ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : อาถรรพณ์ที่หวนคืน
หญิงสาววัยกลางคนนั่งมองใบหน้าขาวซีดราวกับกระดาษของหญิงสาวที่นอนหลับมายาวนาน นับวันใบหน้าสวยหวานดวงนี้จะค่อยๆซีดลงเรื่อยๆ ใบหน้าแสนคุ้นเคย แพขนตางอนปิดทับดวงตากลมโตใสแจ๋ว จมูกโด่งปลายงุ้มเข้า รับกับริมฝีปากบาง ริมฝีปากซีดจากเดิมที่มันเคยเป็นสีมชมพูสวย เรือนร่างแบบบาง ในเวลานี้ เธอกลับรู้สึกว่ามันดูบอบบาง ดูใกล้หมดแรงเต็มทน ร่างกายที่ถูกยื้อด้วยเครื่องช่วยหายใจ ไม่รู้ว่ามันจะอยู่ได้อีกนานสักเท่าใด คิ้วขมวดมุ่น หยาดน้ำตาใสค่อยๆไหลริน เธอหลุบตาต่ำ�
อดีตอันเลวร้าย..ที่มันหวนคืนย้อนกลับมาทำร้ายคนที่เธอรัก
อดีตอันเลวร้าย..ที่มันเหมือนกงล้อมันยังคงหมุน หมุน อยู่อย่างนั้น รอเพียงเวลาที่จะหมุนกลับมา
ในวันนี้ มันกลับมาอีกแล้ว...
เธอรู้ทุกอย่างดี รู้มาโดยตลอดแต่เธอทำอะไรไม่ได้..
หญิงสาววัยกลางคนกลั้นเสียงสะอื้น ใช้มือเหี่ยวปิดเสียงสะอื้น หัวใจรู้สึกเจ็บปวด..ในเวลานี้ความเจ็บปวดมันค่อยๆแผ่ซ่านทั่วร่างกาย ..ความเจ็บปวดความรู้สึกกลัว ทุกอย่างมันปนเปกันไปหมด
มันจะจบลงเมื่อไรกัน
แล้วมันจะจบลงแบบนี้นะหรือ?
เสียงเข็มนาฬิกาที่เดิน ติ๊กต๊อก ติ๊กต๊อก มันเดินช้าๆ มันเดินหน้าไปเรื่อยๆ แต่ เธอรู้สึกได้ว่ามันเดินถอยหลัง.. วันเวลาแห่งความเจ็บปวดมันเดินหน้าแต่วันเวลาแห่งความสุขมันกลับเดินสวนทาง..
มีนา หมุนตัว สำรวจตนเองในกระจกสี่เหลี่ยมบานยาว กรอบรอบประดับด้วยเปลือกหอย ดอกไม้ กระจกบานนี้เธอเลือกซื้อจากแถวๆพัทยา เธอชอบทะเล ชอบธรรมชาติ แม้รู้ว่าเปลือกหอยที่เอามาประดับมันจะทำร้ายธรรมชาติแย่งเปลือกแย่งที่อยู่มันมาก็ตามที บางทีคนเราก็รู้แต่ก็ยังทำ
ภาพในกระจกบานสี่เหลี่ยมสะท้อนให้เห็นถึงภาพมีนาในชุดราตรีสีชมพูสวยหวาน ชายกระโปรงผ้าชีฟองบานยาวคลุมเข่าสีชมพูอ่อนสวย �ท่อนบนเป็นสายเดี่ยว ประดับด้วยดอกกุหลาบดอกใหญ่คาดบริเวณเอวคล้ายเข็มขัด�
ผมสีน้ำตาลดัดลอนราวกับเกลียวคลื่น แสกกลาง ปล่อยเรือนผมยาวสลวย ประดับศรีษะด้วยที่คาดผมสีชมพู
ใบหน้าขาวเนียน แต่งแต้มด้วบเครื่องสำอางอันบางเบา ให้เข้ากับชุด ขนตาถูกตัดเพียงเล็กน้อย เปลือกตาทาสีชมพูอ่อนๆ ขณะที่พวงแก้มทั้งสองก็ปัดสีชมพู ริมฝีปากบางทาสีชมพูอ่อนสวย
วันนี้..มีนารู้สึกราวกับตนเป็นเจ้าหญิง เธอไม่เคยได้สวมใส่ชุดที่ชมพูยกชุดขนาดนี้มาก่อน เธอไม่ใช่สาวหวาน แต่วันนี้กลับต้องสลัดมาดสาวห้าวมาหวาน ..รู้สึกทะแม่งๆชอบกล
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูดังขั้นสองที มีนาละสายตาจากกระจก พลางรีบไปเปิดประตูห้องทันที
"มีนา.."เสียงหวานใสทักเอ่ยเธอ แต่ยังไม่จบประโยค อีกฝ่ายก็ตาโต ราวกับตกใจ กระพริบตาถี่ๆไล่สายตาขึ้นลง พลางกลั้วหัวเราะในลำคอ
"พี่มล..ก็..."มีนาตีเผียะที่ต้นแขนของนฤมลสองสามที พี่สาวของมีนาเอง วันนี้เธอรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจในชุดตัวเองเท่าไรแล้ว โดนสายตาแบบนี้อีกทำเอาความมั่นใจหดหาย
"เอ้า..มาตีพี่ทำไม..พี่ก็แค่.."ยังพูดไม่ทันจบ นฤมลก็ใช้มือเรียวปิดปากแต่เสียงหัวเราะเบาๆนั้นทำให้มีนาขมวดคิ้ว ค้อนขวับให้นฤมลวงใหญ่
"วันนี้มีนายิ่งรู้สึกทะแม่งๆตัวเองอยู่นะพี่...เล่นมาขำงี้ มีนาจะกล้าเดินออกไปเจอหน้าใครได้ไงเล่า?"
"เอ้า..ไม่ขำก็ไม่ขำ..ฮึบ!"นฤมลพูดไปเสียงสั่นไป เหมือนเสียงพูดปนกับเสียงหัวเราะ หญิงสาวเห็นอาการงอนของอีกฝ่ายเริ่มเยอะ จึงทำท่าราวกับกลั้นหายใจเพื่อเอาอาการขำเก็บกลับไป�
"อย่าขำอีกนะ...อย่า.."ยังไม่ทันที่มีนาจะดุเสร็จ อีกฝ่ายสบตากลับดวงตากลมโต ใบหน้าที่แต่งเเต้มเครื่องสำอางเป็นวันแรกแล้ว เสียงหัวเราะในลำคอก็ค่อยๆดังออกมา แต่พอเห็นหน้ามีนาเริ่มขมวดคิ้วยุ่งพันกันหนัก เธอจึงเก็บเสียงหัวเราะอีกรอบ แล้วสูดหายใจสองสามรอบ ทำหน้าตึงเพื่อนสะกดอาการขำ พลางเอ่ยขึ้น
"พี่จะมาบอกว่า อีกห้านาที งานจะเริ่มแล้ว.."
