ลำดับตอนที่ #4
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 4
บทที่ 4
เช้าวันใหม่ย่างกรายมาพร้อมกับแสงตะวันอบอุ่น ร่างน้อยของนิสาปรากฏขึ้นบริเวณหน้าบ้านของหนุ่มจอมเกเร นัยน์ตาของสาวน้อยเป็นประกายแช่มชื่น ยิ้มกว้างสดใส หัวใจเบิกบาน หลังจากซึมเซาอยู่หลายวัน เธอเคาะประตูเรียกเจ้าของบ้าน ดีใจมากที่คนเปิดประตูคือเขา..
“ ฉันมารออยู่นานแล้ว เธอไม่ยอมเปิดประตูเสียที “
“ มีอะไร “ เสียงถามยังห้วนห้าว คิ้วเข้มขมวดคล้ายไม่พอใจ
“ ไม่มีอะไร “ เธอบอกเสียงใส “ อยากไปโรงเรียนพร้อมกับเธอ “
ยิ้มสวยใสของเธอ ซึมลึกเข้าไปกลางนัยน์ตาเฉยเมยอีกคู่ นิสาได้ยินเขาพึมพำด่าเธอว่า..บ้า แต่ยังยอมเบี่ยงกายให้เธอเข้ามาข้างใน ฟังเธอร้องทักทายมารดา มองเธอกอดเอว กอดแขน ท่าน ด้วยกิริยาฉอเลาะ อย่างหมั่นไส้แกมเอ็นดู แล้วก็เผลอไผลมองทุกอิริยาบถของเธออย่างไม่วางตา
ทั้งสองเดินคุยสัพเพเหระ ตั้งแต่ออกจากบ้าน จนถึงประตูโรงเรียน พรรณีคลอเคลียมากับเจนชนก ฝ่ายชายจำต้องแยกไปห้องของตัวเอง ท่าทีอาลัยอาวรณ์ราวกับจะจากไปรบ ฝ่ายหญิงก็โบกไม้โบกมือลา ราวกับฝ่ายตรงข้ามจะจากไปตาย
อารมณ์หึงหวงพลุ่งขึ้นอย่างเดือดดาล นัยน์ตาเข้มหรี่มองดุร้าย กำลังคิดว่าจะชำระความลูกชายนายอำเภออย่างไร ข้างหูพลันได้ยินเสียงกระซิบอุ่นซ่านจากนิสาว่า
“ เย็นนี้ ฉันจะไปรอเธอที่เดิม มีอะไรจะบอก แล้วก็มีอะไรจะให้ด้วย “
ครั้นจะซักรายละเอียด เจ้าตัวก็วิ่งตัวปลิวไปสมทบกับบุหลันกลางสนามเสียแล้ว พรรณีมองไม่เห็นคนรัก หล่อนก้าวเนิบช้าตรงไปโรงอาหาร ระหว่างทางกว่าจะถึง บรรดานักเรียนหนุ่ม ๆ หลายคน ต่างพากันไปล้อมหน้าล้อมหลัง ช่วยหิ้วถุง ถือสัมภาระ ต่างมุ่งหวังเพิ่มคะแนนทางใจให้ตนเอง ขัดหูขัดตา..
รอจนพลบค่ำ..หนุ่มจอมเกเรก็ผลุงเข้าหาสาวงาม หมั่นไส้มาตั้งแต่เช้า ชายหูชายตา หว่านเสน่ห์ไปทั่ว ไม่เคยเกรงอกเกรงใจ หรือแยแสความรู้สึกเขาเสียบ้างเลย
“ ตื่นมาเจรจากันหน่อย สาวสวย.. “
สาวสวยไม่ทันตื่น แต่ทรัพย์ก็มีวิธีปลุกตามแบบฉบับของตัวเอง ฝ่ามือร้อนผ่าวควานซุกไปใต้ร่มผ้า โลมไล้เนื้อนวล ลื่นละมุน กายหนักพาโถมทับบดเบียดกายนิ่มหอมกรุ่น ฝังจุมพิตไว้ในซอกคอ ซุกไซ้ย่ามใจ กระทั่งอีกฝ่ายสะดุ้งเล็กน้อย ทรวงอกอิ่มครัดเคร่งยกสูงตามแผ่นหลัง เสียดสีแผงอกกว้างร้อนรุม..
“ ทรัพย์ “
“ เก่งมาก หากเรียกเจนล่ะก็ ตายคามุ้งแน่ ๆ “
พึมพำเครียดเคร่ง ขณะปากลากเลื่อนไปตามลำคอระหง มือสองข้างกระชับเรือนกายสะท้าน สั่นเทา ให้แนบชิดสนิทเนื้อยิ่งกว่า จุมพิตปรารถนากดนาบแรงร้อน บดขยี้เร่าร้อน
“ มาคุยกัน “ กระเส่าสั่ง หอบหายใจเหนื่อย มือข้างหนึ่งเลิกมุ้งขึ้น พาหล่อนออกมานั่งเก้าอี้ริมหน้าต่าง “ เมื่อเช้าเห็นเต็มตาว่ามากับใคร อ้อยอิ่งอำลา กว่าจะตัดใจหันหลังให้กัน ใจจะขาดหรือไง “
“ หาเรื่อง เราก็ไปกับเขาตามมารยาท แล้วก็พ่อสั่ง “
พาดพิงถึงครูตาบ หนุ่มจอมเกเรเลยหมดข้อกังขา เขาตระหนักว่าครูตาบรักและเมตตาเขาประดุจลูก แต่ไม่ใช่ลูกเขย ใบหน้าหล่อเหลาสลดวูบ ยามขบคิดไม่เข้าใจว่า เหตุใดครูตาบจึงไม่สนับสนุนรักอันบริสุทธิ์ของเขา
“ ปลุกมาคุยแค่นี้ใช่ไหม เราจะได้กลับไปนอนต่อ “
เสียงแหลมใสกระทุ้งขึ้นอย่างแง่งอน ทำลายภวังค์วูบหนึ่งของหนุ่มน้อย มือเรียวผลักไสอกกว้าง แสร้งทอดสะพานเชิญชวน กรีดกรายหายเข้าในมุ้ง ทอดกายซุกตัวใต้ผ้าห่ม หันหลังไม่แยแส ยิ้มกริ่มพริ้มพรายในเงามืด ที่นอนยุบยวบ แผ่นหลังสัมผัสไอร้อนกระแสหนึ่ง แผ่พุ่งมาจากฝ่ามือชึ้น จากนั้น ไอร้อนค่อย ๆ ลามสูงขึ้นจนถึงต้นคอ เสื้อนอนถูกรั้งตามขึ้นไปด้วย เผยเนื้อเนียนขาวให้อีกฝ่ายไซ้ปากตามใจชอบ
พรรณีกัดริมฝีปาก แสนกำซาบในรสเสน่หาที่อีกฝ่ายทุ่มเทด้วยใจภักดิ์ แม้เขาจะหวงแหนความสดสาวของหล่อน ทะนุถนอมจนกว่าจะถึงกาลอันควร หากเนื้อกายภายนอกหาได้รอดพ้นการจาบจ้วงร้อนแรง บุตรสาวครูตาบตกเป็นสมบัติอันหวงแหนของศิษย์คนโปรด โดยท่านยังคงนอนหลับไม่รู้ นอนคู้ไม่เห็น
ขณะนี้ บุตรสาวครูตาบบิดกายส่ายเอว ทุรนทุรายกลางกองเพลิงปรารถนา ทรัพย์ปรุงแต่งรสเสน่หา ยิ่งเพิ่มความจัดจ้าน เผ็ดร้อน จนสาวงามสั่นกระเส่า อิ่มเอม เผยยิ้มเปี่ยมสุข พลางดึงกายหนักหน่วงของทรัพย์ให้แนบสนิทเบียดเนื้อ โอบกอดไว้แน่น คล้ายกริ่งเกรงว่าเขาจะยุติการกระทำแล้วโบยบินไปพร้อมกับรัตติกาลที่ใกล้ลุล่วง..
แสงทองจับขอบฟ้า ส่องให้เห็นฝูงนกกาโบยบินออกจากรวงรังเพื่อหากินตามปกติ ทรัพย์วิ่งเหยาะ ๆ มาตามคันนา เขาด่าตัวเองที่เลินเล่อ ผลอยหลับไปนานจนเกือบเสียเรื่อง หากครูตาบตื่นแล้วพบเห็นเขานอนกอดก่ายพรรณีในมุ้ง เห็นทีความสัมพันธ์อันดีฉันท์ครูศิษย์ คงหักสะบั้นไม่เหลือชิ้นดี
เขาครุ่นคำนึงถึงความลับที่เก็บงำมานานหลายปี ขณะกระโดดข้ามคูน้ำ แล้วพลาดท่าพลัดตกลงไป หัวเราะกับตัวเองว่าเรี่ยวแรงหดหายเพราะพักผ่อนน้อยไป ความจริงจะบอกว่ามันเป็นความลับ ก็ไม่เชิงเสียทีเดียว เพราะอย่างน้อย ยังมีนิสาอีกคนที่รับรู้..นิสา..
ใจกระตุกถ่วงลง จนทรัพย์คิดว่ามันหล่นโครมมาเกยแทบเท้า เมื่อระลึกได้เดี๋ยวนั้นว่า เขาลืมเลือนนัดหมายของสาวน้อยเสียสนิท บ้าจริง ๆ ป่านนี้มิโกรธใหญ่แล้วหรือ..
