คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ภารกิจที่ 4 ไม่มีทางให้หันหลังกลับ
ภารกิจที่ 4 ไม่มีทางที่จะหันหลังกลับ
ข้าหมุนตัวคิดจะหันหลังวิ่งกลับเข้าประตูนั้นไป แต่ท่าทางมันคงจะสายไปเสียแล้ว เมื่อเจ้าราล์ฟก้าวผ่านประตูมาเป็นคนสุดท้ายพร้อมที่ประตูบานนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่นะ!ทางหนีทางสุดท้ายของข้า จบสิ้นแล้ว อ๊าก!!
"ราล์ฟ เดี๋ยวไปรายงานภารกิจที่ท้องพระโรงด้วยนะ" มอร์กีหันมาสั่งเสียงเฉียบขาด แววตาของเขาดูเจ้าเล่ห์เหมือนจ้องมาทางข้าเหมือนมีแผนอะไรบางอย่างในใจ ราล์ฟคุกเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมกับน้อมตัวรับคำสั่ง
"พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท" และมอร์กีก็เดินจากไป ปล่อยให้ข้าจมอยู่ในห้วงคำนึงอันมืดมิด เมื่อกี้เข้าไม่ได้หูฝาดนะ ราล์ฟเรียกมอร์กีว่าฝ่าบาท แถมยังขานรับด้วยคำราชาศัพท์ ข้าต้องหนี หนีเท่านั้น!
"นั่นเจ้าจะไปไหน ฟีล?" ราล์ฟทักขึ้นเมื่อเห็นข้ากำลังย่องออกไปไกลจากเขามากขึ้นเรื่อยๆ ถามมาได้จะไปไหน ก็หนีน่ะสิเว้ย! ข้าแกล้งหันมาฉีกยิ้มแหยๆให้ครู่หนึ่ง แล้วโกยอ้าวหนีด้วยความเร็วแสง อีแบบนี้ยังไงก็ต้องหนีพ้นแหละน่า
"ทหาร จับตัวผู้หญิงคนนั้นไว้!" สิ้นเสียงคำสั่งของเจ้าราล์ฟ ก็มีขาของใครคนหนึ่งยื่นมาสกัดดาวรุ่งพุ่งแรงจนหน้าข้าทิ่มดิน ละ ลงสวยมาก...จมูกข้าหักแล้วมั้งเนี่ย เจ็บชิบ! ข้าเงยหน้ามองผู้ที่ขัดขวางแผนการชิ่งหนีของข้า ถ้าเกิดข้าต้องกลับไปรับตำแหน่งน่าเบื่อนั้น ข้าจะสั่งให้หมอนี่ต้องมาทนทุกข์ทรมานเป็นเพื่อนข้าแน่ๆ
คนที่ขัดขาข้า เป็นชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนๆยาวถูกกลางหลังถูกมัดรวบไว้ด้วยผ้าสีขาว นัยน์ตาสีช็อกโกแลตส่อแววเย็นชาและหยิ่งทระนง ผิวของเขาขาวสะอาดชวนมอง แต่ไอ้บรรยากาศรอบตัวเนี่ยสิ เย็นขนาดนี้ไม่ทราบว่าไปอยู่ขั้วโกเหนือมารึไง
"ไง กลับมาจากภารกิจแล้วงั้นเหรอ" ราล์ฟที่วิ่งตามมาส่งเสียงทัก ชายผมน้ำตาลเหลือบมองข้าครั้งหนึ่งก่อนจะหันไปมองราล์ฟที่วิ่งมาหยุดอยู่ข้างตัวข้า ที่นอนแผ่หลาอยู่กับพื้นอย่างน่าอนาถใจ
