ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    King of Lions บุรุษหัวใจราชันย์ ออนไลน์

    ลำดับตอนที่ #12 : คำสัญญา [100%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.3K
      25
      19 ส.ค. 61

    ตอนที่ 12
    คำสัญญา







          วิ้ง!!! ฟูมมมมมม!!! ม่านสีทองพลันเจิดจ้าจรัสแสงกำบังไฟประลัยกัลป์ที่โถมพลานุภาพอันเหลือคณนานับจากสกิพโกซท์ในหนที่สอง แทนที่เวียร์จะสิ้นชาติขาดสะบั้นแหลกลาญกลับยังคงชีวิตอยู่โดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อมือขวาของเขาถูกมือหนึ่งจับชูขึ้นจนสัมผัสกับดอกไม้ต้องสาปชูออร่าควีน ให้ทราบความเป็นมาของตนในนิมิตหมายที่สว่างแลดับวูบในคราวเดียว

    .

    .

    .

    หนึ่งในความทรงจำที่หายไป

    .

    .

    .

           เนิ่นนานมาแล้วในคราวที่กิเลียสซ่ายังคงเป็นจักรพรรดิของปถุชน คิงออฟไลออนออนไลน์โค้ดเบต้า ณ เวลานั้นมีเพียงหนึ่งกษัตริย์พระองค์นี้ที่เป็นเจ้าทุกชีวิต ทุกแดนดินในผืนโลกคือสมบัติส่วนพระองค์ สรรเสริญแด่นามอันเกรียงไกรที่จักเป็นนิรันดรในไม่ช้า กิเลียสซ่าจอมจักรพรรดิกลับรู้สึกเดียวดายไร้ซึ่งความสุข พระราชอำนาจล้นเหลือยังเหล่าศัตรูทำให้ไม่มีผู้ใดคิดต่อกร และพันธมิตรนั้นเพิ่มพูนทวีด้วยยอมสวามิภักดิ์มอบความภักดีอยู่ใต้อาณัติสิ้น     
         
    "นี่ไม่ใช่ความสงบสุขอย่างที่ข้าต้องการ" กษัตริย์ตรัสกับพระองค์เองในท้องพระโรงเวิ้งว้าง "จักต้องมีใครสักคนทำเรื่องนี้ให้ข้า"     
         
           ไม่นานหลังจากนั้นกิเลียสซ่าจึงได้มอบดาบวิเศษคู่พระวรกายนามราชันย์มังกรไร้พ่ายแด่ขุนพลคนสนิท โดยยื่นภารกิจสุดท้ายของชีวิตให้เขาด้วย     
         
    "เมื่อท่านทำสำเร็จ จงปลิดชีพตน เพื่อที่เรื่องนี้จะไม่ถึงตัวข้าในภายหลัง"     
         
           ขุนพลรับบัญชามิได้กังขา นั่นเพราะเขาทราบดีว่าหากนำราชันย์มังกรไร้พ่ายไปยังดินแดนต้องห้ามและปลดปล่อยประดาปีศาจร้ายออกมา ตัวเขาเองก็ไม่มีเกียรติมากพอจะให้ดำรงชีวิตสืบไปอยู่แล้ว พระองค์ต้องการความทุกข์ทรมานเมื่อสันติสุขไม่อาจจำแนกแยกแยะคนดีออกจากคนชั่วฉันใด พระราชอำนาจจึงเป็นได้แค่ข้อบัญญัติสลักบนศิลาหินฉันนั้น     
         
    "ท่านขุนพล!" เสียงใสขานเรียกยังเบื้องหลังก่อนที่ขุนพลจะก้าวออกจากพระราชวัง "ท่านขุนพล"     
         
           ซึ่งทุกตารางนิ้วแห่งสถานที่นี้สร้างจากวัตถุดิบที่ผสมทองคำ     
         
    "องค์หญิง" เขาก็หันไปเรียกขานเธอเฉกกัน "มีพระประสงค์ใด"     
         
           ดวงตาสีฟ้าครามดุจสีของน้ำทะเลในยามบ่ายคล้อย เส้นผมสีน้ำตาลยาวสลวยถูกรวบไว้เหนือเนินอก ฉลองพระองค์สีน้ำเงินกระชับแนบกายาดั่งจอมเวทมนตร์ผู้ชาญมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูง กับดาบแสงในปลอกทองที่เรืองรองสุกใสสว่างล้ำค่ายิ่งนัก     
         
    "ข้ารู้ว่าท่านจะไปที่ไหน ข้าขออะไรท่านสักอย่างสิ"     
         
    "สิ่งใดที่ท่านต้องการ"     
         
    "สิ่งนี้ต้องเป็นความลับ ท่านต้องรับปากข้าว่าจะไม่แพร่งพรายต่อผู้ใดโดยเฉพาะพระบิดา"     
         
    "ข้ารับปาก"     
         
    "ดี" ดวงตาสีฟ้าครามวาวขึ้นทันทีประหนึ่งความสนุกในฤทัยเป็นจริงตามหวังแน่ "ให้ข้ากระซิบท่าน"     
         
           ขุนพลจึงเดินมาคุกเข่าลงตรงหน้าพระพักตร์ เกราะสีเงินของเขาขึ้นเงาเป็นที่โดดเด่นยามต้องแสงทองของทองคำ แล้วองค์หญิงจึงนั่งลงเคียงข้าง     
         
    "เวียร์ ท่านจงนำเมล็ดของดอกไม้อาถรรพ์นามชูออร่าควีนกลับมาให้ข้า"     
         