บ้าจริง ๆ ..ทำไมลืมสนิท เพราะมัวแต่หึงหวงพรรณี เสียเวลาตักตวงแก้แค้น อิ่มเอมจนอ่อนเพลีย ช่วงเวลาที่ตกอยู่ใต้อำนาจปรารถนา เงานิสาไม่สามารถแฝงเร้นเข้ามาปรากฏเพื่อกระตุ้นเตือน ทรัพย์รีบมาโรงเรียนเช้ากว่าทุกวัน เขาคิดว่าจะพบเธอนั่งรอท่าในห้องเรียน ทว่า..ไม่พบ
เด็กหนุ่มย้ายมาสำรวจในโรงอาหาร ปกติเธอมักจะแวะมานั่งทำการบ้าน หรือไม่ก็นั่งคุยกับเพื่อน ๆ ระหว่างรอเวลาเข้าแถว บุหลันถือถาดอาหารเดินมา หล่อนโบกมือให้เมื่อเห็นเขายืนชะเง้อ เหลียวซ้ายแลขวา “ มองหาพรรณีหรือ ฉันเห็นเจนพาไปซื้อขนมทางโน้น “ บุหลันบอก
“ แล้วเธอล่ะ แม่เพื่อนชาวกรุงหายหัวไปไหน “
บุหลันเลิกคิ้ว ครู่หนึ่งก็เข้าใจ หล่อนยิ้มกว้าง หัวเราะให้ดังพอได้ยิน วางถาดอาหารไว้บนโต๊ะ แล้วชวนเขานั่งด้วย แล้วเอ่ยแสดงความยินดีต่อเขาด้วยเสียงสดใสว่า
“ ยินดีด้วย ที่คู่ปรับของนายกำลังจะทิ้งนายไป นิสาลากิจหนึ่งสัปดาห์ พ่อของเธอมารับเข้าเมืองตอนหัวค่ำวานนี้ ตอนนี้พ่อนิสาเป็นนักการเมืองเต็มตัวแล้ว นิสายังบอกว่า พ่อจะย้ายเธอกลับไปโรงเรียนเก่า คราวนี้ นายก็จะไม่ต้องทนเห็นหน้านิสาอีกต่อไป ฉลองเมื่อไหร่ก็อย่าลืมเรียกฉันไปร่วมงานด้วยล่ะ “
มีอะไรจะบอก..มีอะไรจะให้..สมองอื้ออึงคล้ายดั่งบังเกิดพายุหมุนคว้างอยู่ภายใน ร่างสูงอ่อนล้าลงอย่างประหลาด เขาไม่สนใจประโยคอื่น ๆ ของบุหลัน นอกจากเฝ้าก่นด่าความทรงจำอันเลอะเลือนของตัวเอง ด่าแล้วด่าอีก..
เด็กหนุ่มไม่เข้าเรียนตลอดวันนั้น เขาขังตัวเองในห้องซ้อมดนตรี ไม่อยากพบหน้าใคร หรือได้ยินเสียงใคร แม้แต่พรรณีก็ไม่ถูกยกเว้น กระทั่งเวลาล่วงเลยเกือบพลบค่ำ เขาแวะไปยังจุดนัดพบ มิได้คาดหวังว่าจะพานพบสาวชาวกรุง ซึ่งป่านนี้คงมีความสุขกับการหวนคืนสังคมเดิม เธออาจลืมเขาไปแล้วก็ได้
บังเกิดแสงสะท้อนวูบวาบมาจากกิ่งไม้แข็งแรง พุ่งใส่นัยน์ตาเลื่อนลอยของทรัพย์ เขาหรี่ตา พลางเพ่งไปยังที่มาของแสง สองขาก้าวเข้าไปใกล้ แล้วเห็นชัดขึ้นว่า มันคือสร้อยสีเงินเส้นเล็ก ๆ คล้องจี้รูปหัวใจสีเงินแวววาว ตัวเรือนประดับด้วยพลอยขาวสุกสกาวคล้ายแสงระยิบระยับของดวงดาว ยามกระทบแสงแดดอ่อนเรืองใกล้พลบ พลันสะท้อนวูบวาบ พร่างพราย สวยงามไม่น้อย
มือคร้ามแข็งแรงปลดมันลงมา พลางเพ่งสำรวจรายละเอียดอย่างสนเท่ มีปุ่มเล็ก ๆ โผล่ข้างตัวเรือน เมื่อกดเบา ๆ ตัวเรือนก็พลันสปริงตัว เผยอักษรสีเงินเล็กจิ๋วภายใน..นิสา
สาวน้อยร้อยชั่ง พลันมาร้างลายามตะวันชิงพลบ ทิ้งไว้เพียงวัตถุต่างหน้า บางที อาจมีวาจาฝากฝังสักสองสามประโยคเสียด้วยซ้ำ หากวันวาน เขาปรากฏตัวตามนัด..
ใจหนุ่มน้อยสั่นหวิว ๆ พาลจะเป็นลม สองขาอ่อนเปลี้ย มิอาจรองรับน้ำหนักตัวดังเคย ยืนหยัดต่อไปไม่ไหว กายสูงพลันทรุดฮวบลงอย่างปวดร้าว ใจหาย..สาวน้อยจะไม่หวนคืนกลับมาอีกแล้วใช่ไหม..
ดึกดื่นค่อนคืน จอมเกเรประจำหมู่บ้านนอนพลิกกายกระสับกระส่าย ริมโสตแว่วสำเนียงตอกย้ำนัดหมายครั้งสุดท้าย สร้อยเงินยังถูกกำแน่นในอุ้งมือชื้น ก่อนเจ้าตัวจะเผลอยกมันขึ้นไปแนบอกอย่างอาวรณ์
หนึ่งสัปดาห์..หมายถึงเจ็ดวันนับแต่นี้ บุหลันบอกว่าบิดาของเธอมารับเข้าเมือง และทำเรื่องย้ายกลับไปยังโรงเรียนเดิม เมื่อมรสุมทางการเมืองสร่างซา บิดากลายเป็นนักการเมืองใหญ่ เธอจึงไม่มีความจำเป็นต้องซุกกายอยู่ในหมู่บ้านที่ห่างไกลความเจริญแห่งนี้อีก..
แม้นจะรับรู้เช่นนั้น ทรัพย์ยังแอบคาดหวังลึก ๆ ว่าจะพานพบเธอในห้องเรียนทุก ๆ เช้า เขาผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า เฝ้าขบขันความเพียรพยายามของตนเอง การรีบตื่นเช้ากว่าปกติ แล้วดิ่งไปดักรอเธอหน้าโรงเรียน เป็นการกระทำที่หลอกตัวเองพอให้ผ่านพ้นห้วงร้าวรานว่า เธอจะกลับมา..ไร้สาระสิ้นดี..
เช้าวันนี้..ทรัพย์ยอมจำนนต่อความจริงที่เกิดขึ้น เขาตื่นเช้าตามปกติ แต่มิได้เร่งรีบไปโรงเรียนเหมือนเช่นหลายวันก่อน หลังจากช่วยมารดาทำงานบ้านเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเดินไปเปิดประตู แวะหยิบตำราเรียนติดมือมาสองสามเล่ม
“ อรุณสวัสด์ “
นิสา..เอาเถิดเจ้าล่อกันง่าย ๆ แบบนี้เอง ตำราสองสามเล่มร่วงกราวลงสู่พื้น ในขณะเจ้าตัวยืนตกตะลึงตาค้าง ไม่คาดฝันและเชื่อถือภาพที่ปรากฏตรงหน้า กว่าจะสำนึกว่าตนเองเผยความนัยออกนอกหน้าก็สายเกินไปเสียแล้ว นิสาหัวเราะเบา ๆ นัยน์ตาเป็นประกายระยิบระยับ พวงแก้มอิ่มระบายสีชมพูจาง ๆ เธอย่อตัวลงเก็บตำราส่งคืนให้ เขารับมาอย่างเสียไม่ได้ ปราศจากคำขอบอกขอบใจ แค่นเสียงรำคาญกลบเกลื่อนความตื่นเต้นว่า
“ ผลุบโผล่เหมือนผี แล้วมาทำไมอีก เก็บของหรือลาออก “
เอ้า..ยักท่าหน้าตบอีก ทรัพย์ก่นด่าในใจ มองตามหลังบอบบางที่เคลื่อนห่างไปหยุดบริเวณปากทางไม่บอกก็ไม่เป็นไร ไม่ถึงกับอยากรู้นักหนา สาวชาวกรุงมักจะจองหอง ถือดี อย่างนี้ทุกคน
“ พ่อฉันได้เป็นรัฐมนตรีแล้วล่ะ นายทรัพย์ “
หนุ่มเกเรยักไหล่รับรู้ พลางพยักหน้าขรึม ทำเฉยเมยไม่ตื่นเต้น ไม่แยแส ฝีเท้าที่ก้าวเดินล้ำหน้าไปก้าวสองก้าว จงใจถ่วงให้ช้าลง
“ พ่อจัดการย้ายโรงเรียนให้ฉันแล้วด้วย เธอดีใจไหม “
อืมม์..พยักหน้าอีก เห็นท่าทางเธอเบิกบาน มีความสุข เลยไม่อยากขัดให้เสียบรรยากาศ
“ แล้วฉันก็ปฏิเสธพ่อไปแล้วด้วยว่า ฉันไม่ไปล่ะ จะเรียนต่อที่นี่แหละ เธอดีใจไหม “
อืมม์..เอ๊ะ..ปลายเท้าสะดุดกันเอง ร่างสูงเสียกระบวนท่า หมดมาดขรึม เซคะมำไปข้างหน้า ก่อนจะรีบหันมาตามเสียงหัวเราะชอบใจ ทั้งสีหน้าและแววตา ทะเล้น ซุกซน เป็นที่สุด เขาเสียท่าแม่ตัวดี..
“ เด็กบ้า.. “
ทรัพย์คำราม กลบเกลื่อนความอาย แขนกางออกหมายขย้ำเหยื่อเจ้าเล่ห์ นิสาแสร้งทำตาโต ห่อไหล่หวาดกลัว แล้วรีบซอยเท้าหนี หนุ่มสาวเลยวิ่งไล่จับกันอย่างสนุกสนาน ต้อนรับอรุณสดใส ชาวนากลุ่มหนึ่งเดินสวนมา พากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับภาพน่าเอ็นดูของทั้งคู่
พรรณีกับเจนชนกเพิ่งมาถึงหน้าประตูทางเข้า หล่อนแสร้งรีรอถ่วงเวลา ตั้งใจดักพบหน้าชายคนรัก เขามิได้แวะเวียนไปหาหลายคืนแล้ว อยากทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่า..ภาพอันน่ารังเกียจที่โผล่มาจากทางเดินใกล้คันนาโน่น คงเป็นคำเฉลยที่สมบูรณ์ในตัวของมันเอง เพียงแต่สงสัยครามครันว่า ทรัพย์หาเวลาทำความสนิทสนมกับสาวชาวกรุงตอนไหน ทำไมจึงรวดเร็วนัก
เจนชนกมองหนุ่มสาวยิ้ม ๆ มองเพลินจนเบี่ยงกายหลบแรงปะทะชนของนิสาไม่ทัน ร่างน้อยกระเด็นเสียหลัก หงายหลังแต่ไม่ล้มคลุกฝุ่นให้อับอายผู้คนเฉกเช่นที่ผ่านมา เพราะทรัพย์ปราดมายื่นแขนรับไว้ทันท่วงที จะด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม พรรณีหน้าตึง ถลึงตาดุวาว ในทันทีทันใด ที่เห็นทรัพย์รวบร่างน้อย ประคับประคองไว้แนบอก..
