คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ความฝันถึงความจริง
สวรรค์ ดินแดนที่สวยงามที่สุดในสามโลก ไม่ว่าจะมองไปทางใดก็อิ่มทิพย์ทางกายและใจ ในวันนี้ต้นทิยวรรณ ส่งกลิ่นหอมมากกว่าทุกวันราวกับว่ามันรู้ว่าเป็นวันแห่งความยินดี แถมรอบกายแสงสีทองยังเปลี่ยนเป็นสีฟ้าสวยสดใสให้ความรู้สึกเย็นกว่าเช่นเคย ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความยินดี
งานแต่งงานแสนสุขในวันนี้ถูกจัดขึ้นที่ท้องพระโรงปวริเสถียร ที่สำหรับใช้ประชุมงานสำคัญของสวรรค์ เหล่านางฟ้าเทวดาต่างตื่นเต้นกับงานแต่งงานจึงรีบมาช่วยกันจัดงานกันใหญ่ ทั้งนำของที่ตนมีมาช่วยประดับตกแต่งทำให้งานนี้สวยงามมากเลยทีเดียว
"ทำตื่นเต้นทำไม เราไม่ได้อยากแต่งเสียหน่อย" ชายหนุ่มพึมพัมกับตัวเองเบาๆไม่ให้เหล่านางสนมที่กำลังช่วยเลือกชุดให้เขาได้ยินเดี๋ยวจะนำความไปบอกสุริยนบดี เขาจะโดนเทศนาอีกแค่ครั้งที่แล้วก็โดนเสียหูชาไปหลายวัน
"พระเชษฐาเพคะ ทรงเครื่องเสร็จหรือยังเพคะ ข้างนอกเขาจัดงานกันใกล้จะเสร็จแล้วนะเพคะ"เสียงนุ้มอ่อนหวานดังเข้ามาภายในวิมานของเขา เหล่านางสนมรู้หน้าที่ดีจึงรีบคลานเข่าออกไป
"พณานันท์ นี้เจ้าก็อยากให้ข้าแต่งงานด้วยหรือ"ไม่รอช้าพณขัณท์หันซ้ายแลขวาเมื่อเหล่านางสนมออกไปหมดแล้วเขาจึงรีบตัดพ้อต่อว่าน้องสาวตนเองด้วยความน้อยใจ
"ก็เสด็จพ่อ.."พณานันท์ไม่อยากจะพูดต่อเพราะเห็นแววตาของพี่ชายตนดูซึมๆไป เธอจึงเอามือเรียวลูบหลังมือใหญ่อขงพี่ชายเชิงให้กำลังใจ เธอเข้าใจดีหากต้องแต่งงานกับบุคคลที่ตนไม่ได้เป็นใครก็ย่อมทุกข์ทรมาน
"ดูซิเจ้าทรงเครื่องสวยกว่าทุกวันเชียว นี้ท่าทางตื่นเต้นมากใช่ไหม"พณขัณท์ลูบมือเรียวตอบเบาๆพลางหยอกล้อพณานันท์เมื่อเห็นชุดสไบสีชมพูซึ่งแน่นอนว่าต้องจากต้นมฤเทพ ต้นไม้หายากที่มีแค่ดินแดนเดียวคือหริหาญ ท่าทางคงจะได้มาจากอุไรรัศมีเพราะเห็นอุไรรัศมีกับพณานันท์สนิทสนมกันมาก ผิวขาวเนียนผ่องรับกับชุดนี้เป็นอย่างดีแถมยังประดับพลอยนวมินทร์ พลอยที่สวยที่สุดในสวรรค์ เป็นมรดกตกทอดอีกชิ้นหนึ่งเช่นกัน ผมยาวดำขลับม้วนเก็บเรียบร้อยและปักปิ่นปักผมสีทองสวย ยิ่งทำให้วันนี้พณานันท์สวยยิ่งกว่าทุกวัน แต่กระนั้นเถอะ ดูเอาไม่ว่าใครก็ตื่นเต้นอยากเห็นเขาแต่งงานจะนึกบ้างไหมว่าเขาก็มีรักแท้เช่นกัน
"นี้เจ้าจะใจร้ายเห็นข้าแต่งงานกับอุไรรัศมีที่ข้าเองเห็นเป็นเพียงน้องสาวได้เช่นนั้นหรือ"ในที่สุด คำถามก็ยังวกกลับมาขอความเห็นใจอ้อนวอนเธออีกแล้ว นี้แหละน่าพอเจอลูกอ้อนของพี่ชายจอมกะล่อนเธอก็อดใจอ่อนไม่ได้เสียทุกที
"คือว่า.."ยังไม่ทันจะเอื้อนเอ่ยวาจาใดๆ พณขัณท์ก็รีบชิงอ้อนวอนต่อทันใด
"ช่วยข้าเถิดน้องสาวที่รักของข้า"พณานันท์รีบพยุงตัวพณขัณท์ให้ลุกขึ้นทันทีเพราะไม่ทันขาดคำก็ลงไปนั่งคุกเข่าอ้อนวอนเธอเสียนี้
"เห็นทีมิเป็นการดีแน่หากยังคุกเข่าแบบนี้ น้องสาวคงมีหน้าที่ต้องช่วยพี่ชายใช่ไหมเพคะ"พณานันท์ถอนหายใจเบาๆพลางรีบดึงตัวพณขัณท์ขึ้นมา พอเจอลูกอ้อนทีไรเป็นใครก็ต้องยอมแพ้พ่ายทุกที คราวนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเธอก็รับปากไปเสียแล้วเป็นลูกกษัตริย์ก็ย่อมตรัสแล้วไม่คืนคำเช่นกัน
และคราวนี้เขาจะได้เจอรักแท้เสียที ไม่ต้องทุกข์ทรมานกับวันวันหนึ่งต้องเหมือนมานั่งรอคอยใครในภาพฝัน
..แค่เพียงภาพฝันแต่เหตุไฉนจึงทอดยาวถึงหัวใจ อบอุ่นซาบซ่านลึกตรึงใจยาวนานเสียเหลือเกิน
ขณะเดียวกัน ไม่มีใครสังเกตเลยว่าต้นทิยวรรณ ใบของมันค่อยๆร่วงผิดปกติ จากสีสันสดใสมองสบายตากลับเป็นสีมืดครึ้ม ต้นค่อยๆแห้งเหี่ยวลงเรื่อยๆภายในเวลาแค่พริบตาเดียวเท่านั้น หรือว่าลางร้ายจะมาเยือนทั้งที่วันนี้เป็นวันดีแท้ๆ
*******************************************
"เพลงเพราะเสียเหลือเกิน แต่เริ่มเบื่อแล้ว เปลี่ยนเป็นเพลงสตริงบางดีกว่า"หญิงสาวเอื้อมมือที่เปียกน้ำนมไปหยิบโทรศัพท์มือถือข้างกายมาเปลี่ยนเพลงเป็นเพลงสตริงธรรมดาที่ไม่ใช่เพลงคลาสิก ถึงแม้จะชอบแต่วันนี้จู่ๆก็เบื่อ มันคงเป็นเรื่องธรรมดาคนเราก็คงเบื่อกันได้
กว่าสองชั่วโมงที่เธอนอนแช่ตัวในอ่างน้ำนม เธอไม่ได้ดูเวลาหรอก เพียงแต่ประมาณเอา ใครๆก็บอกเช่นนั้นเพราะเวลาเธออาบน้ำเสร็จ ป้าแขกมักจะทักเสมอว่าอาบจนตัวกลายเป็นน้ำนมได้อยู่แล้ว แน่นอนว่าไม่สองก้สามชั่วโมงนั้นแหละที่เธอสบายใจเพลินอุราในห้องน้ำ
หญิงสาวค่อยๆเลื่อนมือมาสัมผัสหน้าจอ โทรศัพท์มือถือของเธอเป็นระบบสัมผัสใช้ง่ายแต่ไม่ทนมือ หากเวลาโมโหทีไรชอบเขวี้ยงมันทุกที และก็พังทุกที วันลังเธอคงต้องหารุ่นทนมือเสียแล้ว
เพลงในเครื่องมีเยอะแยะกว่าร้อยเพลง เพราะเมมโมรี่เธออมีขนาดใหญ่เก็บข้อมูลได้เยอะแถมเครื่องก็รุ่มพิเศษยัดเพลงเยอะกว่านี้ก็ยังไม่เต็ม เพลงในเครื่องมีหลายแนวแล้วแต่อารมณ์เธอชอบฟัง บางทีก็เพลงร็อค ลูกทุ่ง คลาสิกหรือสตริงก็มี
"เอาเพลงนี้ละกัน เพราะเสนาะหู"หญิงสาวสัมผัสตรงชื่อเพลงไม่นานเสียงเพลงไพเราะอย่างตนว่าก็ค่อยๆขับกล่อมเธอ
..อยู่กันคนละภพเห็นใดหนอจึงได้มาพบสบตา
หรือบุญเก่าเราเคยสร้างมา คล้ายตั้งว่าจิตใจสองดวงเคยผูกพัน
ถ้ามีใครบนฟ้าขีดดวงชะตา
เราสองต้องขออย่าเปล่ียน
ให้เจอเป็นฝันอย่าพรากจากกัน
ฉันและเธอไม่คลาดกัน..
ให้เจอเป็นฝันอย่าพรากกัน ท่อนนี้ช่างตรงกับเธอเหลือเกิน ฝันที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย คล้ายจะอบอุ่นละมุนแต่บางครั้งน่ากลัวเสียเหลือเกิน บางทีคล้ายจะส่งใครมาแม้เห็นเลือนลางแค่ภาพฝันแต่เธอกลับผูกพันอย่างประหลาดใจ
เพลงนี้เป็นเพลงที่บรรเลงด้วยเครื่องดนตรีไทยลายชนิด เธอฟังไม่ออกว่ามีเครื่องดนตรีอะไรบ้างแต่ที่รู้ๆเพราะซาบซ่านถึงขั้วหัวใจเหลือเกิน
นักร้องผู้ร้องเพลงนี้เป็นนักร้องสมัยใหม่แต่เสียงไพเราะน่าฟังมาก เพลงนี้ร้องเป็นคู่มีทั้งเสียงนุ่มทุ้มและเสียงหวานๆออกจะแหลมๆนิดหน่อยแต่ก็ทำให้เธออบอุ่นและเข้าสู่ห้วงนิทราเร็วกว่าทุกคืนที่ต้องกระสับกระส่ายนอนไม่หลับสนิทดั่งใจรอคอยใครสักคน รอคอยความอบอุ่น
เพลงนี้เธอไม่ค่อยเปิดฟังบ่อยนักเพราะตัวเธอชอบเพลงคลาสิกอยู่แล้วจึงไม่นิยมฟังเพลงแนวอื่นแม้จะมีกว่าร้อยเพลง นอกจากอารมณ์พาไปจริงๆ
ห้วงนิทราเริ่มเข้าสู่ความฝันดั่งเช่นหลายคืนผ่านมา ขณะเดียวกันแสงสีทองที่นิ้วนางข้างซ้ายมันเปล่งประกายสว่างและขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆโดยที่เจ้าตัวยังหลับพริ้มไม่รู้เรื่องใดๆทั้งสิ้นราวกับต้องมนต์สะกด
*************************************
"ช่วยได้แค่นี้จริงๆเพคะที่เหลือก็แล้วแต่ว่าถึงเวลาหรือยังที่พระเชษฐาจะลงไปจุติ"พณานันท์หันซ้ายแลขวา เมื่อปลอดคนจึงหันมาพูดกับพี่ชาย เธอเองหวั่นใจเหลือเกินกับการช่วยเหลือครั้งนี้ไม่รู้คิดผิดหรือไม่แต่ที่รู้ช่วยแล้วช่วยเลยแถมพูดไปแล้วไม่อยากคืนคำ
"เจ้าช่างประเสิรฐจริงแท้"พณขัณท์ลูกมือเรียวของน้องสาวเบาๆเป็นการขอบคุณพลางรีบลงไปนั่งที่แท่นบัวจุติและพนมมือ
ที่แห่งนี้ที่พณานันท์พาเขามาคือ สระบัวจุติ สระบัวกลางสวรรค์ที่มีบัวสวรรค์ขึ้นสวยงาม กลีบสีทองอร่ามไม่มีวันร่วงโรยเว้นแต่จะมีใครไปจุติยังโลกมนุษย์ แต่ตอนนี้กลับบัวยังไม่ร่วงเลยแม้แต่น้อยซึ่งเขาได้แต่หวั่นใจ
หากถึงเวลาเทวดานางฟ้าผู้นั้นต้องมานั่งที่แท่นบัวจุติเพื่อฐิษฐานลงไปจุติเป็นการขอบคุณสวรรค์แห่งนี้
แท่นบัวจุติเป็นทรงกลมสีทองอร่ามมีกลีบกุหลาบโรยส่งกลิ่นหอมตลอดเวลา และจะหอมเป็นพิเศษหากได้เวลาลงไปจุติ แท่นบัวจุตินี้ลอยเด่นเอยู่บนเมฆกลมๆสีขาวดูบางเบาแต่แท้จริงแข็งแกร่งมากเลยทีเดียว
สระบัวแห่งนี้สวยไม่แพ้ดินแดนใดๆที่ว่างดงามเพราะมีต้นทิยวรรณเรียงรายหลากสีสันแลดูแสบตามากกว่าสบายตาและส่งกลิ่นหอมหวนมากเลยทีเดียว ภายในสระมีสายน้ำหล่อเลี้ยงบัวสวรรค์มีสีน้ำเงินอมทองสว่างซึ่งถือเป็นน้ำวิเศษหากได้ดื่มก่อนลงไปจุติจะได้เกิดในภพดีงาม
นอกจากนี้หากจะจุติจะมีสัญญาณเตือนซึ่งผู้นั้นจะรับรู้ได้ด้วยตัวเอง เป็นเหมือนจิตสัมผัสบางอย่างดลใจแต่เขากลับไม่รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อยช่างน่าประหลาดใจยิ่งนัก
"มีสัญญาณอะไรหน่อยซิ อย่าเงียบแบบนี้ใจคอไม่ดี"พณขัณท์กระวนกระวายใจจึงลุกจากแท่นบัวจุติแล้วเดินไปเดินมาเผือจะคิดอะไรออกขึ้นมาบ้าง แต่ดูเหมือนจะเปล่าประโยชน์ หากไม่มีสัญญาณใดๆเช่นนี้เห็นทีต้องโดนเสด็จพ่อเทศนาเป็นแน่แถมต้องถูกจับแต่งงานกับอุไรรัศมี..ตกนรกชัดๆ!
