คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 2 (100%)
เสียงหัวเราะ ประสานกันระหว่างเด็กน้อยกับน้าสาวเสริมให้บรรยากาศภายในห้องครัวเย็นนี้ดูสดชื่นกว่าทุกวัน
เด็กทั้งสองคนกำลังช่วยกันแต่งหน้าไอศกรีมอย่างสนุกสนานโดยมีปานชนกกับป้านวลคอยเป็นลูกมือให้
“สงสัยคุณแม่จะมาแล้ว เดี๋ยวยายนวลไปเปิดประตูให้คุณแม่นะคะ” พูดจบร่างท้วมก็แยกออกจากครัวตรงไปที่หน้าบ้านทันที
“คุณแม่ขา วันนี้น้องพาฝันทำไอติมให้คุณแม่ด้วยค่ะ”
แฝดคนน้องรีบวิ่งนำหน้าพี่สาวตรงเข้าหาณรันดาพร้อมอ้าแขนให้เธออุ้มขึ้นอีกด้วย
“เหรอคะ ไหนพาคุณแม่ไปดูหน่อยซิว่ากินได้หรือเปล่า”
ณรันดาพูดพลางหอมแก้มแฝดคนน้องที่เธอกำลังอุ้มอยู่โดยไม่ลืมที่จะย่อตัวลงไปหอมแก้มแฝดคนพี่ด้วย
“นี่ค่ะ พี่ทอฝันกับน้องพาฝัน
น้าป่าน คุณยายนวลช่วยกันทำให้คุณแม่ค่ะ”
น้องทอฝันรีบรายงานพร้อมฉุดมือมารดาให้เดินตามไปในครัว
“โอ้โห...น่ากินจังเลย
ไหนให้คุณแม่ลองชิมหน่อยซิว่าอร่อยหรือเปล่า”
แล้วณรันดาก็ตักไอศกรีมที่เด็กทั้งสองเพิ่งแต่งหน้าเสร็จเมื่อครู่เข้าปาก
“อื้ม...อร่อยที่สุดเลย” ณรันดาทำตาโตพร้อมด้วยน้ำเสียงยืนยันว่าไอศกรีมตรงหน้าอร่อยจริงๆ
เด็กน้อยยิ้มแก้มแทบปริ ที่ได้ยินคำชมจากมารดา
“แล้วเป็นไงบ้างคะ วันนี้สองสาวดื้อกับน้าป่านหรือเปล่าคะ” ณรันดาเอ่ยถามพร้อมกับตักไอศกรีมป้อนให้ลูกสาวทั้งสองคนไปด้วย
“ไม่ดื้อเลยค่ะ” สองเสียงดังขึ้นเกือบจะพร้อมกัน
“เอ...จริงหรือเปล่าน้า” ณรันดาทำทีเหมือนไม่เชื่อที่ลูกสาวตัวแสบพูด
“จริงค่ะ ไม่เชื่อถามน้าป่านดูก็ได้” น้องพาฝันรีบตอบพร้อมกับหันมองหน้าน้าสาวอย่างต้องการคำยืนยัน
“โอเคๆ
คุณแม่เชื่อก็ได้ อะ มาช่วยคุณแม่กินก่อนเร็ว เดี๋ยวละลายหมด อดกินกันพอดี”
พูดจบณรันดาก็อุ้มลูกสาวขึ้นนั่งบนเก้าอี้ทีละคนพร้อมกับเลื่อนถ้วยไอศกรีมถ้วยใหญ่ไว้ตรงหน้าเด็กทั้งคู่
จากนั้นสองพี่น้องก็ทำหน้าที่จัดการไอศกรีมในถ้วยโดยไม่ลืมที่จะตักป้อนณรันดา
ปานชนก และป้านวลที่ยืนมองดูทั้งสองคนอย่างเอ็นดู
“นี่ปลาย วันนี้ตอนเสร็จงานนะ
อยู่ๆ น้องพาฝันเกิดคิดถึงเธอขึ้นมาซะงั้นแหละ”
ปานชนกเล่าให้เพื่อนรักฟังขณะที่เด็กทั้งคู่กำลังนั่งดูการ์ตูนหน้าทีวีกับป้านวลอยู่
“เฮ้อ...เราสงสารลูกจังเลย
ไหนจะเรียน และยังต้องมาทำงานตั้งแต่เด็กอีก”