           ขุนพลรับฟังชื่อถึงกับแสดงความกระอักกระอ่วนในแววตา องค์หญิงจึงกล่าวถาม     
         
    "ท่านทำไม่ได้? ข้าไม่เชื่อว่าท่านจะทำไม่ได้"     
         
    "ข้าทำได้" เขาเบือนหน้าหนีสายเนตรสีฟ้าครามแห่งเธอที่กำลังสบจ้อง "แต่ข้ากลับมาหาท่านไม่ได้"     
         
    "เพราะอะไร"     
         
    "...งานชิ้นนี้ของข้าคือการไม่กลับมาที่นี่อีก"     
         
           ความไม่พอใจลิงโลดในกมล องค์หญิงไม่นำพาความพอใจใดๆจากน้ำคำของเขา แล้วยังจะได้เมล็ดของดอกไม้อีกหรือ     
         
    "พระบิดาใช้ให้ท่านทำงานอันใดที่ไม่ควรค่ากลับมาหาข้า ที่นั่นใช่ว่าข้าไปเองไม่ได้ แต่จำต้องมีดาบเล่มนั้นของพระบิดาไปด้วย"     
         
    "องค์หญิง"     
         
    "ท่านกล้าขัดข้าเหรอ ท่านเป็นคนของพระบิดาดังนั้นต้องฟังคำสั่งข้าด้วย"     
         
    "ที่นั่นอันตราย ข้าไม่ยินดี-"     
         
    "ท่านจะยินดีหรือไม่ จะกลับมาหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่ข้าสนใจ ข้าจะไปกับท่าน จงปกป้องข้าจนกว่าข้าจะได้สิ่งนี้ ท่านเข้าใจหรือไม่"     
         
    "ข้าเข้าใจ น้อมรับพระบัญชา"     
         
    "น่ารักมากท่านขุนพล อิอิ"     
         
         
         
         
         
         
           แสงของจันทร์นวลแลเหล่าดาราประดับฟากฟ้ายามนี้ช่างน่าเหม่อมอง หากได้ตริตรองการสงครามพร้อมแกล้มสุราฮาเฮกับผองสหาย ณ บนกำแพงหินนี้จักรู้สึกสุขใจเพียงใดหนอ ให้ได้รำลึกถึงวีรกรรมห้าวหาญคราวประจัญบานกับอริศัตรูนานาเผ่าพันธุ์ที่บัดนี้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรที่รุ่งโรจน์ที่สุดแห่งยุค นี่จะเป็นหนึ่งในสามคืนสุดท้ายก่อนที่ความโกลาหลจะบังเกิดขึ้นอีกครั้ง แด่ชัยชนะเพื่อสร้างสัทธาแก่องค์กษัตริย์กิเลียสซ่า พระองค์คือหนึ่งเดียวที่ข้าเชื่อมั่นและจะเทิดทูนจวบจนชีพข้ามลาย     
         
           ขุนพลเกราะเงินหรือที่ถูกองค์หญิงเรียกว่า เวียร์ ยืนตัวตรงบนกำแพงหินสูงชะลูดขณะกำลังจับจ้องหมู่ดาว เพลานี้ก็ดึกสงัดไร้ซุ่มเสียงใดๆเพราะบริเวณนี้เป็นเขตพระราชฐานต้องห้าม เฉพาะเชื้อสายกษัตริย์และอีกเจ็ดขุนพลเท่านั้นที่สามารถเข้าออกอย่างอิสระ หนึ่งขุนพลตัวฉกาจยืนนิ่งอยู่นานแล้ว ครั้นได้เวลานัดหมายเขาก็หงายฝ่ามือขวาออก     
         
           ปรากฏเป็นหิ่งห้อยตัวน้อยบินขึ้นจากฝ่ามือ แสงสีจากตัวหิ่งห้อยซึ่งพอจะสังเกตได้กลับชักนำคนผู้หนึ่งให้กระโดดจากหน้าต่างของหอคอยสูงเสียดฟ้า ร่างของคนผู้นั้นหล่นลงมาไม่ทันไร เวียร์ก็ถีบเท้าทะยานหาทันที พึบ! และรับเป้าหมายไว้ได้พอดี     
         
           ขุนพลกระโจนข้ามกำแพงวังจากที่หนึ่งสู่ที่หนึ่งรวดเร็ว ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นการกระทำอุกฉกรรจ์ที่ต้องโทษประหารชีวิต หากไม่เพราะเตรียมการไว้ก่อนไหนเลยจะกระทำได้แยบคาย แลสีหน้าของเขาเป็นปกติมากถึงมากที่สุด     
         
    "ข้าว่าก่อนหน้านี้ท่านต้องเป็นขโมยแน่ๆ" องค์หญิงถูกส่งตัวลงจากอ้อมอกด้วยความละเมียดละไม "ข้าอดคิดไม่ได้ว่าถ้าท่านรับข้าไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้น"     
         
    "ข้าจะรับผิดและรับโทษตาย" คำตอบจากขุนพลสีหน้าปกติที่ยังกล่าวต่อไปอีกว่า "แต่ต้องภายหลังภารกิจของพระบิดาท่าน"     
         
           ห๊ะ! สำคัญเพียงนั้นหรือ? กิจอันใดที่ปล่อยให้องค์หญิงสิ้นลมหายใจแล้วจึงกลับมารับโทษ?     
         
    "ให้น้อยๆหน่อยท่านขุน!-"     
         
           ฟังว่าเธอจะขึ้นเสียงสูง มือซ้ายอัตโนมัติจึงปิดที่มาของเสียงนั้นทันกาล     
         
    "!..."     
         
