ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ปีกัส [100%]
ตอนที่ 3
ปีกัส
"คิคิคิ ราชาว่าผู้ที่กลืนบุปผชาติปีศาจเข้าไปจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน แต่ราชาว่าผู้ที่กินหัวใจของผู้นั้นอีกทีจะมีชีวิตอมตะ จะจริงหรือเปล่าน้าาา แล้วทำไมราชาไม่กินเสียเองล่ะ?" เด็กผู้หญิงส่ายศีรษะ "ข้าไม่เข้าใจเลย"
"ขอลา"
"คิคิ ไม่~" ปีศาจเกราะชมพูทำปากจู๋ เสมือนเป่าลมในอากาศ แล้วเทียนไขทุกเล่มก็ดับลง "ให้ข้าได้กินหัวใจนางก่อนสิ"
ฉับพลันเสียงอึกทึกก็อุบัติการณ์ขึ้น เหล่าซากศพที่ว่าสิ้นใจตายไปแล้วกลับมีชีวิตขึ้นใหม่ วัวมินะทอร์หลายสิบตัวเงยศีรษะให้ปลายจมูกของมันชูชันรับเส้นแสงสีแดงที่บางราวกับเส้นลวดซึ่งเชื่อมต่อกับปลายนิ้วทั้งสิบของนางปีศาจ นางจึงตวัดฝ่ามือของตนออกไปโดยรอบ ส่งผลให้ซากศพเคลื่อนไหวได้ดั่งมีชีวิตอีกครั้ง และพวกมันพร้อมหักหาญชิงเอาหัวใจสดๆแห่งชูออร่าควีน
กลิ่นสาบเน่าคละคลุ้งในท้องพระโรง ประตูบานใหญ่ด้านหลังของเจี้ยนหมิงต้องมนตร์ปิดตัวเองลงมิให้ชายหนุ่มและเป้าหมายได้หนีรอดเงื้อมมือ ปีศาจเกราะชมพูยิ้มกริ่มในเงามืดสลัวก่อนจะส่งเสียงแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ
"วู้~ ก่อนตายเจ้าทั้งสองควรได้รู้จักนามข้า ข้าคือปีกัส"
>> อสูรมังกรปีกัส
และแล้วฝูงวัวเน่าก็วิ่งเข้าตะบันขวานสับแหลกทุกสิ่งที่ขวางหน้า ครั้นจะถึงตัวเจี้ยนหมิงกระจกสีดำขนาดมหึมากลับปรากฏขึ้นกำบังรัศมีความบ้าคลั่ง ล่อหลอกซากมินะทอร์ให้โจมตีใส่ภาพสะท้อนดำมืดของตัวเองที่เผยในกระจก นางปีศาจที่เอ่ยนามตนว่า ปีกัส เห็นดังนั้นก็ไม่พอใจ
"ยังมีฤทธิ์อีกเหรอเนี่ย ชิ รำคาญตาจริงๆ"
นางจึงเป่าพิษออกจากปาก ควันสีม่วงเข้มคลุ้งกระจายแล้วจับตัวรวมกันตกใส่ประดาวัวผีปัญญานิ่มทั้งหลาย เป็นเหตุให้เนื้อหนังของพวกมันเริ่มละลายแลท้ายที่สุดก็หลุดลอกออกไป ควันพิษอีกจำนวนหนึ่งเกือบจะถูกตัวชายหนุ่มและหญิงสาวที่ขณะนี้วิ่งหนีหัวซุกหัวซุน มิหนำซ้ำเบื้องหน้ายังมีกองทัพกระดูกสเกเลตันบังเกิดขึ้นมาขวางทาง
"นี่มันรังปีศาจชัดๆ!" เจี้ยนหมิงชักหัวเสีย ไม่เคยคิดว่าตัวเองต้องมาติดร่างแหของการเข่นฆ่ากันในสถานที่เช่นนี้ ส่วนเธอที่จับมือวิ่งปาดซ้ายหลบขวาอยู่นี่ก็ไม่ทราบหัวนอนปลายเท้า เป็นมาอย่างไรเริ่มจะรู้สึกว่ามันยังไงชอบกล ใครคือราชา จริงหรือที่หัวใจของเธอคนนี้หากกินเข้าไปแล้วจะทำให้มีชีวิตนิรันดร์ โธ่เอ๊ย! 'ถ้ามีจอบก็ดีสิ'