"ข้าเพิ่งกลับจากรางานภารกิจกับท่านหัวหน้าอัศวินสูงสุด" ชายผมน้ำตาลตอบเสียงราบเรียบ เขาหันมามองข้าที่ยังนอนติดอยู่กับพื้นด้วยสายตาสงสัย แต่ก็ไม่พูดอะไร
"งั้นเหรอ แปลว่ารอบนี้เจ้ากลับมาเป็นคนแรกงั้นสินะ" ราล์ฟยิ้ม "หลังๆมานี่รู้สึกเจ้าจะกลับจากภารกิจไวขึ้นนะ ฮิว" คนผมน้ำตาลหันไปมองราล์ฟ น้ำเสียงที่ราล์ฟใช้เหมือนจะหาเรื่องมากกว่าชม อย่าถามว่าทำไมข้าถึงรู้ ข้าเดา
"เจ้าคิดว่าข้าทำงานเอาหน้ารึไง?" คนผมน้ำตาลที่ราล์ฟเรียกว่าฮิว สาดน้ำเสียงเย็นๆใส่ จนขนาดข้าที่นอนฟังยังรู้สึกหนาวสันหลัง แต่ราล์ฟกลับฉีกยิ้มเย็นๆไม่แพ้กันให้เขาแทน
"ข้าเคยพูดแบบนั้นซะเมื่อไหร่กันล่ะ" และราล์ฟก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เย็นไม่แพ้กัน ฮิวมองราล์ฟด้วยสายตาที่ไม่ค่อยจะเชื่อเท่าใดนัก ข้าเหมือนกับเห็นสายฟ้าแลบอยู่รอๆตัวสองคนนี้แฮะ รึว่าพี่ชายคนนี้จะเป็นคู่ปรับของเจ้าราล์ฟมัน?
"ว่าแต่ เจ้าพาผู้หญิงเข้ามาด้วยแบบนี้ คิดจะทำอะไร?" ฮิวถามราล์ฟ แต่สายตาของเขายังคงมองข้าอยู่ และข้าก็ไม่คิดจะเปลี่ยนอิริยาบถไปเป็นอย่างอื่นในตอนนี้ ขนาดนอนอยู่ข้ายังหนาวเลย ขืนเห็นหน้าพี่แกตรงๆ มีหวังข้าคงตัวแข็งแน่
"นั้นมันเรื่องของข้า" ราล์ฟตอบ
"หากเป็นเช่นนั้น ข้าอาจจะต้องรายงานกับหัวหน้าอัศวินว่าเจ้านำคนนอกเข้ามาในเขตพระราชฐานโดยไม่ได้รับอนุญาต" ฮิวว่ากลับไปโดยไม่มองราล์ฟ พี่แกจะจ้องข้าไปถึงเมื่อไหร่กัน ตัวข้าจะกลายเป็นน้ำแข็งอยู่แล้วนะ
"ก็ลองดูสิ ระหว่างรายงานของเจ้ากับรายงานของข้า เรื่องของใครมันจะน่าสนใจกว่ากัน" ราล์ฟยิ้มเจ้าเล่ห์ หมอนี่ต้องมีแผนการอะไรสักอย่างที่ทำให้ข้าได้เดือดร้อนแน่ๆ ฮิวไม่ว่าอะไรแล้วเดินจากไป ปล่อยให้ข้าอยู่กับราล์ฟสองคน ไม่ต้องรอให้ข้าบริการตัวเอง ราล์ฟฉุดแขนข้าให้ลุกขึ้น