“ ครึกครื้นกันตั้งแต่เช้าเชียวนะ “ เสียงเปรยเยียบเย็น แสงตาส่องกระด้างพุ่งสาดใส่ หนุ่มจอมเกเร เลยพาลมือไม้อ่อน ร้อนใจไม่ใช่เล่น
เจนชนกก้มเก็บตำราสองสามเล่ม กับกระเป๋าถือของนิสา ยื่นส่งให้ทั้งสอง เขามิได้สังเกตกิริยาฉุนเฉียวของพรรณี และมิได้เอ่ยทักทายกับทรัพย์ เนื่องจากมีความบาดหมางกันก่อนหน้านี้ แม้จะไม่ผูกใจเจ็บแค้น แต่ฝ่ายผู้ใหญ่มองว่าเป็นเรื่องใหญ่ และไม่ควรอภัยให้โดยง่าย
ทรัพย์กลืนน้ำลาย ใจเต้นรัวระส่ำ มองลูกชายนายอำเภอจูงมือสาวงามเดินเข้าประตูโรงเรียน แล้วไปแยกทางกันบริเวณเชิงบันไดหน้าห้องสมุด พรรณีจงใจแก้แค้น หล่อนยั่วยุอารมณ์หึงหวงให้พลุ่งพล่าน แสร้งเดินสะดุดขอบบันได ทำท่าโงนเงนคล้ายจะล้ม เพื่อให้เจนชนกรีบเข้ามาประคอง หนุ่มชาวกรุงหน้าโง่ไปหน่อย ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมสาวงามประจำหมู่บ้าน ทรัพย์หรี่ตามองขรึม ออกจะประหลาดใจระคนตื่นเต้น เมื่อตระหนักว่า อารมณ์หึงหวงซึ่งควรจะล้นปรี่ จู่ ๆ พลันลดน้อยถอยลง ความรู้สึกที่พอจะจับความได้ขณะนี้ ก็แค่..ไม่พอใจนิดหน่อย แล้วจะสะสางให้หมดสิ้นภายในคืนนี้แหละ..
ครั้นพอถึงเวลาสะสาง ฝ่ายหญิงกลับเป็นฝ่ายตั้งท่าเอาเรื่อง หล่อนผลักไสหนุ่มเกเรให้ออกนอกมุ้ง พลางร้องประชดประชันว่า
“ ไม่ต้องมายุ่งกับเรา เอาเวลาไปพะเน้าพะนอแม่ลูกสาวนักการเมืองใหญ่เถอะ “
“ เอ.. “ ทรัพย์ยิ้มเก้อ ๆ เขาตั้งใจมาเอาเรื่องที่หล่อนทอดสะพานลูกชายนายอำเภอ กลับกลายเป็นตนเองหรอกหรือที่ปันใจเป็นอื่น “ เดี๋ยวนี้เราเก่งใหญ่แล้ว ตีหน้ายักษ์เล่นบทอาละวาด เกเร กลบเกลื่อนความผิดตัวเอง แล้วยังไม่หนำใจ หาเรื่องโยนบาปมาให้เรารับอีกด้วย “
พรรณีเบิกตากว้าง เผยอริมฝีปากจะต่อล้อต่อเถียง แต่ทรัพย์ไม่ต้องการ เขาไม่ชอบทะเลาะกับสาวคนรัก เวลาจะพบปะพูดคุยในยามปกติ มีน้อยเหลือเกิน แม้แต่เวลาลักลอบเช่นนี้ก็เถอะ มิได้มากมายอะไร เหลือเฟือพอจะผลาญมันให้หมดไปกับการทุ่มเถียง
“ อย่าน่า..เราไม่อยากเถียงด้วย “
ทรัพย์กระซิบข้างหูเสียงร้อนลึก หลังจากเข้าประชิดตัวสาวงาม รวบมากอดแนบอก แล้วประกบจุมพิตตัดบท สองมือเคล้าคลึงแผ่นหลังบอบบางด้วยแรงปรารถนา คำสั่งเฉียบขาดจากความรัก มิอาจปัดป้องขัดขืน ทรัพย์โน้มกายอุ้มสาวงามไว้ในสองแขน พาไปวางทะนุถนอมแสนรักแสนใคร่บนเตียง จากนั้น ไฟสวาทอันร้อนกล้า พลันก่อตัวลุกโชติโชน..
พรรณีบิดกายร้อนเร่ากลางกองเพลิง ทรวงสะท้านตามจังหวะโลมลูบเฟ้นฟอน ชุดนอนบางเบาถูกทรัพย์กระชากแล้ว ปลดเปลื้อง อย่างบ้าคลั่ง กระทั่งสาวงามเผยกายหมดจด เปล่งปลั่งถ้วนทั่ว ในแสงสลัว
หนุ่มเกเรหายใจแรงจนเป็นหอบ อารมณ์รักคึกคะนอง กระโจนว่องไวสู่ห้วงฝันอันบรรเจิด ร่างน้อยของพรรณี แลไปคล้ายเหยื่ออันโอชะ พยัคฆ์หนุ่มจะกัดกิน เคี้ยวขย้ำ อย่างไรก็หาได้มีเรี่ยวแรงต้านทาน ต่อกร ความสดสาวที่ประคับประคองมาเนิ่นนาน เดินมาหยุดรอ ณ จุดล่อแหลม..
ทรัพย์ทอดกายแนบแผ่นหลังกับที่นอน เหนือกายร้อนผ่าวและชุ่มเหงื่อ ทอดทาบไว้ด้วยกายสะท้าน เร่าร้อนของสาวงาม ดวงตามืดมัว ด้วยตกอยู่ใต้อำนาจปรารถนาลี้ลับ จำต้องปฏิบัติตามครรลองที่มันลิขิต..
แสงสุกสกาว ส่องระยิบระยับ พราวพร่างเต็มแผ่นฟ้าดำทะมึน ชวนให้ระลึกถึงสร้อยเงินพร้อมจี้รูปหัวใจดวงน้อย ภายในสลักอักษรนามผู้เป็นเจ้าของ..นิสา
ไฟรักซึ่งกำลังกระพือพัด โหมกระหน่ำแผดเผาหนุ่มสาวที่กำลังกอดก่าย บดเบียดมังสาเร่าร้อนกลางเตียง ใกล้จะหลอมรวมเป็นกายเดียวรอมร่อ พลันดับมอดลงแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย มันยุติด้วยตัวของมันเอง ไม่มีคำอธิบายใด ๆ ต่อการชะงักงันของหนุ่มเกเร การกระทำทั้งปวงสะดุดและหยุดกึก..
เด็กบ้า..ทรัพย์ร้องด่าสาวหนึ่งภายใน หากภายนอกเพียงกล่าวแหบแผ่วสั้น ๆ กับสาวงามว่า..ขอโทษ อีกฝ่ายกึ่งโล่งใจ กึ่งเสียดาย หล่อนมิได้พูดจาตัดพ้อต่อว่า นั่งซุกตัวในผ้าห่ม มองร่างสูงเคลื่อนไหวนอกมุ้ง อึดใจหนึ่งก็ผลุงลงทางหน้าต่าง เงียบหายกลืนเข้าไปในหมอกรัตติกาล
เด็กหนุ่มย่องเข้าบ้านเงียบเชียบ แวะดูมารดาที่ห้องแว่บหนึ่ง ท่านหลับสนิทใต้ผ้าห่ม ยิ้มเทิดทูนระบายบนเรียวปากครู่หนึ่ง ก่อนจะวกกลับเข้าห้องตัวเอง จมอยู่ในความหมกมุ่นครุ่นคิด สร้อยเงินต่างหน้าแอบซุกไว้ใต้หมอน มันนอนนิ่งไม่ขยับเมื่อหนุ่มน้อยยกหมอนย้ายมาวางบนตัก ตนเองเอาแต่จับเจ่า เหม่อมองมันอย่างค้นหา
นานเท่าใดไม่ทราบ..เสียงทอดถอนใจเฮือกยาว บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว หลังจากไตร่ตรองอย่างรอบคอบ พรุ่งนี้ เขาจะตัดสัมพันธ์กับนิสา พร้อมกับมอบวัตถุล้ำค่าคืนเจ้าของ ..
ด้วยการตัดสินใจเช่นนี้ นิสาจึงพบความเปลี่ยนแปลงในวันรุ่งขึ้น สาวชาวกรุงฉงนสนเท่กับความเฉยชาของอากัปกิริยาเด็กหนุ่ม ยิ้มหลายครั้งของเธอ เก้อแล้วเก้ออีก เพราะอีกฝ่ายแสร้งเมิน ไม่รู้ไม่ชี้ เขาไม่ยอมอยู่ใกล้นิสา แม้แต่ในโรงอาหารที่มีนักเรียนเบียดเสียดหนาแน่นบริเวณแผงอาหาร ไม่รอนิสาหน้าประตูโรงเรียน เพื่อกลับบ้านด้วยกันหลังเลิกเรียน เป็นอยู่เช่นนี้หลายวัน กระทั่งบ่ายวันนี้..
บุหลันแวะมาหาที่ห้องสมุด นิสานั่งทำรายงานกับเพื่อนในกลุ่ม เพื่อนสาวนั่งแหมะข้าง ๆ พลางยื่นหนังสือเล่มหนึ่ง แล้วบอกว่า
“ นายทรัพย์ไหว้วานให้เอามาให้ “
นัยน์ตากลมโตเปล่งประกายลิงโลดวูบ มือเรียวคว้าหนังสือเล่มนั้นมากุมแน่น เรียวปากเผยยิ้มอย่างมีความสุข บุหลันส่ายหน้าด้วยความเวทนา หล่อนหรือคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน ต่างทราบกันดีว่า หัวโจกจอมเกเร หลงรักพรรณียิ่งกว่าโฉมนางใดในหล้า หล่อนไม่ปฏิเสธว่านิสาเป็นเด็กสาวชาวกรุง สะอาดสะอ้าน รูปร่างอ้อนแอ้น อรชร บอบบางน่าทะนุถนอม ตามแบบฉบับคุณหนู เพียงแต่นิสามาทีหลัง..
คนมาทีหลังวิ่งออกจากห้องสมุดด้วยหัวใจปลาบปลื้ม หนังสือจากบุคคลในดวงใจยับกอดแน่นแนบอก จังหวะวิ่งผ่านโรงอาหาร สายตาว่องไวพลันแลเห็นร่างสูงเดินเกร่บริเวณแผงเครื่องดื่ม เขาเหลียวมาเห็นเธอพอดี ยิ้มร่าเริงจึงรีบส่งไปให้..
ทรัพย์เห็นแล้ว แต่แสร้งทำเฉย เห็นอีกเหมือนกันว่าสาวน้อยหน้าแห้งลงไปถนัด เขาอยากกล่าวขอโทษด้วยตนเอง หรืออย่างน้อยควรอธิบายให้เธอเข้าใจความจำเป็นที่ต้องตัดรอน ช่างเถอะ..ตัดไฟแต่ต้นลมดีกว่า ปล่อยให้ลุกลามเดือดร้อนถ้วนหน้า เขารักพรรณี และจะไม่ยอมให้ผู้หญิงหน้าไหนมาแบ่งปันความรักแม้เพียงเสี้ยวหนึ่งไปจากหล่อน..