           คนถูกปิดปากแถมถูกดึงเข้าไปกอดได้แต่ทำตาโตฉุนกึก เรี่ยวแรงท่านขุนพลช่างมากมายนัก ไม่ปล่อยให้เหยื่อขยับเขยื้อนกายได้เลย รอกระทั่งเหล่าอัศวินตรวจการณ์ด้านนอกกำแพงวังวิ่งผ่านไป เวียร์พลันปล่อยตัวองค์หญิงเป็นไทพลางคุกเข่าลงพร้อมก้มศีรษะบอกเหตุผล     
         
    "ข้าขออภัยยิ่ง สถานที่นี้ไม่เหมาะแก่การใช้เสียงดัง ข้าจะให้ท่านล้มเหลวไม่ได้ ตัวข้าเองก็เฉกกัน"     
         
           หากเป็นคืนวันปกติ ชายผู้นี้ต้องถูกตัดหัว! แม้จะยังขุ่นข้องหมองใจอยู่บ้าง แต่ก็รับฟัง     
         
    "ท่านทำก็เพื่องานของข้านี่นะ ลุกขึ้นเถอะเราต้องไปต่อ"     
         
           เธออาจรู้สึกว่าการหนีออกจากพระราชวังในยามวิกาลเป็นเรื่องตื่นเต้นและเกือบจะง่ายดาย ทว่าทุกวินาทีล้วนอยู่ในกรอบที่ถูกคิดคำนวณอย่างรอบคอบ ตัวหมากที่เดินอยู่บนกระดาน เวลาและสถานที่ต้องแม่นยำ จะให้ความผิดพลาดเกิดขึ้นไม่ได้ เช่นนั้นเขาคงไม่ใช่ขุนพลที่กษัตริย์วางพระทัยสูงสุดเป็นแน่     
         
         
         
         
         
         
    "องค์หญิง"     
         
           สิ้นคำขานเรียก เบื้องหน้าราชธิดาแห่งจอมจักรพรรดิคือรูปปั้นทองคำขนาดมหึมายืนไขว้ดาบยักษ์ผสานกันถึงสามตน ขุนพลจึงรีบถอดผ้าคลุมไหล่สีเงินคลุมศีรษะเธอเพื่อปิดบังโฉมเฉลา ทั้งยังใบ้ด้วยกิริยาว่าห้ามส่งเสียงเป็นเด็ดขาด รูปปั้นทองตนที่ใกล้ที่สุดซึ่งยังคงหันหลังจู่ๆก็ขยับเขยื้อน ในดวงตาปรากฏแสงสีแดงยิงเป็นลำเพลิงออกมาเผาไหม้ในอากาศ การณ์นี้เวียร์จึงออกตัวทักทาย     
         
    "อัศวินอาลักษณ์ที่สาม คืนนี้คงอีกยาวไกล"     
         
           รูปปั้นทองคำที่ถูกเรียกเป็นลำดับสามได้ฟังดังนั้นก็รู้ได้ในบัดดลว่าควรเปิดทางให้ชายคนนี้ผ่านไป ส่งผลให้สามดาบที่ผสานกันอยู่เคลื่อนห่างจากกัน แม้นเป็นแค่ธรรมารมณ์เล็กน้อย มันทั้งสามก็เข้าใจ     
         
           อัศวินอาลักษณ์ทั้งเก้าหรืออีกชื่อหนึ่งคือ ภูติวิบัติเก้ามรณะ คือเก้าเจตนารมณ์ที่โหดเหี้ยมที่สุดแห่งองค์กิเลียสซ่าซึ่งประจุไว้ในรูปปั้นอัศวินทองคำขนาดใหญ่เทียมฟ้า โดยมีหน้าที่ปกป้องพระราชวังในสามทิศทาง ทิศทางละสามตน ผู้ใดต้องการเข้าหรือออกจากพระราชฐานในเขตพระราชวังจำต้องได้รับคำอนุญาตจากกษัตริย์ มิเช่นนั้นจะต้องวางกายาสิ้นลมไว้แทบเท้าพวกมันประหนึ่งขัดพระราชหฤทัยแห่งราชาปานนั้น     
         
           รูปปั้นทองยอมให้เวียร์ผ่านไปเพราะมีพระราชดำริสื่อมาถึงก่อนหน้านี้แล้ว แลพวกมันต้องให้เกียรติเขาดุจราชันย์เสด็จเอง ด้วยเกรงในอำนาจดาบกษัตริย์มังกรไร้พ่ายที่สามารถส่งพวกมันกลับไปยังขุมนรกโลกันตร์อันเป็นถิ่นก่อกำเนิด     
         
           ในที่สุดเมื่อสามารถผ่านอัศวินอาลักษณ์มาได้ ภาพของยักษ์สามตนกับกำแพงวังสูงลิ่วจึงกลายเป็นภูมิทัศน์อยู่ ณ เบื้องหลังเวียร์     
         
           เด็กน้อยในชุดคลุมสีเงินคงอยากจะเอ่ยเจรจามากกว่าแสร้งเป็นคนใบ้ เธอถึงได้ทำท่าทำทางกระฟัดกระเฟียดให้ขุนพลหันไปมองหลายครั้งหลายครา     
         
    "ป่าแถบนี้ปลอดภัย ท่านควรได้พักก่อนที่เราจะเดินทางถึงตัวเมืองมิสการ์ด" เขาว่าพลางนั่งลงบนขอนไม้แห้งข้างทาง "ข้าจะรักษาการณ์อยู่ตรงนี้"     
         
    "ข้าพูดได้แล้วใช่ไหม" องค์หญิงส่งเสียงถามออกมาอย่างแผ่วเบา ราวกับไม่มั่นใจในความไม่รู้ควรของเธอ "ว่าไง"     
         