พูดจบหญิงสาวค่อยๆ พ่นลมหายใจออกมาอย่างอ่อนใจ
“เอาน่า อาจเป็นเพราะว่าวันนี้ยายสองแสบดันเห็นเพื่อนๆ
มีพ่อแม่มาด้วยนั่นแหละ เลยรู้สึกอยากให้แม่ตัวเองมาเหมือนคืนอื่นๆ บ้าง...อย่าคิดมาก
นี่เดี๋ยวก็เหลือไปถ่ายชุดเด็กที่สตูอีกงานเดียวยายสองแสบก็ว่างแล้ว เราค่อยพาไปเที่ยวกัน
ปลายจะได้พักสมองบ้าง” ปานชนกพยายามพูดไม่ให้เพื่อนคิดมาก
“เออ ป่าน พรุ่งนี้เรารบกวนให้มาอยู่เป็นเพื่อนเด็กๆ
หน่อยนะ พอดีคุณมาร์คชวนเราไปงานเลี้ยงเป็นเพื่อนน่ะ” ณรันดาเอ่ยบอกเพื่อนอย่างเกรงใจ
ชื่อมาร์ค
ที่ดังขึ้นทำให้หัวใจปานชนกเต้นผิดจังหวะขึ้นมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวมือไม้ที่ก็วางอยู่ดีๆ
ก็ดันเกิดรู้สึกว่ามันไม่มีที่วางซะอย่างนั้น
ทว่าก็พยายามเก็บอาการเอาไว้ไม่ใช้เพื่อนรักได้รู้ถึงอาการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง
“อืม...ได้ซิไม่ต้องห่วง
เดี๋ยวเรามาอยู่เป็นเพื่อนเอง ปลายไปเถอะ รู้จักออกงานบ้างก็ดีเหมือนกัน”
หญิงสาวตั้งสติเล็กน้อยก่อนรับคำเพื่อนรัก
“ขอบใจมากนะจ๊ะ...เราเกรงใจป่านจังเลย
จริงๆ เราไม่อยากจะไปหรอกแต่ก็เกรงใจคุณมาร์ค เราปฏิเสธเขามาหลายงานแล้ว” ณรันดารีบอธิบายให้เพื่อนเข้าใจ
“ดีแล้วละปลาย
คุณมาร์คเขาเป็นคนดี เราว่าปลายลองเปิดใจดูเขาหน่อยก็ดีนะ”
แนะนำเพื่อนรักไปเช่นนั้น หัวใจตัวเองก็กระตุบวาบแปลก
“ป่านก็รู้ว่าเรายังไม่พร้อม
แค่ทุกวันนี้เราจะหาเวลาให้ลูกได้ยังยากเลย”
ณรันดาดึงเรื่องเวลาและลูกขึ้นมาเป็นข้ออ้าง
ณรันดานั้นรู้ใจตัวเองดีว่า
เพราะอะไรที่เธอถึงไม่สามารถที่จะเปิดใจรับมาร์คได้
ทั้งที่มาร์คก็ดีกับเธอทุกอย่าง
ทว่าเธอกลับมีความรู้สึกว่าเธอนั้นไม่ดีพอสำหรับมาร์ค แต่ในใจลึกๆ นั้นคงเป็นเพราะ...เธอยังคงลืมพ่อของลูกฝาแฝดเธอไม่ได้นั่นเอง
ณรันดาในชุดราตรียาวสีฟ้าน้ำทะเลพร้อมด้วยกระเป๋าใบเล็กที่เธอถือติดมืออยู่
ผมยาวถูกเกล้าขึ้นไว้ ปล่อยเพียงปอยผมลงมาน้อยๆ รับกับใบหน้ารูปไข่
เปลือกตาถูกแต่งแต้มสีสันด้วยเครื่องสำอางบางๆ แพขนตายาวหนาถูกดัดและปัดด้วยมาสคาร่าสีน้ำตาลอ่อน
เสริมให้ดวงตาโตนั้นดูคมกว่าเดิม ริมฝีปากระเรื่อสีชมพูอ่อนด้วยลิปสติกชั้นดี ลำคอระหงเวลานี้ถูกประดับด้วยเครื่องเพชรชุดเล็ก
