สาระน่ารู้เกี่ยวกับวิตามิน

ลำดับตอนที่ #6 : วิตามินซี

 วิตามินซี

ช่วยคอลลาเจนรวมตัวกันได้ดี

ความเป็นมา

ค.ศ.1928 Szent-Gyorgyi แยกวิตามินนี้ได้จาก ต่อมอดรีนัล และส้ม

ค.ศ.1932 Glennking C แยกได้จากมะนาว
และพบว่ารักษาหนูตะเภาที่เป็นโรคลักปิดลักเปิดได้

ค.ศ.1933 Howarth และ Reichstein รู้สูตรโครงสร้าง และสังเคราะห์ได้

วิตามิน ซี ในอาหารมี 2 รูปแบบ
ซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทั้ง 2 ชนิด
คือ ascorbic acid และ dehydroascorbic acid
แหล่งของวิตามินซี
อยู่ในพืช ผัก ผลไม้ ที่มี รสเปรี้ยว
วิตามิน ซี เป็นสารที่สลายตัวง่ายเมื่อมีความร้อน โลหะหนัก
และ ascorbic oxidase enzyme ซึ่งมีอยู่ในผลไม้ 

ประโยชน์

วิตามินซี มีบทบาทกว้างขวางในหลายระบบได้แก่

1. Hydroxylation ของ prolin เพื่อสร้างcollagen ซึ่งเป็นองค์ประกอบของ กระดูก กระดูกอ่อนฟันและผนังเส้นเลือด เป็นต้น

2. การสังเคราะห์ epinephrine และ steriod ที่ต่อมหมวกไต

3. ฤทธิ์ฆ่าเชื้อของเม็ดเลือดขาว

1. เมตาบอลิสมของกรดโฟลิก

2. การปลดปล่อยเหล็กจาก transferrin

3. การ reduce เหล็กจาก ferric เป็นferrous ในกระเพาะอาหาร ช่วยเพิ่มการดูดซึมของเหล็ก

4. การเปลี่ยน phenylalanine เป็น tyrosine

5. antioxidant

อาการขาด

หากร่างกายขาดวิตามินซี ผู้ป่วยจะมีอาการแสดงออกของการมีเลือดออกตามไรฟัน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เหงือกบวม ฟันหลุดง่าย ผู้ป่วยที่มีอาการแสดงของโรคลักกะปิดลักกะเปิด หากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้ตายได้ ทารกที่ขาดวิตามิน ซี จะทำให้ร่างกายไม่เจริญเติบโต มีเลือดออกตามเหงือก และผิวหนัง มีความบกพร่องในการเจริญเติบโตของกระดูก และอาจเป็นโรคโลหิตจางได้

ข้อบ่งใช้

1. โรคเลือดออกตามไรฟัน [Scurvy]

2. เมื่อร่างกายมีความต้องการวิตามิน ซี เพิ่มขึ้น เช่น chronic hemodialysis แผลในกระเพาะอาหาร โรคมะเร็ง เป็นต้น

การใช้ที่ไม่เหมาะสม

การใช้วิตามิน ซี ในการรักษาโรคต่อไปนี้ ยังไม่เป็นที่ยอมรับทางการแพทย์ เช่น โรคมะเร็ง เหงือกอักเสบ โรคติดเชื้อ bleeding ฟันผุ โลหิตจาง สิว เป็นหมัน ชะลอความแก่ หลอดเลือดแข็ง และโรคหวัด