เซนต์ฟาร์ผลักฝ่ามือไปข้างหน้า หญิงสาวสร้างกระจกทมิฬชนผองโครงกระดูกกระเด็นกระดอน ประจักษ์ดาบสนิมสีแดงเล่มใหม่ถูกดรอปเข้าไปอยู่ในมือชายหนุ่มพอดิบพอดี โอเคมากเลยเธอ
>> ดาบสนิม
ดาบอยู่ในมือเจี้ยนหมิงเสมือนชาวสวนได้จอบคู่ชีวิต ฟันดะไม่เลือกว่าจะเป็นโครงกระดูกคนหรือโครงกระดูกวัว ทว่าท่วงท่าของเขาหาได้สะเปะสะปะไม่ ใบดาบทู่ล้วนแทงเข้าจุดตายซึ่งเป็นบริเวณหัวใจและคอ แต่ประดาโครงกระดูกก็คือโครงกระดูก ต่อให้หักหรือหลุดออกจากกันก็ประกอบขึ้นใหม่ได้อยู่ดี เพราะทั้งหมดนี้ถูกควบคุมโดยปีกัสซึ่งยังคงนั่งดูอยู่อย่างหงุดหงิดบนโคมเทียนระย้า
เกิดไอร้อนระอุในฝ่ามือ เซนต์ฟาร์หมายมั่นเอาคืนบ้าง หญิงสาวซัดพลังความมืดทรงกลมสามลูกซ้อนเสยโค้งกะเอาถึงตายไปยังนางปีศาจ บึม!!!บึม!!!บึม!!! แรงระเบิดสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วเพดาน ทำให้ชายหนุ่มตกใจจนต้องเหลียวมาตะโกนใส่
"เดี๋ยวมันก็ถล่มหรอก!" พลางเจี้ยนหมิงสัมผัสการเคลื่อนไหวในความขมุกขมัว กวดปลายดาบทู่ไปด้านหลังสุดแรง "ข้ารู้นะ!"
ฉั๊วะ! เฉือนเนินอกแฉลบคอและแก้มด้านขวาปีกัสเลือดสาดเป็นฝอย โอ้ย!!! นางปีศาจจึงลอยบิดตัวกลางอากาศตลบหนึ่งก่อนจะทรงตัวนั่งคุกเข่าบนพื้นหิน
"เจ้าเห็นข้า!?" มือซ้ายแตะใบหน้าที่ชาด้าน แลเห็นเลือดนั้นเต็มฝ่ามือ "โอ๊ะเลือดออก! เจ้ามะ-"
ปีกัสโมโหจ้องมองผู้ลงมือทำร้ายตนพร้อมแยกเขี้ยวใส่ นางจึงได้เห็นว่ามีบางสิ่งสีม่วงเต้นเร่าอยู่ในสายตาของศัตรู และทราบอีกว่านั่นคือสายตาของแวมไพร์ แทนที่จะกล่าววาจา เจ้ามนุษย์ กลับต้องกลืนประโยคนั้นลงคอไป
"ขอลา"
"คิคิ ไม่~" ปีศาจเกราะชมพูทำปากจู๋ เสมือนเป่าลมในอากาศ แล้วเทียนไขทุกเล่มก็ดับลง "ให้ข้าได้กินหัวใจนางก่อนสิ"
ฉับพลันเสียงอึกทึกก็อุบัติการณ์ขึ้น เหล่าซากศพที่ว่าสิ้นใจตายไปแล้วกลับมีชีวิตขึ้นใหม่ วัวมินะทอร์หลายสิบตัวเงยศีรษะให้ปลายจมูกของมันชูชันรับเส้นแสงสีแดงที่บางราวกับเส้นลวดซึ่งเชื่อมต่อกับปลายนิ้วทั้งสิบของนางปีศาจ นางจึงตวัดฝ่ามือของตนออกไปโดยรอบ ส่งผลให้ซากศพเคลื่อนไหวได้ดั่งมีชีวิตอีกครั้ง และพวกมันพร้อมหักหาญชิงเอาหัวใจสดๆแห่งชูออร่าควีน
กลิ่นสาบเน่าคละคลุ้งในท้องพระโรง ประตูบานใหญ่ด้านหลังของเจี้ยนหมิงต้องมนตร์ปิดตัวเองลงมิให้ชายหนุ่มและเป้าหมายได้หนีรอดเงื้อมมือ ปีศาจเกราะชมพูยิ้มกริ่มในเงามืดสลัวก่อนจะส่งเสียงแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ
"วู้~ ก่อนตายเจ้าทั้งสองควรได้รู้จักนามข้า ข้าคือปีกัส"
>> อสูรมังกรปีกัส
และแล้วฝูงวัวเน่าก็วิ่งเข้าตะบันขวานสับแหลกทุกสิ่งที่ขวางหน้า ครั้นจะถึงตัวเจี้ยนหมิงกระจกสีดำขนาดมหึมากลับปรากฏขึ้นกำบังรัศมีความบ้าคลั่ง ล่อหลอกซากมินะทอร์ให้โจมตีใส่ภาพสะท้อนดำมืดของตัวเองที่เผยในกระจก นางปีศาจที่เอ่ยนามตนว่า ปีกัส เห็นดังนั้นก็ไม่พอใจ
"ยังมีฤทธิ์อีกเหรอเนี่ย ชิ รำคาญตาจริงๆ"
นางจึงเป่าพิษออกจากปาก ควันสีม่วงเข้มคลุ้งกระจายแล้วจับตัวรวมกันตกใส่ประดาวัวผีปัญญานิ่มทั้งหลาย เป็นเหตุให้เนื้อหนังของพวกมันเริ่มละลายแลท้ายที่สุดก็หลุดลอกออกไป ควันพิษอีกจำนวนหนึ่งเกือบจะถูกตัวชายหนุ่มและหญิงสาวที่ขณะนี้วิ่งหนีหัวซุกหัวซุน มิหนำซ้ำเบื้องหน้ายังมีกองทัพกระดูกสเกเลตันบังเกิดขึ้นมาขวางทาง
"นี่มันรังปีศาจชัดๆ!" เจี้ยนหมิงชักหัวเสีย ไม่เคยคิดว่าตัวเองต้องมาติดร่างแหของการเข่นฆ่ากันในสถานที่เช่นนี้ ส่วนเธอที่จับมือวิ่งปาดซ้ายหลบขวาอยู่นี่ก็ไม่ทราบหัวนอนปลายเท้า เป็นมาอย่างไรเริ่มจะรู้สึกว่ามันยังไงชอบกล ใครคือราชา จริงหรือที่หัวใจของเธอคนนี้หากกินเข้าไปแล้วจะทำให้มีชีวิตนิรันดร์ โธ่เอ๊ย! 'ถ้ามีจอบก็ดีสิ'
เซนต์ฟาร์ผลักฝ่ามือไปข้างหน้า หญิงสาวสร้างกระจกทมิฬชนผองโครงกระดูกกระเด็นกระดอน ประจักษ์ดาบสนิมสีแดงเล่มใหม่ถูกดรอปเข้าไปอยู่ในมือชายหนุ่มพอดิบพอดี โอเคมากเลยเธอ
>> ดาบสนิม
ดาบอยู่ในมือเจี้ยนหมิงเสมือนชาวสวนได้จอบคู่ชีวิต ฟันดะไม่เลือกว่าจะเป็นโครงกระดูกคนหรือโครงกระดูกวัว ทว่าท่วงท่าของเขาหาได้สะเปะสะปะไม่ ใบดาบทู่ล้วนแทงเข้าจุดตายซึ่งเป็นบริเวณหัวใจและคอ แต่ประดาโครงกระดูกก็คือโครงกระดูก ต่อให้หักหรือหลุดออกจากกันก็ประกอบขึ้นใหม่ได้อยู่ดี เพราะทั้งหมดนี้ถูกควบคุมโดยปีกัสซึ่งยังคงนั่งดูอยู่อย่างหงุดหงิดบนโคมเทียนระย้า
เกิดไอร้อนระอุในฝ่ามือ เซนต์ฟาร์หมายมั่นเอาคืนบ้าง หญิงสาวซัดพลังความมืดทรงกลมสามลูกซ้อนเสยโค้งกะเอาถึงตายไปยังนางปีศาจ บึม!!!บึม!!!บึม!!! แรงระเบิดสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วเพดาน ทำให้ชายหนุ่มตกใจจนต้องเหลียวมาตะโกนใส่
"เดี๋ยวมันก็ถล่มหรอก!" พลางเจี้ยนหมิงสัมผัสการเคลื่อนไหวในความขมุกขมัว กวดปลายดาบทู่ไปด้านหลังสุดแรง "ข้ารู้นะ!"