ผ่านไปอีกสามวัน..นิสาเงียบขรึม ซึมเซา เป็นไปตามคาดหมาย คราวนี้เธอเลือกที่จะเป็นฝ่ายปลีกตัวไปซุกซ่อนอยู่ตามมุมสงบ ไม่ว่าจะเป็นสวนหย่อมบริเวณริมคลอง ห้องสมุด หอประชุม หรือแม้แต่ห้องเรียนตอนพักกลางวัน ทุกอิริยาบถของเธอ หาได้รอดพ้นสายตาติดตามกระชั้นชิดของทรัพย์ทุกฉากทุกตอน
ตกเย็นวันถัดมา..นิสามาดักรอพบเด็กหนุ่มหน้าประตูโรงเรียน ทรัพย์ชะงักเท้าเล็กน้อย ท่าทางเธอเตรียมพรักพร้อมอยู่ก่อน จึงไม่ยอมเปิดโอกาสให้เขาหลบหน้าหลบตา ร่างบางสาวเท้าเร็วมาประจันหน้า ห่างกันไม่ถึงคืบ เอ่ยขรึมเครียดกับเขาว่า
“ ฉันมีอะไรจะคุยด้วย อีกสองชั่วโมงเจอกันที่เดิม “
ทรัพย์พยักหน้า เจรจากันให้เสร็จสิ้นก็ดีเหมือนกัน ร่างสูงผละไปทันที ทนไม่ไหวกับการรับรู้ความหม่นหมองที่เคลือบคลุมทั่วหน้าที่เคยกระจ่าง ผุดผ่อง หัวใจคล้ายถูกบีบเค้นด้วยมือลี้ลับ ทั้งเจ็บ ทั้งปวด
นิสาตรึงร่างนิ่ง ณ จุดเดิม สูดหายใจเข้าปอด รวบรวมความเข้มแข็งให้มารวมกันที่จิตใจ รอจนร่างสูงลับตาไปแล้ว ฝีเท้าค่อยยกย่าง มุ่งไปยังจุดนัดพบ ยามแหงนเงยมองท้องฟ้า แสงตะวันใกล้จะริบหรี่รอน ๆ สาวน้อยเร่งฝีเท้าเร็วกว่าเดิม และถึงที่หมายก่อนเวลานัดสิบห้านาที
ทรัพย์ปรากฏกายตามนัด เขายืนตระหง่านบนเนินดินเตี้ย ๆ ปล่อยสายลมปะทะผ่านร่าง หันหลังให้สาวน้อย บดบังความสับสน ขลาดเขลาอย่างที่ไม่เคยมาก่อน เสียงฝีเท้าแผ่วกรายใกล้เข้ามา ยิ่งสร้างความร้อนรุ่ม กระวนกระวาย เผลอกัดปากไปมาด้วยความตื่นเต้น
“ หนังสือเล่มนี้เป็นของเธอ “
ทรัพย์หรุบตามองมือเรียวที่ยื่นมาเกือบถึงหน้าแว่บ แล้วผงกศีรษะยอมรับ มือเรียวอีกข้างชูกระดาษแผ่นเล็ก ๆ แล้วว่า
“ ข้อความในกระดาษแผ่นนี้ เธอเป็นคนเขียน อ่านว่า ฉันไม่ชอบมัน เอาของเธอคืนไป “
ผงกศีรษะยอมรับอีกครั้ง และคราวนี้ ปรากฎการณ์เหนือความคาดหมายพลันอุบัติเย้ยแสงสลัว ใบหน้าหล่อเหลาพลันผงะหงายด้วยแรงฝ่ามือหนักหน่วง เสียงฉาดก้อง สะท้านเต็มโสต ทรัพย์เจ็บและชา จนเกิดอาการหูอื้อ แล้วความโมโหก็ตามมา
“ ฉันไม่ชอบเล่นทีเผลอ “ เขาตวาดก้อง กระโดดลงจากเนินลงมาประจันหน้าสาวกำแหง ทว่า..เป็นการหาเรื่องใส่ตัวซ้ำสอง เมื่อนิสาขาดสติ ฟาดหน้าเขาหลายฉาด ซ้ายที ขวาที
“ เด็กบ้า “
ทรัพย์ตวาดเกรี้ยวกราด เสียงกึกก้องสะท้อนทั่วขุนเขา นิสาถูกกระชากเข้ามาอย่างโกรธแค้น แต่เธอหาได้กริ่งเกรงโทสะดุร้ายของเขาอีกต่อไป มือสองข้างเอาแต่ทำร้ายไม่หยุดยั้ง ไม่ตบหน้า ก็ทุบตีรัวลงบนอก ร่ำร้องว่าเขาใจร้าย คร่ำครวญปนสะอื้น ยังมีอีกหลายคำที่ทรัพย์ฟังไม่ออก และไม่เข้าใจ
เด็กหนุ่มขบกราม เขาเจ็บไปหมดทั้งตัว รู้สึกเหมือนถูกลบเหลี่ยม เขาไม่ควรเป็นฝ่ายตั้งรับ แล้วปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามรุกเอา ๆ อย่างย่ามใจ หยุดเดี๋ยวนี้เด็กบ้า ถ้าไม่หยุด จูบจริง ๆ..
นิสาดิ้นขลุกขลัก ตระหนกกับรสสัมผัสประหลาดที่ไม่เคยพบพานมาก่อน มือสองข้างยังใช้ประโยชน์ได้ เธอใช้มันทุบตี ขีดข่วน ผลักไส ในขณะที่เรียวปากหมดอิสรภาพด้วยจุมพิตหยาบช้า ร่างน้อยถอยกรูดไปด้านหลัง จากแรงผลักและดันของหนุ่มเกเร เธอไม่ทราบว่าปะทะกับอะไรบ้าง แต่ทราบว่ามันทำให้เธอเจ็บแปลบขึ้นมา จึงรีบยกแผ่นหลังขึ้นโดยสัญชาติญาณ..
เธอล้มคลุกดินไปแล้ว..เหลี่ยมคมจากก้อนหินเล็ก ๆ ทิ่มแทงแผ่นหลังนวลเนียน นั่นล่ะ คือตัวต้นเหตุสร้างความเจ็บปวดแหลมลึก นอกเหนือจากจุมพิตชั่วช้าที่ไม่มีทีท่าว่าถ่ายถอน
“ ไอ้บ้า..ไอ้สารเลว ไอ้คนเกเร ไอ้หัวโจกอันธพาล ไอ้.. “
นี่แน่ะ..กล้าดียังไงด่าเขาแบบนี้ ทรัพย์ตบปากฉอเลาะไม่เกรงใจ เด็กสาวร้องไห้อย่างคับแค้น เสียงสะอื้นแรงปานใจจะขาด ทำให้ทรัพย์ร้อนรน เขารีบยกตัวออกจากเรือนกายสั่นสะท้าน เธอนอนร้องไห้เหมือนเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ถูกผู้ใหญ่หน้าไม่อายข่มเหง รังแก ปากก็คร่ำครวญตัดพ้อว่า
“ เธอเป็นคนใจร้าย ใจดำ เลือดเย็นที่สุด เธอทำร้ายจิตใจฉันได้ลงคอ หลอกให้ความหวังว่าเธอจะรักฉันได้ เหมือนที่ฉันรักเธอ เธอยอมรับสร้อยเงินแทนใจจากฉัน เก็บเอาไว้ตั้งนาน แล้วจู่ ๆ เธอก็เอามาคืน ตัดรอนฉันอย่างไร้เหตุผล เธอมันบ้า..รักฉันไม่ได้ แล้วมาหลอกฉันทำไม “
หลอก..ทรัพย์ขื่นขมใจเต็มทน หากหลอกได้จริงก็คงดี ป่านนี้ เธอคงนอนระทวยอยู่ในอ้อมแขน กลายเป็นหญิงสองต้องห้าม กินน้ำใต้ศอกพรรณี เขาทำไม่ได้ ทำไม่ลง เธอเข้าใจบ้างหรือเปล่า
“ เรารักกันไม่ได้หรอกนิสา ระหว่างเราไม่มีอะไรที่เหมาะสมคู่ควร เธอเป็นลูกสาวนักการเมืองใหญ่ สังคมที่เธออยู่ แตกต่างจากฉัน..เราไม่ควรรู้สึกรักต่อกัน “
“ ทำไมไม่ควร เรารักกัน มันไม่ดีตรงไหน บอกมาสิว่าตรงไหน ตรงไหน “
นิสาดีดกายขึ้น จับตัวเขาเขย่าถาม เสียงตวาดของเธอดังก้องโหยหวน ทะลวงลึกเข้าไปก่อกวนรักที่ซ่อนสงบอยู่ใต้ก้นบึ้ง ทรัพย์หมดความอดทนกับความดื้อรั้นของเธอ เขาจับตัวเธอไว้ แล้วตะคอกใส่หน้าว่า
“ ไม่ดี..ไม่ดี..ได้ยินไหมนิสาว่าไม่ดี ไม่ดี..ฉันรักพรรณี รักพรรณี ได้ยินไหม ฉันรักพรรณี รักเธอไม่ได้ หัวใจของฉัน ชีวิตของฉัน ความรักของฉัน ทั้งหมดยกให้พรรณีไปแล้ว มันไม่มีหลงเหลือสำหรับเธอ ฟังให้เข้าใจ แล้วเดินออกไปจากชีวิตของฉันเสียที ฉันรักพรรณี..รักพรรณี.. “
นิสากรีดร้องปิ่มว่าจะขาดใจ เธอเสียใจสุดขีด ร่างกระเด็นไปตามแรงผลักของหัวโจกจอมเกเร สองมือยกปิดหูแน่น ปิดกั้นเสียงกู่ตะโกนก้องว่ารักพรรณี..รักพรรณี..
ตะวันสีส้มดวงใหญ่คล้อยต่ำ แขวนนิ่งอ้อยอิ่งอยู่ระหว่างช่องเขา แสงรอน ๆ สาดกระจายไปทั่วผืนฟ้าอ้างว้าง สายลมพัดมารวยริน แสดงความเสียใจต่อใจดวงน้อย ซึ่งบัดนี้ แตกสลาย ย่อยยับ..