"เสียงฝีเท้า!"พณานันท์อุทานเสียงดัง เธอมีวิชาการจับเสียงฝีเท้าซึ่งฝีเท้าเทวดานางฟ้าจะเบามากแทบจะไม่ได้ยินต้องร่ำเรียนมาเท่านั้นและนอกจากนั้นจะสามารถจับเสียงจิตใจประมาณ หยั่งรู้ความคิดที่เธอร่ำเรียนมาแต่เธอไม่ค่อยใช้มันนอกจากยามจำเป้นเท่าไหร่และมันมักใช้ไม่ค่อยได้ผลเพราะเธอลืมวิชาบ่อยครั้งแต่ครวนี้จำขึ้นใจทำให้เธอรู้ว่าฝีเท้านี้ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็น..
"เสด็จพ่อ เสด็จพ่อแน่นอน!"พณานันท์โวยวายเสียงดังเมื่อสามารถจับเสียงฝีเท้าได้แล้ว เธอจึงรีบหันไปเตือนพณขัณท์ซึ่งได้แต่เดินกระสับกระส่าายไปมาและเอาแต่กุมขมับ
"ข้าจะทำเช่นไรดี!"พณขัณท์เริ่มรู้สึกถึงภาวะตึงเครียดในหัวตนเอง รู้สึกเหมือนจิตใจ ร่างกายจะแตกเป็นเสี่ยงๆราวกับมีใครเอามีดคมมาฟัน มาชำแหละร่างกายตน
เสียงนุ่มอ่อนหวานในความฝันจู่ๆก็ลอยมาในความคิดวุ่นวายสับสน
"ความรัก น้องรักแค่พี่คนเดียวและจะรักทุกชาติไป"เสียงนุ่มอ่อนหวานทำให้ความคิดที่พันกันยุ่งค่อยๆเรียบเรียงเรื่องราวต่างๆและจิตใจก็เริ่มนิ่งมากขึ้น
"ความรัก อฐิษฐานข้ามกาลเวลา จะกี่ภพจะกี่ชาติจะรักมั่นคงตลอดไป"ชายหนุ่มพนมมือใหญ่พลางนั่งคุกเข่าลงแล้วหลับตาพริ้ม จิตใจและร่างกายหายสับสนนิ่งในบัลดล ณ ตอนนี้เขายังได้ยินเสียงนั้นดังกังวานขึ้นทุกทีในจิตใจราวกับจะรบเร้าเขา แต่นั้นกลับทำให้เขานิ่งและอบอุ่นอย่างประหลาดใจ!
แสงสีทองจากบางสิ่งเปล่งประกายขึ้นรอบตัวพณขัณท์ มันหมุนตัวเป็นวงกลมและขยายตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยๆราวกับจะกลืนกิน แต่ชายหนุ่มกลับไม่รู้สึกอะไรเลย มองไม่เห็นอะไรเลย เห็นแต่เพียงภาพเลือนลางในความฝันนั้นที่เริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ
********************************************
..ขวัญเอย อย่าร้างไป
อยู่ในหัวใจ อยู่เป็นจอมขวัญ ..
"พี่รักแค่น้อง พี่ขอสัญญาต่อจากนี้ พี่จะไม่ทำให้น้องเสียใจ พี่เสียใจที่ผ่านมาพี่ไม่ทันคุณค่าน้องเลย แต่ตอนนี้พี่รู้ซึ้งดีแต่มันก็สายไปแล้ว พี่...ขอ.." ลมหายใจรวยระริน มือใหญ่พยายามพยุงตัวเองขึ้นแต่เพราะเท้าใหญ่ของชายร่างกำยำเหยียบร่างตนไว้จึงไม่อาจลุกขึ้นได้แม้จะพยายามเพียงแค่ไหน จึงได้แค่่ส่งสายตาและคำพูดจากใจจริงที่เขาเพิ่งรู้ตัวเองแม้มันจะสายไป
ประโยคสุดท้ายเขาไม่อาจพูดได้แล้ว ทั้งเจ็บทั้งปวด ลมหายใจไม่อาจฝืนทนพยุงตนอีกแล้ว มือใหญ่สั่นเทาพยายามไขว่ขว้าหาหญิงสาวแต่ถูกชายร่างกำยำสะบัดทิ้ง วินาทีชีวิตของเขาสุดท้ายจบลงด้วยหยาดน้ำตา มือใหญ่ของเขาคราวนี้ถูกเหยียบราวกับให้จมไปกับพสุธา
"อย่า อย่าทำเขา!"ลมเย็นวาบ ขนคอของเธอลุกชันทำให้เธอสะดุ้งตื่น ร่างกายของเธอเย็นยะเหยือกอาจเป็นเพราะเธอแช่น้ำนมนานแต่หัวใจที่เจ็บจิ๊ดถึงทรวงนี่ซิ เป็นเพราะน้ำนมหรือเปล่า
หญิงสาวรีบลุกจากอ่างน้ำนมและเอื้อมมือไปหยิบผ้าขนหนูสีชมพูสวยที่พาดอยู่ข้างอ่างมาเช็ดตัวให้หายหนาว
กระจกไม้ในห้องน้ำอยู่ตรงข้ามอ่างน้ำนมนี้ สะท้อนให้เห็นเงาของเธอ ใบหน้าขาวใสกลายเป็นขาวซีดอีกแล้ว มีคราบน้ำตาอีกแล้ว หญิงสาวจึงค่อยๆเดินตรงไปที่กระจก
"เราร้องไห้อีกแล้ว"หญิงสาวจับใบหน้าขาวๆของตัวเองพลางสำรวจใบหน้าอย่างชัดเจนอีกครั้ง...ฝันทีไรเป็นต้องร้องไห้ ครั้งที่แล้วก็ร้อง คราวนี้ก็ร้อง ทำไมนะหรือจิตเราจะผูกกับใครคนนั้น
หญิงสาวขมวดคิ้วดกดำเข้มจนกลายเป็นโบว์ด้วยความสงสัย แต่พอเห็นหน้าผูกโบว์ของตัวเองในกระจกแล้วเธอเองแอบหลุดขำออกมาเสียก่อน หน้าตัวเองเวลาเครียดก็ตลกเหมือนกัน
"ไปหยิบเสื้อคลุมดีกว่า"ภายในห้องน้ำมีตู้กระจกใสแจ๋วเพ้นท์ลายดอกไม้น่ารักๆตั้งอยู่มุมห้องน้ำ ภายในมีเสื้อคลุมสำหรับเวลาอาบน้ำเสร็จและชุดต่างๆเผือบางทีเธอขี้เกียจเดินไปแต่งตัวในห้องแต่งตัวซึ่งอยู่ติดกับห้องนอนเธอ
ข้างๆตู้กระจกมีต้นไม้ต้นเล็กๆตั้งอยู่บนโต๊ะทรงกลม บนโต๊ะนั้นยังมีตุ๊กตารูปตายาย นาฬิกาแบบโรมันมองแล้วคล้ายไปอยู่ในยุคสมัยโรมันซึ่งมีความสวยงามมากมายเลยทีเดียว
หญิงสาวใช้มือเรียวเลื่อนบานกระจกนั้น แล้วเลือกเสื้อคลุมสีชมพูที่แขวนอยู่ออกมา เธอมีเสื้อคลุมลายสี ทั้ง7สี7วันก็มีหรือเป็นลายหมีพูลห์ ลายตุ๊กตาน่ารักๆก็มี
เมื่อเลือกลายได้แล้วจึงใช้มือเรียวเลื่อนบานกระจกกลับไปดั่งเดิม แต่คราวนี้เหมือนว่ากระจกมีอะไรบางอย่าง!สะท้อนเงาอะไรบางอย่าง มันมากับหมอกควันบางๆ เธอพยายามเพ่งมอง
"ใครนะ!"หญิงสาวรีบเอาใส่เสื้อคลุมทันที เพราะเธอพอมองเห็นแล้ว นั้นคือ ใครสักคนเป็นผู้ชายด้วย!
หญิงสาวรีบทันกลับไปด้านหลัง และเดินตรงมาที่บุรุษผู้นั้น ดูเหมือนเขากำลังหลับตาคงไม่เห็นภาพเธอเมื่อกี้หรอกใช่ไหม? หากเห็นเธอคงได้ถีบหมอนี้กระเด็นไปนอกอวกาศแน่นอน
"พัดๆ"เสียงแหลมๆดังมาจากหน้าห้อง หญิงสาวจึงเบนความสนใจไปที่หน้าห้องก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยมาคุยกับบุรุษแปลกหน้าผู้นี้อีกที
หญิงสาวเดินออกจากห้องน้ำพลางเช็ดเท้าที่พรมเช็ดเท้าสีชมพูหน้าห้องน้ำ และเดินเลี้ยวไปเปิดประตูห้องให้กับสิริตา
"พัด มีใครก็ไม่รู้มานอนสลบอยู่หน้าบ้าน ตอนนี้ฉันพาเขามาอยู่ในห้องรับแขกแกมาดูเขาหน่อยซิ"สิริตาพูดด้วยท่าทางเร่งรีบ เหงื่อชุ่มตัวดูท่าจะแบกชายหนุ่มผู้นั้นมา สาวร่างเล็กแบกชายหนุ่มไม่เป็นลมก็บุญแล้ว แต่ประโยคที่พูดเร่งรีบยาวเป็นเรือหางยาวเธอจับได้แค่มีใครไม่รู้มาสลบหน้าบ้าน และประโยคหลังๆฟังไม่ทันเลยจึงบอกให้เพื่อนสาวทวนใหม่อีกรอบ
"ทวนใหม่ซิ ฉันฟังไม่ทัน"
"ไม่ต้องแหละไปดูเลยดีกว่านะ"หญิงสาวเลื่อนแว่นขึ้นไปชิดดั้งจมูกพลางรีบจูงมือเพื่อนสาวตนแต่กลับถูกดึงมือออกก่อน
"ยัง เพราะในห้องน้ำฉัน มีใครไม่รู้มานอนสลบเช่นกัน"ไม่รอช้าพัดชารีบจูงมือสิริตาเข้ามาในห้องนอนตนก่อนทันที
เพราะขืนพูดอยู่ตรงนี้ใครมาได้ยินเข้าเธอก็อายแย่ ก็บุรุษผู้นั้นดันโผล่มาตอนเธอโป๊นะซิ!ดีนะที่ปิดทัน
"ฉันว่าเรามาช่วยพยุงเขาไปนอนบนโซฟาของเธอก่อนละกันนะ"สิริตามองสภาพบุรุษแปลกหน้าแล้วได้แต่ถอนหายใจ เล่นหลับพริ้มซะขนาดนี้จะตื่นอีกทีคงรุ่งสาง
"ได้"พัดชารับคำพลางรีบเดินเข้าไปห้องน้ำเพื่อพยุงบุรุษแปลกหน้าทันที
ใบหน้าเขาหากดูดีๆละม้ายคล้ายคนในฝัน ใบหน้าขาวสะอาดไร้หนวดเคราเขียว ริมฝีปากเล็กได้รูปสีแดงจัด จมูกโด่งสวยเชียว ขนตางอนยาวราวกับผู้หญิง ปากที่ยิ้มรับนั้นยิ้มอะไรอยู่นะ รอยยิ้มนั้นช่างคล้ายกับในฝัน
เหตุใดจึงรู้สึกผูกพันเช่นนี้นะ หัวใจมันเต้นแรงเมื่อได้สัมผัสร่างกายเขา จิตใจคล้ายจะล่องลอยไปไกลเสียแล้ว
**************************************
แสงบางอย่างส่องกระทบตา ทำให้เขาต้องเอามือใหญ่ยกขึ้นป้องดวงตา ปกติแล้วแสงบนสวรรค์ก็ไม่ได้แรงขนาดนี้ มันจะอบอุ่นและเย็นแต่นี้นรกชัดๆ
ชายหนุ่มค่อยๆยันตัวขึ้นจากแท่นบางอย่างที่เขานอนอยู่ แล้วใช้สายตาสำรวจรอบกายทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ที่แห่งนี้ไม่ใช่สวรรค์บ้านเขา เขามาอีกดินแดนหนึ่ง ไม่ใช่หริหาญ แต่สวยงาม แสงเมื่อครู่คล้ายอยู่ในนรก แต่นรกที่ใดจะมีสิ่งสวยงามขนาดนี้ แท่นที่เขานอนนุ่มกว่าบนสวรรค์ อากาศแห่งนี้หนาวจับใจ พอมองออกไปเจอท้องฟ้าสีฟ้าสดใสมีเหล่านกประหลาดที่เขาไม่เคยเห็นบินผ่าน เพราะเหตุใดท้องฟ้าถึงมีสีฟ้าหรือว่ามันแสดงความยินดีกับเขาอยู่ แต่ที่นี้ก็ไม่ใช่สวรรค์ แล้วจะแสดงความยินดีได้อย่างไร
"ตื่นแล้วหรอ นายโรคจิต!"เสียงแหลมๆปลุกเขาจากภวังค์ความคิด พอหันไปตามเสียง เห็นหญิงสาวสวยยิ่งกว่านางฟ้าแต่ใบหน้าขมวดคิ้ว และจับจ้องมาที่เขาประหลาด แต่นั้นมัน...!