ฉั๊วะ! เฉือนเนินอกแฉลบคอและแก้มด้านขวาปีกัสเลือดสาดเป็นฝอย โอ้ย!!! นางปีศาจจึงลอยบิดตัวกลางอากาศตลบหนึ่งก่อนจะทรงตัวนั่งคุกเข่าบนพื้นหิน
"เจ้าเห็นข้า!?" มือซ้ายแตะใบหน้าที่ชาด้าน แลเห็นเลือดนั้นเต็มฝ่ามือ "โอ๊ะเลือดออก! เจ้ามะ-"
ปีกัสโมโหจ้องมองผู้ลงมือทำร้ายตนพร้อมแยกเขี้ยวใส่ นางจึงได้เห็นว่ามีบางสิ่งสีม่วงเต้นเร่าอยู่ในสายตาของศัตรู และทราบอีกว่านั่นคือสายตาของแวมไพร์ แทนที่จะกล่าววาจา เจ้ามนุษย์ กลับต้องกลืนประโยคนั้นลงคอไป
"ชิ ฝากไว้ก่อนเถอะ"
ว่าแล้วก็กระโดดสูงไป ณ ขอบหน้าต่างรูปห้าเหลี่ยม การต่อสู้กับเผ่าแวมไพร์ในที่มืดไม่นับเป็นความฉลาดของผู้มีปัญญา จังหวะที่นางปีศาจกระโจนหนีเหล่าโครงกระดูกก็สิ้นฤทธิ์เดชในทันที แตกทลายลงเกลื่อนกลาดไปหมด
แสงจันทร์สีเงินส่องผ่านบานหน้าต่างมากขึ้นในยามที่การต่อสู้สงบลง บนพื้นนั้นเต็มไปด้วยทองคำจำนวนมากที่ดรอปจากพวกโครงกระดูกมินะทอร์
นับรวมกันแล้ว คืนนี้เจี้ยนหมิงยิ้มกว้างมากกว่าหดหู่ ห้าสิบห้าทองคำเป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียวเพราะคุณเธอส่ายหน้าไม่ขอรับสักทองแดง สุดยอดเลย ผู้หญิงแบบนี้ก็มีด้วย? เหลือเชื่อจริงๆแฮะ
จันทราสว่างกมลอยู่บนท้องฟ้ากว้าง มีกลุ่มดาวระยิบระยับดั่งแสงไฟต้องหยาดน้ำประดับเคียง จากท้องพระโรงที่ไม่น่ารื่นรมย์ บัดนี้สองชายหญิงนั่งอยู่ด้านนอกปราสาท แลเห็นประตูของตัวปราสาทอยู่ด้านหลังเซนต์ฟาร์
"อา~ค่ำคืนอันภิรมย์ซึ่งเต็มไปด้วยทรัพย์สิน ดังนั้นหน่อไผ่เหล่านี้เจ้ากินได้ฟรีข้าไม่คิดเงิน" ชายหนุ่มกล่าวกลั้วหัวเราะพลางเปิดถุงเก่าสีน้ำตาลออกแล้วเททุกสิ่งที่อยู่ในนั้นลงบนพื้นหญ้า ทุกสิ่งก็คือหน่อไม้จำนวนมากที่จำเป็นต้องนำมารับประทานก่อนจะหิวตาย "เสียก็แต่มันดิบไปหน่อย เอ้า เอาสิ"
อีกฝ่ายที่รับหน่อไผ่ไปก็ยิ้มเป็นการขอบคุณ หญิงสาวมองดูว่ามันกินอย่างไรโดยเจ้าหนุ่มรับบทเป็นอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะกาล
"แกะแบบนี้นะ เอาเปลือกของมันออกไปก่อน เพราะข่นอ่อนของมันอาจทำให้เจ้าคันได้ นั่นอย่างนั้นแหละ ดี ดี ใช่ๆเอาออกไปให้หมด"
เขี้ยวแหลมกัดลงไปยังเนื้อหน่อไม้ บุ๋มยุบลงไป ความรู้สึกคับปากที่ไม่ค่อยชินนักบอกเจี้ยนหมิงว่าได้มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นในปากของเขาอีกแล้ว ลองเอาลิ้นไปสัมผัส มันก็แหลมๆคมๆ
เธอที่มองดูอยู่ทั้งเคี้ยวหน่อไผ่แก้มตุ่ยกระพริบตาปริบๆ เวียร์มีฟันแหลมๆแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไร
"ข้ามีเขี้ยวด้วยล่ะ" เขาเอ่ยต่อ ตอนนี้ก็เอานิ้วมาแตะความแหลมของมัน "เป็นไง เท่ปะล่ะ"
เซนต์ฟาร์นั้นเห็นเป็นเรื่องแปลก จึงโน้มตัวเข้าไปมองใกล้ๆแล้วใช้นิ้วชี้มือขวาแตะปลายแหลมของเขี้ยวขาวบ้าง ช่างเป็นการแสดงออกถึงความห่วงใยที่น่ารักต่อชายหนุ่มคนรักตรงหน้า ดวงตาสีครามน้ำทะเลถลึงกว้างพิจารณาช่องปากในส่วนอื่นๆไปด้วย
คนอ้าปากกลับรู้สึกพิกลพิการตัวเองอย่างมาก แม่คุณเธอกำลังทำอะไรน่ะ ไหนจะเคยยืนซบ ไหนจะโผมากอด คราวนี้ส่องปากกันเลย เราไม่ได้เป็นอะไรกันนะเฟ้ย! ไม่ต้องเป็นห่วงเป็นใยกันขนาดนั้นก็ได้
คิดดังนั้นเจ้าหนุ่มจึงเบือนหน้าหนี แล้วแสร้งทำสายตาดุๆใส่เป็นการโต้ตอบ
"เดี๋ยวข้าจะดูดเลือดของเจ้า นังมนุษย์ซุกซน!" พร้อมกับแยกเขี้ยวขู่ "เพราะข้าคือแวมไพร์!"