มีนาสูดหายใจเข้าออกช้าๆ นฤมลยื่นมือเรียวมาจับบ่าทั้งสองข้างที่งอเข้าหากันตลอดเวลาราวกับแบกความทุกข์หนัก จับอย่างเบามือ ก่อนจะตบเบาๆพลางยิ้มเต็มที่ แววตาประกาย ส่งกำลังใจให้น้องสาว
ตะวัน นั่งขมวดคิ้วกับเส้นทางที่มารดาของตน พิมพ์มาลา วาดมาให้ ลายมือขยุกขยิกวาดแผนที่ เส้นดูดำ ตีกันไปหมด เขาใช้นิ้วมือไล่ตามเส้นสีดำที่วาดเป็นเส้นทางถนนหนทางมาให้ แต่แล้วเขากลับต้องขมวดคิ้วหนัก เขาตระหนักรู้ว่าพิมพ์มาลาลายมือไม่ดี ค่อนไปทางแย่ เขาว่าเขาลายมือหวัดแล้ว เจอแม่นักธุรกิจแม่บังเกิดเกล้าของเขาแล้ว ทำเอาเขาแทบจะวิตก จะไปทางไหนต่อดีละ?
ชายหนุ่มตัดสินใจ เลี้ยวพวงมาลัยจอดรถหรูคันสีดำของประสิทธิ์ บิดาของตน เข้าบริเวณปั๊มน้ำมัน กะจะไปหากาแฟในปั๊มกินเสียหน่อย เขาเป็นคนติดกาแฟ วันวันหนึ่งดื่มทีสองสามแก้ว พิมพ์มาลาเตือนบ่อยๆบอกเขาระวังใจสั่น เป็นโรคนู่นนี้ เขาก็ได้แต่พยักหน้ารับและอมยิ้มตามในความเป็นห่วงของมารดาตน ขณะที่บิดาของเขากลับไม่เคยมาห่วงหาแบบนี้เลย
กำลังจะก้าวขาลงจากรถ ก้าวลงไปได้ก้าวเดียว เสียงโทรศัพท์ก็แผดร้อง เขารีบควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงทันที พอเปิดดูรายชื่อที่คาดว่าจะโทรตามก็เด่นมาทันที
"ฮัลโหลครับแม่พิมพ์.."ตะวันทอดเสียงหวาน ขณะที่ใจสั่น หวั่นอีกฝ่ายจะรู้ว่าตนเองยังไปไม่ถึงงาน แต่ลูกอ้อนทำเสียงออดอ้อนมันได้ผลเสมอ เขาจึงใช้มันในครั้งนี้
"อย่าทำมาเสียงหวานนะตะวัน..แม่รู้ทัน"ต้นเสียงคล้ายดุ แต่ปลายเสียงกับกลั้วหัวเราะ ตะวันจับน้ำเสียงได้รู้ทันทีว่ามารดาของตนใจอ่อนแล้ว
"แม่พิมพ์ไม่ต้องเป็นห่วงตะวันนะครับ..."ตะวันรีบสอดเสียงหวานไปทันที เขาเป็นคนขี้้อ้อน แม้บุคลิกตัวตนเวลาเขาอยู่กับเพื่อนจะดูเฮฮา กวนโอ๊ย แต่อยู่กับพิมพ์มาลา มารดาบังเกิดเกล้า นี้แทบคนละคน กับ อีกคนก็เช่นกัน..
"พอเลย พอเลย...นี้แล้วตอนนี้อยู่ไหนแล้ว?"
"อยู่แถวๆนั้นละครับ ใกล้ถึงแล้วครับ"ตะวันจำต้องโกหกกลัวอีกฝ่ายจะไม่สบายใจและบ่นเขายาว
"อย่าหลงละ..เอ้อ..อย่าลืมของขวัญนะ..ไม่ลืมใช่ไหมเนี่ย?"
"ไม่ครับ ไม่ครับ อยู่หลังรถครับ"ตะวันหนีบโทรศัพท์ไว้กับไหล่ข้างหนึ่ง พลางหันไปดูในรถ ของขวัญกล่องขนาดพอดีมือสีทอง ผูกริบบิ้นสีเงิน อยู่เบาะหลัง
พูดถามไถ่ตามประสาแม่ลูกหยอกล้อกันสักพัก ตะวันจึงบอกลาพิมพ์มาลา โดยทำเสียงเร่งรีบว่าจะเลี้ยวรถเข้าซอยแล้ว อีกฝ่ายจึงยอมวางสาย ขนาดว่าเป็นนักธุรกิจพันล้านเวลาเป็นเงินเป็นทองตลอดเวลา พิมพ์มาลาก็ยังถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเขาตั้งแต่เช้า ว่าเรียนเป็นไง เพื่อนคนนั้นคนนี้เป็นไง จีบใครอยู่ และอีกสารพัดคำถาม ที่หามาถามเขาได้ตลอดทุกวัน แถมยังมีมุกมาเล่นกับเขาได้ตลอดเวลา
หลังจากวางสาย ชายหนุ่มก็สอดโทรศัพท์ตกรุ่นของตนไว้ในกระเป่ากางเกงตามเดิม ก่อนรีบก้าวเท้ายาวไปยังร้านกาแฟบริเวณหัวมุมทันที
ขณะที่กำลังเอื้ออมือหนาไปดันประตูกะจกในเข้าไปในร้าน สายตาเขาสบเข้ากับ ชายหนุ่มที่กำลังจะผลักออกมาพอดี�
ตะวันจึงรีบชักมือกลับ และหลีกทางให้อีกฝ่ายออกมาก่อน
อีกฝ่ายไม่ขอบคุณ ไม่มีคำพูดใดๆตอบกลับ ท่าทางเย่อหยิ่ง และชุดที่บุรุษผู้นั้นสวมใส่ สงสัยจะไปงานเดียวกับเขา หากแต่ชุดที่เขาใส่มาดูคล้ายจะไม่ได้มางานเดียวกับเขาผู้นั้น สายตาที่ส่งมาให้ถึงแลดูเขาต่างชนชั้นกับหนุ่มวัยกลางคนผู้นั้น
ตะวันทำเสียงจิ๊ในลำคอไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าไปมา แอบคิดในใจ คนเรามองกันแค่ภายนอกเสียงจริงๆ...แย่ชะมัด!