สีของชุดนั้นยิ่งขับเครื่องเพชรให้ดูเด่นขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
“คุณแม่สวยจังเลยค่ะ” เสียงใสของแฝดคนพี่ดังขึ้นเมื่อเห็นมารดาลงมาจากด้านบนของบ้าน
“สวยจริงหรือเปล่าคะ” ณรันดาแสร้งถามลูกสาวพลางส่งยิ้มหวานให้
“สวยจริงๆ ค่ะ” น้องทอฝันยังคงเป็นคนตอบ ก่อนเสียงขานเรียกคุณแม่จากแฝดคนน้องจะดังขึ้น
“คุณแม่ขา”
“ว่าไงคะน้องพาฝัน” ณรันดาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ต้นเสียงทันที เมื่อสังเกตเห็นใบหน้าลูกสาวคนเล็กปราศจากรอยยิ้ม
และดูไม่ร่าเริงเหมือนเคย
“คุณแม่รีบกลับมานะคะ น้องพาฝันคิดถึง” พูดจบเจ้าตัวเล็กก็โผเข้ากอดเอวมารดาเอาไว้แน่นอย่างไม่ต้องการห่าง
“ค่ะ คุณแม่จะรีบกลับ หนูสองคนต้องไม่ดื้อกับน้าป่านและคุณยายนวลนะคะ”
เธอกระชับวงแขนกับร่างเล็กของแฝดคนน้องไว้
ก่อนก้มลงหอมแก้มอย่างห่วงใยพลางปรายตามองหน้าน้องทอฝันที่นั่งอยู่กับปานชนกและกำลังหัวเราะน้อยๆ
ที่เห็นน้องสาวกำลังอ้อนแม่
ณรันดารู้ดีว่าแฝดคนเล็กค่อนข้างจะติดเธอมากกว่าแฝดคนโต
และดูเหมือนว่าน้องทอฝันก็รับรู้เช่นนั้นเหมือนกัน ทำให้เด็กน้อยไม่รู้สึกอิจฉาหรือรู้สึกว่าคุณแม่นั้นลำเอียงแต่อย่างใด
ณรันดานั่งคุยกับลูกสาวทั้งสองอยู่ครู่หนึ่ง
แล้วรถยุโรปสีดำสนิทก็มาจอดหน้าบ้าน เธอจึงแยกตัวออกจากลูกสาว โดยไม่ลืมที่จะหันไปย้ำไม่ให้ลูกสาวดื้อ
และสัญญากับลูกสาวว่าจะรีบกลับมา
ปานชนกเดินออกมาส่งณรันดา
พลางบอกให้เพื่อนรักไม่ต้องเป็นห่วงลูกสาวสองคน และอยู่ๆ
หัวใจหญิงสาวก็เต้นรัวเร็วจนจับจังหวะไม่ได้
เมื่อร่างสูงใหญ่เจ้าของรถยุโรปคันหรูก้าวลงมาจากรถ
เพื่อมาเปิดประตูรถอีกฝั่งให้ณรันดา
และที่หนักหนาไปกว่านั้นคือขาแข่งเริ่มสั่นเธอแทบจะล้มทั้งยืน
เมื่อชายหนุ่มค้อมศีรษะให้เพื่อเป็นการทักทายอย่างสุภาพ
ณรันดาสัมผัสได้ถึงท่าทางของเพื่อนรักที่เปลี่ยนไป
เจ้าหล่อนยิ้มน้อยๆ ให้กับปานชนก ก่อนแตะมือเบาๆ
เข้าที่ฝ่ามือของเพื่อนรักเพื่อเป็นการลาหรืออีกนัยก็เพื่อเรียกสติอีกฝ่ายให้กลับมา
งานที่มาร์คชวนมานั้นเป็นงานแฟชั่นการกุศล
โดยมีคุณหญิงกาญจนา มารดาเขาเป็นประธานในการจัดงาน
บรรยากาศภายในงานนั้นมีแต่คุณหญิงคุณนายและบรรดาลูกๆ ไม่ว่าจะเป็นลูกสาวหรือลูกชายที่ต่างพามาร่วมงาน