"จะนอนไปถึงเมื่อไหร่กัน ลุก!" เขาตะคอก หนอย! ก็เจ้านั่นแหละที่ทำให้ข้าต้องนอนผมอบอยู่แบบนั้นน่ะ แล้วยังมีหน้ามาขึ้นเสียงอะไรข้าอีกเรอะ ไอ้ลาบเป็ดหัวน้ำเงิน! เหมือนราล์ฟจะนึกอะไรออก เขาหันหลังไปตะโกนไล่หลังฮิวโดยที่มือยังจับต้นแขนข้าแน่น
"ภารกิจหลักมันยังไม่จบหรอกนะ ฮิว!!" ฮิวชะงัก แล้วเดินต่อไปอย่างไม่สนใจ ข้าไม่เห็นว่าตอนนี้สายตาของราล์ฟเป็นอย่างไร แต่ข้ารู้คือตอนนี้ ราล์ฟออกแรงบีบต้นแขนข้าจนข้ารู้สึกว่าเจ็บ มันแอบไปกินช้างมาตอนไหนรึเปล่า ทำไมแรงหมอนี่มันถึงได้เยอะขนาดนี้! ราล์ฟออกเดินโดยที่มือข้างหนึ่งก็กระชากข้าให้เดินตามไป ไม่ได้สนว่าข้าจะเจ็บขนาดไหน
"ราล์ฟ ปล่อยข้า" ข้าพูดโดยพยายามซ่อนความเจ็บปวดเอาไว้ไม่ให้แสดงออก เขาหยุดเดินแล้วหันมามองข้า มันเป็นสายตาที่ข้าไม่รู้ว่าราล์ฟต้องการสื่ออะไร เขาจ้องข้าโดยไม่พูดไม่จาสักพัก ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้ใบหน้าข้าจนห่างกันแค่คืบกว่า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
"ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าแน่ เออร์นาลี ฟีล" แล้วเขาก็กระชากข้าต่อไป เจ็บแขนโว้ย! ได้ยินไหม ข้าเจ็บแขน!! ราล์ฟลากข้ามาในวังหลวงจนสำเร็จ ระหว่างทางเดินไปท้องพระโรงเขาก็ยังจับต้นแขนข้าอยู่แบบนั้น ไม่สนใจเลยว่าบรรดานางสนมและคนที่อยู่ภายในวังซุบซิบอะไรกันอย่างไร
'นั่นคาวาเลียร์นี่นา พาใครมาด้วยน่ะ'
'ตายแล้ว! คาเลียร์พาผู้หญิงเข้าวังงั้นเหรอ'
'นั้นหัวหน้าคาวาเลียร์นี่นา ลากใครมาด้วยน่ะ' และอีกสารพัดเสียงที่ข้าได้ยินระหว่างถูกลาก ข้าพยายามจะบอกมันหลายครั้ง แต่เมื่อมีส่งออกจากลำคอ ราล์ฟก็จะออกแรงกระชากข้าจนหน้าจะทิ่มดิน ไปโดนกินรังผึ้งแล้วโดนต่อยมารึไงวะคะ!!
ในที่สุด เราสองคนก็มาจนถึงประตูหน้าท้องพระโรงจนได้ มีนายทวารสองคนเฝ้าประตูนั้นอยู่ เมื่อพวกเขาเห็นราล์ฟก็รีบทำความเคารพโดยทันที พร้อมกับนายทวารฝั่งขวากล่าวเสียงดัง