มีนารู้สึกว่าหัวใจดวงน้อยๆของตนเต้นรัวแรง สั่นไม่เป็นจังหวะ มือไม้เย็นเฉียบ แถมยังสั่นอีกต่างหาก นฤมลเดินนำเธอไปก่อนเพราะต้องรีบไปต้อนรับแขก ในตอนแรกอีกห้านาทีเธอว่ามันน้อยคงต้องรีบวิ่งลงไปด้านล่าง หากแต่เธออยากบอกกับใครสักคนก่อน ห้านาทีคงไม่มากไม่น้อยเท่าไรนัก
มีนาเอื้อมมือเรียวไปบิดลูกบิดประตูสีทอง เธอถือวิสาสะไม่เคาะประตู แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นละ คนที่เธอไม่ได้พบหน้ามาเป็นเดือนๆ เธอคิดถึงใจแทบขาด ตื่นเต้น กับการได้เจอ
ภายในห้องนอนขนาดใหญ่ โทนสีครีม เตียงขนาดใหญ่ที่นอนได้สองคน ตอนนี้มีเพียงหญิงสาววัยกลางคนนั่งหลังงอ ลูบๆคลำๆอะไรบางอย่าง ชุดที่สวมใส่เป็นชุดผ้าไหมสีโอรสสวยหรูทั้งชุด บริเวณหน้าอกด้านขวาติดเข็มกลัดรูปตัวดับเบิ้ลยูเป็นเพชรแท้ที่สั่งทำเป็นเข็มกลัดติดเสื้อ สวยงาม หรูหรา ต้องแสงเพียงเล็กน้อยก็ระยับประกาย ไฟในห้องเปิดเพียงโคมไฟขนาดเล็กที่คล้ายเป็นกล่องสี่เหลี่ยมแท้จริงเป็นกล่องไม้ไผ่ �ของทำจากธรรมชาติ แสงไฟลอดผ่านซี่ไม้ไผ่ สีเหลืองนวล ที่ตั้งอยู่สองข้างเตียง ภายในห้องนี้จัดตกแต่งด้วยของธรรมชาติเกือบทั้งหมด เตียงก็เตียงไม้ ขนาดเพิ่งเดินก้าวเข้ามายังมีกลิ่นมะลิอ่อนๆโชยมา ต้นกลิ่นมาจากตรงเตียงมะลิกำหนึ่งที่แลดูเหี่ยวไปนิดแต่ยังคงได้กลิ่น รูปภาพบริเวณหัวนอนก็เป็นรูปน้ำตก ฝีมือการวาดรูปที่แสนปราณีตทำให้ภาพนั้นแลดูมีชีวิต เหมือนได้ยินเสียงน้ำตกไหล ระเบียงห้องนอนที่ยื่นออกไปก็มีต้นการเวกปลูกอยู่สองสามต้น ผ้าม่านบางที่กั้นอยู่ปลิวพลิ้วไหว กลิ่นการเวกยามค่ำคืนหอมต้องจมูก มีนาสูดกลิ่นนั้น พลางอมยิ้มน้อยๆ นกน้อยปลอมๆสองตัวที่เกาะบริเวณขอบระเบียง มันอาจดูไม่เข้ากันเท่าไรแต่กลิ่นหอมของดอกไม้ทำให้มันดูเข้ากันขึ้นมาได้ เจ้าของห้องนี้ชอบความเป็นธรรมชาติ จึงตกแต่งห้องนอนของเธอเป็นธรรมชาติ แม้อาจดูไม่เข้ากันเท่าไรนักก็ตาม แต่เพื่อให้หญิงวัยห้าสิบปีที่นั่งอยู่บนเตียงนุ่มได้ผ่อนคลาย เขาจึงยอมทำทุกอย่าง
มีนาค่อยๆสาวเท้าเข้าไปใกล้ๆ..อีกฝ่ายสะดุ้งตัวรู้ตัว ส่งยิ้มหวานมาให้ แต่ภายในดวงตาเลื่อนลอย มือยังคงกุมรูปภาพในมือแน่น
ไม่มีคำพูดจากปากหญิงวัยกลางคน ไม่มีจากมีนาเช่นกัน น้ำตารื้นขึ้นมา มีนาโผกอดทันที หญิงวัยกลางคนสะดุ้งตัว ก่อนจะกอดตอบ แท้จริงเธอเองก็โหยหากอดเช่นกัน
มีนารู้สึกว่าทุกอย่างในใจได้ระบายออกไปหมดสิ้นเพียงแค่กอดเดียวเท่านั้น มีนากอดแน่น ยาวนาน เสียงสะอื้นจากเบาค่อยๆกลายเป็นหนัก แผ่นหลังสั่นเทา หัวใจเธอตอนนี้มันเหมือนลูกโป่งที่ถูกเจาะลมค่อยๆออกไป ภาพที่เธอเห็นมันทำให้จิตใจของเธอรู้สึกหนักหน่วง เต็มไปด้วยหลากหลายความรู้สึก คิดถึงก็คิดถึง หากแต่เสียใจก็เสียใจ...อีกฝ่ายลูบหลังเบาๆ น้ำตาของอีกฝ่ายก็รื้นขึ้นเช่นกัน�
ปรเมษ เข้ามาหา วิมลริน เช่นกัน จึงได้เห็นภาพแม่ลูกกอดกันกลม ได้ยินเสียงสะอื้นดังขึ้นเรื่อยๆของมีนา เขาตั้งใจมาตามวิมลรินด้วยตัวเอง ในตอนแรกเขาใช้ให้นฤมลไปตาม หากแต่เขาอยากพูดอะไรกับเธอบางอย่าง..
ณ เวลานี้มันคงไม่จำเป็นต้องพูดอีกแล้ว สองแม่ลูกที่นานวันจะได้พบกัน...ความรู้สึกที่ถ่ายทอดส่งถึงกันโดยปราศจากคำพูดใดๆ ช่างเปี่ยมด้วยพลังบางอย่าง ที่เหมือนกระแสไออุ่นไหลวนถ่ายทอดมาถึงเขา...