    "ท่านพูดได้เต็มที่ อัศวินอาลักษณ์พวกนั้นไม่ได้ยินท่านแล้วล่ะ พวกมันทำให้ท่านกลัวสินะ"     
         
    "ใช่สิ! ความรู้สึกเหมือนพระบิดาจ้องมองอยู่เลย อะไรจะเกิดขึ้นล่ะถ้าพระบิดาทราบเรื่อง"     
         
    "ข้าก็ตายไงองค์หญิง"     
         
           น้ำคำของท่านขุนพลช่างเรียบง่ายเสียจริง     
         
    "แล้วพวกมันไม่สงสัยข้าเหรอกับผ้าคลุมผืนนี้น่ะ"     
         
           ขุนพลก็ส่ายศีรษะ     
         
    "ไม่สงสัย นั่นเพราะปกติข้าจะใช้มันคลุมตัวเจ้าเอลฟิล"     
         
    "เอลฟิล? ผู้ใด"     
         
    "ขออภัยท่านอีกครั้งองค์หญิง มันเป็นลูกมังกรเดินสองข้าได้ เป็นสัตว์เลี้ยงของข้าเอง"     
         
    "งั้นรึ" กระทั่งคิดไปว่าผ้าผืนนี้ย่อมสกปรกที่สุด แต่มันก็ไม่ได้สกปรกอย่างที่คิด องค์หญิงจึงยิ้ม "นี่ยอดขุนพลของพระบิดามีสัตว์เลี้ยงได้ด้วยหรือเนี่ย ทำให้ข้าอยากมีบ้างจัง แล้วไหนล่ะเอลฟิลของท่าน?"     
         
           กลับพบพานความโศกสลดในแววตาเวียร์     
         
    "มันตายแล้ว ข้าฆ่ามันเอง"     
         
           วินาทีนั้นเธอจึงเข้าใจ เหตุใดที่ท่านขุนพลจำต้องทำ หากไม่สละเอลฟิลไหนเลยจะมีเอลฟิลรอดพ้นสายตาภูติวิบัติมาได้     
         
    "ขะข้าขอโทษท่านขุนพล เป็นเพราะข้าท่านถึง..."     
         
    "อย่าได้โทษพระองค์เองเลย ข้าไม่คิดมากอย่างนั้น การได้รับใช้ท่านกับกษัตริย์เป็นหน้าที่แท้จริงของข้า เวลานี้ท่านควรพักผ่อน และเมื่อใกล้ยามรุ่งเราจะต้องเดินทางต่อ ท่านควรมีแรงไว้ให้มาก"     
         
    "แล้วท่านล่ะ"     
         
    "ข้าชินแล้วองค์หญิง"     
         
           เวียร์พลันเผยยิ้มที่พระองค์เพิ่งจะได้เห็นเป็นครั้งแรก เป็นยิ้มที่ทำให้องค์หญิงหมดสิ้นข้อกังขาใดๆและยอมทำตามโดยดี หาสักที่เพื่อพักผ่อนพระวรกาย     
         
    "ตอนนี้ข้าก็ไม่ได้อยู่ในวังแล้ว ท่านอย่าได้เรียกข้าว่าองค์หญิงอีกเลย มันจะไม่เป็นการดีสำหรับการเดินทางของเรา"     
         
    "..."     
         
    "ท่านขุนพล ข้าอนุญาตให้ท่านเรียกข้าว่าเซนต์ฟาร์ ส่วนข้าจะเรียกท่านว่าเวียร์ ตกลงตามนี้นะ"     
         
    "น้อมรับพระบัญชา"     
         
    "คำพวกนี้ก็ด้วย อย่าให้ใครเขารู้ว่าท่านกับข้ามียศสิ"     
         
    "ข้าทราบแล้ว"     
         
    "อิอิ ท่านนี่เข้าใจอะไรง่ายดี ราตรีสวัสดิ์"     
         
    "ราตรีสวัสดิ์เซนต์ฟาร์"     
         
           องค์หญิงแห่งอาณาจักรมิสการ์ดคงไม่เคยเห็นเมืองมิสการ์ดมาก่อนเป็นแน่ เป็นองค์หญิงก็ต้องอยู่ในวัง ประสงค์สิ่งใดจักต้องได้ตามหวัง บัดนี้แฝงเร้นมากับขุนพลเถื่อนที่ไม่มากเรื่องกินไม่ชินเรื่องนอนไหนเลยจะปรับตัวทัน ผ้าคลุมไหล่ผืนนั้นก็แสนจะหนานุ่มให้สัมผัสแห่งการหลับไหลเหลือเชื่อ มันทำมาจากหนังของหมาป่าระดับแรงค์เอสถึงสิบสองตัว โดยเลือกจากส่วนที่เป็นท้องน้อยแลเย็บติดกันเป็นผืนหนังด้วยขนแกะเงินเลอค่า จัดได้ว่าผ้าคลุมผืนนี้คือโครตแรร์ไอเทมชั้นดีนั่นเอง     
         
