ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : พันธสัญญาแห่งโชคชะตา [100%]
ตอนที่ 1
พันธสัญญาแห่งโชคชะตา
ในความมืดของรัตติกาลอันยาวนาน ภายในสถานที่ที่เต็มไปด้วยแผ่นหินทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสประกอบกันขึ้นเป็นกำแพงสูงชันจรดเพดานที่ดูราวโถงถ้ำ เสียงของน้ำหยดลงกระทบพื้นหินดังเป็นระยะ บรรยากาศอบอวลไปด้วยไอน้ำและกลิ่นสาบสาง ย่อมเป็นกลิ่นเหม็นของซากศพซากสัตว์ที่ตายอยู่ภายใน
ณ ทางเดินที่ไม่ราบเรียบสักเท่าใดปรากฏเสียงฝีเท้าวิ่งมาด้วยความเร็ว ทว่าบางทีก็เงียบหายไป บางทีก็ดังขึ้นเรื่อยๆ มีเสียงของโลหะครูดขูดไปกับพื้นอย่างต่อเนื่อง เสียงคำรามของสัตว์ป่าเริ่มดังระงม และฝีเท้าคู่น้อยนั้นหยุดลงในขณะที่เธอหอบหายใจอย่างหนัก หญิงสาวเรือนผมสีเงินนั่งลงโดยทาบแผ่นหลังกับกำแพงหิน ในมือเธอที่แบออกมีดวงแสงสีทองสุกสกาวลูกหนึ่ง ดวงแสงนั้นขยับเขยื้อนอณูของแสงทองไปรอบๆตัวมันอยู่ตลอดเวลา เมื่อพิจารณาดวงแสงให้ละเอียดจะเห็นว่าละม้ายคล้ายดอกไม้สีทองห้าแฉกที่มีเกสรสีชมพูเข้มอยู่ตรงกลาง มันช่างสวยงามในยามที่แสงอื่นมอดม้วย แต่แล้วมันก็ถูกกุมรัศมีทองไว้ดุจเดิม หญิงสาวออกวิ่งอีกคราด้วยความหวาดหวั่น นั่นเพราะบางสิ่งที่ไล่ตามมาใกล้จะประชิดถึงตัวเธอเต็มที
'เวียร์ ข้าจะใช้ชูออร่าควีนดอกสุดท้ายนี้คืนความทรงจำทั้งหมดให้ท่าน เมื่อพ้นจากปราสาทร้างนี้เราก็จะได้เจอกันแล้ว เวียร์~'
ด้านหน้าคือทางแยกที่ล้วนแต่มืดมิด ไม่มีเวลาให้คิดว่าควรเลือกทางไหน หญิงสาวตัดสินใจเลือกทางซ้าย ร่างบางก็หายวับเข้าไปในทางอันมืดมน คล้อยหลังเธอ ณ จุดแยกเดียวกัน จมูกอันเย็นชืดของสิ่งมีชีวิตหน้าขนสูดกลิ่นเธอในอากาศ ดวงตาของมันแดงฉาน มันร้องคำรามกึกก้องประหนึ่งทราบว่าเหยื่อที่ไล่กวดมาถึงทางจนแล้ว
"ดีมากมินะทอร์" เสียงกล่าวชมของบุรุษเพศดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงเผยจากความมืด ชายวัยกลางคนหน้าตาคมคายเดินมาถึงตัวสัตว์ครึ่งวัวครึ่งคนที่เขาเรียกว่า มินะทอร์ พลางลูบคลำสันจมูกของสิ่งมีชีวิตหน้าขนอย่างเอ็นดู ในมือที่เอ่อล้นแสงสีแดงของเขานั้น จึงทำให้รู้ว่ายังมีสัตว์ประหลาดอีกสองสายพันธุ์เข้าร่วมการตามล่าครั้งนี้ หนึ่งคือซากกระดูกสเกเลตันที่มีลักษณะเป็นโครงกระดูกเดินได้โดยที่มือของมันทั้งสองจับดาบยาวที่มีน้ำหนักมากครูดมากับพื้น และสองคือกินรีครึ่งนกครึ่งคนที่ขนของปีกเป็นสีขาว สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ยังชีพในปราสาทร้าง มันฆ่าชีวิตอื่นที่แตกต่างจากพวกมันโดยเฉพาะเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่ไฉนมันจึงเชื่อฟังเขา ความสัมพันธ์นี้ดั่งข้าทาสกับนายเหนือหัวปานนั้น