ใบหน้าขาวสวยทั้งนวลทั้งผ่อง ดวงตานั้น จมูก ปาก มันคุ้นเคยเหมือนเขาเคยเห็นจากที่ไหน เห็นแบบภาพเลือนลางแต่ช่างตราตรึงใจ เห็นจากการเฝ้ารอคอย อีกทั้งเสียงเมื่อครู่แม้ไม่ได้หวานเพราะแต่หากจับน้ำเสียงดีๆมันเหมือนในฝัน....
...ใช่แล้วในฝัน นางในฝันจริงๆ นางที่เขาเฝ้ารอคอย ภาพเลือนลางที่ไม่เคยชัดเจน บัดนี้แจ่มแจ้งแล้ว ชัดทุกประการ...
"ข้ารู้สึกคุ้นหน้าเจ้ามากนัก"เสียงนุ่มทุ้มจากบุรุษตรงหน้าทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น เสียงนี้มันก็ใช่...คล้ายในฝัน ท่าทางก็เหมือน ยิ่งพอเห็นตอนตื่น ภาพในฝันปรากฏชัดเจน!
"ฮัลโหลทุกคน!"เสียงแหลมๆปลุกทั้งสองจากภวังค์นึกคิดแล้วหันไปทางต้นเสียงทันที
"นี้ ฉันเตรียมอาหารไว้แล้วนะ พ่อหนุ่มมากินซุปฟักทองด้วยกันซิ"
"งั้นไปเลยก็ได้ ไปกันตา"พัดชารีบจูงมือสิริตาออกไปอย่างเร่งรีบ ขืนอยู่นานใจเธอมีหวังละลายหายไปตรงหน้า ท่วงท่า น้ำเสียงมันใช่ คนในฝัน ภาพเลือนลางปรากฏชัดเจน
โต๊ะไม้ทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากวางเด่นอยู่กลางบ้านในห้องรับประทานอาหาร โต๊ไม้นั้นยาวหลายเมตร มีเก้าอี้ไม้วางเรียงอยู่หลายตัว แต่คนที่จะมาร่วมรับประทานอาหารมีเพียง 4 คน อย่างน้อยคราวนี้ก็มีคนเพิ่มมากขึ้น เธอไม่ต้องทนเหงากินข้าวเพียงลำพังหรือกินกับสิริตาอีกแล้ว แต่อย่างไรคงสูบรรยากาศที่ครอบครัวเคยพร้อมหน้าพร้อมตาไม่ได้เสียจริงๆ
ซุปฟักทองร้อนๆ ควันหอมฉุยถูกตักใส่ชามกระเบื้องลวดลายสวยงาม มีถาดรองรูปวงกลมมีลวดลายสีสันงดงาม
เด็กสาวใช้ถือถาดรองน้ำสี่แก้วตรงมาที่โต๊ะอาหาร ภายในแก้วทรงสูงสวยนั้น ทุกแก้วล้วนรินน้ำผลไม้ใส่ลงไปเหมือนกัน เพื่อเพิ่มความสดชื่นยามเช้า
"นี้ ยัยพัดฉันว่าเดี๋ยวเรากินข้าวเสร็จแล้ว ลองถามไถ่ประวัติเขาหน่อยละกันนะ"สิริตาเอี้ยวตัวมากระซิบกับพัดชาเมื่อเห็นสายตาของชายหนุ่มทั้งสอง แค่เจอหน้ากันนั่งฝั่งตรงข้ามกันแต่เขม่นกันมาตั้งนานแล้ว ดูท่าจะสนิทกันมานานแล้ว
"ฉันก็ว่างั้นแหละ ทำอย่างกับจะกัดกันงั้นแหละ"พัดชากระซิบตอบเบาๆพลางหันไปสั่งเด็กสาวใช้
"โกโก้ร้อนฉันละ ไปเอาด้วย"เสียงแหลมๆกระแทกๆฟังแล้วแสบแก้วหูอย่างมากเด็กสาวจึงก้มหน้างุดแล้วรีบไปหยิบโกโก้ร้อนทันที ไม่น่าลืมเลยเสียจริง รู้ทั้งรู้ว่าเจ้านายชอบยังลืมได้อีก
"นี้ นายจะกัดกันนานไหมเนี่ย"พัดชามองสำรวจใบหน้าชายหนุ่มทั้งสองพลางตะโกนดังๆ หากใครโดนเสียงแหลมๆเธอไป ตื่นทุกรายแน่นอน
"เจ้าว่าข้าจะกัดกับยมทูตนี้หรือ?"พณขัณท์ค้อนขวับพลางหันไปส่งสายตาให้กับชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความหมั่นไส้ต่อ แค่เห็นหน้าเขาก็รู้แล้ว ยมทูต เขาไม่ชอบหน้าเลยเสียจริง นี้แค่แรกเห็นแต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดแต่จิตใจมันบอกตลอดว่าไม่ชอบหน้ามานาน
"ยมทูต!"สองสาวมองหน้ากันด้วยความตะลึงพลางตะโกนเสียงแหลมด้วยความตกใจ ตาทั้งสี่เบิกโพลง ยมทูตเป็นไปได้อย่างไร!
"เจ้าทั้งสองเหตุใดต้องตะโกนตลอด"พณขัณท์หันมาทางต้นเสียงแหลมๆทั้งสองพลางมองอย่างไม่สบอารมณ์ตั้งแต่เขาตื่น เสียงแหลมๆก็ลอยเข้ามาในหัวเขา ถึงแม้เสียงแหลมจะทำให้เขาคุ้นเคยแต่พอรู้สึกตัวแล้วแสบหูเหลือเกิน
"นี้นาย ว่าฉันทำไม เดี๋ยวก็โดนตบหรอก!"หญิงสาวเหลืออด ตบโต๊ะไม้เสียงดังด้วยความโกรธ ชายหนุ่มหน้าใสนี้ คิดว่าเป็นคนดีแต่ที่ไหนได้ปากจัดเสียยิ่งกว่ากระเทย แต่ชายหนุ่มอีกคนกลับดูนิ่งขรึม ดูดีกว่าอีก ให้ตายสิ เธอไม่ยอมให้ชายหนุ่มปากจัดมาอยู่ร่วมบ้านแน่นอน เห็นทีต้องรีบเตะให้กระเด็นเสียแล้ว
"นี้เจ้า ดินแดนของเจ้าช่างป่าเถื่อนนัก ดินแดนที่ข้าคิดว่าสวยงามแต่เจ้ากลับมีจิตใจต่ำช้า"ชายหนุ่มไม่ยอม ใครมายืนด่าเขาแบบนี้ จะยอมได้อย่างไร เขาเป็นถึงลูกประมุขสวรรค์ไม่เคยโดนด่าขนาดนี้เลย พอโดนแล้วต่อให้หญิงหรือชายขอไม่เว้นหน้าแน่นอน
"นาย ฉันเหลืออดกับนายแล้วนะ ออกไป๊!"จากใบหน้าสวยๆที่พยายามอดกลั้นความโมโหตอนนี้แดงซ่านด้วยความโกรธ บัดนี้มันทนไม่ไหวแล้ว ผู้ชายปากกล้า มีที่ไหนกัน สาวน้อยแสนสวยอย่างเธอมีแต่ชายหนุ่มรายล้อมไม่เคยโดนด่าเลยแล้วแบบนี้ใครจะทนไหว นิ้วเรียวสวยชี้หน้าชายตรงหน้าอย่างเหลืออด
"นิ้วเจ้า...นะ นิ้ว"ชายหนุ่มเบิกตาโพลงด้วยความประหลาดใจ น้ำเสียงสั่นเครือ เป็นไปไม่ได้นิ้วนางข้างซ้ายมีสิ่งหนึ่ง สิ่งนั้นมันเหมือนกับ...
จากความโกรธเมื่อครู่จางหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นสิ่งนี้ นิ้วเรียวที่ชี้หน้าเขา มันบอกอะไรบางอย่าง เกี่ยวกับเขาแน่นอน!แต่มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อ...
*****************************************
หญิงสาวกอดอกเดินไปมาพลางใช้สายตาสำรวจชายหนุ่มทั้งสองตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน การแต่งกายประหลาดทั้งคู่แต่ดูว่านายผู้ชายปากปมานี้จะแต่งคล้ายลิเก ผ้าผ่อนแปลกตา นุ่งโจงกระเบนสีน้ำเงินเข้ม ใส่เสื้อสีแดงสดปักลายดอกไม้สวยงามคาดเข็มขัดหัวสีทองเงาวับ แถมยังใส่สังวาลย์สีแดงอีก ท่าทางจะชอบสีแดงมากแน่ๆ ทรงผมก็แปลกพิลึกตัดทรงมหาดไทยทั้งที่เขาเลิกฮิตกันไปนานแล้ว แต่หากดูอีกมุมหนึ่งก็คล้ายๆทรงมหาดไทย ใบหน้าขาวผ่องเชียว ดวงตาดูเป็นประกายจริงใจ เพราะท่าทีต่างๆแสดงออกจากแววตาเสียหมดรวมถึงตอนนี้มีแววสงสัยในตา จมูกโด่งเข้ารูปสวยเชียวไม่ได้โด่งแบบต่างชาติแต่โด่งแบบชาวเอเชีย จมูกมีทรงคล้ายชมพู่ พวงแก้มสีชมพูอย่างกับผู้หญิงรวมทั้งปากแดงนั้นด้วย ส่วนอีกคนใส่สื้อสีดำสองชั้น กางเกงก็สีดำเป็นลักษณะกางเกงขาวยาว ตรงข้อมือข้างซ้ายสวมกำไลสีทอง ใบหน้าขาวสะอาดเกลี้ยงเกลา แต่ขอบตาคล้ำดูโหดเหี้ยม แววตานิ่งเฉยไม่แสดงท่าทีใดๆทำให้อ่านสายตายากมาก ใบหน้าขาวเชิดมองตรงไปข้างหน้าไม่ได้ผู้ที่กำลังเพ่งพินิจอยู่แม้แต่น้อย ดูท่าทีสงบและสำรวมอาการดีกว่าบุคคลข้างๆทีเดียว
"ฉันว่าเธอเดินสำรวจนานแล้วนะยัยพัด สามสิบนาทีแล้วนะ"สิริตามองนาฬิกาลูกตุ้มตรงฝาผนังมันแสดงเวลาล่วงผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว ได้แต่ถอนใจจะจ้องอะไรนักหนา เห็นจ้องแล้วได้แต่พึมพัมอยู่คนเดียวแปลกๆสงสัยจะมีอาการเหมือนหลายวันก่อนที่เอาแต่เงียบซึมอีก
"ใช่ เจ้าจะมองข้าให้ถึงหัวใจเลยดีไหม ข้าบอกเจ้าไปแล้วว่าข้าคือเทวดา แล้วไอแหวนนั้นก็เหมือนของข้าส่วนบุคคลที่นั้งข้างๆข้าคือยมทูตข้ารู้ ข้าดูออก"ชายหนุ่มยืนขึ้นด้วยความไม่พอใจสาวน้อยตรงหน้าเอาแต่เดินไปมาแล้วก็จ้องเขาจนวบหน้าสวยๆหม่นหมองกันพอดี
"แล้วอะไรที่นายดูออก"สาวน้อยจ้องหน้าชายหนุ่มเขม็งทันทีด้วยความสงสัย ดูท่าจะคล้ายโรคจิตเหมือนกันต้องระแวดระวังไว้อย่าให้ความฝันมาเกี่ยวข้องกับเรื่องงานถึงแม้จะหน้าคล้ายก็เถอะ แต่ท่าทีไม่ใช่จริงๆ
"แววตา การแต่งกาย ไม่ใช่ใครก็แต่งได้ ผ้าผ่อนที่เจ้านั้นนุ่งจะมีสีดำเข้ม ชั้นนอกจะหนามากส่วนชั้นในจะบางมากเพราะว่าใช้รากของต้นอมรทิยทักมันมีคุณสมบัติคือ รากมันจะแข็งแรงมากและหนาหากเอามาทักผ้าจะมีลักษณะทั้งหนาทั้งทน ส่วนชั้นบางๆข้างในมาจากเอาน้ำของรากมาสกัดแล้วมาลงคาถาจึงจะสามารถทักได้ อีกอย่างหนึ่งข้ารู้ดีแววตายมทูตจะทั้งนิ่งทั้งดูเย็นชา พูดน้อยเพราะยามปกติไม่ให้พูดอยู่แล้ว เจ้าลองสังเกตดูละกันว่าตั้งแต่เจ้านั้นมาพูดอะไรหรือยัง"เจ้านั้น สรรพนามบ่งบอกถึงยมทูตข้างๆเขา ก็ไม่รู้จักชื่อจะให้เรียกอย่างไร ดูท่าทีแล้วน่าหมั้นไส้นักเรียกว่าเจ้านั้นไปก่อนละกัน เดี๋ยวพอรู้ชื่อเขาเรียกละกัน