เขาตั้งใจจัดงานนี้เพื่อเธอคนเดียวเท่านั้น คนที่เป็นดั่งดวงใจของเขา เขาหวังมากกว่าแขกเหรื่อที่มางานที่จะมากันเยอะแยะ หวังมากกว่าความสุขส่วนตัว สิ่งที่เขาหวังคือ อยากให้เธอหายดี มันอาจจะยากแต่เขาเชื่อมีนาทำได้ไม่ยาก
ชายหนุ่มวัยกลางคน ภายนอกเขาแสนเงียบขรึมและเย็นชา หากแต่ภายในของเขาแท้จริงร้อนรุ่มใจตลอดเวลาเขาไม่เคยมีความสุขเลย นับตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้..ความฝันของเขาสวนทางกับความจริงที่มันกำลังทำร้ายภรรยาและลูกของเขา...
ความหวังครั้งนี้เหมือนด้ายบางๆ มันถูกแขวนด้วยโชคชะตา มันคือการเสี่ยงครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา เสี่ยงที่อาจจะดีหรือไม่ดีก็ได้..
ปรเมษ มองภาพตรงหน้าด้วยความตื้นตันใจ หากแต่บางอย่างทำให้เขาคิ้วเข้มขมวดมุ่น ความคิดบางอย่างมันยังตีกันในหัวใจ...
"แม่ไปกันเถอะ งานจวนจะเริ่มแล้วนะ แม่..."
อีกฝ่ายที่ถูกเรียกว่าแม่ ส่งยิ้มเห็นฟันทุกซี่มาให้ พยักหน้ารับหลายที ก่อนค่อยๆลุกขึ้นจากเตียง ลูกสาวหวั่นแม่จะล้มจึงพยุงร่างกายแม่อีกแรง วิมลริน ปัดป่ายมือของมีนาไปมา เชิงว่า ช่วยเหลือตนเองได้ พลางลุกขึ้นยืนเอง ขณะที่ในมือยังคงถือรูปภาพเก่าซีดที่แม้จะดูเลือนรางแต่ มีนารู้ดีว่าคือรูปอะไร...รูปที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ไงละ...
ณ ชั้นล่างของคฤหาสน์
คฤหาสน์ตระกูล ณ เวียงสกุล คือ บ้านอีกหลังของมีนา บ้านหลังที่เคยเต็มไปด้วยไออุ่นแห่งความสุข ความรัก และเสียงดนตรี ในวันนี้เป็นไม่กี่ครั้งในรอบปีที่หญิงสาวได้กลับมาอีกครั้ง ในบ้านหลังนี้ไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนแปลง ข้าวของทุกอย่างยังจัดวางอยู่ที่เดิม คล้ายรอการกลับมาของใครอีกคน คฤหาสน์หลังนี้ตกแต่งแบบไทยๆผสมผสานแนววินเทจ และความเป็นธรรมชาติ ได้อย่างลงตัว บันไดวนหินอ่อนสีขาวทอดยาว หญิงสาวพยายามสาวเท้าใกล้ๆมารดาของตน ที่ขณะนี้กำลังสาวราวบันไดลงมาช้าๆ ใบหน้ายิ้มเปี่ยมสุข ดวงตามองสำรวจชั้นล่างที่งานเลี้ยงสังสรรค์ หากแต่มีนาเห็นภาพนี้ทีไรเธอรู้สึกเจ็บทุกที เจ็บ และ จุกในลำคอพูดอะไรไม่ออก เจ็บปวด...เธออยากจะใช้เวลาดูแลวิมลรินบ้าง
ปรเมษที่ยืนอยู่บันไดขั้นสุดท้าย มีนารู้ว่าเขายืนรอวิมลรินและเธอ ดวงตาที่เขามองวิมลรินตอนนี้ดวงตาฉายแววแห่งความเจ็บปวด ชุดทักซิโด้สีดำที่เขาใส่ดูโก้และสง่างาม หากแต่ก็มิอาจกลบความเศร้าหมองในใบหน้าที่ยิ้มอย่างฝืนใจ ตอนนี้ได้เลย
ทุกสายตาจับจ้องที่วิมลรินและมีนา ทุกสรรพสิ่งเงียบงันในทันที เสียงพูดคุยของผู้คนเงียบหายกลืนไป มีเพียงความเงียบที่เข้ามาแทนที่ เงียบเสียจนมีนารู้สึกได้ยินเสียงลมหายใจ �ชุดสวยชายกระโปรงคล้ายพลิ้วปลิวลมไหวหน่อยๆ เสียงรองเท้าส้นสูงดังกระทบพื้นบันไดหินอ่อนทีละขั้น ทีละขั้น ปรเมษที่ยิ้มฝืนในตอนแรกเห็นทีท่าไม่มั่นใจของลูกสาว ดวงตากลอกไปมา เขาจึงสบสายตากับเธอ พลางพยักหน้า ยิ้มให้กำลังใจ มีนาที่สบสายตาพอดีคล้ายได้เรี่ยวแรงกลับคืน เธอหายใจเข้าออกช้าๆ ก่อนเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปประชิดตัวมารดา ยื่นแขนให้อีกฝ่ายคล้อง วิมลรินยิ้มแฉ่ง รีบคล้องแขนตอบทันที..สองแม่ลูกเดินลงบันไดวนหินอ่อน อีกฝ่ายยิ้มแฉ่ง สอดส่ายสายตามองทุกคน ขณะที่อีกคนค่อยๆมีรอยยิ้มเปื้อนบนใบหน้าทีละน้อยๆ...
...แค่เธอเชื่อ เธอก็จะทำได้.. หญิงสาวให้กำลังใจตัวเอง
เวลายี่สิบนาฬิกา
"ขณะนี้ก็ได้เวลาแล้วนะครับที่ทุกคนรอคอยกับเซอร์ไพรส์ที่คุณปรเมษ เจ้าของงานได้กล่าวไว้กับทุกคน..และ ก็สิ้นสุดการรอคอยแล้วนะครับ ขอเชิญทุกคนพบกับ.."