เพื่อหวังจะให้เด็กๆ ได้รู้จักมักจี่กัน หรืออีกนัยก็เหมือนกับว่าพากันมาดูตัว
มาร์คเดินควงคู่ณรันดาเข้ามาในงาน
สร้างความแปลกใจให้แก่บรรดาคุณหญิงคุณนายที่มาร่วมงาน และเป็นจุดสนใจต่อสื่อมวลชนอยู่ไม่น้อย
เพราะแต่ไหนแต่ไรมา มาร์ค หนุ่มนักธุรกิจชื่อดังคนนี้ไม่เคยควงสาวคนไหนออกงานแม้แต่ครั้งเดียว
จะว่าไปแล้วก็เพิ่งมีงานนี้งานแรก แถมหญิงสาวที่เขาควงคู่ออกงานด้วยวันนี้ยังเป็นผู้หญิงที่สวยหมดจดเลยทีเดียว
ที่สำคัญรูปร่างภายใต้ชุดราตรีนั้นไม่ได้บ่งบอกเลยว่าเคยมีลูกมาก่อน
“คิดว่าจะไม่มาซะอีกนะจ๊ะหนูปลาย” คุณหญิงกาญจนาเอ่ยขึ้น พลางรับไหว้หญิงสาวตรงหน้า
“ผมบอกคุณแม่แล้วไงครับว่าผมจะพาคุณปลายมาด้วย
ก็ต้องมาสิครับ”
“เอ้าๆ อย่ามัวแต่พูดอยู่
พาหนูปลายไปหาอะไรกินก่อน ใกล้เวลาเปิดงานแล้ว”
คุณหญิงกาญจนาพูดพลางรุนหลังให้ลูกชายเดินนำหน้าณรันดาไป
“แฟนตามาร์คหรือคะคุณพี่
หน้าตาสะสวย กิริยามารยาทก็ดีนะคะ”
เสียงคุณหญิงอรพินดังขึ้นทันทีที่สองร่างก้าวพ้นจากกลุ่มไป
“พี่ก็ไม่รู้เขาเหมือนกันนะ
แต่เห็นตามาร์คเทียวไล้เทียวขื่ออยู่นานแล้ว”
คุณหญิงกาญจนาหันมาตอบ ใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างเห็นได้ชัด
“ดูเหมือนคุณพี่จะพอใจเด็กคนนี้อยู่ไม่น้อยนะคะ”
“ถ้าลูกพี่รัก พี่ก็ต้องรักด้วยนั่นแหละ...เพราะถ้าลูกพี่มีความสุข
พี่ก็พลอยมีความสุขไปด้วย”
คำตอบนั้นออกมาจากใจจริงของคุณหญิงกาญจนา
“ใช่ค่ะ น้องก็เหมือนกันค่ะ
ลูกรักใคร น้องก็ต้องรักด้วยเหมือนกัน หัวอกคนเป็นแม่นี่คะ”
พูดจบสองคุณหญิงก็พากันหัวเราะน้อยๆ
“เอ...ว่าแต่วันนี้ลูกชายน้องอรไม่มาด้วยหรือคะ” คุณหญิงกาญจนาเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง
“มาสิคะ...เดี๋ยวคงมาค่ะ”
คุณหญิงอรพินตอบ สายตาพยายามมองหาลูกชาย เผื่อว่าคนที่กำลังพูดถึงจะมาถึงงานแล้ว
สองคุณหญิงสนทนากันอยู่ครู่ใหญ่
เมื่อใกล้เวลาที่กำหนด พิธีกรบนเวทีก็เริ่มทำหน้าที่ดำเนินรายการ
ทั้งคุณหญิงกาญจนาและคุณหญิงอรพินจึงพากันเดินไปนั่งที่โต๊ะวีไอพี
โดยมีมาร์คกับณรันดาเดินตามไปสมทบที่โต๊ะทีหลัง พร้อมด้วยร่างเล็กๆ
ที่เพิ่งก้าวเข้ามาใหม่เมื่อครู่
“มาแล้วเหรอยายโรส แล้วพี่ชายเราล่ะ” คุณหญิงอรพินทักลูกสาวก่อนถามถึงลูกชาย
“มาพร้อมกันค่ะ แต่เห็นบอกว่าเจอเพื่อน
เดี๋ยวตามมาค่ะ”
