันหรอกนะ ว่าทำไมผมถึงไม่รู้จักพี่ของยูคยอมทั้งๆที่ก็เป็นเพื่อนกันมานาน อยากจะบอกว่าไม่แปลกเลย เพราะพี่ชายมันอยู่ที่อเมริกา คอยดูแลบริหารงานอยู่ที่นั้น.. ยูคยอมบอกเคยบอกผมตอนที่เราเจอกันแรกๆ
“เถอะหน่า.. ไปเป็นเพื่อนหน่อยดิ เราไม่มีเพื่อนอ่ะ” ผมเหล่มองเพื่อนตัวสูงเกินวัยเล็กน้อย ดูมันทำหน้าทำตา เหมือนจะตายอะไรแบบนั้นถ้าผมกับยองแจไม่ไป
“ก็พี่แกไง ใครบอกไม่มี”
“พี่มันก็ต้องคอยรับแขกป่ะวะ แล้วเราก็ไม่รู้จักใครแล้วด้วย ในงานมีแต่พวกหุ้นส่วนพี่ทั้งนั้นอ่ะ” ยูคยอมเบ้ปาก
“งั้นก็บอกพี่แกดิ ว่าไม่อยากไป” ผมยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ไม่อยากไปก็แค่บอกปฏิเสธไปตามตรงมันจะไปยากอะไรจริงมั้ย
“บอกแล้ว.. แต่พี่บังคับ” อันนี้ก็ช่วยไม่ได้ล่ะครับเพื่อนยูค
“ไม่รู้อ่ะยังไงก็ไม่ไป” ผมโบกมือปฏิเสธ
“Please~~~ Bambam!!” ไม่ต้องมาทำสายตาออดอ้อนเลย แล้วนั่นอะไร ไอ้ท่าทางสะดิ้งเหมือนผู้หญิงนั่นอะไรครับเพื่อน
“No-way!!” ผมพูดพร้อมแกะมือของยูคยอมที่เกาะแขนผมออก มือคนหรือตุ๊กแกเนี่ย เกาะแน่นไปนะ
“ไม่ไปจริงๆอ่อวะ มีของกินอร่อยๆเพียบเลยนะเว่ย” ผมหรี่ตามองยูคยอมเล็กน้อย อย่าคิดจะเอาของกินมาล่อพี่กันต์ บอกเลยไม่ได้ผลหรอกนะ
“กูเห็นแก่กินขนาดนั้นเลย” สรรพนามที่ใช้เรียกเริ่มเปลี่ยน ผมยกมือกอดอกพลางเลิกคิ้ว
“แกพูดเองนะ.. ไปเหอะๆ นะๆๆๆ พลีสสสสส แค่งานนี้งานเดียวจริงๆ” ยูคยอมยังคงไม่ละความพยายามแต่อย่างใด ผมมองหน้ามันอยู่พักใหญ่ก่อนพยักหน้าอย่างจำนน
“เออๆ ไปก็ไป แค่งานนี้นะ”
“ดีมากเลยเพื่อน! งั้นไปชวนยองแจก่อนนะ” พูดจบมันเดิน ไม่สิ.. วิ่งไปหายองแจทันที ให้ตายสิ.. นี่คิดถูกมั้ยเนี่ยที่ตอบตกลง
ภายในงานเลี้ยงเปิดตัวโรงแรมในเครือMT. เต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ทั้งเหล่าคุณผู้หญิงสูงศักดิ์ที่พากันสวมแดรสยาวแสนสวยพร้อมเครื่องเพชรแสนแพงมาประชันกัน และเหล่าคุณผู้ชายที่มีทั้งบรรดานักธุรกิจ เจ้าของโรงแรมชื่อดัง เจ้าของธนาคาร ฯลฯ ที่แม้ไม่ได้ขนเครื่องเพชรมาประชันกันเช่นหญิงสาวแต่กลับสรรหาเรื่องราวของธุรกิจของตนมาพูดเพื่อข่มอีกฝ่ายกันราวกับจงใจ
งานเลี้ยง.. มันก็แค่งานสวมหน้าเข้าหากันดีๆเท่านั้นแหละ
มาร์คมองแขกที่เริ่มทยอยเข้ามาในห้องโถงมากขึ้นอย่างว่างเปล่า ความจริงแล้วเขาไม่ได้อยากจัดงานเลี้ยงอะไรนี้เลยแม้แต่น้อย เพราะด้วยนิสัยส่วนตัวที่ไม่ชอบอยู่ท่ามกลางคนเยอะและการต้องมานั่งฟังพวกคนแก่บ่นเรื่องธุรกิจไร้สาระ ถ้าไม่ติดว่าผู้เป็นพ่อขอร้องมา มาร์คคงไม่ทำหรอก