อนิจจา..นิสาผู้น่าสงสาร เฝ้าร่ำไห้อยู่เดียวดาย กลางหุบเขาอันเหน็บหนาว ข้างกายปราศจากเงาสูงของทรัพย์ผู้เป็นที่รัก ใช่..เขาจากไปนานแล้ว
เช้าวันใหม่ย่างกรายมาพร้อมกับแสงตะวันอบอุ่น ร่างน้อยของนิสาปรากฏขึ้นบริเวณหน้าบ้านของหนุ่มจอมเกเร นัยน์ตาของสาวน้อยเป็นประกายแช่มชื่น ยิ้มกว้างสดใส หัวใจเบิกบาน หลังจากซึมเซาอยู่หลายวัน เธอเคาะประตูเรียกเจ้าของบ้าน ดีใจมากที่คนเปิดประตูคือเขา..
“ ฉันมารออยู่นานแล้ว เธอไม่ยอมเปิดประตูเสียที “
“ มีอะไร “ เสียงถามยังห้วนห้าว คิ้วเข้มขมวดคล้ายไม่พอใจ
“ ไม่มีอะไร “ เธอบอกเสียงใส “ อยากไปโรงเรียนพร้อมกับเธอ “
ยิ้มสวยใสของเธอ ซึมลึกเข้าไปกลางนัยน์ตาเฉยเมยอีกคู่ นิสาได้ยินเขาพึมพำด่าเธอว่า..บ้า แต่ยังยอมเบี่ยงกายให้เธอเข้ามาข้างใน ฟังเธอร้องทักทายมารดา มองเธอกอดเอว กอดแขน ท่าน ด้วยกิริยาฉอเลาะ อย่างหมั่นไส้แกมเอ็นดู แล้วก็เผลอไผลมองทุกอิริยาบถของเธออย่างไม่วางตา
ทั้งสองเดินคุยสัพเพเหระ ตั้งแต่ออกจากบ้าน จนถึงประตูโรงเรียน พรรณีคลอเคลียมากับเจนชนก ฝ่ายชายจำต้องแยกไปห้องของตัวเอง ท่าทีอาลัยอาวรณ์ราวกับจะจากไปรบ ฝ่ายหญิงก็โบกไม้โบกมือลา ราวกับฝ่ายตรงข้ามจะจากไปตาย
อารมณ์หึงหวงพลุ่งขึ้นอย่างเดือดดาล นัยน์ตาเข้มหรี่มองดุร้าย กำลังคิดว่าจะชำระความลูกชายนายอำเภออย่างไร ข้างหูพลันได้ยินเสียงกระซิบอุ่นซ่านจากนิสาว่า
“ เย็นนี้ ฉันจะไปรอเธอที่เดิม มีอะไรจะบอก แล้วก็มีอะไรจะให้ด้วย “
ครั้นจะซักรายละเอียด เจ้าตัวก็วิ่งตัวปลิวไปสมทบกับบุหลันกลางสนามเสียแล้ว พรรณีมองไม่เห็นคนรัก หล่อนก้าวเนิบช้าตรงไปโรงอาหาร ระหว่างทางกว่าจะถึง บรรดานักเรียนหนุ่ม ๆ หลายคน ต่างพากันไปล้อมหน้าล้อมหลัง ช่วยหิ้วถุง ถือสัมภาระ ต่างมุ่งหวังเพิ่มคะแนนทางใจให้ตนเอง ขัดหูขัดตา..
รอจนพลบค่ำ..หนุ่มจอมเกเรก็ผลุงเข้าหาสาวงาม หมั่นไส้มาตั้งแต่เช้า ชายหูชายตา หว่านเสน่ห์ไปทั่ว ไม่เคยเกรงอกเกรงใจ หรือแยแสความรู้สึกเขาเสียบ้างเลย
“ ตื่นมาเจรจากันหน่อย สาวสวย.. “
สาวสวยไม่ทันตื่น แต่ทรัพย์ก็มีวิธีปลุกตามแบบฉบับของตัวเอง ฝ่ามือร้อนผ่าวควานซุกไปใต้ร่มผ้า โลมไล้เนื้อนวล ลื่นละมุน กายหนักพาโถมทับบดเบียดกายนิ่มหอมกรุ่น ฝังจุมพิตไว้ในซอกคอ ซุกไซ้ย่ามใจ กระทั่งอีกฝ่ายสะดุ้งเล็กน้อย ทรวงอกอิ่มครัดเคร่งยกสูงตามแผ่นหลัง เสียดสีแผงอกกว้างร้อนรุม..
“ ทรัพย์ “
“ เก่งมาก หากเรียกเจนล่ะก็ ตายคามุ้งแน่ ๆ “
พึมพำเครียดเคร่ง ขณะปากลากเลื่อนไปตามลำคอระหง มือสองข้างกระชับเรือนกายสะท้าน สั่นเทา ให้แนบชิดสนิทเนื้อยิ่งกว่า จุมพิตปรารถนากดนาบแรงร้อน บดขยี้เร่าร้อน
“ มาคุยกัน “ กระเส่าสั่ง หอบหายใจเหนื่อย มือข้างหนึ่งเลิกมุ้งขึ้น พาหล่อนออกมานั่งเก้าอี้ริมหน้าต่าง “ เมื่อเช้าเห็นเต็มตาว่ามากับใคร อ้อยอิ่งอำลา กว่าจะตัดใจหันหลังให้กัน ใจจะขาดหรือไง “
“ หาเรื่อง เราก็ไปกับเขาตามมารยาท แล้วก็พ่อสั่ง “
พาดพิงถึงครูตาบ หนุ่มจอมเกเรเลยหมดข้อกังขา เขาตระหนักว่าครูตาบรักและเมตตาเขาประดุจลูก แต่ไม่ใช่ลูกเขย ใบหน้าหล่อเหลาสลดวูบ ยามขบคิดไม่เข้าใจว่า เหตุใดครูตาบจึงไม่สนับสนุนรักอันบริสุทธิ์ของเขา
“ ปลุกมาคุยแค่นี้ใช่ไหม เราจะได้กลับไปนอนต่อ “
เสียงแหลมใสกระทุ้งขึ้นอย่างแง่งอน ทำลายภวังค์วูบหนึ่งของหนุ่มน้อย มือเรียวผลักไสอกกว้าง แสร้งทอดสะพานเชิญชวน กรีดกรายหายเข้าในมุ้ง ทอดกายซุกตัวใต้ผ้าห่ม หันหลังไม่แยแส ยิ้มกริ่มพริ้มพรายในเงามืด ที่นอนยุบยวบ แผ่นหลังสัมผัสไอร้อนกระแสหนึ่ง แผ่พุ่งมาจากฝ่ามือชึ้น จากนั้น ไอร้อนค่อย ๆ ลามสูงขึ้นจนถึงต้นคอ เสื้อนอนถูกรั้งตามขึ้นไปด้วย เผยเนื้อเนียนขาวให้อีกฝ่ายไซ้ปากตามใจชอบ
พรรณีกัดริมฝีปาก แสนกำซาบในรสเสน่หาที่อีกฝ่ายทุ่มเทด้วยใจภักดิ์ แม้เขาจะหวงแหนความสดสาวของหล่อน ทะนุถนอมจนกว่าจะถึงกาลอันควร หากเนื้อกายภายนอกหาได้รอดพ้นการจาบจ้วงร้อนแรง บุตรสาวครูตาบตกเป็นสมบัติอันหวงแหนของศิษย์คนโปรด โดยท่านยังคงนอนหลับไม่รู้ นอนคู้ไม่เห็น
ขณะนี้ บุตรสาวครูตาบบิดกายส่ายเอว ทุรนทุรายกลางกองเพลิงปรารถนา ทรัพย์ปรุงแต่งรสเสน่หา ยิ่งเพิ่มความจัดจ้าน เผ็ดร้อน จนสาวงามสั่นกระเส่า อิ่มเอม เผยยิ้มเปี่ยมสุข พลางดึงกายหนักหน่วงของทรัพย์ให้แนบสนิทเบียดเนื้อ โอบกอดไว้แน่น คล้ายกริ่งเกรงว่าเขาจะยุติการกระทำแล้วโบยบินไปพร้อมกับรัตติกาลที่ใกล้ลุล่วง..
แสงทองจับขอบฟ้า ส่องให้เห็นฝูงนกกาโบยบินออกจากรวงรังเพื่อหากินตามปกติ ทรัพย์วิ่งเหยาะ ๆ มาตามคันนา เขาด่าตัวเองที่เลินเล่อ ผลอยหลับไปนานจนเกือบเสียเรื่อง หากครูตาบตื่นแล้วพบเห็นเขานอนกอดก่ายพรรณีในมุ้ง เห็นทีความสัมพันธ์อันดีฉันท์ครูศิษย์ คงหักสะบั้นไม่เหลือชิ้นดี
เขาครุ่นคำนึงถึงความลับที่เก็บงำมานานหลายปี ขณะกระโดดข้ามคูน้ำ แล้วพลาดท่าพลัดตกลงไป หัวเราะกับตัวเองว่าเรี่ยวแรงหดหายเพราะพักผ่อนน้อยไป ความจริงจะบอกว่ามันเป็นความลับ ก็ไม่เชิงเสียทีเดียว เพราะอย่างน้อย ยังมีนิสาอีกคนที่รับรู้..นิสา..
ใจกระตุกถ่วงลง จนทรัพย์คิดว่ามันหล่นโครมมาเกยแทบเท้า เมื่อระลึกได้เดี๋ยวนั้นว่า เขาลืมเลือนนัดหมายของสาวน้อยเสียสนิท บ้าจริง ๆ ป่านนี้มิโกรธใหญ่แล้วหรือ..
