ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    King of Lions บุรุษหัวใจราชันย์ ออนไลน์

    ลำดับตอนที่ #10 : กินอิ่ม [100%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.44K
      27
      20 ต.ค. 59

          ตอนที่ 10       
          กินอิ่ม     






                 อีกทางด้านหนึ่งซึ่งไม่ไกลนัก ปรากฏผองอัศวินกองเกียรติยศมากกว่ายี่สิบนายยืนนิ่งจัดเป็นแถวหน้ากระดานสองแถวโดยเว้นที่ว่างระหว่างกลางราวสามคนเดิน พวกเขาเหล่านั้นสวมใส่ชุดเกราะสีเงินอันมีสัญลักษณ์รูปนกอินทรีสีทองตราไว้ตรงอกด้านซ้าย หนึ่งในสองนักรบขี่ม้าที่คาดผ้าคลุมหลังสีขาวคล้ายจะมีอำนาจสั่งการกองเกียรติยศกำลังเดินตรวจแถว     
         
    "จนกว่าท่านอิมมอร์จะแล้วเสร็จพิธีการบวงสรวงจันทรา พวกเจ้าจะต้องระวังอย่าให้มีผู้ใดมาขัดขวางได้ โดยเฉพาะคนของอาสตรอน จงจำเอาไว้ว่าเส้นทางในเขตภูลูกนี้เป็นของเรา" เพลานั้นผู้สั่งการก็เหลือบเห็นแววตาคู่หนึ่งซึ่งแสดงถึงความไม่พอใจในบางสิ่ง ปากเขาจึงพูดทั้งที่เงยหน้ามองพระจันทร์ "ในเมื่อมาเพื่ออารักขา ใครที่คิดเหลวไหลถือมีโทษตาย"     
         
    "ขออนุญาตท่านโบฮีเมียน" อัศวินเกราะเงินผู้ถูกพาดพิงเอ่ยถาม "เหตุใดท่านอิมมอร์ต้องให้อิริอายที่เป็นแค่นักบวชฝึกหัดตามเข้าไปด้วย ไหนว่า-"     
         
    "เจ้าจะรู้อะไรมูนเบลด ไม่ใช่เรื่องที่อัศวินอย่างเจ้าจะต้องสงสัย หรือเจ้าแคลงใจในตัวท่านอิมมอร์"     
         
    "ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นท่านโบฮีเมียน" อัศวินนามมูนเบลดยังคงอดกลั้น     
         
    "แล้วเจ้าหมายความว่ายังไง" อัศวินขี่ม้าที่ถูกเรียกว่า โบฮีเมียน กล่าวยอกย้อน "ข้ารู้นะว่าเจ้าเป็นห่วงนาง แต่เกียรติยศของพวกเราคือความซื่อสัตย์ ภักดี ความคิดใดก็ตามที่มีความหมายตรงกันข้ามกับสองคำนี้คือคนทรยศ เฉกเช่นข้อสงสัยของเจ้า" โบฮีเมียนยื่นหน้ากระซิบข้างหูผู้คิดกังขา "ดังนั้นหุบปากซะ"     
         
           เป็นเหตุให้ดาบยาวในมือมูนเบลดสั่นไหวเล็กน้อย หากไม่เพราะอิริอายไหนเลยต้องขื่นขม ความรู้สึกที่สัมผัสได้ขณะนี้มันช่างทรมานใจนัก     
         
    "โบฮีเมียน" นักรบขี่ม้าอีกคนเรียกชื่อเพื่อนพลางยกมือชี้ไปเบื้องหน้า "หนึ่งดวง มีจิตสังหารกำลังเคลื่อนที่มาที่นี่"     
         
    "เหอะ พูดถึงอาสตรอน อาสตรอนก็มางั้นเร๊อะ"     
         
    "ไม่ใช่ ไม่ใช่พวกกิลด์ไลท์ เป็นความมืดมิด"     
         
    "เจ้าต้องการเท่าไร"     
         
    "แบ่งให้ข้าสิบนาย"     
         
    "ข้าให้ตามนั้น"     
         
           ในทันที กองเกียรติยศสิบคนพลันวิ่งตามอัศวินขี้ม้า หนึ่งในสิบนั้นมีมูนเบลดอยู่ด้วย ชายหนุ่มผู้มาดมั่นในความรักที่มีต่ออิริอายและหน้าที่ที่มีต่ออิมมอร์กำลังวิ่งไปข้างหน้าโดยหวังว่าการต่อสู้กับศัตรูที่มาเยือนจะช่วยลดทอนความรู้สึกทรมานใจนี้ได้บ้าง     
         
    "เหยื่อสิบเอ็ดคนกับม้าอีกตัว" สมองของผีดูดเลือดเห็นเป็นรูปร่างของกลุ่มชนกำลังมุ่งมาทางมัน หาได้ยี่หระไม่ 'ข้าจักฆ่ามันทุกคนด้วยอำนาจเกราะวิเศษนี่' คิดแล้วชายหนุ่มในร่างอมนุษย์พลันปีนขึ้นไปบนต้นไม้สูง มองผ่านแสงจันทร์นวลทะลุทะลวงไปทั่วแดนดิน ความกระหายหิวเป็นเหตุให้อมนุษย์ไร้ซึ่งหัวใจแห่งความกระดากอาย กระทั่งลืมสิ้นว่าตนคือใครกัน "มีอีกสองคนทางทิศตะวันออกไม่ไกลเท่าใด อา...เลือดของอิสตรีงั้นเหรอ เอ๋~นางกำลังมีความสุข หึหึหึ"     
         