“พี่! เหม่ออะไรอยู่”
มาร์คละสายตาจากผู้คนด้านล่างหันกลับไปมองตามเสียงเรียก ก่อนพบว่าเป็นเจ้าน้องชายตัวดีของเขาเอง มายืนอยู่ข้างๆตอนไหนกันนะ
“เปล่า” ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบตามนิสัย
“เปล่าอะไรล่ะ ผมเรียกพี่ตั้งหลายรอบ” คนเป็นน้องชายเอ่ย ผมสีชมพูที่เกิดจากการย้อมถูกเสยขึ้นไปอย่างลวกๆ
“มีอะไรก็พูดมา” ยูคยอมหัวเราะออกมาน้อยๆกับท่าทีที่ไม่ค่อยสบอารมณ์ของพี่ชายต่างมารดา
“ก็เดี๋ยวสักพักผมจะออกไปรับเพื่อนผมนะ.. ไม่ต้องมองแบบนั้นเลยพี่ งานพี่ พี่ก็ต้อนรับเองดิ” ยูคยอมพูดพร้อมชี้นิ้วไปทางพี่ชายเป็นเชิงบอกให้หยุด
“ก็.. เออๆ ก็ได้วะ” มาร์คถอนหายใจเล็กน้อย ตอนแรกหวังจะให้น้องชายช่วยเป็นคนรับแขกแทนให้สักหน่อย ช่วยไม่ได้ล่ะนะ
“เพื่อนที่พูดถึงเป็นเพื่อนที่โรงพยาบาลเหรอ” มาร์คถามก่อนเดินไปหยิบเสื้อสูทที่วางพาดไว้กับเก้าอี้ขึ้นมาสวมเตรียมตัวลงไปรับแขก
“ใช่พี่ ทั้งสองคนเลย” ยูคยอมพูดพร้อมเดินตามคนเป็นพี่ไปที่ลิฟท์ เพียงไม่นานประตูลิฟท์ก็เปิดออก มาร์คก้าวเข้าไปก่อน ตามด้วยยูคยอม
ตึง
ประตูลิฟท์เปิดออกอีกครั้ง พร้อมร่างของมาร์คเดินออกมาจากลิฟท์อย่างองอาจ ร่างสูงจัดสูทให้เข้าที่เล็กน้อย
“งั้นเดี๋ยวเจอกันนะพี่” มาร์คมองหน้าน้องชายที่ยิ้มส่งให้อย่างกวนๆก่อนประตูลิฟท์จะปิดลง
“เชิญครับ คุณชาย” หนึ่งในบอดี้การ์ดคนสนิทเอ่ยขึ้นพร้อมผายมือออกด้านหน้า มาร์คพยักหน้ารับรู้ก่อนเดินเข้างานพร้อมบอดี้การ์ดอีกสี่คนเดินตามหลัง
ทางด้านยูคยอมที่มายืนรอรับเพื่อนสนิทอยู่หน้าล็อบบี้ของโรงแรม กำลังชะเง้อคอมองไปทางหน้าประตูสลับกับมองนาฬิกาข้อมือเรือนสวย คิ้วหนาที่ขมวดมุ่นมานานคลายออกในทันทีเมื่อเงยหน้าเห็นเพื่อนของตนกำลังเดินเข้ามา
“มาช้าจังวะ”
“รถมันติดป่ะ คิมยูค” แบมแบมตอบกลับ
ทั้งสามคนพากันเดินไปกันขึ้นลิฟท์ เมื่อถึงชั้นที่ต้องการ ยูคยอมเป็นฝ่ายเดินนำเพื่อนทั้งสองด้วยท่าทีสบายๆ หยุดทักทายแขกบางคนที่เดินออกมาจากงานบ้าง ผิดกับแบมแบมและยองแจ แม้ว่าแบมจะไม่ได้แสดงท่าทางที่ดูตื่นเต้นเท่าเพื่อนสนิทข้างตัว ที่ตอนนี้เอาแต่เดินกุมมือของตนอยู่
“ยองแจ แกจะตื่นเต้นอะไรนักหนา” เพื่อนร่างสูงหันมาถาม
“ไม่รู้เว้ย ก็มันตื่นเต้นอ่ะทำไงได้” ยองแจตอบกลับไปด้วยเสียงที่ดังเล็กน้อย ยูคยอมขำ
“ทำตัวสบายๆเหอะ ไม่มีไรหรอกน่า” ยูคยอมเอ่ยพร้อมกอดคอเพื่อนร่างอวบของตนอย่างอารมณ์ดี
“ฉันไม่ใช่นายนะ..”