และแล้วหญิงสาวก็มาถึงทางตัน ไม่มีเส้นทางอื่นในห้องแคบๆให้ไปต่อ กำแพงที่สร้างจากหินผาสูงชะลูดปิดกั้นความหวังของเธอ ร่างบางสัมผัสความหวาดกลัวที่บัดนี้มาถึงแล้วยังทางเข้าของห้องแคบ
"อาร์เทเมียไม่สิเซนต์ฟาร์ ดันทุรังไปก็เท่านั้น" ชายวัยกลางคนก้าวเท้าเข้าใกล้หญิงสาวที่เขาเรียกว่า อาร์เทเมีย ก่อนจะเรียกอีกชื่อหนึ่งของเธอที่เห็นว่าสมควรกว่า "ชูออร่าควีนดอกนั้นส่งมาให้ข้าเสียเถอะ แล้วข้าจะไม่ฆ่าเจ้า"
"ไม่อัสทราซัส! ท่านจะไม่มีวันได้มันไป" หญิงสาวหันมาโต้คำ โลหิตหยาดหนึ่งไหลจากดวงตาสีครามน้ำทะเลของเธอเปรอะถึงแก้มเนียน "เพราะไม่มีสิ่งที่ท่านต้องการอีกแล้ว"
"เจ้าหมายความว่ายังไง?"
ถึงตอนนี้ร่างบางพลันหนาวสั่นไม่ต่างจากคนเป็นไข้สูง เซนต์ฟาร์เกาะกุมหัวใจตัวเองในขณะที่มันเต้นแรงและเร็วขึ้นปานจะขาดใจ กระดูกของเธอปวดร้าวดุจมันจะปริแตกเสียให้ได้
ชายวัยกลางคนที่ถูกหญิงสาวเอ่ยนามว่า อัสทราซัส เห็นการณ์นั้นก็เลือดขึ้นหน้า ดวงตาของเขาจู่ๆก็แดงฉานไม่ต่างจากสัตว์ร้าย
"ไวท์ฮาร์พีปลดเปลื้องอาภรณ์นางเดี๋ยวนี้!"
สิ้นเสียงตวาดสั่ง กินรีครึ่งนกครึ่งคนสองตัวก็โผบินเข้าไปฉีกทึ้งเสื้อผ้าของเซนต์ฟาร์ออกหมดสิ้น แต่ไม่พบสิ่งที่นายเหนือหัวปรารถนา
เช่นนั้นอัสทราซัสจึงปรี่หาหญิงสาว มือหนาจับคอเธอแล้วยกร่างของเธอขึ้นจนปลายเท้าลอยอยู่เหนือพื้น ให้ใบหน้าเธอสบจ้องใบหน้าของเขา รับรู้ความพิโรธของเขาที่กรีธาออกจากดวงตาแดงฉาน ร่างสูงแยกเขี้ยวขาวหมายจะใช้มันดูดเลือดจากกายเธอจนแห้งเหือด กระนั้นอัสทราซัสกลับเปลี่ยนใจเหวี่ยงร่างบางไปยังมุมกำแพงอย่างรุนแรง
"กลืนชูออร่าควีนเข้าไปก็คือตาย ไม่นานมันจะมอดไหม้ร่างของเจ้าจากภายใน แถมพิษของมันจะทำให้เจ้าเป็นใบ้ สิ่งที่เจ้าปรารถนาจะไม่มีทางสมหวังเฉกเช่นเดียวกัน!" ร่างสูงลดเสียงลงเสมือนเหยียดหยามการกระทำอันโง่งม "ถ้าคิดว่าการกระทำนั่นฉลาด~" ด้วยสายตาสบจ้องพยาบาท "ข้าจะรอฟังข่าวดีจากเจ้า ขอให้สิ้นพระชนม์อย่างสมพระเกียรตินะองค์หญิง"