"รู้ดียังกับเป็นยมทูตเอง"หญิงสาวยังคงจับผิดไม่เลิกน้ำเสียงบอกชัดเจนว่าไม่เชื่อเกินร้อย
"ข้าเองก็รู้เช่นกันว่าเจ้าคือเทวดา"ชายหนุ่มที่นั้งเงียบมานานเอื้อนเอ่ยเบาๆ ดวงตายังคงมองตรงไปข้างหน้าเช่นเดิม
"เห็นไหมข้าบอกเจ้าแล้ว สามภพย่อมมีจิตสัมผัสถึงกัน"ชายหนุ่มกันมาทางยมทูตผู้เย็นชา อุตส่าห์พูดเสียทีจะได้จบเรื่อง น่าจะพูดเสียตั้งแต่ต้นให้เข้าอธิบายเสียเหนื่อย
"เปล่าเลย สามภพไม่ได้มีจิตสัมผัสถึงกัน"น้ำเสียงเย็นชาแต่แววตาเริ่มมีความรู้สึกคล้ายจะหัวเราะเยาะเทวดาอวดดี
"นี้เจ้า!"เทวดาหนุ่มโกรธขึ้นหน้าตะกี้ยังรักษาหน้าเขาดีๆจู่ๆฉีกย่อบยับทันใด
"เว้นแต่ จะมีกรรมเกี่ยวโยงถึงกันเท่านั้น เพราะหากต่างภพกันแล้วอย่างไรก็สัมผัสกันไม่ได้ภพใครภพมัน"ใบหน้านิ่ง เริ่มฉายบางอย่างคล้ายจะเยาะเย้ย หัวเราะทีหลังก็ดังกว่าเช่นกัน
"ทำเป็นรู้มากวันๆเอาแต่รับวิญญาณไปนรก โธ่ๆ"พณขัณท์เริ่มรู้สึกว่าต้องเก็บหน้าตนเสียแล้วพลางใช้น้ำเสียงเยาะเย้ยกลับไปบ้าง จะยอมแพ้ยมทูตจอมโอ้อวดได้อย่างไร
"ข้ามั่นใจว่าข้ารู้กฏแห่งกรรมมากกว่าเจ้า เทวดาพบแต่สิ่งสวยงามจึงไม่รู้ว่าเเท้จริงกรรมมันก็อยู่ใกล้ๆตัว หากยังได้เกิดเป็นเทวดาหรือยมทูตย่อมมีกรรม โอกาสในการสร้างความดีน้อยกว่ามนุษย์ย่อมต้องใช้กรรม และบำเพ็ญเพียรภาวนาเป็นร้อยๆพันๆปีกว่าจะได้บุญกุศลหรือต้องรอจากบุคคลที่มีกรรมถึงกันจะอุทิศส่วนกุศลให้"ถูกต้องทุกประการ เขาเองเคยได้ยินพณานันท์พูดให้ฟังบ่อยๆแต่เขาไม่เคยใส่ใจเลยแม้แต่น้อย แค่พอผ่านหู แต่ยมทูตจอมอวดกลับรู้มากจริงแท้ท่าทางจะรู้จริง แต่ถึงอย่างไรจะยอมแพ้ไม่ได้
"พอเถอะ จะร่ายยาวกรรมอะไรเนี้ยทำไม บอกฉันมาดีกว่าความจริงคืออะไร"พัดชาขัดกลางปล้องก่อนเพราะดูท่าทีจะมีสงครามปะทะอารมณ์กัน อีกฝ่ายเดือดเร็วเหลือเกิน อีกฝ่ายก็จอมยั่วเสียไม่มี แต่ถึงอย่างไรต้องเข้นเอาความจริงก่อน
"ตกลงแหวนนี้ เกี่ยวอะไรกับนายจริงใช่ไหม"พัดชาค่อยๆดึงแหวนออกจากนิ้วนางข้างซ้ายของเธอ แหวนฤทัย
แหวนแห่งความรักประจำตระกูลของเธอ เป็นแหวนทองทั้งวงฝังพลอยเก้าสียามต้องแสงจะสวยงามมากเลยทีเดียว คุณย่าให้เธอก่อนสิ้นลมซึ่งบอกเพียงสั้นๆว่า "เก็บรักษาไว้ให้ดี" แค่นั้นเอง
"ใช่แล้ว ข้าก็มีแหวนวงนี้ เดี๋ยวข้าเอาให้ดู"พณขัณท์ไม่รอช้าชูนิ้วนางข้างซ้ายของเขา เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาก็มีแหวนเช่นกัน
"ไหนละ ไม่เห็นอะไรเลย"สิริตาพยายามเพ่งพินิจดูแต่เจอแค่นิ้วมือ เธอจึงดันแว่น ถอดแว่นแล้วจ้องดูแต่ก็ว่างเปล่า
"จะเป็นไปได้อย่างไร"ชายหนุ่มเริ่มตกใจ แหวนฤทัยจะหายได้อย่างไร เขาจึงจ้องดูเช่นกันแต่ก็ว่างเปล่าจริงๆ แล้วมันจะหายได้อย่างไร ในเมื่อตั้งแต่เกิดมามันไม่เคยหล่นหายไปไหนเลย จะเล่นซนหนใดก็ไม่หล่อนหาย แปลกจริงแค่ข้ามภพมาแหวนก็หล่นหาย
"มันหายตอนนายข้ามภพมาแน่ๆ นายไม่รู้สึกเลยหรือตอนข้ามภพมาหนะ"สิริตาพยายามช่วยหาสาเหตุเธอเชื่อว่าชายหนุ่มผู้นี้ต้องเป็นเทวดาเพราะการแต่งกายมันใช่ แถมการพูดยังประหลาด และอีกหนึ่งหนุ่มก็ย่อมเป็นยมทูตเช่นกัน เพียงแค่แวบแรกที่เธอเห็นใจมันเชื่อมั่นเหลือเกิน
"งั้นฉันจะพานายไปพิสูจน์กับการข้ามภพของนายทั้งสอง รอเดี๋ยวฉันไปแต่งตัวก่อนนะ"พัดชาไม่รอช้า เธอคิดอะไรดีๆได้แล้ว เห็นทีต้องพึงบางอย่างเสียแล้ว คราวนี้รับรองไม่มีพลาด เธอต้องจับไต๋พ่อหนุ่มทั้งสองให้ได้
"เดี๋ยวนะ ยัยพัดฉันว่าชุดแกก็สวยแล้วนะ"สิริตาสำรวจชุดเพื่อนสาวพลางรีบพูดขัดก่อน เสื้อยืดสีชมพูลายหัวใจสวย แขนเสื้อระบายเป็นชั้นมีลูกไม้น่ารักประดับ กระโปรงพลีทสั้นสีดำมีเข็มขัดสำชมพูสวยๆช่วยประดับให้เสื้อยืดกับกระโปรงพลทดูเก๋ไก๋ ปกติแล้วรสนิยมของพัดชาเองก็เลิศอยู่แล้ว ขนาดอยู่บ้านยังแต่งสวยใสเชียว เธอเองอยู่บ้านโลโซมากใส่เสื้อยืดเก่ากับกางเกงขาดๆด้วยซ้ำจนโดนคุณแม่ดุบ่อยๆ
"ก็จะไปเปลี่ยนกระโปรงสั้นไปดูน่าเกลียด"พัดชารีบเจรจาพลางรีบวิ่งไปด้านบนทันที ปล่อยให้เพื่อนสาวอ้าปากค้างนานๆทีเธอจะมีกาลเทศะปกติเธออยากแต่งอะไรก็แต่งไม่สนใครทั้งสิ้นเว้นแต่บางอารมณ์เกิดคึกอยากเป็นนางเอกก็มี
เสียงฝีเท้ายามรีบวิ่งขึ้นบันไดกลางบ้านดีไซน์โมเดิร์นที่ทางขึ้นลงนั้นโค้งวนเป็นลูกรักบี้ ดังสนั่นเลยทีเดียวขนาดคนข้างล่างยังได้ยินชัดเจนหากขึ้นไปชั้นบนถึงห้องแต่งตัวแล้วเสียงจึงค่อยๆเงียบลง
ลมแรงพัดเอาต้นไม้เล็กลอยไปไกล ขณะเดียวกันบางต้นลู่ลม ส่วนต้นไม้ใหญ่ยังโดนลมแรงโค่นเอาเสียได้ ฝุ่นละอองจากพื้นดินถูกเจ้าลมแรงพัดขึ้นมา หากใครเดินผ่านแถวนี้ก็คงต้องรีบเอามือปิดตาเดี๋ยวฝุ่นจะเข้าตาได้
แต่จู่ๆลมแรงก็หยุดเสียดื้อๆ กลายเป็นเพียงสายลมพัดเย็นสบายแทนมากกว่า พัดเอื่อยๆไม่ใชพายุดังคราวก่อน
"ลมเย็นดีนะ สบายมากเลย"พัดชายื่นหน้ารับลมเมื่อเดินเข้ามาถึงในตัววัดแล้ว วัดแห่งนี้เธอไม่ได้มานานมากแล้วตั้งแต่ยังเด็ก เคยมากกันพร้อมหน้าพร้อมตา แต่บัดนี้ครอบครัวเธอแตกสาแหรกขาด เธอจึงไม่อยากมารำลึกความหลังอันเจ็บปวดแต่เพราะวันนี้มีสิ่งสำคัญกว่านั้น เลยเก็บความเจ็บใส่ลิ้นชักไปก่อน
วัดแห่งนี้เป็นเพียงวัดเล็กๆ อยู่ใกล้ๆหมู่บ้านของเธอ ไม่ค่อยมีใครเข้าวัดแห่งนี้เท่าไหร่เพราะไม่มีเครื่องลางของขลังสมัยนี้ใครๆก็ถือความขลังเป็นใหญ่เสียแล้ว วัดไหนมีของดีแห่กันไปหมด ไม่รู้ว่าความเจริญที่มีอยู่นำความดีหรือความเสื่อมกันแน่
"หลวงพ่อท่านใจดี ฉันจะมาถามท่านเรื่องสองคนนี้"พัดชาเอี้ยวตัวไปกระซิบกับสิริตาเมื่อเห็นว่าทั้งสองยังหาทางลงจากรถเบ๊นซ์คันหรูของเธอไม่ได้ ปล่อยไปก่อนละกัน เดี๋ยววางแผนเสร็จจะปล่อยลงมา
"พระท่านไม่ใช่ร่างทรงจะรู้ได้ไง"สิริตาเสียงแหลมทันควัน นับวันพัดชาจะบ้าหนักเข้าไปทุกที พระที่ไหนจะบอกได้ เว้นแต่ท่านจะมีญาณวิเศษจริงๆ แต่สมัยนี้ต้มตุ๋นกันก็มีเยอะ ถึงแม้วัดนี้เธอจะเคยมาแต่หลังๆไม่ได้มาแล้วจะมีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง
"ฉันเชื่อ แม่เคยบอกว่าท่านตั้งชื่อให้ฉันด้วย"หญิงสาวเถียงไม่ลดละ เธอเชื่อมั่นในความคิดของเธอเกินร้อย
"งั้นชื่อของเธอแปลว่าอะไร"
"ก็แปลว่า ชื่อเพลงไทยทำนองหนึ่ง ชื่อท่ารำนั้นแหละ ว่าแต่ถามทำไมเนี่ย" พัดชาเสียงแหลมทันควัน เพื่อนสาวจะเซ้าซี้เกินไปแล้ว จับผิดไม่ลดละ ท่าทางจะไม่เชื่อน่าดู
พูดถึงแล้วพอพูดถึงแม่ อดคิดถึงไม่ได้จริงๆ แม่อยู่ไหนนะ ยังสบายดีหรือเปล่า เป็นไปได้ไหมที่แม่จะกลับมา กลับมาเป็นครอบครัวเหมือนครอบครัวคนอื่นเขาบ้างที่มีความสุข ไม่ต้องมีบ้านใหญ่ สมบัติมากมายไว้ให้พัดหรอกจ๊ะแม่ แค่กลับมารักพัดเหมือนเดิมได้ไหมจ๊ะ
หญิงสาวรีบเช็ดหัวตาที่ชื้นเพราะน้ำตามันค่อยๆไหลออกมาไม่หยุดสักที เดี๋ยวเพื่อนสาวเห็นจะหาว่าเธอขี้แยได้ เธอไม่อยากอ่อนแอให้ใครเขามาดูถูกได้ พยายามซ่อนความอ่อนแอไว้แล้วแต่บางครั้งความอ่อนแอมันทำร้ายเธอได้มากเหลือเกิน
********************
"ตกลงเจ้าเชื่อข้าหรือยัง"ใบหน้าขาวยื่นหน้าเข้ามาหาหญิงสาว แต่กลับเธอเมินเสียนี้ แปลกเสียจริง สาวน้อยผู้นี้มีแต่จะเถียงฉอดๆ ช่างเจรจาว่าความ แต่คราวนี้กลับนิ่งเงียบเสียนี้ แถมให้เพื่อนสาวตนขับ เจ้าสิ่งประหลาดวิ่งเร็วกว่าราชรถบนสวรรค์ ที่เจ้าสาวน้อยเรียกว่า รถยนต์ สิ่งที่เขานั่งอยู่คือแท่นอย่างหนึ่ง เขากะจะถามเสียหน่อยว่ามันคืออะไรแต่สถานการณ์แบบนี้ เขาจะดูไม่ดีเอาได้หากพูดไม่ยั้งคิด