เซนต์ฟาร์ก็แสร้งทำเป็นกลัว ส่งคืนหน่อไม้ในมือให้ทันที เจี้ยนหมิงรีบคว้าเอามาเคี้ยวหนุบหนับ
"ที่ชอบกินหน่อ ฮ่า~"
บทสรุปของการเล่นสนุกทำให้หญิงสาวยิ้มขำ ไม่นึกว่าเจ้าชายจะตลกแบบนี้ หากเทียบกับเมื่อก่อนนี่หรือที่เรียกกันว่าคนละคนเดียวกัน? อื้อ~ก็คงอย่างนั้นแหละ
หนึ่งชายหนึ่งหญิงรับประทานหน่อไผ่จนอิ่มหนำก็ชักง่วง โดยเฉพาะเขาที่ตอนนี้เริ่มมองหาที่นอนแล้ว จะนอนตรงไหนก็ได้สำหรับเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ ไม่ว่าจะเป็นในป่า ถ้ำใต้น้ำตก คอกม้าหรือกระทั่งบนหลังคาบ้านท่านผู้เฒ่า เหล่านี้ล้วนทำมาหมดแล้ว จะรู้สึกอะไรกับสนามหญ้าด้านหน้าปราสาทร้างกันล่ะ ชิวจะตายไป ว่าแล้วก็ล้มตัวนอนลงอย่างง่ายดายให้เธอที่นั่งจ้องตะลึงงันเสียอย่างนั้น
เซนต์ฟาร์พยายามไม่คิดมาก เวียร์จำอะไรเกี่ยวกับตัวเองไม่ได้เลย จำเธอไม่ได้ด้วยซ้ำ ร่างของทหารคอขาดที่สวมเกราะราชสีห์ทองพิทักษ์นั่นไม่ใข่เขา ขอแค่ได้รู้ว่าเวียร์ยังคงมีชีวิตอยู่ การที่เธอดั้นด้นมาไกลถึงเพียงนี้ ได้นั่งมองเขาหลับ ณ ตอนนี้ เท่านี้ก็สุขใจมากพอแล้ว เจ้าชายที่ปราศจากเกียรติยศอย่างนั้นหรือ เป็นแค่สามัญชนอย่างนั้นหรือ ไม่ว่าจะด้วยฐานะอะไรก็ตาม วันนี้และคืนนี้เราได้ใช้ชีวิตร่วมกับเขา ต่อสู้ร่วมกันอีกครั้ง มันช่างสุขใจเหลือเกิน
"อ้อ~" จู้ๆชายหนุ่มก็ครวญออกมาก่อนที่จะหลับไหลไปจริงๆ "ข้าชื่อเจี้ยนหมิงนะ หรือหมิงเฉยๆก็ได้ ยินดีที่รู้จัก"
หญิงสาวพยักหน้ารับ
"แล้วเจ้าชื่อ...อะไร"
เซนต์ฟาร์อยากบอกใจแทบขาดแต่พูดไม่ได้
"ไม่ต้องหรอก ไว้ค่อยเขียนให้ข้าอ่าน แต่ตอนนี้ข้าไม่ไหวแล้ว~ หาที่นอนเอาเองนะคนสวย ราตรีสวัสดิ์"
สิ้นประโยคอำลาก่อนนอนเขาก็หลับไปหน้าตาเฉย คนอะไรบทจะนอนหลับก็สามารถหลับได้ดั่งถูกปิดสวิทช์ จนให้นึกสงสัยว่าใช่เวียร์จริงๆหรือเปล่า อื่ม...ถ้าอย่างนั้น ดวงตาคู่งามหันซ้ายแลขวา แล้วหญิงสาวก็ล้มตัวลงนอนบ้างกระทั่งหลับไป