“คุณพี่คะนี่ยายโรส ลูกคนเล็กค่ะ...ไม่รู้ว่าคุณพี่จะจำได้หรือเปล่า” คุณหญิงอรพินแนะนำลูกสาวให้คุณหญิงกาญจนารู้จัก
ถึงแม้ว่าสองสาวต่างวัยนี้จะเคยเจอกันมาก่อน แต่นั่นมันก็นานเป็นสิบปีแล้ว
รสรินทร์ยกมือไหว้ทำความเคารพด้วยท่าทางอ่อนน้อมอย่างจริงใจ
ไม่ได้แสแสร้งเหมือนกับบุตรสาวคุณหญิงคุณนายคนอื่นๆ ที่พามาแนะนำให้คุณหญิงกาญจนารู้จัก
ณรันดาเดินออกจากงานมาเงียบๆ หลังจากที่บอกคุณหญิงกาญจนากับมาร์คว่าจะมาเข้าห้องน้ำ หญิงสาวเดินลัดเลาะมาจนถึงบริเวณสระว่ายน้ำของโรงแรมแล้วตรงไปยังเก้าอี้ตัวยาวมีเบาะสำหรับนั่งว่างอยู่มุมหนึ่งของสระว่ายน้ำก่อนทิ้งตัวลงนั่ง ถอดรองเท้าส้นสูงออก ก่อนใช้มือเรียวค่อยๆ บีบนวดบริเวณปลายเท้าอย่างเบามือ
ณรันดายังคงยึดเก้าอี้ตัวเดิมไว้
ปล่อยตัวตามสบายอย่างเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ
โดยไม่ทันสังเกตว่าเวลานี้กำลังมีคนจ้องมองเธออยู่อย่างไม่ละสายตา
“ปลาย นั่นคุณใช่ไหม”
เสียงคุ้นหูนั้นทำให้หัวใจณรันดาเต้นเร็วผิดปกติ
ถึงแม้ว่าเขาจะเรียกเธอเพียงครั้งเดียว ทว่าเธอกลับมั่นใจว่าเสียงนั้นต้องเป็นของเขาแน่ๆ
ผู้ชายไร้หัวใจ
หากแต่ในใจเธอกลับพยายามคัดค้านว่าไม่ใช่
ต้องไม่ใช่ เพราะเธอไม่อยากเจอเขาอีก เธอกำลังหนีเขา และก็หนีเขาได้มาหลายปีแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เธอกับเขาจะได้มาพบกันอีกในวันนี้
“ปลาย ปลายใช่ไหม” รวิชญ์เรียกชื่อหญิงสาวตรงหน้าอีกครั้ง
เป็นผลให้ณรันดาจำต้องเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงด้วยความอยากรู้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร
แล้วหัวใจก็กระตุกวาบขึ้นมาทันที มือชา หน้าชา จนถึงใบหู
‘ใช่เขาจริงๆ
เป็นไปไม่ได้ ไม่จริง นี่เรากำลังหนีผู้ชายคนนี้อยู่ เป็นไปไม่ได้ที่จะหนีเขาไม่พ้น
ไม่จริง เป็นไปไม่ได้’
คำพูดเหล่านี้ดังอยู่ในอก
ใบหน้านวลส่ายน้อยๆ อย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองที่ได้เจอเขาวันนี้ ที่นี่
สีหน้าเจ้าหล่อนเวลานี้แสดงออกชัดเจนว่ากำลังตกใจอยู่ไม่น้อย
“ปลาย คุณจริงๆ ด้วย” รวิชญ์เอ่ยขึ้นอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงและสีหน้าแววตาของเขาฉายชัดว่ากำลังดีใจมาก