"ฉันว่ายัยพัดไม่ได้ฟังที่หลวงพ่อพูดหรอก นายอย่าเพิ่งกวนยัยพัดเลย"สิริตาบังคับพวงมาลัย พลางมองเพื่อนสาวตนด้วยความเป็นห่วง เธอสังเกตตั้งแต่ที่พัดชาพูดถึงแม่แล้ว พูดถึงความหลังขมขื่นแบบนี้ใครๆก็ต้องเจ็บปวดเป็นเรื่องธรรมดา
"ใช่ ข้าว่าข้าลืมถามชื่อเจ้าทั้งสอง เจ้าชื่ออะไรนะ"พณขัณท์ยื่นหน้าไปหาหญิงสาวผู้รู้ทาง เขาไม่รูจะเรียกเช่นไรดี แต่ที่รู้ๆหญิงผู้ที่ขับเจ้ารถยนต์ ดูเก่งกาจแต่ไม่ช่างแต่งตัว ช่างเจรจา แต่ช่างคิดมากกว่า
"ฉันชื่อสิริตา นายเรียกฉันว่า ตาก็ได้"สิริตายิ้มแย้มรับพณขัณท์พลางเหลือบมองหนุ่มน้อยยมทูต ดูมีสง่าราศรีเหลือเกิน ขนาดแค่นั่งนิ่งๆเอง
"ส่วนเพื่อนเจ้า ข้าขอเรียกว่าพัดเหมือนกับที่เจ้าเรียกได้ไหม"ชายหนุ่มได้ยินชื่อ พัด บ่อยๆจนคิดว่าชื่อพัดเสียแล้วจึงอยากเรียกชื่อพัดมากกว่า ดูใครๆก็เรียกสาวน้อยช่างเจรจาว่า พัด ทั้งนั้น
"ชื่อนี้ คนสนิทเรียกได้เท่านั้น ไม่สนิทเรียกพัดชา"พัดชาหันมาทางต้นเสียง ชายหนุ่มช่างอวดดีจะมาเรียกชื่อเธอแบบนี้ได้อย่างไร ชื่อพัด สงวนให้แค่คนสนิทเท่านั้น หากคนไม่สนิทจริงๆต้องเรียกว่าพัดชา เพราะถ้าเรียกพัด กันหมดเธอก็งงแย่นะซิ
"งั้นเจ้าอยากเรียกข้าว่าอะไร มาแลกกัน"หนุ่มน้อยยื่นข้อเสนอ
"ขุนทอง นายปากมากเหมือนนกขุนทอง"หญิงสาวยิ้มด้วยความสะใจ พลางหันไปยักคิ้วหลิ่วตาให้ จะตั้งชื่อทั้งทีก็เอาแบบเน้นฮาๆหน่อยยิ่งพูดมากแบบนี้เอาชื่อเจ้านกขุนทองไปเลย
"ขุนทองคืออะไร"กลายเป็น ไม่เข้าใจเสียนี้ ชื่อนี้จะไหวไหมเนี่ย พัดชาลูบหน้าผากด้วยความเหนื่อยใจ คราวนี้จะเอาชื่ออะไรดี ให้เข้าใจง่ายๆ
"ข้าชื่อพณขัณท์ เจ้าอยากเรียกว่าอะไร"เห็นท่าทีกลุ้มใจแล้ว อดขำไม่ได้เขาเลยแนะนำตัวเสียเลย
"ขัน..ขัน ก็ต้องไก่ แต่ไม่ชอบ เอาชื่ออะไรดี ยัยตา" พัดชาหันไปขอความเห็นสิริตาที่นั่งเครียดกับการบังคับพวงมาลัยอยู่ จะเปลี่ยนบรรยากาศให้รถที่เงียบมานาน คึกครื้นขึ้นมาบ้าง
"ขันทองไง จากขุนทองเป็นขันทอง"สิริตาครุ่นคิดอยู่นาน แต่พอหันไปเห็นหน้าหนุ่มน้อยยมทูตใบหน้างามอย่างสังข์ทอง เลยเอาชื่อทองๆหน่อย เกือบหลุดปากไปสังข์ทองเสียแล้ว เดี๋ยวความแตกพอดี
"ขันทอง น่ารักดีนะ แล้วยมทูตผู้เงียบขรึมชื่ออะไรละ"
*************************
หญิงสาวลูบกระโปรงพลีทก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ไม้เล็กๆบริเวณระเบียงในห้องภัทรคินัย ระเบียงนี้ตกแต่งด้วยต้นไม้เล็กๆจำพวกกล้วยไม้ กระถางพลาสติกนั้นปลูกต้นการเวก เวลามันหอมชื่นใจดี ข้างล่างตรงสนามหน้าบ้านก็ปลูกเรียงเยอะแยะ ทั้งจำปี มะลิ บ้านของเธอคล้ายๆสวนดอกไม้ย่อมๆ ป้าแขกมีพันธุ์ต้นไม้เยอะเลยเอามาปลูกเกือบเต็มบ้านไปหมดแต่พอมันออกดอก หอมชื่นใจมาก โต๊ะไม้เล็กๆตรงหน้าเธอมีตุ๊กตาพ่อแม่ลูก กำลังนั่งอ่านหนังสือกันอยู่ เห็นแล้วนึกถึงตอนเด็กๆ แม่ชอบพาเธอมานั่งที่ระเบียงนี้แล้วโอบกอดเธอไว้ ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นเสมอแต่เวลานี้ความอบอุ่นนั้นหายไปเสียแล้ว
"พัด ตกลงเจ้าเชื่อข้าหรือยัง"พณขัณท์ค่อยๆเดินไปหาพัดชาพลางเอ่ยถามเบาๆ ลมเย็นๆตรงระเบียงเย็นชื่นใจที่เขารู้ว่ามันเรียกว่าระเบียงเพราะสิริตาบอก ตั้งแต่เขามาอยู่นี้ทุกสิ่งอย่างดูแปลกใหม่น่าเล่นไปเสียทั้งนั้น เขาจึงออกมารับลมเจอพัดชาพอดี เขาไม่รู้ว่าเธอมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เพราะตั้งแต่ถึงบ้าน พัดชาก็แยกตัวจากคนอื่น ทิ้งให้เขาประจันหน้ากับยมทูตกงจักร ขี้อวดอยู่คนเดียว
"ฉันเชื่อ ฉันถึงได้คิดหนักอยู่นี้ไง"พัดชากอดอกชมวิวทิวทัศน์รอบตัวแต่ไม่สบายใจขึ้นมาเลย กลับรู้สึกแย่มากกว่าขนาดในรถพณขัณท์ก็สร้างเสียงหัวเราะอย่างสนุสนานมาแล้ว แต่เธอกลับยังไม่สบายใจอยู่บ้างเลยขอตัวมานอนพักที่ห้องภัทรคินัย เธอคิดถึงภัทรคินัย ไม่ติดต่อมาหลายปีแล้วป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างนะ ระเบียงตรงนี้เธอกับภัทรคินัยเคยมารับลมเย็นๆกันตั้งแต่สมัยเด็กๆ เธอยังจำขึ้นใจ
"เจ้าคิดเรื่องข้าจริงหรือ"น้ำเสียงนุ่มทุ้มมีแววสงสัยเล็กน้อย แต่ก็เพราะน้ำเสียงขี้เล่นแบบนี้แหละฟังแล้วสบายใจขึ้น ขนาดพณขัณท์มาอยู่ไม่ถึงวัน เธอยังรู้สึกสบายใจและผูกพัน ราวกับเคยเจอกันมาแต่ชาติปางไหน
"เอาเป็นว่านายเคยฝันถึงฉันไหม"จู่เธอก็คิดอยากเปลี่ยนเรื่อง
"เคย ลางๆไม่ชัดเจน"
คำตอบนั้นบ่งบอกชัดเจน ใช่แล้วเธอยังเคยฝันเห็นเขาลางๆเช่นกัน คำถามนั้นพณขัณท์สะดุ้งเล็กน้อยเพราะจู่ๆเธอก็เปิดประเด็นขึ้นมา บางสิ่งเร้นลับมันอยู่ใกล้ๆตัวเธอก็ได้ แต่มันจะหาคำตอบได้หมดทุกอย่างแน่หรือ หากเธอและพณขัณท์มีจิตถึงกันดั่งที่วันนี้หลวงพ่อว่าจริง ฝันนั้นก็แสดงให้เห็นถึงอะไรบางอย่าง
ว่าแต่แล้วกงจักรละ เธอไม่เคยฝันถึงเลยแล้วมาพบเจอกันที่ภพแห่งนี้ด้วยเหตุใด? หรือจะเคยฝันแล้วลางๆอีก บางอย่างบนโลกก็หาคำตอบยากเย็นราวกับเข็นครกขึ้นภูเขา
***********************
"กงจักร ฉันเอาโอวัลตินร้อนๆมาให้"เสียงแหลมเล็กๆของสิริตา สาวน้อยมาดเซอร์บัดนี้กลายเป็นเสียงอ่อนหวานไปเสียแล้ว กว่าสิริตาจะทำใจให้สงบไม่ให้ตื่นเต้นกับการมาคุยกับกงจักรได้นั้นแสนจะยากลำบาก เธอไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรแต่เห็นหน้าทีไรใจสั่นหวิว ควบคุมร่างกายไม่ค่อยได้ คราวนี้เสียงแหลมจิ๊ดๆเหมือนหนูชอบรื้อกับข้าวในห้องครัวกิน ฉายานี้พัดชาตั้งให้เพราะได้ยินเสียงเธอทีไรแสบแก้วหูทุกทีแต่พัดชาเองก็ไม่น้อยหน้าเสียงแหลมแปดหลอดเลยทีเดียว ก็กลายเป็นเสียงนุ่มอ่อนหวานซึ่งเธอพูดเองยังแปลกใจอยู่บ้าง
"ขอบใจ"กงจักรยังคงหน้านิ่ง ไม่ยิ้มรับสิริตาเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ยื่นมือใหญ่มารับสิ่งประหลาดนั้นเท่านั้น เพราะเขาเองหวั่นๆใจอยู่ว่าของสิ่งนี้จะทำอันตรายเขาหรือไม่
"กงจักร ถามจริงนายมาที่โลกมนุษย์ได้ไง"สาวน้อยเห็นท่าไม่ดี ขืนปล่อยให้พูดคำสองคำ หน้านิ่งกันแบบนี้ไม่ดีแน่ เปิดประเด็นหน่อยแล้วกัน ว่าพลางเธอก็หย่อนก้นนั่งลงที่ม้าหินตัวเดียวกับกงจักร แต่เว้นระยะห่างพอควรเพราะอยู่ใกล้ใจมั่นสั่น
"ข้าก็ไม่รู้ ข้าว่ามันมีพลังบางอย่างเท่านั้นเองที่นำข้ามา ข้าบอกไม่ถูกเพียงแต่ข้าแค่เชื่อ"กงจักรยังคงมองตรงไปข้างหน้า ต้นไม้น้อยใหญ่ด้านหน้าใบของมันพลิ้วไหวตามแรงลมเอื่อยๆ ยามเขามาโลกมนุษย์ลมไม่พัดต้นไม้เอื่อยเช่นนี้แน่นอน คราวที่แล้วก็โค่นไม้ใหญ่ไปหลายต้น แต่เขากลับไม่ได้รับแรงลมเลย เพียงแค่เห็นก็รู้ น่าจะมีบางอย่างที่ชักนำเขามาโลกมนุษย์ เวรกรรม หรือ เจ้ากรรมนายเวร สองคำนี้เขารู้สึกว่ามันเกี่ยวข้องกับตัวเขาโดยเฉพาะเวลาเห็นหน้าเจ้าพณขัณท์ เทวดามาดกวนนั้น เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหมั่นไส้และแวบหนึ่งก็รู้สึกโกรธ เคียดแค้นขึ้นมา น่าแปลกจริงแท้ เพิ่งเคยพบหน้ากันแต่กลับรู้สึกบางอย่างเช่นเดียวกับที่เขารู้สึกกับแม่สาวน้อยร่างบาง "พัดชา" รูปร่างหน้าตาช่างงดงามยิ่งนัก ผิวพรรณนวลผ่อง ดวงตามีแววตาประกายตลอดเวลา ริมฝีปากสีแดงนั้นอวบอิ่มได้รูป เช่นเดียวกับพวงแก้มขาวเนียนอมชมพูสวยเชียว ในทุกวันเขาจะมีชีวิตกับนรก ความทรมานแต่บัดนี้ผ้ากลับเปิดทางสว่างให้เขาได้พบกับความสดใสที่มาพร้อมปริศนาบางอย่าง เขามั่นใจสามโลกไม่เคยเปิดง่ายๆ การที่สามภพสามชีวิตมาพบเจอกันย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดา!