บ้าจริง ๆ ..ทำไมลืมสนิท เพราะมัวแต่หึงหวงพรรณี เสียเวลาตักตวงแก้แค้น อิ่มเอมจนอ่อนเพลีย ช่วงเวลาที่ตกอยู่ใต้อำนาจปรารถนา เงานิสาไม่สามารถแฝงเร้นเข้ามาปรากฏเพื่อกระตุ้นเตือน ทรัพย์รีบมาโรงเรียนเช้ากว่าทุกวัน เขาคิดว่าจะพบเธอนั่งรอท่าในห้องเรียน ทว่า..ไม่พบ
เด็กหนุ่มย้ายมาสำรวจในโรงอาหาร ปกติเธอมักจะแวะมานั่งทำการบ้าน หรือไม่ก็นั่งคุยกับเพื่อน ๆ ระหว่างรอเวลาเข้าแถว บุหลันถือถาดอาหารเดินมา หล่อนโบกมือให้เมื่อเห็นเขายืนชะเง้อ เหลียวซ้ายแลขวา “ มองหาพรรณีหรือ ฉันเห็นเจนพาไปซื้อขนมทางโน้น “ บุหลันบอก
“ แล้วเธอล่ะ แม่เพื่อนชาวกรุงหายหัวไปไหน “
บุหลันเลิกคิ้ว ครู่หนึ่งก็เข้าใจ หล่อนยิ้มกว้าง หัวเราะให้ดังพอได้ยิน วางถาดอาหารไว้บนโต๊ะ แล้วชวนเขานั่งด้วย แล้วเอ่ยแสดงความยินดีต่อเขาด้วยเสียงสดใสว่า
“ ยินดีด้วย ที่คู่ปรับของนายกำลังจะทิ้งนายไป นิสาลากิจหนึ่งสัปดาห์ พ่อของเธอมารับเข้าเมืองตอนหัวค่ำวานนี้ ตอนนี้พ่อนิสาเป็นนักการเมืองเต็มตัวแล้ว นิสายังบอกว่า พ่อจะย้ายเธอกลับไปโรงเรียนเก่า คราวนี้ นายก็จะไม่ต้องทนเห็นหน้านิสาอีกต่อไป ฉลองเมื่อไหร่ก็อย่าลืมเรียกฉันไปร่วมงานด้วยล่ะ “
มีอะไรจะบอก..มีอะไรจะให้..สมองอื้ออึงคล้ายดั่งบังเกิดพายุหมุนคว้างอยู่ภายใน ร่างสูงอ่อนล้าลงอย่างประหลาด เขาไม่สนใจประโยคอื่น ๆ ของบุหลัน นอกจากเฝ้าก่นด่าความทรงจำอันเลอะเลือนของตัวเอง ด่าแล้วด่าอีก..
เด็กหนุ่มไม่เข้าเรียนตลอดวันนั้น เขาขังตัวเองในห้องซ้อมดนตรี ไม่อยากพบหน้าใคร หรือได้ยินเสียงใคร แม้แต่พรรณีก็ไม่ถูกยกเว้น กระทั่งเวลาล่วงเลยเกือบพลบค่ำ เขาแวะไปยังจุดนัดพบ มิได้คาดหวังว่าจะพานพบสาวชาวกรุง ซึ่งป่านนี้คงมีความสุขกับการหวนคืนสังคมเดิม เธออาจลืมเขาไปแล้วก็ได้
บังเกิดแสงสะท้อนวูบวาบมาจากกิ่งไม้แข็งแรง พุ่งใส่นัยน์ตาเลื่อนลอยของทรัพย์ เขาหรี่ตา พลางเพ่งไปยังที่มาของแสง สองขาก้าวเข้าไปใกล้ แล้วเห็นชัดขึ้นว่า มันคือสร้อยสีเงินเส้นเล็ก ๆ คล้องจี้รูปหัวใจสีเงินแวววาว ตัวเรือนประดับด้วยพลอยขาวสุกสกาวคล้ายแสงระยิบระยับของดวงดาว ยามกระทบแสงแดดอ่อนเรืองใกล้พลบ พลันสะท้อนวูบวาบ พร่างพราย สวยงามไม่น้อย
มือคร้ามแข็งแรงปลดมันลงมา พลางเพ่งสำรวจรายละเอียดอย่างสนเท่ มีปุ่มเล็ก ๆ โผล่ข้างตัวเรือน เมื่อกดเบา ๆ ตัวเรือนก็พลันสปริงตัว เผยอักษรสีเงินเล็กจิ๋วภายใน..นิสา
สาวน้อยร้อยชั่ง พลันมาร้างลายามตะวันชิงพลบ ทิ้งไว้เพียงวัตถุต่างหน้า บางที อาจมีวาจาฝากฝังสักสองสามประโยคเสียด้วยซ้ำ หากวันวาน เขาปรากฏตัวตามนัด..
ใจหนุ่มน้อยสั่นหวิว ๆ พาลจะเป็นลม สองขาอ่อนเปลี้ย มิอาจรองรับน้ำหนักตัวดังเคย ยืนหยัดต่อไปไม่ไหว กายสูงพลันทรุดฮวบลงอย่างปวดร้าว ใจหาย..สาวน้อยจะไม่หวนคืนกลับมาอีกแล้วใช่ไหม..
ดึกดื่นค่อนคืน จอมเกเรประจำหมู่บ้านนอนพลิกกายกระสับกระส่าย ริมโสตแว่วสำเนียงตอกย้ำนัดหมายครั้งสุดท้าย สร้อยเงินยังถูกกำแน่นในอุ้งมือชื้น ก่อนเจ้าตัวจะเผลอยกมันขึ้นไปแนบอกอย่างอาวรณ์
หนึ่งสัปดาห์..หมายถึงเจ็ดวันนับแต่นี้ บุหลันบอกว่าบิดาของเธอมารับเข้าเมือง และทำเรื่องย้ายกลับไปยังโรงเรียนเดิม เมื่อมรสุมทางการเมืองสร่างซา บิดากลายเป็นนักการเมืองใหญ่ เธอจึงไม่มีความจำเป็นต้องซุกกายอยู่ในหมู่บ้านที่ห่างไกลความเจริญแห่งนี้อีก..
แม้นจะรับรู้เช่นนั้น ทรัพย์ยังแอบคาดหวังลึก ๆ ว่าจะพานพบเธอในห้องเรียนทุก ๆ เช้า เขาผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า เฝ้าขบขันความเพียรพยายามของตนเอง การรีบตื่นเช้ากว่าปกติ แล้วดิ่งไปดักรอเธอหน้าโรงเรียน เป็นการกระทำที่หลอกตัวเองพอให้ผ่านพ้นห้วงร้าวรานว่า เธอจะกลับมา..ไร้สาระสิ้นดี..
เช้าวันนี้..ทรัพย์ยอมจำนนต่อความจริงที่เกิดขึ้น เขาตื่นเช้าตามปกติ แต่มิได้เร่งรีบไปโรงเรียนเหมือนเช่นหลายวันก่อน หลังจากช่วยมารดาทำงานบ้านเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเดินไปเปิดประตู แวะหยิบตำราเรียนติดมือมาสองสามเล่ม
“ อรุณสวัสด์ “
นิสา..เอาเถิดเจ้าล่อกันง่าย ๆ แบบนี้เอง ตำราสองสามเล่มร่วงกราวลงสู่พื้น ในขณะเจ้าตัวยืนตกตะลึงตาค้าง ไม่คาดฝันและเชื่อถือภาพที่ปรากฏตรงหน้า กว่าจะสำนึกว่าตนเองเผยความนัยออกนอกหน้าก็สายเกินไปเสียแล้ว นิสาหัวเราะเบา ๆ นัยน์ตาเป็นประกายระยิบระยับ พวงแก้มอิ่มระบายสีชมพูจาง ๆ เธอย่อตัวลงเก็บตำราส่งคืนให้ เขารับมาอย่างเสียไม่ได้ ปราศจากคำขอบอกขอบใจ แค่นเสียงรำคาญกลบเกลื่อนความตื่นเต้นว่า
“ ผลุบโผล่เหมือนผี แล้วมาทำไมอีก เก็บของหรือลาออก “
เอ้า..ยักท่าหน้าตบอีก ทรัพย์ก่นด่าในใจ มองตามหลังบอบบางที่เคลื่อนห่างไปหยุดบริเวณปากทางไม่บอกก็ไม่เป็นไร ไม่ถึงกับอยากรู้นักหนา สาวชาวกรุงมักจะจองหอง ถือดี อย่างนี้ทุกคน
“ พ่อฉันได้เป็นรัฐมนตรีแล้วล่ะ นายทรัพย์ “
หนุ่มเกเรยักไหล่รับรู้ พลางพยักหน้าขรึม ทำเฉยเมยไม่ตื่นเต้น ไม่แยแส ฝีเท้าที่ก้าวเดินล้ำหน้าไปก้าวสองก้าว จงใจถ่วงให้ช้าลง
“ พ่อจัดการย้ายโรงเรียนให้ฉันแล้วด้วย เธอดีใจไหม “
อืมม์..พยักหน้าอีก เห็นท่าทางเธอเบิกบาน มีความสุข เลยไม่อยากขัดให้เสียบรรยากาศ
“ แล้วฉันก็ปฏิเสธพ่อไปแล้วด้วยว่า ฉันไม่ไปล่ะ จะเรียนต่อที่นี่แหละ เธอดีใจไหม “
อืมม์..เอ๊ะ..ปลายเท้าสะดุดกันเอง ร่างสูงเสียกระบวนท่า หมดมาดขรึม เซคะมำไปข้างหน้า ก่อนจะรีบหันมาตามเสียงหัวเราะชอบใจ ทั้งสีหน้าและแววตา ทะเล้น ซุกซน เป็นที่สุด เขาเสียท่าแม่ตัวดี..
“ เด็กบ้า.. “
ทรัพย์คำราม กลบเกลื่อนความอาย แขนกางออกหมายขย้ำเหยื่อเจ้าเล่ห์ นิสาแสร้งทำตาโต ห่อไหล่หวาดกลัว แล้วรีบซอยเท้าหนี หนุ่มสาวเลยวิ่งไล่จับกันอย่างสนุกสนาน ต้อนรับอรุณสดใส ชาวนากลุ่มหนึ่งเดินสวนมา พากันยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับภาพน่าเอ็นดูของทั้งคู่
พรรณีกับเจนชนกเพิ่งมาถึงหน้าประตูทางเข้า หล่อนแสร้งรีรอถ่วงเวลา ตั้งใจดักพบหน้าชายคนรัก เขามิได้แวะเวียนไปหาหลายคืนแล้ว อยากทราบว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่า..ภาพอันน่ารังเกียจที่โผล่มาจากทางเดินใกล้คันนาโน่น คงเป็นคำเฉลยที่สมบูรณ์ในตัวของมันเอง เพียงแต่สงสัยครามครันว่า ทรัพย์หาเวลาทำความสนิทสนมกับสาวชาวกรุงตอนไหน ทำไมจึงรวดเร็วนัก
เจนชนกมองหนุ่มสาวยิ้ม ๆ มองเพลินจนเบี่ยงกายหลบแรงปะทะชนของนิสาไม่ทัน ร่างน้อยกระเด็นเสียหลัก หงายหลังแต่ไม่ล้มคลุกฝุ่นให้อับอายผู้คนเฉกเช่นที่ผ่านมา เพราะทรัพย์ปราดมายื่นแขนรับไว้ทันท่วงที จะด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม พรรณีหน้าตึง ถลึงตาดุวาว ในทันทีทันใด ที่เห็นทรัพย์รวบร่างน้อย ประคับประคองไว้แนบอก..