           คิงออฟไลออนออนไลน์โค้ดเบต้าเปิดรับสมัครผู้เล่นหน้าใหม่ทั่วโลกเพียงสองหมื่นคนเท่านั้น ประชากรที่เหลือจะถูกแทนที่ด้วยพนักงานประจำกับเหล่ามอนสเตอร์ปัญญาประดิษฐ์ ในช่วงทดสอบสมรรถนะการออนไลน์ต่อเนื่องยี่สิบสี่ชั่วโมงระบบได้ปรับเพิ่มเวลาในเกมให้ยืดยาวออกไป ขณะนี้เทียบเคียงได้ราวหนึ่งชั่วโมงของโลกจริงเท่ากับครึ่งวันในเกม ยี่สิบสี่ชั่วโมงของโลกจริงจึงเท่ากับสองร้อยแปดสิบแปดชั่วโมงในเกมหรือก็คือสิบสองวัน มากพอให้ผู้เล่นทุกเพศทุกวัยได้จำลองชีวิตเสมือนจริงของพวกเขา หนึ่งจากสองหมื่นคนคือองค์หญิงเซนต์ฟาร์ที่ถูกกำหนดให้กลายเป็นท่านหญิงแห่งอาณาจักรมิสการ์ด และด้วยความเต็มใจองค์หญิงจึงค่อยทราบในภายหลังว่าบทบาทที่ได้แสดงเป็นคุณหนูขององค์จักรพรรดิช่างน่าเบื่อหน่าย การได้นอนกลางป่าแบบนี้กลับเป็นหนทางที่ไม่เลว     
         
           คิงออฟไลออนออนไลน์โค้ดเบต้าจัดให้ระดับแรงค์สูงกว่าระดับเลเวล ระดับเลเวลจะเริ่มจากหนึ่ง การเก็บเลเวลหรือที่เรียกกันว่าเก็บค่าประสบการณ์จะทำให้เลเวลเพิ่มขึ้น ที่เลเวลยี่สิบห้าผู้เล่นสามารถใช้เลเวลของตนแลกแรงค์ได้     
    - โดยแลกยี่สิบห้าเลเวลกับแรงค์ดี (D) แล้วกลับไปสะสมเลเวลที่ระดับหนึ่งใหม่     
    - ใช้อีกห้าสิบเลเวลแลกกับแรงค์ซี (C) แล้วกลับไปสะสมเลเวลที่ระดับหนึ่งใหม่     
    - ใช้อีกเจ็ดสิบห้าเลเวลแลกกับแรงค์บี (B) แล้วกลับไปสะสมเลเวลที่ระดับหนึ่งใหม่     
    - ใช้อีกหนึ่งร้อยเลเวลแลกกับแรงค์เอ (A) แล้วกลับไปสะสมเลเวลที่ระดับหนึ่งใหม่     
    - อีกหนึ่งร้อยเลเวลจากแรงค์เอต้องไม่เคยเสียชีวิตเลย แรงค์จะกลายเป็นระดับเอส (S) โดยอัตโนมัติ     
    - สำเร็จอีกยี่สิบห้าภารกิจทองโดยไม่เสียชีวิต แรงค์จะกลายเป็นระดับเอสเอส (SS) โดยอัตโนมัติซึ่งคือสูงสุด     
         
           ง่ายๆว่าเล่นเกมนี้อย่างไรก็ได้ให้เลเวลทะลุสองร้อยห้าสิบแล้วจึงเปลี่ยนเป็นแรงค์เอในภายหลัง จากนั้นสะสมอีกหนึ่งร้อยเลเวลโดยไม่ตายเลยสักครั้งเพื่อรับแรงค์เอส เวียร์เองก่อนจะมาเป็นขุนพลก็ลำบากไม่น้อย ใช้ชีวิตอยู่แต่ในป่าเพื่อฟาร์มประดามอนสเตอร์ ทั้งยังเคยท่องหมู่เกาะสำหรับปาร์ตี้ล่าโจรสลัด กระทั่งฝีมือเข้าตากษัตริย์กิเลียสซ่า องค์ประมุขจึงประทานยี่สิบห้าภารกิจทองให้เป็นองครักษ์ติดตามพระองค์ตีเมืองน้อยใหญ่ที่ตั้งอยู่รายล้อมราชอาณาจักร ภารกิจจบลงที่ความตายและสมบัติมหาศาล ทว่าเขาคือผู้รอดจากสงครามชิงแดน เหตุนี้กษัตริย์จึงแต่งตั้งให้เขาเป็นยอดขุนพลเอกผู้ภักดีและปรีชาญาณ ทรงมอบทหารหนึ่งในเจ็ดส่วนของกองทัพให้บัญชา แต่เจ้าตัวกลับปฏิเสธ "กษัตริย์แห่งข้า ข้าขออยู่ลำพัง" ดังนั้นกิจลับอันไม่ควรเปิดเผยจึงเป็นเขารับผิดชอบจัดการ และก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยมไม่เคยพลาดพลั้งเลยสักครั้ง จวบจนกระทั่งภารกิจทองสุดท้ายนี้     
         
    "เซนต์ฟาร์ เซนต์ฟาร์ เซนต์ฟาร์ท่านต้องตื่นได้แล้วนะ"     
         
           คำเรียกปลุกดังขึ้นข้างหู ดวงตาสีฟ้าครามปรือขึ้นเล็กน้อยกลับพบว่าฟ้ายังมืดอยู่เลย และเห็นว่าชายผู้เรียกเธอยังคงนั่งอยู่ตรงขอนไม้     
         
    "อย่ามาเรียกทงเรียกท่าน นี่ยังไม่สว่างเลย" องค์หญิงไม่ใส่พระทัยในคำเรียกสักเท่าไร ปากน้อยๆนั่นยังคงว่าต่อไป "ข้าอาจอายุน้อยกว่าท่านก็ได้เวียร์ ท่านควรเรียกข้าเช่นเดียวกับสาวชาวบ้านธรรมดาสิ"     
         
    "ข้าทราบแล้ว เราต้องไปกันต่อก่อนที่ฟ้าจะสว่างกว่านี้"     
         
    "ฟ้าสว่างจะเป็นไร"     
         
    "หากฟ้าสว่างบริเวณนี้จะมีทหารของพระบิดาท่านมาเดินเวร"     
         