ณ ทางเดินที่ไม่ราบเรียบสักเท่าใดปรากฏเสียงฝีเท้าวิ่งมาด้วยความเร็ว ทว่าบางทีก็เงียบหายไป บางทีก็ดังขึ้นเรื่อยๆ มีเสียงของโลหะครูดขูดไปกับพื้นอย่างต่อเนื่อง เสียงคำรามของสัตว์ป่าเริ่มดังระงม และฝีเท้าคู่น้อยนั้นหยุดลงในขณะที่เธอหอบหายใจอย่างหนัก หญิงสาวเรือนผมสีเงินนั่งลงโดยทาบแผ่นหลังกับกำแพงหิน ในมือเธอที่แบออกมีดวงแสงสีทองสุกสกาวลูกหนึ่ง ดวงแสงนั้นขยับเขยื้อนอณูของแสงทองไปรอบๆตัวมันอยู่ตลอดเวลา เมื่อพิจารณาดวงแสงให้ละเอียดจะเห็นว่าละม้ายคล้ายดอกไม้สีทองห้าแฉกที่มีเกสรสีชมพูเข้มอยู่ตรงกลาง มันช่างสวยงามในยามที่แสงอื่นมอดม้วย แต่แล้วมันก็ถูกกุมรัศมีทองไว้ดุจเดิม หญิงสาวออกวิ่งอีกคราด้วยความหวาดหวั่น นั่นเพราะบางสิ่งที่ไล่ตามมาใกล้จะประชิดถึงตัวเธอเต็มที
'เวียร์ ข้าจะใช้ชูออร่าควีนดอกสุดท้ายนี้คืนความทรงจำทั้งหมดให้ท่าน เมื่อพ้นจากปราสาทร้างนี้เราก็จะได้เจอกันแล้ว เวียร์~'
ด้านหน้าคือทางแยกที่ล้วนแต่มืดมิด ไม่มีเวลาให้คิดว่าควรเลือกทางไหน หญิงสาวตัดสินใจเลือกทางซ้าย ร่างบางก็หายวับเข้าไปในทางอันมืดมน คล้อยหลังเธอ ณ จุดแยกเดียวกัน จมูกอันเย็นชืดของสิ่งมีชีวิตหน้าขนสูดกลิ่นเธอในอากาศ ดวงตาของมันแดงฉาน มันร้องคำรามกึกก้องประหนึ่งทราบว่าเหยื่อที่ไล่กวดมาถึงทางจนแล้ว
"ดีมากมินะทอร์" เสียงกล่าวชมของบุรุษเพศดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงเผยจากความมืด ชายวัยกลางคนหน้าตาคมคายเดินมาถึงตัวสัตว์ครึ่งวัวครึ่งคนที่เขาเรียกว่า มินะทอร์ พลางลูบคลำสันจมูกของสิ่งมีชีวิตหน้าขนอย่างเอ็นดู ในมือที่เอ่อล้นแสงสีแดงของเขานั้น จึงทำให้รู้ว่ายังมีสัตว์ประหลาดอีกสองสายพันธุ์เข้าร่วมการตามล่าครั้งนี้ หนึ่งคือซากกระดูกสเกเลตันที่มีลักษณะเป็นโครงกระดูกเดินได้โดยที่มือของมันทั้งสองจับดาบยาวที่มีน้ำหนักมากครูดมากับพื้น และสองคือกินรีครึ่งนกครึ่งคนที่ขนของปีกเป็นสีขาว สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ยังชีพในปราสาทร้าง มันฆ่าชีวิตอื่นที่แตกต่างจากพวกมันโดยเฉพาะเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่ไฉนมันจึงเชื่อฟังเขา ความสัมพันธ์นี้ดั่งข้าทาสกับนายเหนือหัวปานนั้น
และแล้วหญิงสาวก็มาถึงทางตัน ไม่มีเส้นทางอื่นในห้องแคบๆให้ไปต่อ กำแพงที่สร้างจากหินผาสูงชะลูดปิดกั้นความหวังของเธอ ร่างบางสัมผัสความหวาดกลัวที่บัดนี้มาถึงแล้วยังทางเข้าของห้องแคบ
"อาร์เทเมียไม่สิเซนต์ฟาร์ ดันทุรังไปก็เท่านั้น" ชายวัยกลางคนก้าวเท้าเข้าใกล้หญิงสาวที่เขาเรียกว่า อาร์เทเมีย ก่อนจะเรียกอีกชื่อหนึ่งของเธอที่เห็นว่าสมควรกว่า "ชูออร่าควีนดอกนั้นส่งมาให้ข้าเสียเถอะ แล้วข้าจะไม่ฆ่าเจ้า"
"ไม่อัสทราซัส! ท่านจะไม่มีวันได้มันไป" หญิงสาวหันมาโต้คำ โลหิตหยาดหนึ่งไหลจากดวงตาสีครามน้ำทะเลของเธอเปรอะถึงแก้มเนียน "เพราะไม่มีสิ่งที่ท่านต้องการอีกแล้ว"
"เจ้าหมายความว่ายังไง?"