"หัวหน้าคาวาเลียร์ องค์ราชาทรงมีพระบัญชามาว่าให้ท่านเข้ารายงานเรื่องภารกิจรองที่ได้รับไปทำ รวมถึงความคืบหน้าเรื่องภารกิจหลักด่วนครับ!!" มาบอกตอนเดินมาถึงหน้าท้องพระโรงแบบนี้ หากไม่เดินผ่านมาจริงๆมันจะรู้ไหมเนี่ย ข้าแอบนึกสงสัยอยู่ในใจแต่ไม่กล้าพูดออกไป ราล์ฟขมวดคิ้ว แล้วค่อยๆคลายมือออกจากต้นแขนข้า ข้ารีบสะบัดออกแล้วถลกแขนเสื้อขึ้นดู เยี่ยม! แดงเป็นรอยมืออย่างชัดเลย ร้องเรียนเรื่องโดนหมอนี่ทำร้ายร่างกายได้ไหม หลักฐานคาตาเลย
"ข้าจะเข้าไปรายงานภารกิจ เจ้าสองคนเฝ้าจับตาดูผู้หญิงคนนี้ให้ดี อย่าให้หนีไปไหนได้ หากคิดหนี ให้ประสานกับทหารทุกหน่วยที่อยู่ที่นี่แล้วจับนางซะ บอกว่าเป็นคำสั่งจากข้า" ว่าแล้วเข้าก็เปิดประตูบานใหญ่เข้าไปจากไม่ยากเย็น นายทหารสองคนนั้นขานรับเสียงดัง
ไอ้คำสั่งเมื่อกี้นี้มันอะไร ข้าเป็นเพียงแค่หัวขโมยนะ เป็นหัวขโมยธรรมดาที่เคยเกือบจะถูกมันจับได้ ไม่ใช่จอมโจรชื่อก้องโลก ไม่ใช่โจรห้าร้อยที่ปล้นล้างหมู่บ้าน ไม่ใช่หัวหน้ากบฏที่คิดล้มล้างราชวงศ์ คำสั่งเหมือนพร้อมจะจับตายแบบนั้นน่ะไม่ต้องก็ได้มั้ง
"จะว่าไป ดูหัวหน้าคาวาเลียร์อารมณ์บูดสุดๆเลย ไปมีเรื่องอะไรกับใครมารึเปล่านะ?" นายทวารฝั่งซ้ายพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าราล์ฟเข้าไปข้างในท่องพระโรงเป็นแน่แท้แล้ว
"ถามข้าแล้วข้าจะไปถามใคร ก็ยืนๆอยู่ด้วยกันเนี่ย...รึจะสวนกับคุณฟรีซโกที่เพิ่งจะกลับมาเมื่อกี้นี้" นายทวารฝั่งขวาพูดขึ้น คุณฟรีซโก? คงจะหมายถึงคนชื่อฮิวที่ขัดขาข้าล่ะมั้ง
"ถึงสวนกันก็ไม่เห็นเป็นอะไร ข้าได้ยินข่าวว่าสองคนนั้นสนิทกันจะตาย" นายทวารซ้ายพูดอย่างไม่ต้องคิดทันที ข้าว่าสายข่าวของพี่ชายคงจะรั่วแล้วล่ะ เมื่อกี้ข้ายังเห็นกับตาว่าสองคนนั้นแทบจะฆ่ากันอยู่แล้ว
"พวกหัวหน้าองครักษ์น่ะก็ดูสนิทกันหมดนั้นแหละ แล้วถ้าเป็นแบบนั้นเจ้าคิดว่าหัวหน้าคาวาเลียร์ไปโกรธใครมาล่ะ??" สิ้นคำถาม นายทวารทั้งสองก็หันมาจ้องข้าอย่างพร้อมเพรียง ไม่ต้องมองด้วยสายตาคาดคั้นแบบนั้นก็ได้น่าพี่ชาย เพราะข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกับพวกท่านนั้นแหละ ที่สำคัญคนที่โดนเจ้าราล์ฟระบายอารมณ์ใส่มันก็ข้านะ ข้าเป็นคนที่ควรจะถามคำถามนี้ที่สุดสิ!