หนึ่งคืนเต็มๆที่เจี้ยนหมิงหายไปจากหมู่บ้าน ไม่มีใครทราบว่าเขาหายไปไหน มีบางคนเห็นเขาแถวป่าไผ่ไกลออกไปซึ่งเป็นพื้นที่ใกล้กับปราสาทร้าง ขอคุณพระคุณเจ้าคุ้มครองเจี้ยนหมิงด้วยเถอะ กลุ่มชาวบ้านแปดเก้าคนยืนกุมมืออ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าที่พวกเขาเคารพ ณ บริเวณบ่อน้ำพุใจกลางหมู่บ้าน โดยมีพ่อเฒ่าชราเป็นแกนนำการสวดวิงวอนครั้งนี้ เคียงข้างผู้ชุมนุมคือหญิงสาวหน้าตาน่ารักที่ไว้ผมยาวสีม่วงเข้มปรกแก้มทั้งสองข้าง สีของเส้นผมเข้ากันอย่างมากกับดวงตากลมโตสีม่วงเข้มที่น่าจะเข้มกว่าสีผมเล็กน้อย อะไรที่มีค่าควรคู่เธอ อะไรที่ดูโดดเด่นในสถานที่นี้ นำมาเปรียบเทียบกับความสดใสของเธอไม่ได้เลย ทว่าเสื้อผ้าที่สวมใสกลับเป็นชุดสาวชาวบ้านนาธรรมดาคนหนึ่งซึ่งหลายคนรู้จักเธอในนาม หลิวอี้
"พวกท่านนี่งมงายกันใหญ่แล้ว" หลิวอี้ว่า "ถ้าพระเจ้ามีอยู่จริง พระองค์จะไม่ทรงช่วยพี่เจี้ยนหมิงหรอก เพราะมันเสียเวลาเปล่า"
ทุกถ้อยคำกระเด็นเข้าสองรูหูของพ่อเฒ่าชรา แต่ผู้เฒ่ายังคงปฏิบัติภารกิจอันคล้ายจะสำคัญต่อไป ดังนั้นหญิงสาวจึงกล่าวต่อไปอีกว่า
"นี่ก็เพิ่งจะเช้านะ ผู้ชายหายไปในป่าแค่คืนเดียวเอง อย่าเป็นห่วงกันนักเลย"
สักพักหลังจากคำวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าสิ้นสุดลง ทั้งหมดนั้นก็หันมามองหลิวอี้เป็นสายตาเดียวอย่างเคร่งขรึม และพ่อเฒ่าชราเป็นฝ่ายพูดขึ้น
"จะผู้ชายหรือผู้หญิงก็เสี่ยงอันตรายได้หากอยู่ในป่าลำพัง แม้นเป็นเจ้าพวกเราก็เป็นห่วงเช่นกัน ดังนั้นเราจึงควรออกตามหาพี่ชายของเจ้า"
แล้วผู้เฒ่าจึงเริ่มการชุมนุมอีกครั้ง หญิงสาวเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจยาว กรอกตาทั้งสองคราหนึ่งพลางรู้สึกป่วยจิตกับพวกชาวบ้านเป็นอย่างยิ่ง เป็นธรรมดาที่พวกเขาไม่ทราบว่าพี่เจี้ยนหมิงฉลาดและเก่งขนาดไหน คนแบบนั้นอย่าว่าแต่พระเจ้าจะไม่ช่วยเลย ซาตานก็เอาวิญญาณไปไม่ได้ สู้ปล่อยไปเฉยๆเอาเวลาไปทำมาหากินอย่างอื่นเห็นจะได้ประโยชน์มากกว่า
หลิวอี้ละจากประดาผู้ใหญ่หัวสูงกลับมาที่บ้าน บ้านของครอบครัวเจี้ยนมีทั้งสิ้นสองชั้นหากไม่นับชั้นใต้ดิน เป็นบ้านไม้ทรงเตี้ยที่ประดับด้วยพุ่มไม้เตี้ยๆล้อมรอบตัวบ้านเอาไว้ ซึ่งในขณะนี้พวกมันกำลังออกดอกสีส้มเล็กๆ ประหนึ่งเป็นสัญลักษณ์สื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ แสงตะวันได้สาดส่องเข้าไปในตัวบ้านผ่านหน้าต่างไม้สีน้ำตาลก่ำทรงสี่เหลี่ยมและกระจกใส
อ๊ะนั่น!
หญิงสาวประจักษ์ชัดว่าพี่ชายจอมซนของตัวเองยืนอยู่ในบ้านกับใครคนหนึ่งที่เธอไม่รู้จัก
'กลับมาตั้งแต่เมื่อไร?'