“ ครึกครื้นกันตั้งแต่เช้าเชียวนะ “ เสียงเปรยเยียบเย็น แสงตาส่องกระด้างพุ่งสาดใส่ หนุ่มจอมเกเร เลยพาลมือไม้อ่อน ร้อนใจไม่ใช่เล่น
เจนชนกก้มเก็บตำราสองสามเล่ม กับกระเป๋าถือของนิสา ยื่นส่งให้ทั้งสอง เขามิได้สังเกตกิริยาฉุนเฉียวของพรรณี และมิได้เอ่ยทักทายกับทรัพย์ เนื่องจากมีความบาดหมางกันก่อนหน้านี้ แม้จะไม่ผูกใจเจ็บแค้น แต่ฝ่ายผู้ใหญ่มองว่าเป็นเรื่องใหญ่ และไม่ควรอภัยให้โดยง่าย
ทรัพย์กลืนน้ำลาย ใจเต้นรัวระส่ำ มองลูกชายนายอำเภอจูงมือสาวงามเดินเข้าประตูโรงเรียน แล้วไปแยกทางกันบริเวณเชิงบันไดหน้าห้องสมุด พรรณีจงใจแก้แค้น หล่อนยั่วยุอารมณ์หึงหวงให้พลุ่งพล่าน แสร้งเดินสะดุดขอบบันได ทำท่าโงนเงนคล้ายจะล้ม เพื่อให้เจนชนกรีบเข้ามาประคอง หนุ่มชาวกรุงหน้าโง่ไปหน่อย ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมสาวงามประจำหมู่บ้าน ทรัพย์หรี่ตามองขรึม ออกจะประหลาดใจระคนตื่นเต้น เมื่อตระหนักว่า อารมณ์หึงหวงซึ่งควรจะล้นปรี่ จู่ ๆ พลันลดน้อยถอยลง ความรู้สึกที่พอจะจับความได้ขณะนี้ ก็แค่..ไม่พอใจนิดหน่อย แล้วจะสะสางให้หมดสิ้นภายในคืนนี้แหละ..
ครั้นพอถึงเวลาสะสาง ฝ่ายหญิงกลับเป็นฝ่ายตั้งท่าเอาเรื่อง หล่อนผลักไสหนุ่มเกเรให้ออกนอกมุ้ง พลางร้องประชดประชันว่า
“ ไม่ต้องมายุ่งกับเรา เอาเวลาไปพะเน้าพะนอแม่ลูกสาวนักการเมืองใหญ่เถอะ “
“ เอ.. “ ทรัพย์ยิ้มเก้อ ๆ เขาตั้งใจมาเอาเรื่องที่หล่อนทอดสะพานลูกชายนายอำเภอ กลับกลายเป็นตนเองหรอกหรือที่ปันใจเป็นอื่น “ เดี๋ยวนี้เราเก่งใหญ่แล้ว ตีหน้ายักษ์เล่นบทอาละวาด เกเร กลบเกลื่อนความผิดตัวเอง แล้วยังไม่หนำใจ หาเรื่องโยนบาปมาให้เรารับอีกด้วย “
พรรณีเบิกตากว้าง เผยอริมฝีปากจะต่อล้อต่อเถียง แต่ทรัพย์ไม่ต้องการ เขาไม่ชอบทะเลาะกับสาวคนรัก เวลาจะพบปะพูดคุยในยามปกติ มีน้อยเหลือเกิน แม้แต่เวลาลักลอบเช่นนี้ก็เถอะ มิได้มากมายอะไร เหลือเฟือพอจะผลาญมันให้หมดไปกับการทุ่มเถียง
“ อย่าน่า..เราไม่อยากเถียงด้วย “
ทรัพย์กระซิบข้างหูเสียงร้อนลึก หลังจากเข้าประชิดตัวสาวงาม รวบมากอดแนบอก แล้วประกบจุมพิตตัดบท สองมือเคล้าคลึงแผ่นหลังบอบบางด้วยแรงปรารถนา คำสั่งเฉียบขาดจากความรัก มิอาจปัดป้องขัดขืน ทรัพย์โน้มกายอุ้มสาวงามไว้ในสองแขน พาไปวางทะนุถนอมแสนรักแสนใคร่บนเตียง จากนั้น ไฟสวาทอันร้อนกล้า พลันก่อตัวลุกโชติโชน..
พรรณีบิดกายร้อนเร่ากลางกองเพลิง ทรวงสะท้านตามจังหวะโลมลูบเฟ้นฟอน ชุดนอนบางเบาถูกทรัพย์กระชากแล้ว ปลดเปลื้อง อย่างบ้าคลั่ง กระทั่งสาวงามเผยกายหมดจด เปล่งปลั่งถ้วนทั่ว ในแสงสลัว
หนุ่มเกเรหายใจแรงจนเป็นหอบ อารมณ์รักคึกคะนอง กระโจนว่องไวสู่ห้วงฝันอันบรรเจิด ร่างน้อยของพรรณี แลไปคล้ายเหยื่ออันโอชะ พยัคฆ์หนุ่มจะกัดกิน เคี้ยวขย้ำ อย่างไรก็หาได้มีเรี่ยวแรงต้านทาน ต่อกร ความสดสาวที่ประคับประคองมาเนิ่นนาน เดินมาหยุดรอ ณ จุดล่อแหลม..
ทรัพย์ทอดกายแนบแผ่นหลังกับที่นอน เหนือกายร้อนผ่าวและชุ่มเหงื่อ ทอดทาบไว้ด้วยกายสะท้าน เร่าร้อนของสาวงาม ดวงตามืดมัว ด้วยตกอยู่ใต้อำนาจปรารถนาลี้ลับ จำต้องปฏิบัติตามครรลองที่มันลิขิต..
แสงสุกสกาว ส่องระยิบระยับ พราวพร่างเต็มแผ่นฟ้าดำทะมึน ชวนให้ระลึกถึงสร้อยเงินพร้อมจี้รูปหัวใจดวงน้อย ภายในสลักอักษรนามผู้เป็นเจ้าของ..นิสา
ไฟรักซึ่งกำลังกระพือพัด โหมกระหน่ำแผดเผาหนุ่มสาวที่กำลังกอดก่าย บดเบียดมังสาเร่าร้อนกลางเตียง ใกล้จะหลอมรวมเป็นกายเดียวรอมร่อ พลันดับมอดลงแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย มันยุติด้วยตัวของมันเอง ไม่มีคำอธิบายใด ๆ ต่อการชะงักงันของหนุ่มเกเร การกระทำทั้งปวงสะดุดและหยุดกึก..
เด็กบ้า..ทรัพย์ร้องด่าสาวหนึ่งภายใน หากภายนอกเพียงกล่าวแหบแผ่วสั้น ๆ กับสาวงามว่า..ขอโทษ อีกฝ่ายกึ่งโล่งใจ กึ่งเสียดาย หล่อนมิได้พูดจาตัดพ้อต่อว่า นั่งซุกตัวในผ้าห่ม มองร่างสูงเคลื่อนไหวนอกมุ้ง อึดใจหนึ่งก็ผลุงลงทางหน้าต่าง เงียบหายกลืนเข้าไปในหมอกรัตติกาล
เด็กหนุ่มย่องเข้าบ้านเงียบเชียบ แวะดูมารดาที่ห้องแว่บหนึ่ง ท่านหลับสนิทใต้ผ้าห่ม ยิ้มเทิดทูนระบายบนเรียวปากครู่หนึ่ง ก่อนจะวกกลับเข้าห้องตัวเอง จมอยู่ในความหมกมุ่นครุ่นคิด สร้อยเงินต่างหน้าแอบซุกไว้ใต้หมอน มันนอนนิ่งไม่ขยับเมื่อหนุ่มน้อยยกหมอนย้ายมาวางบนตัก ตนเองเอาแต่จับเจ่า เหม่อมองมันอย่างค้นหา
นานเท่าใดไม่ทราบ..เสียงทอดถอนใจเฮือกยาว บอกให้รู้ว่าเจ้าตัวตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว หลังจากไตร่ตรองอย่างรอบคอบ พรุ่งนี้ เขาจะตัดสัมพันธ์กับนิสา พร้อมกับมอบวัตถุล้ำค่าคืนเจ้าของ ..
ด้วยการตัดสินใจเช่นนี้ นิสาจึงพบความเปลี่ยนแปลงในวันรุ่งขึ้น สาวชาวกรุงฉงนสนเท่กับความเฉยชาของอากัปกิริยาเด็กหนุ่ม ยิ้มหลายครั้งของเธอ เก้อแล้วเก้ออีก เพราะอีกฝ่ายแสร้งเมิน ไม่รู้ไม่ชี้ เขาไม่ยอมอยู่ใกล้นิสา แม้แต่ในโรงอาหารที่มีนักเรียนเบียดเสียดหนาแน่นบริเวณแผงอาหาร ไม่รอนิสาหน้าประตูโรงเรียน เพื่อกลับบ้านด้วยกันหลังเลิกเรียน เป็นอยู่เช่นนี้หลายวัน กระทั่งบ่ายวันนี้..
บุหลันแวะมาหาที่ห้องสมุด นิสานั่งทำรายงานกับเพื่อนในกลุ่ม เพื่อนสาวนั่งแหมะข้าง ๆ พลางยื่นหนังสือเล่มหนึ่ง แล้วบอกว่า
“ นายทรัพย์ไหว้วานให้เอามาให้ “
นัยน์ตากลมโตเปล่งประกายลิงโลดวูบ มือเรียวคว้าหนังสือเล่มนั้นมากุมแน่น เรียวปากเผยยิ้มอย่างมีความสุข บุหลันส่ายหน้าด้วยความเวทนา หล่อนหรือคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน ต่างทราบกันดีว่า หัวโจกจอมเกเร หลงรักพรรณียิ่งกว่าโฉมนางใดในหล้า หล่อนไม่ปฏิเสธว่านิสาเป็นเด็กสาวชาวกรุง สะอาดสะอ้าน รูปร่างอ้อนแอ้น อรชร บอบบางน่าทะนุถนอม ตามแบบฉบับคุณหนู เพียงแต่นิสามาทีหลัง..
คนมาทีหลังวิ่งออกจากห้องสมุดด้วยหัวใจปลาบปลื้ม หนังสือจากบุคคลในดวงใจยับกอดแน่นแนบอก จังหวะวิ่งผ่านโรงอาหาร สายตาว่องไวพลันแลเห็นร่างสูงเดินเกร่บริเวณแผงเครื่องดื่ม เขาเหลียวมาเห็นเธอพอดี ยิ้มร่าเริงจึงรีบส่งไปให้..
ทรัพย์เห็นแล้ว แต่แสร้งทำเฉย เห็นอีกเหมือนกันว่าสาวน้อยหน้าแห้งลงไปถนัด เขาอยากกล่าวขอโทษด้วยตนเอง หรืออย่างน้อยควรอธิบายให้เธอเข้าใจความจำเป็นที่ต้องตัดรอน ช่างเถอะ..ตัดไฟแต่ต้นลมดีกว่า ปล่อยให้ลุกลามเดือดร้อนถ้วนหน้า เขารักพรรณี และจะไม่ยอมให้ผู้หญิงหน้าไหนมาแบ่งปันความรักแม้เพียงเสี้ยวหนึ่งไปจากหล่อน..