“ฮ่ะๆๆ”
“แบม.. แกไม่ตื่นเต้นอ่อ” ยองแจหันมาถามเพื่อนร่างบางที่ยืนมองรอบๆตัวอย่างสนใจ
“อ่า.. ก็นิดหน่อย”
เมื่อเข้ามาในตัวงาน ยูคยอมตัดสินใจพาเพื่อนของตนที่โซนอาหาร ซึ่งจัดวางอย่างสวยงามและเป็นระเบียบร้อยไว้แล้ว งานเลี้ยงนี้จัดแบบค็อกเทล เพื่อความสะดวกในการพบปะและพูดคุย อีกทั้งยังมีอาหารให้เลือกรับประทานหลากหลาย
“โหยย น่ากินทั้งนั่นเลยอ่ะ” ยองแจพูดตาเป็นประกาย มองไปทางนู้นที ทางนี้ทีอย่างสนอกสนใจ แบมแบมเองก็ไม่ต่างกัน เขามองอาหารมากมายที่ถูกจัดเรียงบนชั้นวางอย่างสวยงาม
“เอ่อ.. พวกแกรออยู่แถวนี้ หาอะไรกินไปก่อนแล้วกันนะ เดี๋ยวฉันมา” ยูคยอมเอ่ยบอกพร้อมเก็บสมาร์ตโฟนเครื่องสวยลงในกระเป๋าสูท แบมแบมพยักหน้าตอบกลับ ก่อนหันกลับมาสนใจอาหารตรงหน้าต่อ ร่างบางเดินไปหยิบจานใบเล็กมาก่อนเลือกตักอาหารที่ตนชอบใส่จานอย่างคล่องแคล่ว ด้านยองแจที่ตักเสร็จแล้วยืนรอแบมอยู่ข้างๆกัน เมื่อแบมตักเสร็จ พวกเขาจึงเดินไปทางมุมเพื่อยืนรับประทานอาหารได้อย่างสะดวกและไม่ขวางทางเดิน
“นายรออยู่ตรงนี้ก่อนนะยองแจ เราไปเข้าห้องน้ำแป็ปนึง” ยองแจพยักหน้ารับรู้สองสามที ก่อนหันไปสนใจของกินตรงหน้าต่อ ส่วนแบมแบมหันไปวางจานไว้ที่โต๊ะที่จัดเตรียมไว้ให้สำหรับจานที่ทานเสร็จแล้ว ก่อนค่อยๆแทรกตัวเดินออกจากงาน
“เฮ้อ.. คนเยอะชะมัด” ร่างบางลอบถอนใจเมื่อออกมาจากฝูงชนนับร้อย แบมแบมเดินไปตามทางเรื่อยๆ สายตาสอดส่องหาป้ายบอกทางไปห้องน้ำ แต่ก็เพราะมั่วแต่มองหาป้ายทำให้ร่างของแบมแบมไปชนเข้ากับใครคนหนึ่งเข้าอย่างจัง
ผลัก!!
“อ๊ะ!!” ร่างบางร้องออกมาอย่างตกใจ แบมแบมหลับตาปี๋เตรียมรับความเจ็บเพราะคิดว่าตัวเองต้องล้มแน่ๆ
หมับ!!
แต่ร่างสูงกว่าของคนที่แบมแบมชนนั้นมีสติและมือไวกว่า เขาพยุงร่างของแบมไม่ให้ล้มลงด้วยการให้แขนแกร่งทั้งสองดึงแบมแบมเข้ามาประชิดตัวจนหน้าของร่างบางฝังเข้ากับอกของตนพอดี เขาก้มลงมองเสี้ยวหน้าของคนต้นเหตุที่ตอนนี้กำลังหลับตาปี๋พร้อมเม้มปากเน้น ร่างสูงยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยอย่างนึกขันเมื่อพบว่าคนที่ตนกำลังกอดอยู่ตอนนี้คือคนคนเดียวกันที่เจอที่โรงพยาบาลครั้งนั้น
“ลืมตาได้แล้ว” เสียงทุ้มพราวเสน่ห์เอ่ยบอกอีกคนอย่างแผ่วเบา แบมแบมชั่งใจอยู่พักนึงก่อนค่อยๆลืมตาขึ้นหนึ่งข้างอย่างหวาดๆ เมื่อพบว่าตัวเองไม่ได้ล้มไปนอนจับกบอยู่บนพื้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“คุณ..” แบมแบมเงยหน้าขึ้นหวังจะเอ่ยขอบคุณและขอโทษที่ตนเดินไม่ระวัง ดวงตากลมสวยเบิกกว้างขึ้นอย่างแปลกใจเมื่อพบว่าคนที่ตนชนไม่ใช่ใคร แต่เป็นร่างสูงเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเข้มนั้นเอง