"ขะ ข้าเองก็ไม่รู้หรอกค่ะท่านทหาร ข้าแค่ถูกเขานำตัวสมาจากบ้านเกิดเพียงเท่านั้นเองค่ะ ฮึก!" ข้าแกล้งบีบน้ำตา สวมบทสาวน้อยอ่อนแอผู้น่าสงสารเพื่อเรียกคะแนนความเห็นใจ แล้วร้องขอให้มันปล่อยข้าออกไป ที่นี้ข้าชิ่งหนีได้สบายหายห่วง แหม่!ข้านี่มัน ฉลาดจริงๆ
"เอ่อ น้องสาว พวกข้าก็ไม่ได้ว่าอะไรเจ้านี่ อย่าร้องไห้เลยน่า" นายทวารขวาพูดปลอบโยนข้า แต่ข้ากลับปล่อยโฮหนักกว่าเก่า และสวมจิตวิญญาณนักแสดงละครโศกเศร้าแห่งปี
"ฮึก! ข้าเป็นเด็กกำพร้าแม่ อาศัยอยู่ในชนบทที่แสนจะห่างไกล ข้ายังมีพ่อที่ชรามากแล้วต้องดูแล แถมเจ้าพี่ชายใจร้ายของข้ายังเอาหลานตัวเล็กๆมาให้ข้าเลี้ยงอีก ฮึก! แล้วจู่ๆ หัวหน้าของพวกท่านก็ใช้กำลังพาตัวข้ามาที่นี้ ทั้งที่ข้าอุตส่าห์ช่วยเหลือเขาที่บาดเจ็บมาแท้ๆ ฮือ!! ท่านพ่อ ป่านนี้ท่านจะเป็นอย่างไรบางคะ ท่านพ่อ!!" ข้าใส่อารมณ์กับบทนี้เต็มที่ ต่อให้เป็นดาราตุ๊กตาทองร้อยตัว มาเห็นสภาพข้าตอนนี้ก็ต้องชิดซ้ายแน่นอนข้ามั่นใจ นายทวารทั้งสองคนที่เห็นข้าล้มลงไปนั่งร้องไห้กระซิกๆ ถึงกับหน้าเหวอทำอะไรไม่ถูกได้แต่หันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
"นะ น้องสาวอย่างร้องไห้สิ ข้าเชื่อว่าหัวหน้าของพวกข้าต้องมีเหตุผลที่ดีแน่ๆ" พวกเขาพยายามปลอบใจข้า เหตุผล? เหตุผลของราล์ฟน่ะเหรอ เหตุผลของไอ้ลาบเป็ดหัวน้ำเงินนั้นคือการจับข้าเข้าห้องกรงน่ะเซ่!! ไม่ต้องเดาก็รู้แล้ว ราล์ฟรู้ว่าข้าเป็นหัวขโมย แถมกล้าหาญขนาดเคยปล้นบ้านขุนนางตอนกลางวันแสกๆ แถมยังโกงบ่อนผิดกฎหมายจนเจ้ามือหมดตัว นอกจากการจับข้าเข้าคุกแล้วมันมีเหตุผลอะไรอย่างอื่นอีก
ข้าแสร้งปั้นหน้าเศร้าเล่าความเท็จอันแสนจะโศกเศร้าและรันทดให้นายทวารทั้งสองฟังจนยืดยาว หวังจะให้ทั้งสองคนใจอ่อนปล่อยข้าไป เมื่อเล่าจบ นายทวารทั้งสองถึงกับต้องปาดน้ำตาเพราะความสงสารในชีวิต(จอมปลอม)ของข้า เห็นทีความนี้น่าจะรอด
"ชีวิตของเจ้าน่าสงสารจริงๆน้องสาว แต่ข้าปล่อยเจ้าไปไม่ได้" แล้วที่ข้าเสียน้ำลายแต่งเรื่องนั้นเพื่อใคร!! น้ำตาของพวกพี่ชายไม่มีประโยชน์สำหรับข้าเลยนะ คำอนุญาตต่างหากที่ข้าอยากได้ยินน่ะ
[สรุปก็คือ เนื้อเรื่องสุดรันทดที่แต่งไปเมื่อกี้ ไร้ประโยชน์สินะ] เสียงทุ้มของใครคนหนึ่งดังขึ้นในหัวข้า ไม่ใช่ว่ามันไร้ประโยชน์ แต่มันแสดงประโยชน์ที่ข้าไม่ต้องการมากกว่า