"คุณ มีนา ณ เวียงสกุล ได้เลยครับ"
พิธีกรหนุ่มวัยกลางคนชื่อดังที่ปรเมษจ้างมาให้ความบันเทิงแก่ผู้คนในงาน ทำหน้าที่ตามสคริปต์ได้ดีเยี่ยม น้ำเสียงชัดเจน ยิ้มแย้มแจ่มใส และพูดเก่ง ผู้คนในงานต่างพากันชื่นชม
ทุกคนในงานพากันจับจ้องไปที่มีนา ที่เมื่อครู่เพิ่งเดินลงจากบันไดและเมื่อเธอเดินมานั่งที่โซฟาบุนวมขนาดใหญ่หน้าเวทีไม่นาน พิธีกรก็สานต่อหน้าที่ทันที
มีนาลุกขึ้นพลางประนมมือไหว้แขกเหรื่อในงานอย่างสุภาพและอ่อนช้อยที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ ปรเมษซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ พูดเบาๆให้เธอ
"พ่อเชื่อว่าลูกทำได้นะ..สู้ๆ"
อดีตอันเลวร้าย..ที่มันหวนคืนย้อนกลับมาทำร้ายคนที่เธอรัก
อดีตอันเลวร้าย..ที่มันเหมือนกงล้อมันยังคงหมุน หมุน อยู่อย่างนั้น รอเพียงเวลาที่จะหมุนกลับมา
ในวันนี้ มันกลับมาอีกแล้ว...
เธอรู้ทุกอย่างดี รู้มาโดยตลอดแต่เธอทำอะไรไม่ได้..
หญิงสาววัยกลางคนกลั้นเสียงสะอื้น ใช้มือเหี่ยวปิดเสียงสะอื้น หัวใจรู้สึกเจ็บปวด..ในเวลานี้ความเจ็บปวดมันค่อยๆแผ่ซ่านทั่วร่างกาย ..ความเจ็บปวดความรู้สึกกลัว ทุกอย่างมันปนเปกันไปหมด
มันจะจบลงเมื่อไรกัน
แล้วมันจะจบลงแบบนี้นะหรือ?
เสียงเข็มนาฬิกาที่เดิน ติ๊กต๊อก ติ๊กต๊อก มันเดินช้าๆ มันเดินหน้าไปเรื่อยๆ แต่ เธอรู้สึกได้ว่ามันเดินถอยหลัง.. วันเวลาแห่งความเจ็บปวดมันเดินหน้าแต่วันเวลาแห่งความสุขมันกลับเดินสวนทาง..
มีนา หมุนตัว สำรวจตนเองในกระจกสี่เหลี่ยมบานยาว กรอบรอบประดับด้วยเปลือกหอย ดอกไม้ กระจกบานนี้เธอเลือกซื้อจากแถวๆพัทยา เธอชอบทะเล ชอบธรรมชาติ แม้รู้ว่าเปลือกหอยที่เอามาประดับมันจะทำร้ายธรรมชาติแย่งเปลือกแย่งที่อยู่มันมาก็ตามที บางทีคนเราก็รู้แต่ก็ยังทำ
ภาพในกระจกบานสี่เหลี่ยมสะท้อนให้เห็นถึงภาพมีนาในชุดราตรีสีชมพูสวยหวาน ชายกระโปรงผ้าชีฟองบานยาวคลุมเข่าสีชมพูอ่อนสวย �ท่อนบนเป็นสายเดี่ยว ประดับด้วยดอกกุหลาบดอกใหญ่คาดบริเวณเอวคล้ายเข็มขัด�
ผมสีน้ำตาลดัดลอนราวกับเกลียวคลื่น แสกกลาง ปล่อยเรือนผมยาวสลวย ประดับศรีษะด้วยที่คาดผมสีชมพู
ใบหน้าขาวเนียน แต่งแต้มด้วบเครื่องสำอางอันบางเบา ให้เข้ากับชุด ขนตาถูกตัดเพียงเล็กน้อย เปลือกตาทาสีชมพูอ่อนๆ ขณะที่พวงแก้มทั้งสองก็ปัดสีชมพู ริมฝีปากบางทาสีชมพูอ่อนสวย
วันนี้..มีนารู้สึกราวกับตนเป็นเจ้าหญิง เธอไม่เคยได้สวมใส่ชุดที่ชมพูยกชุดขนาดนี้มาก่อน เธอไม่ใช่สาวหวาน แต่วันนี้กลับต้องสลัดมาดสาวห้าวมาหวาน ..รู้สึกทะแม่งๆชอบกล
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูดังขั้นสองที มีนาละสายตาจากกระจก พลางรีบไปเปิดประตูห้องทันที
"มีนา.."เสียงหวานใสทักเอ่ยเธอ แต่ยังไม่จบประโยค อีกฝ่ายก็ตาโต ราวกับตกใจ กระพริบตาถี่ๆไล่สายตาขึ้นลง พลางกลั้วหัวเราะในลำคอ
"พี่มล..ก็..."มีนาตีเผียะที่ต้นแขนของนฤมลสองสามที พี่สาวของมีนาเอง วันนี้เธอรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจในชุดตัวเองเท่าไรแล้ว โดนสายตาแบบนี้อีกทำเอาความมั่นใจหดหาย
"เอ้า..มาตีพี่ทำไม..พี่ก็แค่.."ยังพูดไม่ทันจบ นฤมลก็ใช้มือเรียวปิดปากแต่เสียงหัวเราะเบาๆนั้นทำให้มีนาขมวดคิ้ว ค้อนขวับให้นฤมลวงใหญ่
"วันนี้มีนายิ่งรู้สึกทะแม่งๆตัวเองอยู่นะพี่...เล่นมาขำงี้ มีนาจะกล้าเดินออกไปเจอหน้าใครได้ไงเล่า?"
"เอ้า..ไม่ขำก็ไม่ขำ..ฮึบ!"นฤมลพูดไปเสียงสั่นไป เหมือนเสียงพูดปนกับเสียงหัวเราะ หญิงสาวเห็นอาการงอนของอีกฝ่ายเริ่มเยอะ จึงทำท่าราวกับกลั้นหายใจเพื่อเอาอาการขำเก็บกลับไป�
"อย่าขำอีกนะ...อย่า.."ยังไม่ทันที่มีนาจะดุเสร็จ อีกฝ่ายสบตากลับดวงตากลมโต ใบหน้าที่แต่งเเต้มเครื่องสำอางเป็นวันแรกแล้ว เสียงหัวเราะในลำคอก็ค่อยๆดังออกมา แต่พอเห็นหน้ามีนาเริ่มขมวดคิ้วยุ่งพันกันหนัก เธอจึงเก็บเสียงหัวเราะอีกรอบ แล้วสูดหายใจสองสามรอบ ทำหน้าตึงเพื่อนสะกดอาการขำ พลางเอ่ยขึ้น
"พี่จะมาบอกว่า อีกห้านาที งานจะเริ่มแล้ว.."