ถึงตอนนี้ร่างบางพลันหนาวสั่นไม่ต่างจากคนเป็นไข้สูง เซนต์ฟาร์เกาะกุมหัวใจตัวเองในขณะที่มันเต้นแรงและเร็วขึ้นปานจะขาดใจ กระดูกของเธอปวดร้าวดุจมันจะปริแตกเสียให้ได้
ชายวัยกลางคนที่ถูกหญิงสาวเอ่ยนามว่า อัสทราซัส เห็นการณ์นั้นก็เลือดขึ้นหน้า ดวงตาของเขาจู่ๆก็แดงฉานไม่ต่างจากสัตว์ร้าย
"ไวท์ฮาร์พีปลดเปลื้องอาภรณ์นางเดี๋ยวนี้!"
สิ้นเสียงตวาดสั่ง กินรีครึ่งนกครึ่งคนสองตัวก็โผบินเข้าไปฉีกทึ้งเสื้อผ้าของเซนต์ฟาร์ออกหมดสิ้น แต่ไม่พบสิ่งที่นายเหนือหัวปรารถนา
เช่นนั้นอัสทราซัสจึงปรี่หาหญิงสาว มือหนาจับคอเธอแล้วยกร่างของเธอขึ้นจนปลายเท้าลอยอยู่เหนือพื้น ให้ใบหน้าเธอสบจ้องใบหน้าของเขา รับรู้ความพิโรธของเขาที่กรีธาออกจากดวงตาแดงฉาน ร่างสูงแยกเขี้ยวขาวหมายจะใช้มันดูดเลือดจากกายเธอจนแห้งเหือด กระนั้นอัสทราซัสกลับเปลี่ยนใจเหวี่ยงร่างบางไปยังมุมกำแพงอย่างรุนแรง
"กลืนชูออร่าควีนเข้าไปก็คือตาย ไม่นานมันจะมอดไหม้ร่างของเจ้าจากภายใน แถมพิษของมันจะทำให้เจ้าเป็นใบ้ สิ่งที่เจ้าปรารถนาจะไม่มีทางสมหวังเฉกเช่นเดียวกัน!" ร่างสูงลดเสียงลงเสมือนเหยียดหยามการกระทำอันโง่งม "ถ้าคิดว่าการกระทำนั่นฉลาด~" ด้วยสายตาสบจ้องพยาบาท "ข้าจะรอฟังข่าวดีจากเจ้า ขอให้สิ้นพระชนม์อย่างสมพระเกียรตินะองค์หญิง"
แล้วอัสทราซัสกับเหล่าอสูรกายก็จากไป ทิ้งร่างบางไร้อาภรณ์นอนตัวขดอยู่ในห้องแสนเย็นยะเยือกแห่งปราสาทร้าง
'เวียร์ข้าไม่มีทางเลือก เวียร์ข้าขอโทษ'
ดวงตะวันทอแสงนวลในยามเช้าตรู่ ฤดูใบไม้ผลิกำลังจะมาเยือนในเร็ววันหลังจากที่ฤดูหนาวอันแห้งแล้งยกมือโบกอำลา สายลมแสนเย็นสบายพัดผ่านร่างกายไปหลายครา ชายหนุ่มหน้าตาสดใสสูดลมหายใจเข้าปอดคำใหญ่ อา~แสนสดชื่นนัก เขาก็เป็นเช่นชายหนุ่มคนอื่นๆในหมู่บ้าน ต่างก็เพียงเขาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ เอกลักษณ์ของเขาออกจะแปลกกว่าใครเพื่อน คือมีผมสีขาวดั่งหิมะที่ไว้ยาวจนปรกไหล่ มือซ้ายถือถุงเก่าๆสีน้ำตาล ส่วนมือขวาจับจอบแบกประคองไว้บนไหล่ขวา ท่าทางทะมัดทะแมงใช้ได้
เจ้าหนุ่มผมขาววันนี้ตั้งใจจะเข้าป่าไปไกลกว่าเดิม เหตุเพราะพื้นที่หากินบริเวณรอบๆหมู่บ้านนั้นชักจะหาหน่อไผ่ยากขึ้นทุกที