[แล้วมันต่างกันตรงไหน ยังไงซะผลลัพธ์ที่ออกมามันก็คือ เจ้าหนีไปไม่ได้] ข้าพยักหน้ารับ มันก็จริงอย่าที่ว่านั้นแหละ ทีนี้ข้าจะทำยังไงถึงจะหนีออกไปได้ เขตพระราชฐานมีการคุ้มกันที่หนาแน่น เรื่องจำนวนทหารทั่วทั้งวังต้องมากเกินหนึ่งร้อยนายแน่ๆ ที่เห็นเดินผ่านไปผ่านมาก็เกือบยี่สิบคนแล้วเฉพาะในวังหลวงนี่ ขืนหนีออกไปแบบสุ่มสี่สุ่มห้ารับรองได้เข้าไปนอนในคุกอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
[อยู่ที่วังจะเป็นอะไรไป สบายดีออก] สบาย? สบายกะผีน่ะสิ! เมื่อห้าปีก่อนข้าได้ยินข่าวว่าองค์หญิงฟีเลเธียร์น่าสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ขืนจู่ๆมีคนที่หน้าตาเหมือนพระองค์เข้ามาทำงานในพระราชวัง มันจะไม่ใครสงสัยเลยรึไง
[ข้าว่า ประเด็นหลักก็คือ เจ้ามันเป็นพวกชีพจรลงเท้ามากกว่านะ] รู้สึกว่าเจ้าจะพูดเหมือนรู้จักข้ามานานเลยนะ ถึงได้รู้ว่าข้าเป็นพวกชอบเที่ยว
[ถึงจะหลับเป็นส่วนใหญ่ แต่ห้าปีที่อยู่ด้วยกันก็พอจะทำให้ข้ารู้นิสัยเจ้าบ้าง] ห้าปีที่อยู่ด้วยกันงั้นหรือ? .... นี่ข้าคุยอยู่กับใครเนี่ย! ข้าหันซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นมีใคร นายทวารทั้งสองคนก็นั่งวับน้ำตาเพราะเรื่องเล่าของข้าอยู่ อีกอย่างเสียงที่คุยกับข้าก็ไม่ได้เป็นเสียงของสองคนนี้ด้วย
[ถ้าข้าเป็นงู ข้าคงฉกเจ้าจนพรุนไปทั้งร่างแล้ว คุยกันมาตั้งนานนี่เจ้าไม่รู้รึไงว่าข้าเป็นใคร] ถ้าข้าตอบว่าใช่จะเป็นอะไรไหม
[ยัยองค์หญิงสมองทึบ! ข้าอยู่ในเสื้อคลุมที่เจ้าใส่อยู่นี่ไง] หา?? อยู่ในเสื้อคลุม มันมีอะไรบ้างล่ะ เห็บ หมัด ไร เศษด้าย เส้นผม ของพวกนี้มันพูดได้ด้วยงั้นเหรอ!
[ไม่ใช่โว้ย!! ล้วงเข้ามาในเสื้อคลุมเจ้าเซ่ ยัยสมองฝ่อ!] ล้วงเข้าไปในเสื้อคลุม ... เอ้ย! ไม่จริงน่า ไอ้เข็มทิศซังกะบ๊วยงั้นเรอะที่พูดอยู่เนี่ย!
[เข็มทิศศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เข็มทิศซังกะบ๊วย] เสียงนั้นพุดเหมือนกัดฟันพูด และพยายามอย่างมากที่จะไม่ด่าข้า แต่ทำไมไม่เห็นมีใครเคยบอกข้าเลยว่าเข็มทิศนี่พูดได้
[สิ่งที่พูดกับเจ้าไม่ใช่ตัวเข็มทิศ แต่เป็นข้าซึ่งเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่คอยดูแลเข็มทิศอยู่ต่างหาก] ข้าลองพลิกเจ้าเข็มทิศนี้ไปๆมาๆทั่วแล้ว ก็มองไม่เห็นส่วนไหนพอจะอ้าปากพูดได้เลยแม้แต่น้อย แล้วที่นี้เวลาจะเอาก้อนหินยัดปากมันข้าจะทำได้ยังไงล่ะเนี่ย
[เมื่อกี้ไม่ได้ฟังที่ข้าพูดเลยใช่ไหมหา!!!] จะตะคอกทำไมเนี่ย หัวข้าเกือบระเบิดนะไอ้เข็มทิศเฮงซวย!