    "เหตุใดต้องมาเดินเวรตอนสว่างเล่า ท่านอย่ามาหลอกข้าเลย~" เสียงแจ้วเริ่มหายเข้าไปในลำคอ องค์หญิงกำลังจะบรรทมนิทราอีกครั้ง "เตรียมชาให้ข้าด้วยนะ~"     
         
    "องค์หญิง ทรงดื้อเป็นเด็ก" สิ้นความนั้นขุนพลก็เดินเข้าไปอุ้มเซนต์ฟาร์โดยที่เธอไม่ได้ว่าอะไร ดีเสียอีกจะได้นอนหลับอย่างสบาย "คราวหน้าถ้าเจ้าดื้ออีกข้าจะทำโทษเจ้า"     
         
           เวียร์เดินเลาะเลี้ยวลดไปตามทางเล็กๆ ป่าโปร่งทำให้แสงจันทร์ยามใกล้อรุณรุ่งสาดส่องต้องพื้นที่เต็มไปด้วยใบไม้แห้ง บรรยากาศภายในป่าช่างเย็นสบายให้เขาเพลิดเพลินไปกับการฮัมเพลงโปรดแม้ทำนองมันจะฟังดูเศร้าสลดหดหู่ใจ สู่เนินสูงที่ชูขึ้นเป็นยอดแหลมราวกับจะแบ่งท้องฟ้าออกเป็นสองซีก ที่นั่น ณ เบื่องหน้าที่มีแม่น้ำผืนใหญ่กั้นขวางคือเมืองมิสการ์ดอันคับคั่ง บ้านเรือนสูงตระหง่านโดดเด่น บ้านทุกหลังจะต้องมีหอคอยและยอดหลังคาของหอคอยนั้นจุดคบไฟสว่างไสว ชาวมิสการ์ดเชื่อกันว่าไฟคือสัญลักษณ์แห่งความรุ่งเรือง แต่เวียร์คิดว่าสักวันหนึ่งมันจะหล่นลงมาเผาไหม้บ้านเรือนพวกเขา     
         
    "ข้าต้องการเข้าเมือง" ชายหนุ่มอุ้มหญิงสาวที่ห่อด้วยผ้าคลุมสีเงินเดินทางมาถึงท่าน้ำ พลางเจรจาเช่าเรือข้ามฟากทั้งหมดให้ไปส่งเขากับเธอพร้อมกัน "ข้าเช่าหมดทุกลำ ไปพร้อมกันทีเดียว"     
         
    "นายท่านคงล้อเล่น" นายท่ารูปร่างผอมสูงสวมชุดเกราะเบาไม่อาจเชื่อสิ่งที่ได้ยิน "เรามีเรือข้ามฟากห้าสิบลำ ข้าว่าท่านกับแฟนสาวลำเดียวก็เกินพอแล้ว มาเถอะข้าจะไปส่ง"     
         
           คนธรรมดาย่อมไม่ทราบยศศักดิ์และมันก็ไม่สำคัญสำหรับเขาด้วยดังนั้นสมควรให้อภัย ทว่า 'กับแฟนสาว' ออกจะเลยเถิดไปนิด พระองค์เป็นถึงองค์หญิงของอาณาจักรนี้เทียวนะ จะให้ปถุชนพูดพล่อยลอยชายมิได้     
         
    "อย่างนั้นข้าไม่เช่า แต่จะซื้อหมดทุกลำ เจ้าว่าราคามา"     
         
           ชายกำยำล่ำสันคนหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าของเรือเช่าได้ฟังว่าลูกค้าจะซื้อเรือยกท่ากลับเกิดอาการหงุดหงิดไม่สบอารมณ์ เดินเข้ามาหาโดยไม่หวั่นหวาด     
         
    "เป็นลูกเศรษฐีเหรอ? มีเงินใช่ว่าซื้อได้ทุกอย่าง เรือข้าข้าไม่ขายโว้ย! เจ้าอย่าได้มาอวดรวยแถวนี้!"     
         
    "เวลาข้ามีน้อย เจ้ารวมราคามาข้าจะให้สิบเท่า แล้วไปส่งข้าข้ามฟากแค่นั้น"     
         
    "มีอะไรกันเหรอเวียร์" เสียงงัวเงียดังมาจากอ้อมอก "ขอข้านอนอีกนิดนะ อย่ารบกวนข้าสิ"     
         
    "ฮ่าฮ่าฮ่า! ดูอีหนูนั่นสิพวกเรา! โตจนเป็นสาวแล้วยังทำตัวเป็นทารก" กำยำล่ำสันแหกปากชวนหัวให้เพื่อนเรือเช่าหันมามองดู "คงแอบไปทำอะไรกันในป่าเพิ่งกลับออกมาถึงได้อ่อนเปลี้ยเพลียแรงขนาดนั้น หนุ่มสาวสมัยนี้มันก็คิดกันแค่นี้แหละ ฮ่าฮ่าฮ่า!"     
         
    "ที่ข้าจะเช่าก็เพื่อจะซื้อเวลาจากพวกเจ้า ที่ข้าจะซื้อเพราะต้องการตัดช่องทางติดตามตัว ในเมื่อพวกเจ้าไม่เอาด้วยทั้งยังปากดี..." เวียร์เหลือบตามองยอดเนิดที่จากมา จึงได้เห็นเงาของบางสิ่งวูบไหวก่อนที่มันจะหายเข้าไปในเงาป่า "...แน่จริงตามข้าให้ทันซี่"     
         
    พริ้ง!!!พริ้ง!!!พริ้ง!!!พริ้ง!!!พริ้ง!!!พริ้ง!!!พริ้ง!!!พริ้ง!!!พริ้ง!!!พริ้ง!!!พริ้ง!!!พริ้ง!!! มือซ้ายประคองตัวองค์หญิง มือขวาวาดไปที่แม่น้ำเกิดเป็นธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ขวางตัดแม่น้ำทั้งสายจรดสู่ตัวเมืองฝั่งตรงข้าม เพียงช่วงกระพริบตาที่เหล่านายท่าอ้าปากหวอครั้นได้ชมเวทมนตร์มหากาพย์ มือขวาข้างเดียวกันนี้พลันตั้งขึ้นให้ขุนพลได้ร่ายเวทต่อเนื่อง     
         
    "อายออฟแม็กนัสสตรีม!"     
         