สิริตาพยายามอ่านใจกงจักรอยู่เขาคิดเช่นใด แต่ตลอดทั้งวันจนถึงตอนนี้ใบหน้ายังคงนิ่งเฉย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นดูจะมีสติเหลือเกิน ปกติแล้วเวลาดูคนให้มองที่แววตาแต่คงใช้กับกงจักรไม่ได้เลยแม้แต่น้อยเพราะแววตาที่ว่ากันไม่มีอะไรเลย ดูจะว่างเปล่าเสียมากกว่า
ยามเย็นแบบนี้ ตะวันค่อยๆตกดิน ในสวนหลังบ้าานนี้เป็นมุมที่ดีจะมองเห็นพระอาทิตย์ตกดินสวยมาก สวนหลังบ้านมีอาณาเขตกว้างพอสมควรเพราะใช้ปลูกไม้ดอก ไม้ผล พืชผักสมุนไพรมากมาย
หากพอเดินเข้ามาในสวนจะเจอน้ำพุรูปปลาพ่นน้ำเก่าๆมีตะไคร่น้ำขึ้นเต็มไปหมดราวกับขาดคนดูแล เพราะในสวนนี้น่ากลัวมาก รอบกายมีแต่ต้นไม้ยิ่งตกดึกยิ่งน่ากลัวแถมพัดชายังชอบแกล้งคนสวนให้มาดูแลตอนกลางคืนอีกทีนี้จะมีใครกล้ามาได้อย่างไร ส่วนเจ้าตัวพอรู้ว่าไม่มีใครมาทำก็วีนบ้านแตก ทั้งที่เรื่องนี้เป็นเพราะตนเองแท้ๆเชียว เป็นเธอ.. จ้างให้ก็ไม่มาหรอก
สวนแห่งนี้จะแบ่งเป็นส่วนๆส่วนแรกจะปลูกไม้ดอกก่อนจำพวกดาวเรือง กล้วยไม้ ชบา ดอกสวยงามแต่ไม่ให้กลิ่นให้แค่ความสวยงาม ส่วนพอเดินไปอีกหน่อยก็เจอกับต้นไม้ใหญ่ปลูกไม้ดอกให้กลิ่นหอมอย่างจำปี จำปาแต่แอบมีมะลิกลิ่นหอมชวนใจอยู่ด้วย
อีกมุมหนึ่งใต้ต้นไม้ใหญ่มีชิงช้าไม้ตัวน้อยอยู่ใต้ต้นไม้นั้น นานแล้วที่เธอและพัดชาไม่ได้มาเล่นด้วยกัน ตั้งแต่ที่พ่อแม่พัดชาเลิกกัน ชิงช้าน้อยตัวนี้ก็ถูกลืมเธอไม่รู้ว่ามันเกี่ยวอะไร พัดชาไม่เคยบอกเธอเรื่องนี้ แต่มันต้องมีเหตุผลบางอย่างนั้นแหละ
กางเกงยีนส์ตัวโปรดขาสั้นแค่เข่าที่เธอใส่มาวันนี้ทำให้เธอนั่งและเดินเหินสะดวกแถมยันส์ตัวนี้เธอใส่แล้วดูดีเลยขอใส่มาซะหน่อย อีกอย่างพอใส่กับเสื้อสีฟ้าสว่างตัวนี้ดูจะเขากันมากทำให้ดูมีมาดผู้หญิงกว่าเคย ถ้าแม่เธอเห็นคงแซวทั้งวันทั้งคืนแน่ๆ วันนี้ก็เช่นกันเดี๋ยวสักทุ่มนึงจะกลับไปอาบน้ำแต่งตัวให้สวยซะหน่อยแล้วค่อยมานอนค้างบ้านเพื่อนสาวก็ได้ ปกติตกกลางคืนเธอจะชอบนอนที่บ้านมากกว่าแต่คราวนี้ใจไม่ติดบ้านซะงั้น อาจเป็นเพราะบางอย่างที่เธออยากรู้และติดใจก็ได้
***************************************
"บางทีนะโยม เรื่องบางเรื่องไม่มีเหตุผลหรอก หมั่นกรวดน้ำอโหสิให้เจ้ากรรมนายเวรเขาบ้างเขาจะได้เลิกจองเวร กรรมของใครก็ของใคร การที่จะได้มาเจอกันนั้นขึ้นอยู่กับกรรม"หลวงพ่อไม่ได้พูดตรงๆแต่มันกระตุกหัวใจเธอ หวนนึกไปถึงความฝันประหลาดๆก่อนหน้านี้
ชุดนอนผ้าบางลายคิตตี้สีชมพูทั้งชุดเหมาะกับสาวน้อยหวานแหววเช่นเธอ ในสายตาใครๆก็มองเช่นนั้นแต่จริงๆเธอชอบสีฟ้ามากกว่าแต่เพื่อเอาใจภัทรคินัย สมัยก่อนตอนที่แม่ยังอยู่ด้วยภัทรคินัยคะยั้นคะยอให้ใส่ชุดนอนตัวนี้ให้ได้
"พ่อว่ามันเหมาะกับพัด มากกว่าสีฟ้า"
"ก็พัดไม่ชอบ พ่อภัทรชอบสีชมพูแค่คนเดียว แม่ก็ชอบสีฟ้าเหมือนพัด"เด็กน้อยเถียงให้ได้
หลายปีผ่านไปชุดนอนตัวนี้คับเธอจึงไปหาซื้อแถวตลาด ห้างสรรพสินค้ากว่าจะหาได้แทบตาย ชุดนอนนี้ลายแบบนี้เขาแถบจะเลิกผลิตแล้ว แต่เธอไปวีนแตกถึงบริษัทเลยยอมผลิตให้เธอแบบฟรีๆ ...แหม คราวหน้าจะไปเอาระเบิดถล่มซะหน่อย
ย้อนถึงความหลังทำให้เธอยิ้มได้ แต่ถ้าปัจจุบันช่างขมขื่น เธอรู้สึกถึงความชื้นที่ขนตา เกรงว่าป้าแขกจะเห็นเธอจึงโบกมือให้ออกไปก่อน
สามทุ่มกว่า นับว่านี่เป็นวันที่เธอนอนดึกที่สุด ยามปกติเธอมักเข้านอนแต่หัววันเพราะกลัวขอบตาดำไม่สวยและอ้วน แม่เคยบอกไว้
"ดีแล้วที่พัดนอนแต่หัววัน ดูซิผอมบางเชียว"
เหมือนที่แม่พูดไม่มีผิด เพราะเธอรักษารูปร่างอย่างดีจึงไม่อ้วน หุ่นดี สูง เพรียว หลายคนชมเธอว่าหุ่นดียังกับนางแบบ น่าจะจับงานนี้ได้ แต่เธอว่ามันดูจะเป็นอาชัพที่ไร้แก่นสาร ไม่มั่นคงเสียมากกว่า
ว่าแต่ป่านนี้พณขัณท์ไปไหนแล้วนะ ตั้งแต่ที่เธอขอตัวมาอาบน้ำนอนเพราะใกล้ค่ำแล้วจึงปล่อยพณขัณท์ไว้ในห้องนอนภัทรคินัย เธอชอบเรียกชือพ่อ พ่อภัทร มากกว่าเรียกว่าพ่อ แต่ตอนนี้หลังจากแม่จากไปไกลแสนไกลคำว่าพ่อไม่เหลืออีกแล้วซิินะ..ปกติแล้วแม่มักเรียกชื่อพ่อ ไม่เคยเรียกพ่อเหมือนบ้านอื่นเลย ว่าแต่นายขันทอง..ป่านนี้ไม่พังห้องภัทรคินัยแล้วรึ?
พัดชากดปุ่มสวิซต์ปิดหน้าจอไว้ชั่วครู่ พอนึกขึ้นได้ก็ชักหวั่นๆ เทวดามาดกวนนั้นดูท่าจะไว้ใจไม่ได้แหะ!
หญิงสาวก้าวขายาวๆด้วยความเร่งรีบหมายให้ไปถึงห้องภัทรคินัยไวๆ แต่ห้องอยู่ไกลกว่าห้องเธอ แหม อยากให้เร็วเท่าความคิดเธอจริงๆ..สาธุ อยากเพิ่งเป็นอะไรไปเลย
เธอเดินเลี้ยวไปทางขวา แล้วเลี้ยวซ้าย ทำไมนะสร้างห้องนอนไว้ไกลกันจัง วันหลังจึงทุบบ้านทิ้งแล้วสร้างใหม่
"ช่วยด้วย!"เสียงทุ้มนั้น เสียงพณขัณท์หรือเปล่า?
"ขันทอง.."หญิงสาวพังประตูเข้าไป ทั้งๆที่ประตูไม่ได้ล็อกแต่เพราะร้อนใจดั่งไฟลน
"ทีวี..ทำไม !"จากน้ำเสียงแห่งความห่วงใยเมื่อครู่กลายเป็นเสียงแหลมปริ๊ดเกินแปดหลอด ใบหน้าแดงก่ำ มือเรียวกำแน่น ...มาช้าไปจริงๆ
"นายตาย!"ไม่ทันขาดคำ ของอะไรใกล้ตัว บัดนี้ถูกปาจนแตกหักเสียแล้ว
"ฟังข้าก่อน.."ยังไม่ทันพูดจบประโยค ของแปลกๆแห่งเมืองมนุษย์ก็ลอยมาแล้ว ชายหนุ่มหลบซ้าย
หลบขวาแม่นยำ ตอนนี้ไม่เห็นทางหนีนอกจากหลบแบบนี้เท่านั้น
มนุษย์แม้ไม่มีเวทมนตร์แต่อารมณ์นี้แหละน่ากลัวจริงแท้ ไม่ว่าใครย่อมมีอารมณ์เป็นของตนและอารมณ์นี้แหละที่เป็นเหตุก่อทุกข์มากมาย ก่อกรรม แต่ตอนนี้เลิกคิดเรื่องก่อกรรมเสียก่อน เพราะรู้สึกว่าอีกไม่นานอารมณ์พัดชาจะปะทุแรงและพาเข้าลงนรกได้
"ได้ยินเสียงอะไรไหม?"สิริตาหันไปถามกงจักรหลังจากเงียบอึกอักกันมานานอย่างน้อยเจ้าเสียงนี้ก็เปิดประเด็น แต่ดูท่าแล้วประเด็นใหญ่เสียด้วย..เอ มันคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นเสียง
"พัดชา!"สองคนพูดพร้อมกัน หันหน้ามาประจันกัน จ้องตากันชั่วครู่ จริงสิ! พัดชาอยู่บนบ้านกับพณขัณท์..ทั้งสองดวงตาเบิกโพลงทันที ท่าทางจะมีเรื่อง
"ก็ข้าได้ยินเสียงขอร้องให้ช่วย ข้าก็ไม่รอช้า ข้าผิดด้วยหรือ?"น้ำเสียงอ้อนวอน ดวงตาปริ่มน้ำตา ร่างกำยำสั่นราวกับลูกนก น่าตลก ผู้ชายขี้กลัวโดยเฉพาะเวลาทำความผิด
"นายจะพูดอ้อนวอนทำไม นายมาทำของพ่อ..เ่อ่อ ภัทรคินัยฉันพังเนี่ยนะ!"พัดชาตวาดแว้ดเข้าให้แต่ประโยคหลังเสียงเธอลดลงเธอรู้ตัวดีว่าเธอไม่ควรพูดคำว่าพ่ออีกต่อไป มือเรียวแอบตีปากตัวเองเล็กน้อย
"เอาเหอะน่า..พัด เขาสำนึกผิดแล้วนะ"สิริตาวิ่งเข้ามาทันพอดี ยังดีที่ทั้งสองปะทะแค่คารมหรือก่อนนั้นอาจปะทะอย่างรุนแรงเธอก็ไม่รู้ แต่ตอนนี้แก้สภานการณ์เฉพาะหน้าจะดีกว่า คนอย่างพัดชาอารมณ์ไม่เคยคงเส้นคงวาหรอก ขึ้นๆลงๆ ขึ้นง่ายลงง่ายหรือบางหนก็ลงยาก เอาใจยากเป็นที่สุด
สิริตาหอบ ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกปนเหนื่อย ส่วนบุรุษที่ตามต้อยๆมาด้านหลังเก็บอาการนิ่ง
"เจ้าเอาแต่ก่อปัญหาจริงแท้ เทวดาจอมโง่"น้ำเสียงเรียบ พูดโดยไม่หันหน้ามองแต่คนถูกด่ารู้ตัว ใบหน้ากงจักรนิ่งเงียบและเย็นชา รู้สึกว่าอาการว่ากระทบแบบนี้จะแรงมากพอควร อีกฝ่ายถึงกับหน้าแดง มือใหญ่กำแน่นราวกับจะพลุ่งมาต่อย
"เจ้าจะตอกย้ำข้าทำไม เจ้าดีแต่พูดเสียมากกว่าเถอะ!"พณขัณท์กระแทกเสียงตอบ ยมทูตหน้านิ่ง เจอกันครั้งแรกก็ฉะเขาเหลือเกิน คราวนี้ยังจะตามมาฉะได้อีก เขาอยากให้เจ้ายมทูตนี้..ไปเกิดใหม่เสียที ไม่น่ามาพานพบกันเลย
"พอได้แล้ว!ทั้งพัด ทั้งกงจักร ทั้งพณขัณท์"ทั้งสามกันมาทางต้นเสียงพร้อมกัน ดูท่าคนที่โกรธและเหนื่อยที่สุดคือสิริตา พัดชาค่อยๆคลายอาการโกรธลงเมื่ออีกฝ่ายหนักกว่าตน ส่วนคู่กรณีสวรรค์ นรก ก็หันหน้ากลับมาจ้องหน้ากันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อกัน
"นายทั้งสอง ฉันว่าเรามาช่วยกันคิดดีกว่าปริศนาสามภพหน่ะ"คราวนี้พัดชานิ่งพอจะควบคุมได้แล้ว จึงหันมาปรามทั้งสองแทน
"คิดอะไรออกแล้วหรอพัด?"สิริตาซับเหงื่อที่ไหลหยดเป็นทางยาวพลางหันมาถามพัดชา ท่าทางนิ่ง เงียบ ขรึม เหมือนๆจะคิดอะไรออกแล้วเพระาตั้งแต่กลับจากวัดก็ท่าทีแบบนี้เลย
"ลองคิดอย่างที่หลวงพ่อนั้นแหละ ฉันว่าเรื่องเวรกรรมมันมีจริงนะ"พัดชาเดินไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ที่มุมห้อง เอามือประสานไว้บนตัก คิ้วขมวดมุ่น ตาสวยเพ่งพินิจด้วยความสงสัยและไตร่ตรอง
"แต่ฉันว่านะ เราควรหาทางให้สองคนนี้ได้เรียนหนังสือก่อนดีไหม เกิดปล่อยไว้ในบ้านมีหวัง..บ้านพัง!"สิริตาหย่อนก้นลงบนเตียงนุ่ม ไหนๆจะคุยกันก็หาที่นั่งดีกว่า ยืนเจรจากันแบบนี้ เมื่อยเปล่าๆ
"จะพาไปเรียนที่มหาวิทยาลัย จะคณะเดียวกันไม่ได้หรอกนะ ถึงครอบครัวฉันจะมีเส้นมีสายพอตัวแต่มันดูไม่ดีเท่าไหร่ เอาคณะที่แบบเราไม่โดนด่ากลับมาดีกว่าไหม ฉันไม่อยากไปนั่งเถียงกลับฝ่ายวิชาการหน่ะ จู้จี้ขี้บ่นเกิน.."พัดชาพูดไปบ่นไป ก็อาจารย์ฝ่ายวิชาการนั้นซิที่กล้าท้าจะไล่เธอออก ช่างไม่รู้ถึงเส้นสายของเธอซะแล้วแต่ถึงกระนั้นอาจารย์ก็อายุมากๆเท่าๆกับปู่ย่าตายายเธอเลยไม่อยากมีเรื่อง แต่ถ้าอายุน้อยกว่านี้สักนิดได้มีเรื่อง!