มีนาสูดหายใจเข้าออกช้าๆ นฤมลยื่นมือเรียวมาจับบ่าทั้งสองข้างที่งอเข้าหากันตลอดเวลาราวกับแบกความทุกข์หนัก จับอย่างเบามือ ก่อนจะตบเบาๆพลางยิ้มเต็มที่ แววตาประกาย ส่งกำลังใจให้น้องสาว
ตะวัน นั่งขมวดคิ้วกับเส้นทางที่มารดาของตน พิมพ์มาลา วาดมาให้ ลายมือขยุกขยิกวาดแผนที่ เส้นดูดำ ตีกันไปหมด เขาใช้นิ้วมือไล่ตามเส้นสีดำที่วาดเป็นเส้นทางถนนหนทางมาให้ แต่แล้วเขากลับต้องขมวดคิ้วหนัก เขาตระหนักรู้ว่าพิมพ์มาลาลายมือไม่ดี ค่อนไปทางแย่ เขาว่าเขาลายมือหวัดแล้ว เจอแม่นักธุรกิจแม่บังเกิดเกล้าของเขาแล้ว ทำเอาเขาแทบจะวิตก จะไปทางไหนต่อดีละ?
ชายหนุ่มตัดสินใจ เลี้ยวพวงมาลัยจอดรถหรูคันสีดำของประสิทธิ์ บิดาของตน เข้าบริเวณปั๊มน้ำมัน กะจะไปหากาแฟในปั๊มกินเสียหน่อย เขาเป็นคนติดกาแฟ วันวันหนึ่งดื่มทีสองสามแก้ว พิมพ์มาลาเตือนบ่อยๆบอกเขาระวังใจสั่น เป็นโรคนู่นนี้ เขาก็ได้แต่พยักหน้ารับและอมยิ้มตามในความเป็นห่วงของมารดาตน ขณะที่บิดาของเขากลับไม่เคยมาห่วงหาแบบนี้เลย
กำลังจะก้าวขาลงจากรถ ก้าวลงไปได้ก้าวเดียว เสียงโทรศัพท์ก็แผดร้อง เขารีบควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงทันที พอเปิดดูรายชื่อที่คาดว่าจะโทรตามก็เด่นมาทันที
"ฮัลโหลครับแม่พิมพ์.."ตะวันทอดเสียงหวาน ขณะที่ใจสั่น หวั่นอีกฝ่ายจะรู้ว่าตนเองยังไปไม่ถึงงาน แต่ลูกอ้อนทำเสียงออดอ้อนมันได้ผลเสมอ เขาจึงใช้มันในครั้งนี้
"อย่าทำมาเสียงหวานนะตะวัน..แม่รู้ทัน"ต้นเสียงคล้ายดุ แต่ปลายเสียงกับกลั้วหัวเราะ ตะวันจับน้ำเสียงได้รู้ทันทีว่ามารดาของตนใจอ่อนแล้ว
"แม่พิมพ์ไม่ต้องเป็นห่วงตะวันนะครับ..."ตะวันรีบสอดเสียงหวานไปทันที เขาเป็นคนขี้้อ้อน แม้บุคลิกตัวตนเวลาเขาอยู่กับเพื่อนจะดูเฮฮา กวนโอ๊ย แต่อยู่กับพิมพ์มาลา มารดาบังเกิดเกล้า นี้แทบคนละคน กับ อีกคนก็เช่นกัน..
"พอเลย พอเลย...นี้แล้วตอนนี้อยู่ไหนแล้ว?"
"อยู่แถวๆนั้นละครับ ใกล้ถึงแล้วครับ"ตะวันจำต้องโกหกกลัวอีกฝ่ายจะไม่สบายใจและบ่นเขายาว
"อย่าหลงละ..เอ้อ..อย่าลืมของขวัญนะ..ไม่ลืมใช่ไหมเนี่ย?"
"ไม่ครับ ไม่ครับ อยู่หลังรถครับ"ตะวันหนีบโทรศัพท์ไว้กับไหล่ข้างหนึ่ง พลางหันไปดูในรถ ของขวัญกล่องขนาดพอดีมือสีทอง ผูกริบบิ้นสีเงิน อยู่เบาะหลัง
พูดถามไถ่ตามประสาแม่ลูกหยอกล้อกันสักพัก ตะวันจึงบอกลาพิมพ์มาลา โดยทำเสียงเร่งรีบว่าจะเลี้ยวรถเข้าซอยแล้ว อีกฝ่ายจึงยอมวางสาย ขนาดว่าเป็นนักธุรกิจพันล้านเวลาเป็นเงินเป็นทองตลอดเวลา พิมพ์มาลาก็ยังถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเขาตั้งแต่เช้า ว่าเรียนเป็นไง เพื่อนคนนั้นคนนี้เป็นไง จีบใครอยู่ และอีกสารพัดคำถาม ที่หามาถามเขาได้ตลอดทุกวัน แถมยังมีมุกมาเล่นกับเขาได้ตลอดเวลา
หลังจากวางสาย ชายหนุ่มก็สอดโทรศัพท์ตกรุ่นของตนไว้ในกระเป่ากางเกงตามเดิม ก่อนรีบก้าวเท้ายาวไปยังร้านกาแฟบริเวณหัวมุมทันที
ขณะที่กำลังเอื้ออมือหนาไปดันประตูกะจกในเข้าไปในร้าน สายตาเขาสบเข้ากับ ชายหนุ่มที่กำลังจะผลักออกมาพอดี�
ตะวันจึงรีบชักมือกลับ และหลีกทางให้อีกฝ่ายออกมาก่อน
อีกฝ่ายไม่ขอบคุณ ไม่มีคำพูดใดๆตอบกลับ ท่าทางเย่อหยิ่ง และชุดที่บุรุษผู้นั้นสวมใส่ สงสัยจะไปงานเดียวกับเขา หากแต่ชุดที่เขาใส่มาดูคล้ายจะไม่ได้มางานเดียวกับเขาผู้นั้น สายตาที่ส่งมาให้ถึงแลดูเขาต่างชนชั้นกับหนุ่มวัยกลางคนผู้นั้น
ตะวันทำเสียงจิ๊ในลำคอไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าไปมา แอบคิดในใจ คนเรามองกันแค่ภายนอกเสียงจริงๆ...แย่ชะมัด!