และน่าจะดีใจมากที่สุดในชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้
นับจากวันที่ณรันดาหนีจากเขาไปเงียบๆ
ไม่ทิ้งแม้แต่จดหมายหรือข้อความใดๆ ไว้
มีเพียงแต่ของมีค่าที่เขาเคยซื้อให้เธอด้วยความเสน่หา หวังตอบแทนเธอที่เธอให้ความสุขกับเขาได้ทุกครั้ง
ทุกเวลาที่เขาต้องการเท่านั้น ที่เธอทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า
และจากวันนั้น
เขาก็รอคอยเธอและตามหาตัวเธออย่างมีความหวัง จนเวลาล่วงไปจนเกือบสี่ปีแล้ว
ใครเลยจะรู้ว่าเขาและเธอจะได้กลับมาเจอกันอีกในวันนี้อย่างไม่คาดฝัน
ณรันดารีบลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพร้อมสวมรองเท้า
แล้วก้าวออกจากเก้าอี้ที่ตัวเธอเพิ่งยึดเอาไว้นั่งพักอยู่ทันที
เมื่อเห็นว่าร่างสูงของผู้ชายที่เธอพยายามหนีมาโดยตลอดกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้
ทว่ามือแข็งแรงของเขากลับไม่รอช้า รีบคว้าข้อมือเรียวเอาไว้ได้ก่อนที่เธอจะเดินพ้นเก้าอี้ตัวนั้นไป
“ขอโทษนะคะ ดิฉันว่าคุณคงจำคนผิด...กรุณาปล่อยมือดิฉันด้วยค่ะ” ณรันดาเอ่ยขึ้นเป็นครั้งแรก พยายามบิดข้อมือเรียวให้พ้นจากพันธนาการของเขา
ทว่ายิ่งเธอพยายามเอาออก เขายิ่งบีบมันแน่นขึ้น
“ผมไม่มีทางจำเมียผมผิดคนหรอกครับ” น้ำเสียงที่ลอดไรฟันออกมานั้นหนักแน่นและชัดเจน แววตาฉายแววดุดันเล็กน้อย
ณรันดาได้ยินที่เขาพูดถึงกับทำตาโต
ด้วยไม่คิดว่าเขาจะพูดออกมาเช่นนี้
“นี่คุณพูดอะไรของคุณมิทราบ” ณรันดาถามออกไปเสียงแข็ง
“ทำไม หรือว่าแค่คำพูดมันไม่เพียงพอ
คุณต้องการให้ผมพิสูจน์ในสิ่งที่ผมพูดหรือเปล่าล่ะ...ก็ดีเหมือนกัน จะได้รู้กันไปเลยว่าคุณเป็นเมียผมจริงๆ
หรือเปล่า” พูดจบรวิชญ์ก็ดึงร่างบางเข้ามาปะทะอกกว้างของเขา
สองแขนแข็งแรงรีบรวบเอวบางเอาไว้ทันที
“อุ๊ย...นี่คุณปล่อยฉันนะ
ฉันบอกให้ปล่อยไงล่ะ” ณรันดาทั้งทุบทั้งตีเข้าที่อกกว้างอย่างเต็มแรง
ทว่าดูเหมือนสิ่งที่เธอทำไปนั้นมันยิ่งทำให้เธอเป็นฝ่ายเจ็บมือเปล่าๆ
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้สึกอะไรกับการกระทำของเธอเลยแม้แต่น้อย
“ปลาย ผมคิดถึงคุณจังเลย” รวิชญ์กดริมฝีปากของเขาเข้ากับแก้มนวลอย่างถือสิทธิ์ก่อนกระซิบริมหูเธอ
“ปล่อยนะ คุณไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้กับฉันนะ”