แล้วยิ่งจะฝากใครก็ไม่รู้ที่ไม่มีเกียรติประวัติงามๆ ไปเข้าเรียนคณะวิทยาศาสตร์ คณะเดียวกับเธอได้โดนไล่ตะเพิดออกมาแน่นอนเพราะนอกจากจะโดนสวดยับยังจะเฉียดๆโดนไล่ออกและติดเอฟ ไม่วิชาไหนๆก็ไม่มีใครกล้าให้เธอแต่อาจารย์ฝ่ายวิชาการนี้แหละกล้าได้กล้าดี สักวันเธอจะล้างระบบซะเลย
"เธอก็ไปดักตบเลยซิ.. เห็นปกติกล้า"ประโยคหลังเพื่อนสาวหัวเราะเสียงดังลั่นเมื่อได้พูดถึงวีรกรรมแสบๆของพัดชา อาจารย์ยิ่งสาวๆยิ่งเฉียดตายไว ก็พัดชาแม่สาวตัวดี กล้าท้าตบ หากในคราวนั้นเธอไม่ไปห้ามไว้ พัดชาได้โดนสวดอีกแน่ๆ
"นี้!เค้าแก่เท่าย่ายายฉันนะยะ"พัดชาเท้าสะเอว ลุกขึ้นดิ้นเร่าๆ กระทืบเท้า ราวกับเด็กๆโดนขัดใจ เสียงแหลมๆเถียงกลับมาอย่างไม่ยอมแพ้ทำให้สิริตาต้องเตรียมสำลีอุดหูแม้จะโดนบ่อยแต่ไม่ยักจะชินสักที แตกต่างกับกงจักร ท่าทีแบบนี้ดูไปดูมาก็น่าชมดีแท้ คล้ายเด็กๆท่าทีใจร้อน ใบหน้าฉายแววทุกความรู้สึก ดวงตาไม่เคยปกปิดใดๆเลยเวลายิ้มก็ดวงตาหยี เล็กจนแทบมองไม่เห็น ต่างกับเขาเหลือเกินท่าทีนิ่งๆ ต้องพูดน้อย ว่าน้อยตามระเบียบ ไม่ได้หัวเราะก็อึดอัดเหมือนกัน
'เจ้านี้ มันมองแล้วยิ้ม ท่าจะบ้า!'พณขัณท์ส่ายหัวพลางเกาหัวกับท่าทีประหลาดๆของกงจักร นานๆทีจะยิ้มเห็นปกตินิ่งยิ่งกว่ารูปปั้น มองพัดชา แม่สาวน้อยผู้น่ารักแล้วยิ้มแบบนี้หมายความว่าอะไร หรือจะคิดลงสนามแข่งกับเขา เจ้านี้เกิดมาเพื่อเป็นมารผจญเขาโดยแท้ ดูท่าสงครามคราวนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน เขาจะประมาทไม่ได้
"แล้วอย่างนี้จะให้เข้าเรียนคณะอะไรดีละ พัด"สิริตาพยายามกลั้นหัวเราะแต่ก็ทำไม่ได้จึงพูดไปยิ้มไปก็ท่าทีพัดชานะซิ จิกตา ค้อนเบ้อเริ่มมาให้เธอ ทำอย่างกับเด็กๆ
"นิเทศศาสตร์ละกัน ฉันนะซี้ๆกับอาจารย์ดาว"อาจารย์ดาว เพิ่งจะเรียนจบมาได้สองสามปีจึงอายุใกล้เคียงกับพัดชาอยู่บ้างและด้วยความใจดี เป็นกันเองจึงสนิทกับใครๆได้เร็วรวมทั้งเธอ ดังนั้นจึงไม่น่าจะใช่เรื่องยากอะไรที่จะฝากฝังพ่อหนุ่มจอมวุ่นวายทั้งสองเข้าเป็นลูกศิษย์
"แต่อาจารย์แก ไม่ได้ใหญ่โตมาจากไหนเลยนะ..เกรงว่าจะโดนผอ.ไล่ออกก่อนนะซิ"สิริตาหวั่นใจ อาจารย์ดาวเพิ่งทำงานได้ไม่กี่ปีไม่มีเส้นสายใหญ่โตเหมือนพัดชา หากทำการตามใจแบบนี้อาจใจเรื่องด่วนเป็นภัยแก่ตัวได้
"ผอ.นะรึ? จะกล้า พ่อฉันนะร่วมสร้างมหาวิทยาลัยนี้มาด้วยกัน ลองกล้าซิ..ฉันจะตบให้คว่ำเลย!"น้ำเสียงแสดงถึง
ความพอใจและทะนงในตัวเอง พัดชาปัดมือไปมา ท่าทางคล้ายคนคันไม้คันมือ เจ้าตัวมีทั้งเงินทองและเส้นแบบนี้ ใครที่ไหนจะกล้าแหยมเว้นแต่เหล่าอาจารย์มือปราบแห่งวิชาการนั้นแหละ ไว้คราวนั้นจะยกพวกไปดักตบให้หายคันไม้คันมือ
"เอาเป็นว่าพรุ่งนี้ นายทั้งสองเตรียมตัวเองให้พร้อม เท่านั้นพอ!"พัดชาลุกจากเก้าอี้โดยไวพลางหันไปทางจอมวุ่นวายทั้งสอง เรื่องราววุ่นวายในคืนนี้คงจะจบสักที เอาไว้วันหลังจะมาเคียร์เรื่องทีวี.ใหม่ วันนี้เธอต้องรีบกลับไปนอนเพราะเมื่อดูนาฬิกาเรือนเล็กบนหัวนอนภัทรคินัยบอกว่าเลยเวลาหลายยามมาแล้ว
รู้มั้ยทำไมฉันถึงได้เรียกแต่ชื่อพ่อไม่เคยเรียกว่าพ่อตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาแล้วรู้ไหมทำไมฉันไม่เรียกชื่อแม่เลย..
..ก็เพราะว่าฉันได้ลบชื่อแม่ไปจากใจ ภาพของแม่ได้เลือนรางจากฉันไปทุกที..แม่ไม่เคยย้อนกลับมาเลย พ่อก็เหมือนกัน..
ค่ำคืนที่ทุกคนต่าางหลับใหลเวลาล่วงเลยมาหลายยามมากแล้ว แต่พัดชายังทอดสายตายาวไปไกลเหลือเกิน สายตามองไปไกลสุดลูกลูกตามองทอไปไกลมาก หวังว่าความห่างไกลที่ภัทรคินัยเจอจะทำใ้กลับมาเป็นคนเดิมนะ เธอหวังคำว่า ครอบครัว มานานแสนนาน..
ภายนอกที่เธอแสนหยิ่ง มั่นใจในตัวเองสุดๆ แต่หากแท้จริงอ่อนไหวและแสนเจ็บปวดเมื่อยามนึกถึงความเจ็บปวดนี้ทีไรมันแผ่ซ่านทั่วร่างกาย..เจ็บเหลือเกิน
หยาดน้ำใสๆเอ่อล้นจากดวงตามันคล้ายว่าตอนนี้เขื่อนแตกแล้วซินะ..ทำไมเธอต้องมาอ่อนไหวแบบนี้ด้วยนะ..ไม่เข้าใจว่าทำไม..
นานมาแล้วที่ร่างบางของพัดชาขาดไออุ่นรักขาดอ้อมกอดที่ถวิลหา ทุกยามค่ำคืนฝันร้ายยังติดตาม ความฝัน..ฝันถึงในวันนั้นวันที่เคยมีจริง..ฝันซ้ำไปซ้ำมา เหตุใดหนอชีวิตที่เพีรยบพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติกลับขาด...อะไรบางอย่างนั้น บางอย่างที่เธอรอคอย จะมีไหมวันนั้นที่รอคอย..
พัดชานั่งห่อไหล่ ถอนหายใจยาว เหม่อมองไปไกล คิดย้อนเรื่องราวอันแสนงดงามในวันวาน บริเวณระเบียงที่ื่ยื่นออกมาจากตัวห้องนอน เธอนอนไม่หลับและมิอาจข่มตาหลับได้เลย ทุกค่ำคืนเธอไม่เคยหลับสนิทเลย..และค่ำคืนก็เป็นทุกค่ำคืนที่พอตกดึกเธอจะออกมานั่งถอนหายใจ คิดถึงเรื่องราวแสนประทับใจในอดีตแต่แสนทิ่มแทงในใจปัจจุบัน สายลมอ่อนๆพัดโชยมา ชานระเบียงเธอปลูกดอกการเวก มันหอมยามค่ำคืน หากแต่กลิ่นหอมไม่ช่วยอะไรเลย
"พัด...!"เสียงตะโกนดังมาจากด้านล่างทำให้หญิงสาวก้มลงไปดู
"นายขันทอง.."พัดชาพึมพัมเบาๆ เมื่อมองภาพจากด้านบนเห็นชายหนุ่มในชุดนอนสีเทาลายขวางขนาดดูใหญ่กว่าตัวไปหน่อยจริงๆมันคือขนาดตัวของภัทรคินัย พณขัณท์จัดเป็นผู้ชายตัวเล็กหากเธอประเมิณดูก็เกือบๆ170เซนติเมตร ไม่อ้วนดูสมส่วน ใบหน้าหวาน ตาโต ริมฝีปากอวบอิ่มเหมือนผู้หญิง ส่งยิ้มหวานมาให้เธอ พลางโบกมือไปมา ก่อนพูดอะไรบางอย่าง
"มาคุยกับข้าไหม..ข้าเห็นเจ้านั่งเหม่ออยู่คนเดียวนานแล้ว"
ถ้าเป็นเวลาปกติที่หัวใจไม่อ่อนแอไม่คิดถึงเรื่องนี้เธอจะไล่ตะเพิดชายหนุมจอมกวนจอมหาเรื่องปวดหัวให้เธอออกไปไกลๆ จะบอกเลยว่า อย่ามายุ่ง..หากแต่เวลานี้จิตใจที่ขาดที่ยึดพิง พักพิง อยากหาสักคนมาข้างกายมานั่งฟังเรื่องราวของเธอไม่ต้องให้คำปรึกษาแค่ฟังเธอก็พอ...