มีนารู้สึกว่าหัวใจดวงน้อยๆของตนเต้นรัวแรง สั่นไม่เป็นจังหวะ มือไม้เย็นเฉียบ แถมยังสั่นอีกต่างหาก นฤมลเดินนำเธอไปก่อนเพราะต้องรีบไปต้อนรับแขก ในตอนแรกอีกห้านาทีเธอว่ามันน้อยคงต้องรีบวิ่งลงไปด้านล่าง หากแต่เธออยากบอกกับใครสักคนก่อน ห้านาทีคงไม่มากไม่น้อยเท่าไรนัก
มีนาเอื้อมมือเรียวไปบิดลูกบิดประตูสีทอง เธอถือวิสาสะไม่เคาะประตู แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นละ คนที่เธอไม่ได้พบหน้ามาเป็นเดือนๆ เธอคิดถึงใจแทบขาด ตื่นเต้น กับการได้เจอ
ภายในห้องนอนขนาดใหญ่ โทนสีครีม เตียงขนาดใหญ่ที่นอนได้สองคน ตอนนี้มีเพียงหญิงสาววัยกลางคนนั่งหลังงอ ลูบๆคลำๆอะไรบางอย่าง ชุดที่สวมใส่เป็นชุดผ้าไหมสีโอรสสวยหรูทั้งชุด บริเวณหน้าอกด้านขวาติดเข็มกลัดรูปตัวดับเบิ้ลยูเป็นเพชรแท้ที่สั่งทำเป็นเข็มกลัดติดเสื้อ สวยงาม หรูหรา ต้องแสงเพียงเล็กน้อยก็ระยับประกาย ไฟในห้องเปิดเพียงโคมไฟขนาดเล็กที่คล้ายเป็นกล่องสี่เหลี่ยมแท้จริงเป็นกล่องไม้ไผ่ �ของทำจากธรรมชาติ แสงไฟลอดผ่านซี่ไม้ไผ่ สีเหลืองนวล ที่ตั้งอยู่สองข้างเตียง ภายในห้องนี้จัดตกแต่งด้วยของธรรมชาติเกือบทั้งหมด เตียงก็เตียงไม้ ขนาดเพิ่งเดินก้าวเข้ามายังมีกลิ่นมะลิอ่อนๆโชยมา ต้นกลิ่นมาจากตรงเตียงมะลิกำหนึ่งที่แลดูเหี่ยวไปนิดแต่ยังคงได้กลิ่น รูปภาพบริเวณหัวนอนก็เป็นรูปน้ำตก ฝีมือการวาดรูปที่แสนปราณีตทำให้ภาพนั้นแลดูมีชีวิต เหมือนได้ยินเสียงน้ำตกไหล ระเบียงห้องนอนที่ยื่นออกไปก็มีต้นการเวกปลูกอยู่สองสามต้น ผ้าม่านบางที่กั้นอยู่ปลิวพลิ้วไหว กลิ่นการเวกยามค่ำคืนหอมต้องจมูก มีนาสูดกลิ่นนั้น พลางอมยิ้มน้อยๆ นกน้อยปลอมๆสองตัวที่เกาะบริเวณขอบระเบียง มันอาจดูไม่เข้ากันเท่าไรแต่กลิ่นหอมของดอกไม้ทำให้มันดูเข้ากันขึ้นมาได้ เจ้าของห้องนี้ชอบความเป็นธรรมชาติ จึงตกแต่งห้องนอนของเธอเป็นธรรมชาติ แม้อาจดูไม่เข้ากันเท่าไรนักก็ตาม แต่เพื่อให้หญิงวัยห้าสิบปีที่นั่งอยู่บนเตียงนุ่มได้ผ่อนคลาย เขาจึงยอมทำทุกอย่าง
มีนาค่อยๆสาวเท้าเข้าไปใกล้ๆ..อีกฝ่ายสะดุ้งตัวรู้ตัว ส่งยิ้มหวานมาให้ แต่ภายในดวงตาเลื่อนลอย มือยังคงกุมรูปภาพในมือแน่น
ไม่มีคำพูดจากปากหญิงวัยกลางคน ไม่มีจากมีนาเช่นกัน น้ำตารื้นขึ้นมา มีนาโผกอดทันที หญิงวัยกลางคนสะดุ้งตัว ก่อนจะกอดตอบ แท้จริงเธอเองก็โหยหากอดเช่นกัน
มีนารู้สึกว่าทุกอย่างในใจได้ระบายออกไปหมดสิ้นเพียงแค่กอดเดียวเท่านั้น มีนากอดแน่น ยาวนาน เสียงสะอื้นจากเบาค่อยๆกลายเป็นหนัก แผ่นหลังสั่นเทา หัวใจเธอตอนนี้มันเหมือนลูกโป่งที่ถูกเจาะลมค่อยๆออกไป ภาพที่เธอเห็นมันทำให้จิตใจของเธอรู้สึกหนักหน่วง เต็มไปด้วยหลากหลายความรู้สึก คิดถึงก็คิดถึง หากแต่เสียใจก็เสียใจ...อีกฝ่ายลูบหลังเบาๆ น้ำตาของอีกฝ่ายก็รื้นขึ้นเช่นกัน�
ปรเมษ เข้ามาหา วิมลริน เช่นกัน จึงได้เห็นภาพแม่ลูกกอดกันกลม ได้ยินเสียงสะอื้นดังขึ้นเรื่อยๆของมีนา เขาตั้งใจมาตามวิมลรินด้วยตัวเอง ในตอนแรกเขาใช้ให้นฤมลไปตาม หากแต่เขาอยากพูดอะไรกับเธอบางอย่าง..
ณ เวลานี้มันคงไม่จำเป็นต้องพูดอีกแล้ว สองแม่ลูกที่นานวันจะได้พบกัน...ความรู้สึกที่ถ่ายทอดส่งถึงกันโดยปราศจากคำพูดใดๆ ช่างเปี่ยมด้วยพลังบางอย่าง ที่เหมือนกระแสไออุ่นไหลวนถ่ายทอดมาถึงเขา...
เขาตั้งใจจัดงานนี้เพื่อเธอคนเดียวเท่านั้น คนที่เป็นดั่งดวงใจของเขา เขาหวังมากกว่าแขกเหรื่อที่มางานที่จะมากันเยอะแยะ หวังมากกว่าความสุขส่วนตัว สิ่งที่เขาหวังคือ อยากให้เธอหายดี มันอาจจะยากแต่เขาเชื่อมีนาทำได้ไม่ยาก
ชายหนุ่มวัยกลางคน ภายนอกเขาแสนเงียบขรึมและเย็นชา หากแต่ภายในของเขาแท้จริงร้อนรุ่มใจตลอดเวลาเขาไม่เคยมีความสุขเลย นับตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้..ความฝันของเขาสวนทางกับความจริงที่มันกำลังทำร้ายภรรยาและลูกของเขา...