มิหนำซ้ำยังพาสาวเข้าบ้านด้วยนะเออ ??? เธอเต็มไปด้วยความสงสัยและสนใจมาก หลิวอี้มองเห็นซีกขวาของใบหน้าแลเรือนผมสีเงินอันสลวยของนางคนนั้น อะไรกันเนี๊ย! บอกได้เลยว่าพี่เจี้ยนหมิงจะต้องไปก่อกรรมทำเข็ญมาอย่างแน่นอน
ดอกไม้ชนิดหนึ่งสีเขียวมีกลีบที่ยาวช้อนกันขึ้นเป็นรูปถ้วยชาขนาดเท่าฝ่ามือถูกยกมาวางบนโต๊ะไม้หน้ากลมซึ่งกว้างราวหกคนนั่งล้อม กลิ่นไอของอากาศภายในบ้านจัดว่าไม่ปลอดโปร่งนัก แถมยังมีความชื้นอยู่มาก พื้นที่โดยทั่วไปมีต้นไม้รูปร่างแปลกประหลาดปลูกในกระถางดินอยู่เป็นพะเนินเทินทึกกองซ้อนกันขึ้นตามขนาดของกระถางดิน กระถางใบใหญ่นั้นอยู่ล่างวางซ้อนด้วยใบที่เล็กกว่าสูงจนเกือบถึงเพดาน นี่มันสวนพฤกษชาติหรืออย่างไรกัน บ้านหรือสถานที่วิจัยพรรณไม้กันแน่นะ
หนึ่งในเหล่าต้นไม้รูปร่างพิลึกกึกกือมีชื่อว่า แคแนว ซึ่งจะส่งเสียงร้องโหยหวนกวนจิตเหลือคณาหากว่ามันรับรู้ว่ามีเผ่าปีศาจอยู่ใกล้ๆ เป็นต้นไม้พันธุ์ผสมที่เพาะจากเลือดของพวกเทพารักษ์ที่หายาก แน่นอนว่าผู้ที่นำมันมาปลูกก็คือเจี้ยนหยาง โดยสรรพคุณของแคแนวสามารถรักษาแผลที่เกิดจากพิษได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะด้วยพิษที่มีความร้ายกาจเพียงใด ขอเพียงผู้ที่ติดพิษไม่สิ้นใจตายไปเสียก่อนก็รักษาให้หายได้
เจี้ยนหมิงวางถ้วยชาไว้เบื้องหน้าเซนต์ฟาร์และจัดให้เธอนั่งอยู่ใกล้ๆกับต้นแคแนว แม้นเชื่อใจว่าหญิงสาวจะไม่ทำร้ายใคร แต่เวทมนตร์ที่เธอใช้ล้วนสังกัดธาตุความมืด เป็นไปได้ที่เธออาจสืบเชื้อสายของเผ่าพันธ์อันไม่ดีงาม ทว่าเซนต์ฟาร์ก็แสดงให้ชายหนุ่มเห็นว่าแคแนวไม่ตอบสนองต่อเธอเลย มันไม่ร้องสักแอะ! ค่อยโล่งอกไปเปราะหนึ่ง
เจี้ยนหมิงคงไม่ทันสังเกตน้องสาวของตัวเองที่กำลังยืนสอดส่องอยู่ด้านนอก เจ้าหนุ่มหันหลังให้ประตูบ้านและยิ้มหน้าบานให้กับหญิงสาวที่เขาเป็นผู้พากลับมาด้วย ก็จะให้ทำอย่างไรเล่า เธอเล่นเดินตามเขามาอย่างกับคนหูหนวกอย่างนั้น นี่ถ้าไม่เห็นว่ามีรูปกายสวยงามก็คงไม่ยอมขนาดนี้หรอกนะขอบอก เอาเข้าจริงๆก็ใจอ่อนนั่นแหละ
ดอกไม้ชนิดหนึ่งสีเขียวมีกลีบที่ยาวช้อนกันขึ้นเป็นรูปถ้วยชาขนาดเท่าฝ่ามือถูกยกมาวางบนโต๊ะไม้หน้ากลมซึ่งกว้างราวหกคนนั่งล้อม กลิ่นไอของอากาศภายในบ้านจัดว่าไม่ปลอดโปร่งนัก แถมยังมีความชื้นอยู่มาก พื้นที่โดยทั่วไปมีต้นไม้รูปร่างแปลกประหลาดปลูกในกระถางดินอยู่เป็นพะเนินเทินทึกกองซ้อนกันขึ้นตามขนาดของกระถางดิน กระถางใบใหญ่นั้นอยู่ล่างวางซ้อนด้วยใบที่เล็กกว่าสูงจนเกือบถึงเพดาน นี่มันสวนพฤกษชาติหรืออย่างไรกัน บ้านหรือสถานที่วิจัยพรรณไม้กันแน่นะ