"อืม..เดี๋ยวลงไป"พัดชาตะโกนตอบ ก่อนยิ้มตอบชายหนุ่ม
หญิงสาวร่างบางเดินเอื่อยๆตรงมายังชายหนุ่มที่ฉีกยิ้มกว้างจริงใจส่งมาให้เธอ ชายหนุ่มนั่งอยู่ตรงชิงช้าไม้ตัวเก่าใต้ต้นไม้ใหญ่ในสวนหย่อมที่มีเพียงไม่กี่ต้นส่วนมากรายล้อมด้วยไม้ดอกไม้ประดับ
ชิงช้าตัวนั้นไม่มีใครนั่งเล่นนานแล้วละ..เพราะทุกคนรู้ดีว่านั้นคืออดีตอันเลวร้ายของเธอ อดีตที่อยากลบเลือนมันไปแต่ทำไม่ได้...
ชิงช้าตัวเก่า ไม้ก็ผุเสื่อมตามกาลเวลา..
ไม่ไกลจากชิงช้าตัวเก่ามีม้านั่งไม้ตัวยามเก่าและผุแล้วเช่นกัน ในสวนสวยของบ้านคนรวยควรมีม้านั่งสวยๆหากแต่เธอไม่สนใจหรอกเธอไม่ค่อยเข้าสวนไม่ค่อยซื้ออะไรมาประดับอยู่แล้ว ม้านั่งตัวนี้ก็จัดวางไม่เข้ากับบ้านของเธออันใหญ่โตหรุหราหากแต่เข้ากับชิงช้าตัวเก่า
เธอหย่อนก้นลงตรงม้านั่งตัวเก่า
"เจ้าคิดอันใดอยู่รึ?"ชายหนุ่มเปิดประเด็นถามไม่อ้อมค้อม
"เฮ้อ..."พัดชาถอนหายใจยาวอีกครั้ง มันนับครั้งม่ถ้วนแล้วละ กับเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆในวันนี้ทั้งมาจากปัญหาในอดีตและปัญหาจากพ่อตัววุ่นต่างภพตรงหน้านี้ละ
"นายเกิดมาจากอะไร มีพ่อแม่ไหม?"เกรงอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจ เธอจึงเกริ่นก่อน อีกฝ่ายได้ยินทำตาโตราวกับตกใจ ก่อนทำท่าฟึดฟัดโมโห
"ข้าก็เหมือนมนุษย์เช่นกับเจ้า...!"พณขัณท์ ตะโกนดัง ครั้นรู้ตัวว่า แสดงท่าทีโมโหเกินจนอีกฝ่ายเอามือทาบอกตกใจ เตรียมอ้าปากแย้งชายหนุ่ม เขารีบลดระดับเสียงทันที
"ข้ามีเสด็จพ่อเสด็จแม่เช่นเจ้า.."
"เรียกซะหรูหรา.."เธออดเหน็บอีกฝ่ายไม่ได้ อารมณ์ขึ้นเมื่อครู่ลดลงหายไปเกือบหมดแต่อดจะพึมพัมด้วยความหมั่นไส้ไม่ได้
"หรู..หรา..?"อีกฝ่ายเลิกคิ้วขึ้นไม่เข้าใจ
"พอๆ..ไม่ต้องถามแปลว่าอะไร"
เธอตัดบทยกมือโบกไปมา ก่อนเข้าเรื่อง
"คิดถึงไหม?"เสียงแหลมที่เปล่งออกมาแหบพร่า แทบจะเป็นเสียงกระซิบอันแผ่วเบา ใบหน้าสวยค่อยๆเบือนไปทางอื่น สะกดกลั้นความรู้สึกในหัวใจ ความเจ็บ และน้ำตา เรื่องในอดีตยิ่งพูดยิ่งตอกย้ำในหัวใจ
"คิด"พณขัณท์พยักหน้ารับคำถามนั้นพลางพูดตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำ..นอกจาำคำว่าคิดถึงแล้ว คำว่ารู้สึกผิด ละอายใจในบาปยังติดตรึงในดวงหทัย..เขารู้ดีว่าการหนีมาแบบนี้ น้องสาวของเขาจะเผชิญกับเรื่องอันใดบ้าง
"แล้วเสด็จพ่อเสด็จแม่เจ้าอยู่ไหน?'เมื่ออีกฝ่ายเงียบไป เขาจึงถามก่อน
"เรียกว่าพ่อแม่..จะดูดีกว่านะ"
"พ่อ..แม่.."เขาค่อยๆพูดช้าๆตามหญิงสาว ไม่คุ้นเอาเสียเลย
"พ่อแม่หนีฉันไป..นานแล้ว"เธอรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่จุกในอก น้ำเสียงที่เปล่งออกมาสั่นเครือ ยิ่งปลายเสียงแผ่วเบา แถมจะกลืนหายลงไปในคอ
"เช่นนั้นเจ้าอาจได้เจอ..พ่อ..แม่ เจ้า"คำว่าพ่อแม่เขายังพูดช้าๆแต่ชัดเจน ไม่คุ้นลิ้นติดปากเท่าไรนัก
"ไม่..ไม่.."พัดชารู้สึกได้ถึงความอ่อนแอที่บัดนี้ถาโถมเข้ามาอย่างหนักหน่วงในหัวใจ เธอสร้างเกราะความเข้มแข็งมาต่อสู้ หากแต่น้ำเสียงแผ่วเบาปฏิเสธหลายครั้งนั้นมาพร้อมกับน้ำตาที่ค่อยๆไหลรินออกมาจากดวงตาคู่สวย เธอส่ายหน้าไปมา ..ส่วนลึกแล้วเธอยอมรับว่าอยากเจอแต่กลัว กลัวเหลือเกินกับการเจอสายตาเย็นชา ท่าทีห่างเหิน..พ่อไม่ใช่พ่อมานานแล้ว
"ข้า..ไม่รู้จะได้เจออีกเมื่อใด?"เขารับรู้ความอ่อนแอนั้น เขาสบตาคู่สวยที่ฉายความอ่อนแอในเวลานี้ หากแต่เขาไม่ตอกย้ำไปมากกว่านี้ เขาเลือกจะบอกในเรื่องของเขาให้เธอได้รู้ว่า ยังมีใครที่อยากเจอเสด็จพ่อเสด็จแม่แต่ไม่รู้คราใดจะได้เจอ
"ทำไม..?"เธอเลิกคิ้วขึ้นประหลาดใจ หันมาสบตาอีกฝ่ายที่จ้องมองทะลุนัยน์ตาเธอ ภายนอกเขาดูสดใส ร่าเริง จริงใจ นิสัยคล้ายผู้หญิงในบางที พูดมาก จอมวุ่นวายตัวป่วน หากแต่เวลานี้เธอรู้สึกว่าแค่ได้พูดกับเขา เธอรู้สึกว่าบางอย่างที่จุกในอกเธอเวลานี้มันค่อยระบายออกไปบ้าง ทั้งที่เพิ่งแค่พูดกันไม่กี่คำเอง
"เวลา..กั้นข้าไว้อยู่..แต่..เจ้าอย่าสนใจเลย.."
""สิ่งที่เจ้าควรรู้ในเวลานี้คือ..ในยามที่ท่านยังอยู่เจ้าโชคดี และเจ้าโชคดีมากที่ท่านยังอยู่ในโลกเดียวกัน โลกมนุษย์ด้วยกัน..หลายเรื่องที่เจ้าไม่อยากยอมรับ เวลาหนึ่งเจ้าจะยอมรับมันได้ เจ้าจะผ่านมันไปได้ เชื่อ..ขันทองของเจ้าสิ.."ปลายเสียงทำเสียงร่าเริง สายตาเจ้าชู้ ยักคิ้วหลิ่วตาส่งมานั้น ในตอนแรกเธอเกือบรู้สึกดีกับคำปลอบประโลมธรรมดาที่เธอเคยได้ยินมา หากแต่คนตรงหน้าไม่เหมือนคนอื่น กำลังใจที่เขาส่งมาจริงใจ สัมผัสได้ รู้สึกได้ แต่..แค่เกือบ เจอสายตาเจ้าชู้แววตาแพรวพราวกับปลายประโยค..ขันทองของเจ้า..เธออดเผยยิ้มกว้างออกมาไม่ได้ ยิ้มที่ในความรู้สึกแบบนี้มันห่างหายมาเินิ่นนาน
"บ้า...เดี๋ยวตีขันแตกเลย!"
ทำไมเธอถึงรู้สึกถึงไอร้อนบริเวณพวงแก้มทั้งสองข้าง ร้อน ร้อนมากขึ้นเมื่อชายหนุ่มผู้หยอดคำหวานเมื่อครู่เดินตามเธอต้อยๆอ้างจะมาส่งเธอเข้านอน ทั้งที่เธอไล่ไปหลายรอบแล้ว อีกฝ่ายก็ยังตื้อจะตามมาให้ได้
"ถึงหน้าห้องเจ้าแล้ว..พัด"เขาแสร้งทำมองลมฟ้าอากาศ หากแต่อมยิ้ม ทำเอาอีกฝ่ายที่มองเขาอยู่ รู้สึกถึงเสียงหัวใจเต้นแรงแปลกๆไม่ได้ ที่มาพร้อมความรู้สึกแปลกๆ..เธอรีบปัดความรู้สึกนั้นออกไป พลางแสร้งตีหน้าเรียบเฉย พยักหน้ารับรู้ อยากจะวีนเหวี่ยงเหมือนเคยแต่ทำตัวไม่ถูก..แปลกแต่จริง
"เดี๋ยว..!"ขณะี่ที่พัดชาหมุนตัวกลับไปจะบิดลูกบิดประตูเข้าห้องนอน เธอสะดุ้งตัวโหยงทันที หันมาตวาดแว้ดนิสัยเดิมออกมาทันที พอเวลาใครทำเธอตกใจ เธอก็จะตวาดตอบกลับไปทุกที
"อะไร..!"
"เวลามนุษย์จะเข้านอน ทำกันอย่างไร?"
คำถามที่เธอไม่รู้จะตอบยังไง..จะเข้านอน ก็ปิดไฟไงเล่า!
เธอไม่ตอบอะไรได้แต่ส่ายหน้าไปมา..นี้หรือคำถามของนายขันทอง แอบหวังจะได้คำถามดูดีกว่านี้นะ..ทำไมอีกฝ่ายซื่อบื้อขนาดนี้นะ..ว่าแต่เธอจะแอบหวังทำไม..งงในตัวเอง
"ยามราตรีที่แสนจะยาวนาน นิทรากาล.."ยังไม่ทันที่กลอนของเขาจบ สาวเจ้าก็ส่ายหน้าเือือมระอา สะบัดผมยาวสลวยใส่หน้าอีกฝ่าย กระทืบเท้าปึงปัง เดินหน้าหงิกเข้าห้องนอนอย่างเร็วทันที
กงจักรที่ซุ่มจับตาดูพฤติกรรมของเจ้าเทวดาจอมเจ้าชู้ พูดมาก ตั้งแต่ที่เขาเรียกหญิงสาวลงมาด้านล่างแล้ว เขาก็เดินเล่นอยู่แถวๆนั้นเหมือนกัน ยามค่ำคืนอันมืดมิดเขาไม่อาจหลับตาลงได้เพราะตลอดชีวิตของเขาอยู่ เขาเห็นกับความมืด เปลวเพลิงความเจ็บปวดทุรนรายเห็นวิญญาณในนรกดิ้นรน หนีกรรมที่ตนก่อแต่หนีไปทางใดก็เจอเพียงความมืด และความเจ็บปวด และผู้นำเหล่าดวงวิญญาณจอมดื้อดึงมาจากโลกมนุษย์..หากไม่จำเป็นเขาก็ไม่ใช้พลังทำร้ายใคร แต่คราวนั้นเขาใช้..ใช้จนพลังนั้นนำเขามาที่แห่งนี้..ภพมนุษย์ที่เขาข้ามไปมากับภพนรกบ่อยๆแต่..ครานี้เขาข้ามกลับไปไม่ได้
เขาไม่คุ้น ไม่ชินกับโลกมนุษย์เป็นเวลานานราวกับชั่วกัปชั่วกาลถึงเพียงนี้ เขาไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใดต่รู้สึกว่ายาวนานเกินกว่ายมทูตจะเหยียบโลกมนุษย์
ด้วยเหตุนี้เขาจึงออกมาเดินเล่น เดินชมบ้านของมนุษย์เป็นเวลานานสองนานฆ่าเวลา..และรู้สึกอยากจะฆ่าเจ้าเทวดาบ้านั้นเสียนี้กระไร..เขาเห็นทุกเหตุการณ์ เขาแอบฟังแอบรับรู้ทุกเรื่องราว..
หัวใจที่เคยไร้ความรู้สึกบัดนี้ทำไมเล่าแค่มนุษย์เพียงคนเดียวถึงทำเอาหัวใจเขารู้สึกแปลกๆถึงเพียงนี้
ความคิดเห็น