    วูบ!วูบ!วูบ! บังเกิดสามดวงตาเพลิงขนาดยักษ์ลอยอยู่เหนือเศียร ทัดใดประดาดวงตาก็อาละวาดกวาดยิงลำแสงเพลิงกราดเกรี้ยวไปทั่วชายฝั่ง บึ้ม!!! บึ้ม!!! บึ้ม!!! บึ้ม!!! บึ้ม!!! ระเบิดท้องที่นั้นสนั่นหวั่นไหว เผาและจมเรือข้ามฟากห้าสิบลำอับปางสิ้น ให้ประดานายท่าแตกฮือวิ่งหนีกันอุตลุดชุลมุนวุ่นวาย     
         
    "เวียร์ท่านทำอะไรลงไป!" เซนต์ฟาร์ต่อว่าในขณะที่ถูกจูงมือวิ่งบนธารน้ำแข็ง "เหตุใดท่านต้องฆ่าพวกเขา"     
         
    "ไม่ ข้าไม่มีเจตนาเช่นนั้น" ชายหนุ่มหันไปตะเบ๊ะให้เธอเสมือนต้องการหยอกล้อ "ข้าเพียงอยากปลุกเจ้า"     
         
           ช่างเป็นท่าทำความเคารพที่น่ารัก จนองค์หญิงถลึงตาใส่     
         
    "เชอะ"     
         
           อากาศเย็นสบายตอนเช้ามืดกับเมืองที่คราคร่ำเต็มไปด้วยผู้คน เวลาทองของการค้าซึ่งคละเคล้ากลิ่นอายความครึกครื้นระรื่นไปทั่วทุกมุมถนน ร้านค้าน้อยใหญ่เปิดแบสินค้าของตนบนพื้นกระเบื้องดินเผาคละสี เหตุเพราะไอเทมหายากจะถูกนำมาประมูลประชดประชันและซื้อเก็งกําไรกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง อย่างว่านี่เป็นช่วงโค้ดเบต้าหรือก็คือช่วงทดสอบสมรรถนะของเกมก่อนปล่อยตัวจริงออกสู่ตลาด ส่งผลให้ไอเทมแรงค์ระดับกลางถึงสูงถูกดรอปหรือตกหล่นเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่มากพอหากนำจำนวนนี้มาเทียบกับความต้องการอันล้นหลามของผู้เล่น พวกมันจึงกลายเป็นไอเทมหายากและมีอยู่น้อยชิ้นนั่นเอง     
         
           สงครามกลางเมืองมิสการ์ดมีอยู่บ่อยครั้งแต่ไม่ใช่ช่วงเวลานี้ แม้นเกิดเสียงระเบิดตูมตามที่แม่น้ำฝั่งพระราชวัง ผู้คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไร นอกจากไอเทมเลอค่าชั้นดีเบื้องหน้าซึ่งเป็นที่หมายปองมากกว่า     
         
           เวียร์และเซนต์ฟาร์เดินขึ้นจากฝั่งธารได้ก็ตรงเข้าสู่ตัวเมือง หญิงสาวอยากรู้อยากเห็นเหลือเกินว่าพวกผู้เล่นส่วนใหญ่เอะอะโวยวายอะไรกัน     
         
    "ข้าให้เจ็ดร้อยทอง"     
         
    "ข้าให้แปดร้อย"     
         
    "ไม่ ข้าให้เก้าร้อย"     
         
    "ข้าให้พันห้าร้อยทอง!" ชายสวมหนังสัตว์ที่แลดูฮารูฮาราติดหรูหราตะโกนลั่น มือข้างซ้ายนั่นกำเขี้ยวของสัตว์ร้ายเอาไว้ "ด้ามกริชนั่นให้ข้า!"     
         
    "แค่ด้ามกริชเองนะ" เธอครวญ     
         
           ชายหนุ่มซึ่งตามมาไม่ห่างจึงอาสาให้ความกระจ่าง     
         
    "ที่แพงเพราะมันมีแค่ห้าร้อยด้าม ไหนจะต้องหาวัตถุดิบเพิ่มเติม ไหนจะต้องหาช่างตีฝีมือดี ไม่นับที่ผิดพลาดจากการตีอีกเล่า"     
         
           เธอหันมามองเขา เขาก็ส่ายศีรษะ     
         
    "ไม่ เรามีเวลาน้อยเกินไป"     
         
    "แต่ข้าอยากได้กริชนี่ นะท่านนะ ท่านผู้สามารถ ถือว่าข้าได้เรียนรู้ไปด้วยไง"     
         
           เมื่อเป็นประสงค์มีหรือที่เวียร์จะขัด ชายหนุ่มคว้าหมับจับด้ามกริชที่กำลังถูกส่งให้ชายสวมหนังสัตว์ทันที     
         
    "ข้าให้ห้าพันทอง"     
         