           จะด้วยความพิเรนใดเล่าที่เร้าให้ปีศาจกระโดดลงจากต้นไม้ก่อนจะก้าววิ่งไปยังเป้าหมายใหม่อย่างรวดเร็ว และเพียงครู่เดียวหลังจากนั้นอัศวินขี้ม้าผู้นำผองอัศวินกล้าก็มาถึงที่ที่เขาควรพบกับศัตรู มูนเบลดกวัดดาบเตรียมพร้อมเผชิญ กลับไม่มีสิ่งใดบังเกิดผล     
         
    "มันคงหนีไปแล้ว" ผู้นำบนหลังม้าว่า เวลานั้นเขาก็ใช้ทักษะตรวจสอบสดับตรับฟังความชั่วร้ายอีกครั้ง "ไม่ได้การ! พวกเจ้าตามข้าไปทางทิศตะวันออกเดี๋ยวนี้!"     
         
           หากเปรียบเธอเป็นจันทรายามค่ำคืน เพลานี้จันทร์กำลังถูกเมฆหมอกหยอกเย้าให้แสงอันเรืองรองริบรี่รำไรลง เสียงนารีรำพึงครางครวญอยู่ในลำคอมิส่างซา กายาเธอที่ตอบสนองต่อความใคร่ไม่ทันได้รับรู้ว่ามีเงาหนึ่งทอดยาวมาบดบังอยู่ ณ เบื้องหลังชายชู้ ผู้ที่เธอสัทธาหนักหนาบัดนี้เหนื่อยหอบกระทั่งเหงื่อไคลไหลย้อยแปดเปื้อนดวงจันทร์     
         
    "ท่าน!-" อิริอายจะกรีดร้องก็มิทัน เลือดจำนวนมากกระเด็นชโลมใบหน้าเธอเพราะเล็บอันแหลมคมของมันข้างหนึ่งตวัดเข้าที่ไหล่ท่านอิมมอร์ ปากมันกัดลงตรงสายโลหิตสำคัญซึ่งพาดผ่านคอของเขา ท่านอิมมอร์ผู้สูงศักดิ์ชักกระตุกอย่างรุนแรงพลางน้ำตาไหลพราก เพียงช่วงเวลาไม่กี่วินาที เพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น คนเป็นกลับตายต่อหน้าหญิงสาว อิริอายกายเปลือยเปล่าตกใจจนพูดอะไรไม่ออก ชัดเจนคือเห็นแผ่นหลังของปีศาจ !!! และมันหันมาทางเธอแล้ว     
         
    "ข้าขอโทษ"     
         
           ผีดูดเลือดกล่าวคำขอโทษแก่มนุษย์หน้าตาเฉยพร้อมกับโยนศพของอิมมอร์ทิ้งไปด้านข้าง ดวงตาของมันส่องแสงสีม่วงเบาบางราวกับต้องการจะพูดคุย ทว่ามันกลับยืนขึ้น     
         
    "..."     
         
           จึงได้ยินเสียงฝีเท้าม้ากำลังวิ่งเข้ามาใกล้ มีเสียงอื่นคล้ายโลหะกระทบกันดังตามมาเนืองๆ อิริอายมองไปยังทิศของเสียงนั้นก่อนจะหันกลับมา เกินความคาดหมายเพราะเธอไม่ถูกฆ่า มิหนำซ้ำปีศาจดูดเลือดตนนั้นก็หายไปด้วย แวมไพร์! แถวนี้มีแวมไพร์!? ไหนว่าเผ่าพันธุ์นี้สิ้นสูญไปแล้ว ละ และมันก็ไม่ฆ่าข้า!? ทำไมกัน? นี่มันเรื่องอะไรกัน? เกิดเป็นความแคลงใจแก่เธอ
         
           เป็นธรรมดาของเหยื่อที่รอดพ้นจากความตายจะคิดเข้าใจดังว่า ความจริงคือเวียร์ได้สังหารเหยื่อตามจำนวนที่เขาต้องการแล้ว ใยชายหนุ่มต้องสังหารคนเพิ่มอีกเล่า หนึ่งชีวิตแลกกับสิบสามชีวิต เลือกฆ่าผู้ชายน่าจะทำใจได้เร็วกว่าฆ่าผู้หญิง นั่นจึงเป็นที่มาของคำว่า ข้าขอโทษ

           กระนั่นสิ่งที่เขาทำลงไปก็เป็นจุดเริ่มต้นของการค้นหากระตุ้นให้อิริอายใคร่ปรารถนารู้จักนัก ลึกๆของความเคลือบแคลง หญิงสาวเชื่อเหลือเกินว่าเราจะได้พบกันอีกเป็นแน่



                 และแล้วมัจจุราชก็กลับมาที่พักแห่งตน มันกางกระโจมนอนดุจดั่งมิมีเรื่องราวใดเกิดขึ้น กองไฟยังคงลุกโชติช่วงขับไล่ความหนาวเย็นแลความชื้นของป่ายามดึกสงัดพรั่นพรึง กระโจมนอนสองหลังที่ตั้งใบก่อนหน้านี้ไร้ซึ่งเสียงสรรพ สองหญิงสาวย่อมนอนหลับสนิทไปเพราะความอ่อนล้า หาไม่! เมื่อประตูกระโจมของเวียร์ปิดลง ริซ่ากลับแง้มมองพฤติกรรมอันลุกลี้ลุกลนปนความเร้นลับเหล่านั้น     
         
    'อาจไม่มีอะไรก็ได้...' หญิงสาวคิดแล้วจึงกลับเขาไปนอนตามสมควร
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×