“ปลาย คุณใจร้ายมาก คุณหนีผมไปทำไม
ไหนคุณลองบอกผมมาซิว่าคุณหนีผมทำไม” ริมฝีปากเขายังคงวนเวียนซุกไซ้ซอกซอนหาความหอมหวานบนใบหน้านวลของเธออยู่ไม่ขาด
หญิงสาวก็ยังคงพยายามหลบหนีริมฝีปากซุกซนนั้น
แต่ด้วยที่เธอกำลังเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะโดนเขารวบร่างไว้แนบแน่น จึงไม่สามารถรอดพ้นจากการกระทำของเขาไปได้
“ฮึ...ใจร้ายเหรอคะ ใครกันแน่ที่ใจร้าย
ปล่อยดิฉันเถอะค่ะคุณรวิชญ์ เรื่องระหว่างคุณกับฉันมันจบไปนานแล้ว เราอย่ามารื้อฟื้นมันอีกเลยค่ะ”
“ผมไม่ปล่อย คราวนี้ผมจะไม่ยอมให้คุณหนีผมไปได้อีกแล้วปลาย” เขากดริมฝีปากเข้าที่แก้มนวลอีกครั้งก่อนถอนออกมาจ้องใบหน้านวลของเธออีกครั้ง
“ฉันบอกคุณแล้วไงคะว่าเรื่องของเรามันจะ...” เสียงเธอถูกเขากลืนกลับเข้าไปในลำคอเมื่อริมฝีปากเขาประกบเข้ากับริมฝีปากเธอ
รวิชญ์จู่โจมเธออย่างไม่ทันให้เธอได้ตั้งตัว
ณรันดาพยายามบ่ายเบี่ยงหลบหลีกเขาในคราแรก
แล้วอยู่ๆ ความรู้สึกแปลกๆ ความวาบหวามก็แทรกเข้ามาทันทีที่เขาคลี่ริมฝีปากเธอออกเพื่อมอบจูบอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ลิ้นอุ่นของเขาค่อยๆ ไล้แตะแต้มบนเรียวปากบางจนเธอต้องเผยอริมฝีปากขึ้นอย่างเผลอไผลเพียงเพื่อต้องการสูดเอาอากาศหายใจเท่านั้น
ลิ้นซุกซนก็สอดแทรกเข้ามาอย่างถือสิทธิ์ทันที
ดูเหมือนว่าพระเจ้าจะเข้าข้างเธอหรือว่าจงใจกลั่นแกล้งเขา
ก่อนที่อะไรต่อมิอะไรจะเกินเลยไปกว่านี้ ก่อนที่เธอและเขาจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ เสียงของหญิงสาวร้องเรียกชื่อรวิชญ์ก็ดังขึ้น
เป็นผลให้รวิชญ์รีบถอนริมฝีปากออกทันที แขนแข็งแรงปล่อยร่างบางเป็นอิสระกะทันหัน
“พี่วิชญ์คะ พี่วิชญ์”
ณรันดาเหยียดริมฝีปากยิ้มที่มุมปากน้อยๆ
พร้อมด้วยสายตาที่จ้องมองเขาอย่างเหยียดๆ
“ฮึ...นี่หรือคนที่บอกว่าคิดถึงกันเมื่อครู่
นี่หรือคนที่กล่าวหาฉันว่าใจร้าย และนี่หรือคือคนที่ประกาศว่าจำเมียตัวเองได้แค่ นี้ยังกลัวจนถอยกรูดไม่เป็นท่า
รวิชญ์ คนอย่างคุณมันก็เท่านี้ ยังไงคุณมันก็แค่คนขี้ขลาดและไร้หัวใจในสายตาฉันเหมือนเดิม”
ณรันดาเอ่ยออกมาตามที่ใจคิด
แล้วเธอก็หมุนร่างเดินตรงกลับเข้างานโดยไม่หันกลับมามองเขาอีก
ปล่อยให้เขายืนหน้าชาอยู่กับสิ่งได้ยินเมื่อครู่
ความคิดเห็น