“เดินไม่มองทางเหมือนเดิมเลยนะ” มาร์คว่าเสียงเรียบ เขาจำเด็กคนนี้ได้ นักศึกษาแพทย์ที่ชื่อแบมแบม คนที่เดินมาชนเขาวันนั้นและเป็นคนเดียวกันกับคนที่เขาเก็บบัตรประจำตัวของอีกคนไปคืนให้กับนางพยาบาลที่เคาน์เตอร์
คนที่มองแค่ครั้งแรก.. ก็รู้สึกว่าน่าสนใจ
“เอ่อ.. คือ” ร่างสูงเลิกคิ้วขึ้น เขาสังเกตได้ว่าคนในอ้อมแขนกำลังหน้าแดงแม้ว่าเจ้าตัวจะพยายามก้มหน้าซ่อนไว้ก็เถอะ มาร์คยิ้มกับตัวเองในใจก่อนจะยอมปล่อยร่างบางให้เป็นอิสระ แม้ในใจอยากจะแกล้งก็ตาม
“ข.. ขอบคุณนะครับ” แบมแบมเอ่ยขอบคุณพลางก้มหน้าหลบสายตาของคนตัวสูงกว่าที่กำลังมองมา ให้ตายเถอะ น่าอายชะมัดเลยแบมแบมเอ๊ย
“ไม่เป็นไร คราวหน้าก็อย่าไปชนใครเขาอีกล่ะ” มาร์คพูดพร้อมมองคนตัวเล็กกว่าที่พยายามหลบสายตาเขาอยู่อย่างพิจารณา ดูก็รู้ว่าร่างเล็กตรงหน้าคงมางานเลี้ยงของเขาแน่นอนเพราะวันนี้ในโรงแรมไม่มีการจัดงานหรืออีเว้นท์อื่นๆ แต่มากับใครกันล่ะ? หรือจะเป็นเพื่อนที่ยูคยอม น้องชายตัวดีของเขาพูดถึงตอนเริ่มงาน
“คะ.. ครับ” ร่างบางพยักหน้าหงึกหงัก
“คุณชายครับ” มาร์คหันไปมองบอดี้การ์ดคนสนิทเป็นเชิงถามว่ามีอะไร แบมแบมเองก็เงยหน้าขึ้นมามองอย่างสงสัย เขาเห็นชายชุดดำกระซิบอะไรสักอย่างกับร่างสูงก่อนถอยกลับไปยืนที่เดิม
“ทำธุระของนายเสร็จแล้วก็รีบกลับเข้างานไปซะ เด็กน้อย” มาร์คหันมาพูดกับแบมแบมเสียงเรียบแต่กลับแฝงไปด้วยความน่าเกรงขาม ก่อนเดินผ่านร่างบางของแบมแบมไปพร้อมกับบอดี้การ์ดอีกสองสามคน
“ฉันไม่น่าอนุญาตให้นายพามาจริงๆเลย ยูคยอม” ร่างสูงพึมพำเบาๆกับตัวเอง แต่นั้นก็ไม่สามารถรอดพ้นคนหูดีมากอย่างแบมแบมไปได้ ร่างบางหันกลับมามองร่างของมาร์คที่ตอนนี้เดินไปไกลมากแล้วอย่างนึกฉงน เกี่ยวอะไรกับยูคยอมกัน.. แบมแบมคิด ก่อนรีบสาวเท้าไปทำธุระส่วนตัวของเองอย่างรวดเร็ว เมื่อนึกถึงคำพูดของร่างสูงที่เอ่ยกับตน เขารู้ว่ามันเป็นคำเตือน ส่วนจะเตือนเรื่องอะไรนั้น แบมแบมไม่อาจรู้ได้ รู้แต่เพียงว่าตอนนี้เขาสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่สิ่งแปลก และชวนให้รู้สึกแย่ตั้งแต่แยกกับร่างสูงได้ไม่นาน
“ความรู้สึกนี้.. มันคืออะไรกัน”
..............................................................................................................
เดี๋ยวรีบมาต่อให้นะ
ขอโทษด้วยที่เราหายไปนาน ยุ่งทำพอตอยู่อ่าาาาา
................................................................................................................
มาต่อให้แล้วจ้าาาาา ขอโทษที่มาช้านะ เหตุผลก็ตามที่เราแจ้งไปแล้ว จะพยายามมาอัพบ่อยๆ ถ้าทำได้TT
แบมรู้สึกอะไรกันแน่นะ? ถ้าสงสัยก็ติดตามตอนต่อไป55555
อีกเรื่องๆๆ ฟิคเรื่องนี้มีแท็กแล้วนะจ๊ะ >>>> #BM9397
ว่างๆเข้าไปเยี่ยมกันในแท็กได้นะะะะะ
ความคิดเห็น