หนึ่งในเหล่าต้นไม้รูปร่างพิลึกกึกกือมีชื่อว่า แคแนว ซึ่งจะส่งเสียงร้องโหยหวนกวนจิตเหลือคณาหากว่ามันรับรู้ว่ามีเผ่าปีศาจอยู่ใกล้ๆ เป็นต้นไม้พันธุ์ผสมที่เพาะจากเลือดของพวกเทพารักษ์ที่หายาก แน่นอนว่าผู้ที่นำมันมาปลูกก็คือเจี้ยนหยาง โดยสรรพคุณของแคแนวสามารถรักษาแผลที่เกิดจากพิษได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะด้วยพิษที่มีความร้ายกาจเพียงใด ขอเพียงผู้ที่ติดพิษไม่สิ้นใจตายไปเสียก่อนก็รักษาให้หายได้
เจี้ยนหมิงวางถ้วยชาไว้เบื้องหน้าเซนต์ฟาร์และจัดให้เธอนั่งอยู่ใกล้ๆกับต้นแคแนว แม้นเชื่อใจว่าหญิงสาวจะไม่ทำร้ายใคร แต่เวทมนตร์ที่เธอใช้ล้วนสังกัดธาตุความมืด เป็นไปได้ที่เธออาจสืบเชื้อสายของเผ่าพันธ์อันไม่ดีงาม ทว่าเซนต์ฟาร์ก็แสดงให้ชายหนุ่มเห็นว่าแคแนวไม่ตอบสนองต่อเธอเลย มันไม่ร้องสักแอะ! ค่อยโล่งอกไปเปราะหนึ่ง
เจี้ยนหมิงคงไม่ทันสังเกตน้องสาวของตัวเองที่กำลังยืนสอดส่องอยู่ด้านนอก เจ้าหนุ่มหันหลังให้ประตูบ้านและยิ้มหน้าบานให้กับหญิงสาวที่เขาเป็นผู้พากลับมาด้วย ก็จะให้ทำอย่างไรเล่า เธอเล่นเดินตามเขามาอย่างกับคนหูหนวกอย่างนั้น นี่ถ้าไม่เห็นว่ามีรูปกายสวยงามก็คงไม่ยอมขนาดนี้หรอกนะขอบอก เอาเข้าจริงๆก็ใจอ่อนนั่นแหละ
"ชานี่ดีต่อสุขภาพนะ เจ้าควรจิบมันเมื่อยังร้อน" ชายหนุ่มกล่าวเชิญชวนตามมารยาทเจ้าบ้านที่ดี พลางนั่งลงแล้วยกดอกไม้ใส่ชาของตนขึ้นจิบเป็นตัวอย่าง "แบบนี้นะ ระวังปากพอง อื้อ นั่นอย่างนั้น"
ปั้ง! เสียงบานประตูบ้านเปิดอย่างไวเมื่อร่างอรชรยืนเท้าสะเอวหน้าบูด เซนต์ฟาร์ตกใจแทบลุกขึ้นยืนในบัดดล แต่เจี้ยนหมิงแค่หันไปดูให้รู้ว่าใครเท่านั้น อ้อ น้องสาวเรานี่เอง
หลิวอี้ทำตาโตเท่าไข่ห่านจ้องมองเซนต์ฟาร์ผ่านแผ่นหลังของชายหนุ่มอย่างไม่กระพริบตา ดูข้างนอกคงไม่ชัดเป็นแน่ถึงได้ฉุกละหุกทำพรวดพราดแบบนี้ ผู้เป็นพี่ชายถอนหายใจคราหนึ่งก่อนจะลุกขึ้นเพื่อแนะนำน้องสาวของตัวเองให้เซนต์ฟาร์รู้จัก อาจขัดกันที่ควรแนะนำแขกกับคนในบ้าน ทว่าเขาไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของเธอ ฉะนั้นนี่จึงเป็นการอันควรแล้ว
"นางชื่อหลิวอี้" เจ้าหนุ่มกล่าวกับเซนต์ฟาร์ เซนต์ฟาร์จึงพยักหน้ารับ ครั้นกำลังจะบอกต่อไปว่าหลิวอี้คือน้องสาว น้องสาวหน้าบูดพลันชิงเอ่ยปิดทาง
"ข้าเป็นภรรยาของเขา เจ้าเป็นใคร!?"
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น