"เอ่อ น้องสาว เจ้าอย่างเงียบสิ พวกข้าสองคนใจไม่ดีนะ" นายทวารซ้ายพูดขัดขึ้นมา ทำให้ข้าต้องหยุดสนทนา (ภาษารุนแรง) กับเข้าเข็มทิศชั่วคราว
"พี่ชาย ท่านบอกว่าหัวหน้าท่านเป็นคนดีงั้นหรือ??" ข้าแกล้งถามเสียงสั่นๆ
[แหลซะไม่มีล่ะ] เงียบปากไปเลยไอ้เข็มทิศเฮงซวย ที่ข้าต้องทำแบบนี้มันก็เพราะใครกันล่ะ
"จริงแท้แน่นอน หัวหน้าคาวาเลียร์น่ะเป็นคนที่มีความกล้าหาญ ขยัน อดทน แถมเป็นมิตรกับลูกน้องอย่างไม่ถือตัวด้วย!" นายทวารขวาพุดขึ้นด้วยสายตาชื่นชม
"แถมท่านหัวหน้ายังเป็นขวัญใจของชาวเมืองด้วยนะ โดยเฉพาะพวกเด็กผู้ชายที่ชื่นชอบท่านหัวหน้ามากเลยล่ะ ท่านหัวหน้าน่ะเป็นอัศวินที่คอยช่วยเหลือประชาชนอย่างแท้จริง" นายทวารซ้ายพูดบ้าง ข้าแอบเบ้หน้าไม่ให้พวกเขาเห็น ไอ้สิ่งที่ท่านพูดกับสิ่งที่ข้าเจอ รู้สึกจะคนล่ะอย่างเลยนะคะ ท่านทหารที่ชื่นชมหัวหน้า
"และที่สำคัญ ข้าไม่นิยมชมชอบการลักพาตัวใครมาโดยไม่มีสาเหตุ" เสียงทุ้มคุ้นหูดังขึ้นต่อหน้าข้า ราล์ฟมันออกมาตั้งแต่ตอนไหนเนี่ย! ไม่ใช่แค่ข้าที่ตกใจ แม้แต่นายทวารทั้งสองก็ผงะไปหลายวินาทีเหมือนกัน
"พูดอย่างกับรู้ว่าข้าพุดไปถึงเจ้าบ้าง" ข้าแกล้งถามมัน ราล์ฟไม่ตอบแต่เดินเข้ามาประชิดตัวข้า มือข้างหนึ่งเอื้อมไปแตะหัวไหล่ข้าเบาๆก่อนจะออกแรงเหมือนแกะอะไรสักอย่างออกมาชูให้ข้าดู มันเป็นวัตถุทรงกลมแบน สีดำเป็นเงา มีขนาดพอๆกับปลายนิ้วเรา ราล์ฟไม่ปล่อยให้ข้าสงสัย มันชิงอธิบายก่อนทันที
"เครื่องดักฟัง เป็นวัตถุเวทมนตร์แบบหนึ่งที่ข้าเพิ่งได้มาไม่นาน ก่อนจะเข้าไปรายงานภารกิจ ข้าแอบติดมันไว้กับตัวเจ้า" ราล์ฟฉีกยิ้ม มันมีอะไรแบนี้ด้วยงั้นเรอะ! แปลว่าไอ้ที่ข้าพูดๆไปก่อนหน้านั้นมันก็....
"รู้ไหมว่าเสียงของเจ้าน่ะ ทำให้ข้ารายงานภารกิจผิดๆถูกๆเลยล่ะ เออร์นาลี ฟีล" โอยพระเจ้า ราล์ฟเล่นฉีกยิ้มเย็นมาให้ข้าขนาดนี้ ชีวิตข้าจะเหลืออะไรล่ะเนี่ย
"เข้าไปกับข้า" แค่เข้าวังยังไม่อยากเข้าเลย แล้วนี่คิดจะลากข้าเข้าไปท้องพระโรงจริงๆงั้นเหรอ ไม่นะ ปล่อยข้าเถอะ!! ใครก็ได้ ช่วยข้าที!!!
ความคิดเห็น