ความหวังครั้งนี้เหมือนด้ายบางๆ มันถูกแขวนด้วยโชคชะตา มันคือการเสี่ยงครั้งแรกในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา เสี่ยงที่อาจจะดีหรือไม่ดีก็ได้..
ปรเมษ มองภาพตรงหน้าด้วยความตื้นตันใจ หากแต่บางอย่างทำให้เขาคิ้วเข้มขมวดมุ่น ความคิดบางอย่างมันยังตีกันในหัวใจ...
"แม่ไปกันเถอะ งานจวนจะเริ่มแล้วนะ แม่..."
อีกฝ่ายที่ถูกเรียกว่าแม่ ส่งยิ้มเห็นฟันทุกซี่มาให้ พยักหน้ารับหลายที ก่อนค่อยๆลุกขึ้นจากเตียง ลูกสาวหวั่นแม่จะล้มจึงพยุงร่างกายแม่อีกแรง วิมลริน ปัดป่ายมือของมีนาไปมา เชิงว่า ช่วยเหลือตนเองได้ พลางลุกขึ้นยืนเอง ขณะที่ในมือยังคงถือรูปภาพเก่าซีดที่แม้จะดูเลือนรางแต่ มีนารู้ดีว่าคือรูปอะไร...รูปที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ไงละ...
ณ ชั้นล่างของคฤหาสน์
คฤหาสน์ตระกูล ณ เวียงสกุล คือ บ้านอีกหลังของมีนา บ้านหลังที่เคยเต็มไปด้วยไออุ่นแห่งความสุข ความรัก และเสียงดนตรี ในวันนี้เป็นไม่กี่ครั้งในรอบปีที่หญิงสาวได้กลับมาอีกครั้ง ในบ้านหลังนี้ไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนแปลง ข้าวของทุกอย่างยังจัดวางอยู่ที่เดิม คล้ายรอการกลับมาของใครอีกคน คฤหาสน์หลังนี้ตกแต่งแบบไทยๆผสมผสานแนววินเทจ และความเป็นธรรมชาติ ได้อย่างลงตัว บันไดวนหินอ่อนสีขาวทอดยาว หญิงสาวพยายามสาวเท้าใกล้ๆมารดาของตน ที่ขณะนี้กำลังสาวราวบันไดลงมาช้าๆ ใบหน้ายิ้มเปี่ยมสุข ดวงตามองสำรวจชั้นล่างที่งานเลี้ยงสังสรรค์ หากแต่มีนาเห็นภาพนี้ทีไรเธอรู้สึกเจ็บทุกที เจ็บ และ จุกในลำคอพูดอะไรไม่ออก เจ็บปวด...เธออยากจะใช้เวลาดูแลวิมลรินบ้าง
ปรเมษที่ยืนอยู่บันไดขั้นสุดท้าย มีนารู้ว่าเขายืนรอวิมลรินและเธอ ดวงตาที่เขามองวิมลรินตอนนี้ดวงตาฉายแววแห่งความเจ็บปวด ชุดทักซิโด้สีดำที่เขาใส่ดูโก้และสง่างาม หากแต่ก็มิอาจกลบความเศร้าหมองในใบหน้าที่ยิ้มอย่างฝืนใจ ตอนนี้ได้เลย
ทุกสายตาจับจ้องที่วิมลรินและมีนา ทุกสรรพสิ่งเงียบงันในทันที เสียงพูดคุยของผู้คนเงียบหายกลืนไป มีเพียงความเงียบที่เข้ามาแทนที่ เงียบเสียจนมีนารู้สึกได้ยินเสียงลมหายใจ �ชุดสวยชายกระโปรงคล้ายพลิ้วปลิวลมไหวหน่อยๆ เสียงรองเท้าส้นสูงดังกระทบพื้นบันไดหินอ่อนทีละขั้น ทีละขั้น ปรเมษที่ยิ้มฝืนในตอนแรกเห็นทีท่าไม่มั่นใจของลูกสาว ดวงตากลอกไปมา เขาจึงสบสายตากับเธอ พลางพยักหน้า ยิ้มให้กำลังใจ มีนาที่สบสายตาพอดีคล้ายได้เรี่ยวแรงกลับคืน เธอหายใจเข้าออกช้าๆ ก่อนเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปประชิดตัวมารดา ยื่นแขนให้อีกฝ่ายคล้อง วิมลรินยิ้มแฉ่ง รีบคล้องแขนตอบทันที..สองแม่ลูกเดินลงบันไดวนหินอ่อน อีกฝ่ายยิ้มแฉ่ง สอดส่ายสายตามองทุกคน ขณะที่อีกคนค่อยๆมีรอยยิ้มเปื้อนบนใบหน้าทีละน้อยๆ...
...แค่เธอเชื่อ เธอก็จะทำได้.. หญิงสาวให้กำลังใจตัวเอง
เวลายี่สิบนาฬิกา
"ขณะนี้ก็ได้เวลาแล้วนะครับที่ทุกคนรอคอยกับเซอร์ไพรส์ที่คุณปรเมษ เจ้าของงานได้กล่าวไว้กับทุกคน..และ ก็สิ้นสุดการรอคอยแล้วนะครับ ขอเชิญทุกคนพบกับ.."
"คุณ มีนา ณ เวียงสกุล ได้เลยครับ"
พิธีกรหนุ่มวัยกลางคนชื่อดังที่ปรเมษจ้างมาให้ความบันเทิงแก่ผู้คนในงาน ทำหน้าที่ตามสคริปต์ได้ดีเยี่ยม น้ำเสียงชัดเจน ยิ้มแย้มแจ่มใส และพูดเก่ง ผู้คนในงานต่างพากันชื่นชม
ทุกคนในงานพากันจับจ้องไปที่มีนา ที่เมื่อครู่เพิ่งเดินลงจากบันไดและเมื่อเธอเดินมานั่งที่โซฟาบุนวมขนาดใหญ่หน้าเวทีไม่นาน พิธีกรก็สานต่อหน้าที่ทันที
มีนาลุกขึ้นพลางประนมมือไหว้แขกเหรื่อในงานอย่างสุภาพและอ่อนช้อยที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ ปรเมษซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ พูดเบาๆให้เธอ
"พ่อเชื่อว่าลูกทำได้นะ..สู้ๆ"
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น