           ด้วยมูลค่าที่มากมายขนาดนั้น ชายสวมหนังสัตว์ก็รู้ตัวว่าตนไม่ใช่คู่มือ แววตาอาฆาตเพียรผูกพยาบาทปรากฏขึ้นแก่ผู้มาใหม่ทั้งสอง นัยว่ามันไม่จบเพียงเท่านี้แน่ แต่เวียร์ก็ไม่ได้โต้ตอบด้วยกิริยาใดๆ     
         
    "มันมีแค่ด้าม แล้วใบมีดล่ะ"     
         
    "เจ้าตามข้ามา ข้ารู้จะหาให้ได้ที่ไหน"     
         
           ผู้มาใหม่ทั้งสองเดินแหวกฝูงชนอีกมากหลายไปยังร้านค้าซอมซ่อแห่งหนึ่ง มันอยู่ใต้ถุนบ้านทรงสูงที่ด้านบนเปิดเป็นร้านขายอาหาร โคมระย้าสีเพลิงส่องสว่างไสว เซนต์ฟาร์กลับพบขี้เมากลิ่นตัวเหม็นตุนอนคุดคู้น้ำลายยืดอยู่ลำพัง ขี้เมากับกล่องเหล็กใบเก่าขึ้นสนิม     
         
    "เป็นพ่อค้าไม่ขายของ รักหนอรักทำท่านเป็นถึงเพียงนี้" เขาพูดกับขี้เมาที่ไม่ยักจะตื่น "ข้าซื้อโลหะท่านก้อนหนึ่ง ทองวางตรงนี้นะ"     
         
    "นี่ๆ แอบไปหยิบของของเขาแบบนี้จะดีเหรอ" เธอก็ทักท้วงไม่เห็นด้วย "ท่าน!เราไม่ใช่ขโมย"     
         
    "ข้าให้สองพันทอง เป็นสองเท่าของราคาปกติ เราไม่ใช่ขโมย"     
         
    "แต่ว่า"     
         
    "มาทางนี้" เวียร์พลันเดินจากให้หญิงสาวต้องรีบเดินตาม ผู้มาใหม่ทั้งสองซอกแซกผู้คนเข้าไปในตรอกเล็กๆระหว่างบ้านเรือนที่ทอดยาวขึ้นไปบนเขา บัดนี้ฟ้าเริ่มสว่างขึ้นมาบ้างแล้ว และดูทีท่าชายหนุ่มจะเร่งฝีเท้าขึ้นเรื่อย "เร็วเข้า"     
         
    "โอ้ยจะรีบไปไหน"     
         
    "ข้ามีอะไรจะให้เจ้าดู เร็วเข้า"     
         
           กระทั่งทั้งคู่ก็ขึ้นมาอยู่บนยอดเนินที่สูงกว่าหมูบ้านด้านล่าง ได้เห็นวิวทิวทัศน์ของเมืองมิสการ์ดยามแสงตะวันโผล่พ้นจากหลืบเขา แลแสงสว่างค่อยไล่ความมืดลงไปในแม่น้ำที่ขณะนี้ต้องแสงทองระยิบระยับ กับควันไฟคลุ้งที่ชายฝั่งตลอดจนป่าโปร่งและยอดหอคอยแห่งพระราชวังต้องห้าม เซนต์ฟาร์ซึ่งนั่งดูอยู่ใต้ต้นไม้กับเวียร์ถึงกับเอ่ยปากชม     
         
    "ไม่เสียทีท่านเป็นขุนพลเอกของพระราชา ข้าไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย"     
         
    "เจ้าชอบข้าก็ดีใจ" พลางชี้นิ้วไปที่ชายฝั่งทางด้านพระราชวัง "นั่น พระบิดาเจ้าตามหาตัวเจ้าแล้ว"     
         
           เธอจึงได้เห็นว่าผองทหารม้าของพระบิดากรูกันออกมาจากชายป่า แต่งกายเยี่ยงนักรบจะออกศึกประหัตประหารศัตรูปานนั้น     
         
    "อาจจะไม่ใช่ข้าก็ได้ ยังเร็วเกินไป"     
         
    "ไม่หรอก พวกเขารู้ตั้งแต่ข้าพาเจ้าข้ามฝั่งแล้ว เจ้าอย่าลืมสิว่ากษัตริย์ยังมีอีกหกขุนพลแฝงเร้นอยู่ในพระราชวัง บางทีเจ้าเปลี่ยนใจยังสามารถกลับไปได้"     
         
    "ไม่ ข้ากลับไปก็ไม่ได้สิ่งที่ต้องการสิ" หญิงสาวใคร่หยอกล้อน้ำคำชายหนุ่ม "หรือบางทีท่านเปลี่ยนใจยังสามารถนำมันกลับมาให้ข้าได้?"     
         
    "องค์หญิงก็คือองค์หญิง ข้ายอมแพ้แล้ว"     
         
    "อิอิอิ" เซนต์ฟาร์พลันหัวเราะชอบใจ "สัญญาไม่ว่าอย่างไรอย่าได้ส่งตัวข้ากลับไป หากประสงค์ข้ายังไม่บรรลุ"     
         
           เท่าที่ฟังไม่คล้ายเป็นคำสั่ง แลจะเป็นการอ้อนวอนเสียมากกว่า ขุนพลของอาณาจักรที่รุ่งโรจน์ที่สุดแห่งยุคกับองค์หญิงที่เป็นที่รักยิ่งของกษัตริย์ที่ปรีชาญาณที่สุดในแผ่นดินกำลังจ้องมองกันและกัน ทั้งสองหารู้ตัวเองไม่ว่าสายสัมพันธ์ทางใจได้เริ่มถักทอขึ้นแล้ว     
         
    "ข้าสัญญา"
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×