ผ่านไปอีกสามวัน..นิสาเงียบขรึม ซึมเซา เป็นไปตามคาดหมาย คราวนี้เธอเลือกที่จะเป็นฝ่ายปลีกตัวไปซุกซ่อนอยู่ตามมุมสงบ ไม่ว่าจะเป็นสวนหย่อมบริเวณริมคลอง ห้องสมุด หอประชุม หรือแม้แต่ห้องเรียนตอนพักกลางวัน ทุกอิริยาบถของเธอ หาได้รอดพ้นสายตาติดตามกระชั้นชิดของทรัพย์ทุกฉากทุกตอน
ตกเย็นวันถัดมา..นิสามาดักรอพบเด็กหนุ่มหน้าประตูโรงเรียน ทรัพย์ชะงักเท้าเล็กน้อย ท่าทางเธอเตรียมพรักพร้อมอยู่ก่อน จึงไม่ยอมเปิดโอกาสให้เขาหลบหน้าหลบตา ร่างบางสาวเท้าเร็วมาประจันหน้า ห่างกันไม่ถึงคืบ เอ่ยขรึมเครียดกับเขาว่า
“ ฉันมีอะไรจะคุยด้วย อีกสองชั่วโมงเจอกันที่เดิม “
ทรัพย์พยักหน้า เจรจากันให้เสร็จสิ้นก็ดีเหมือนกัน ร่างสูงผละไปทันที ทนไม่ไหวกับการรับรู้ความหม่นหมองที่เคลือบคลุมทั่วหน้าที่เคยกระจ่าง ผุดผ่อง หัวใจคล้ายถูกบีบเค้นด้วยมือลี้ลับ ทั้งเจ็บ ทั้งปวด
นิสาตรึงร่างนิ่ง ณ จุดเดิม สูดหายใจเข้าปอด รวบรวมความเข้มแข็งให้มารวมกันที่จิตใจ รอจนร่างสูงลับตาไปแล้ว ฝีเท้าค่อยยกย่าง มุ่งไปยังจุดนัดพบ ยามแหงนเงยมองท้องฟ้า แสงตะวันใกล้จะริบหรี่รอน ๆ สาวน้อยเร่งฝีเท้าเร็วกว่าเดิม และถึงที่หมายก่อนเวลานัดสิบห้านาที
ทรัพย์ปรากฏกายตามนัด เขายืนตระหง่านบนเนินดินเตี้ย ๆ ปล่อยสายลมปะทะผ่านร่าง หันหลังให้สาวน้อย บดบังความสับสน ขลาดเขลาอย่างที่ไม่เคยมาก่อน เสียงฝีเท้าแผ่วกรายใกล้เข้ามา ยิ่งสร้างความร้อนรุ่ม กระวนกระวาย เผลอกัดปากไปมาด้วยความตื่นเต้น
“ หนังสือเล่มนี้เป็นของเธอ “
ทรัพย์หรุบตามองมือเรียวที่ยื่นมาเกือบถึงหน้าแว่บ แล้วผงกศีรษะยอมรับ มือเรียวอีกข้างชูกระดาษแผ่นเล็ก ๆ แล้วว่า
“ ข้อความในกระดาษแผ่นนี้ เธอเป็นคนเขียน อ่านว่า ฉันไม่ชอบมัน เอาของเธอคืนไป “
ผงกศีรษะยอมรับอีกครั้ง และคราวนี้ ปรากฎการณ์เหนือความคาดหมายพลันอุบัติเย้ยแสงสลัว ใบหน้าหล่อเหลาพลันผงะหงายด้วยแรงฝ่ามือหนักหน่วง เสียงฉาดก้อง สะท้านเต็มโสต ทรัพย์เจ็บและชา จนเกิดอาการหูอื้อ แล้วความโมโหก็ตามมา
“ ฉันไม่ชอบเล่นทีเผลอ “ เขาตวาดก้อง กระโดดลงจากเนินลงมาประจันหน้าสาวกำแหง ทว่า..เป็นการหาเรื่องใส่ตัวซ้ำสอง เมื่อนิสาขาดสติ ฟาดหน้าเขาหลายฉาด ซ้ายที ขวาที
“ เด็กบ้า “
ทรัพย์ตวาดเกรี้ยวกราด เสียงกึกก้องสะท้อนทั่วขุนเขา นิสาถูกกระชากเข้ามาอย่างโกรธแค้น แต่เธอหาได้กริ่งเกรงโทสะดุร้ายของเขาอีกต่อไป มือสองข้างเอาแต่ทำร้ายไม่หยุดยั้ง ไม่ตบหน้า ก็ทุบตีรัวลงบนอก ร่ำร้องว่าเขาใจร้าย คร่ำครวญปนสะอื้น ยังมีอีกหลายคำที่ทรัพย์ฟังไม่ออก และไม่เข้าใจ
เด็กหนุ่มขบกราม เขาเจ็บไปหมดทั้งตัว รู้สึกเหมือนถูกลบเหลี่ยม เขาไม่ควรเป็นฝ่ายตั้งรับ แล้วปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามรุกเอา ๆ อย่างย่ามใจ หยุดเดี๋ยวนี้เด็กบ้า ถ้าไม่หยุด จูบจริง ๆ..
นิสาดิ้นขลุกขลัก ตระหนกกับรสสัมผัสประหลาดที่ไม่เคยพบพานมาก่อน มือสองข้างยังใช้ประโยชน์ได้ เธอใช้มันทุบตี ขีดข่วน ผลักไส ในขณะที่เรียวปากหมดอิสรภาพด้วยจุมพิตหยาบช้า ร่างน้อยถอยกรูดไปด้านหลัง จากแรงผลักและดันของหนุ่มเกเร เธอไม่ทราบว่าปะทะกับอะไรบ้าง แต่ทราบว่ามันทำให้เธอเจ็บแปลบขึ้นมา จึงรีบยกแผ่นหลังขึ้นโดยสัญชาติญาณ..
เธอล้มคลุกดินไปแล้ว..เหลี่ยมคมจากก้อนหินเล็ก ๆ ทิ่มแทงแผ่นหลังนวลเนียน นั่นล่ะ คือตัวต้นเหตุสร้างความเจ็บปวดแหลมลึก นอกเหนือจากจุมพิตชั่วช้าที่ไม่มีทีท่าว่าถ่ายถอน
“ ไอ้บ้า..ไอ้สารเลว ไอ้คนเกเร ไอ้หัวโจกอันธพาล ไอ้.. “
นี่แน่ะ..กล้าดียังไงด่าเขาแบบนี้ ทรัพย์ตบปากฉอเลาะไม่เกรงใจ เด็กสาวร้องไห้อย่างคับแค้น เสียงสะอื้นแรงปานใจจะขาด ทำให้ทรัพย์ร้อนรน เขารีบยกตัวออกจากเรือนกายสั่นสะท้าน เธอนอนร้องไห้เหมือนเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ถูกผู้ใหญ่หน้าไม่อายข่มเหง รังแก ปากก็คร่ำครวญตัดพ้อว่า
“ เธอเป็นคนใจร้าย ใจดำ เลือดเย็นที่สุด เธอทำร้ายจิตใจฉันได้ลงคอ หลอกให้ความหวังว่าเธอจะรักฉันได้ เหมือนที่ฉันรักเธอ เธอยอมรับสร้อยเงินแทนใจจากฉัน เก็บเอาไว้ตั้งนาน แล้วจู่ ๆ เธอก็เอามาคืน ตัดรอนฉันอย่างไร้เหตุผล เธอมันบ้า..รักฉันไม่ได้ แล้วมาหลอกฉันทำไม “
หลอก..ทรัพย์ขื่นขมใจเต็มทน หากหลอกได้จริงก็คงดี ป่านนี้ เธอคงนอนระทวยอยู่ในอ้อมแขน กลายเป็นหญิงสองต้องห้าม กินน้ำใต้ศอกพรรณี เขาทำไม่ได้ ทำไม่ลง เธอเข้าใจบ้างหรือเปล่า
“ เรารักกันไม่ได้หรอกนิสา ระหว่างเราไม่มีอะไรที่เหมาะสมคู่ควร เธอเป็นลูกสาวนักการเมืองใหญ่ สังคมที่เธออยู่ แตกต่างจากฉัน..เราไม่ควรรู้สึกรักต่อกัน “
“ ทำไมไม่ควร เรารักกัน มันไม่ดีตรงไหน บอกมาสิว่าตรงไหน ตรงไหน “
นิสาดีดกายขึ้น จับตัวเขาเขย่าถาม เสียงตวาดของเธอดังก้องโหยหวน ทะลวงลึกเข้าไปก่อกวนรักที่ซ่อนสงบอยู่ใต้ก้นบึ้ง ทรัพย์หมดความอดทนกับความดื้อรั้นของเธอ เขาจับตัวเธอไว้ แล้วตะคอกใส่หน้าว่า
“ ไม่ดี..ไม่ดี..ได้ยินไหมนิสาว่าไม่ดี ไม่ดี..ฉันรักพรรณี รักพรรณี ได้ยินไหม ฉันรักพรรณี รักเธอไม่ได้ หัวใจของฉัน ชีวิตของฉัน ความรักของฉัน ทั้งหมดยกให้พรรณีไปแล้ว มันไม่มีหลงเหลือสำหรับเธอ ฟังให้เข้าใจ แล้วเดินออกไปจากชีวิตของฉันเสียที ฉันรักพรรณี..รักพรรณี.. “
นิสากรีดร้องปิ่มว่าจะขาดใจ เธอเสียใจสุดขีด ร่างกระเด็นไปตามแรงผลักของหัวโจกจอมเกเร สองมือยกปิดหูแน่น ปิดกั้นเสียงกู่ตะโกนก้องว่ารักพรรณี..รักพรรณี..
ตะวันสีส้มดวงใหญ่คล้อยต่ำ แขวนนิ่งอ้อยอิ่งอยู่ระหว่างช่องเขา แสงรอน ๆ สาดกระจายไปทั่วผืนฟ้าอ้างว้าง สายลมพัดมารวยริน แสดงความเสียใจต่อใจดวงน้อย ซึ่งบัดนี้ แตกสลาย ย่อยยับ..
อนิจจา..นิสาผู้น่าสงสาร เฝ้าร่ำไห้อยู่เดียวดาย กลางหุบเขาอันเหน็บหนาว ข้างกายปราศจากเงาสูงของทรัพย์ผู้เป็นที่รัก ใช่..เขาจากไปนานแล้ว
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น