"เจี้ยนหมิงวันนี้จะไปตรงไหน" พ่อเฒ่าชราตัวเตี้ยไว้หนวดยาวสีขาวจนถึงพุงเอ่ยทักชายหนุ่ม พ่อเฒ่าเรียกผู้ที่กำลังจะออกเดินทางโดยไม่บอกกล่าวจุดหมายแก่เขาว่า เจี้ยนหมิง "อย่าไปไกลนัก อย่าเข้าใกล้ปราสาทร้างรู้ไหมหือ"
"รู้ครับ" ชายหนุ่มนาม เจี้ยนหมิง ตอบคำอย่างไม่อยากจะใส่ใจ นี่คงเป็นเพราะคุณบิดาตัวดีสั่งท่านผู้เฒ่าไว้ก่อนจะหนีไปฮันนีมูนกับคุณแม่วัยสาว จะไปไหนมาไหนในแต่ละทีจะต้องผ่านหน้าบ้านท่านผู้เฒ่า ท่านผู้เฒ่าก็ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยไม่หลับไม่นอนบ้างหรืออย่างไร ดังนั้นย้ำคำแล้วรีบๆไปจะดีกว่า "ไม่เข้าใกล้ปราสาทร้าง"
"กลับก่อนพระอาทิตย์ตกด้วยนะหมิง"
"ครับท่านผู้เฒ่า กลับก่อนพระอาทิตย์ตก"
หมู่บ้านแห่งนี้มีชื่อว่า แคนเดิลไลท์ เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่ห่างไกลจากความเจริญทางวัตถุ ไม่มีถนนโทลเวย์ ไม่มีอาคารสูงตระหง่าน ไม่มีท่าเรือบิน ไม่มีเครื่องยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยแร่เชื้อเพลิงหรือใดอื่น เกือบทุกสิ่งทุกอย่างยังคงสภาพความเป็นมันเองอย่างเป็นธรรมชาติ ทว่าก็ไม่ถึงกับโบราณคร่ำครึ มีการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยเกิดขึ้นแต่ก็ไม่มากมายนัก
และสืบเนื่องจากผู้คนที่นี่มีน้อยนับได้ไม่ถึงยี่สิบครัวเรือน พวกเขาจึงรักใคร่กันดั่งญาติพี่น้องแม้นจะไม่เคยรู้จักกันมาก่อนโดยเฉพาะครอบครัวใหม่อย่างตระกูลเจี้ยน หัวหน้าครอบครัวนาม เจี้ยนหยาง ก็เป็นที่นับหน้าถือตายิ่งในด้านการแพทย์ การผ่าตัดสารพัดรูปแบบจวบกระทั่งรักษาบาดแผลเล็กน้อยหรือไข้ป่าก็สามารถดีเยี่ยม จนชาวบ้านขนานนามว่าหมอเทวดาใจงาม เหตุนี้การกินอยู่ของครอบครัวเจี้ยนจึงไม่ลำบากเลย
แปลกที่บุตรชายคนโตเจี้ยนหมิงกลับชอบทำงานหนัก ใช้จอบใช้คราดเหมือนใช้ดาบ ใช้เสียมดั่งหอกยาวที่ปาได้แม่นยำ ถือเป็นทักษะพิเศษในการหาอาหารของเขา ล่าสัตว์หรือ หาของป่าหรือ เกือบหนึ่งปีมานี้ชายหนุ่มทำเป็นประจำไม่เคยละเว้น
เจี้ยนหมิงยังมีน้องสาวชื่อ หลิวอี้ เธอใช้สกุลหลิวเหมือนกับผู้เป็นมารดา ปีนี้เจ้าหนุ่มอายุย่างสิบแปด ส่วนน้องสาวกำลังจะสิบหก ชายหนุ่มสุดสงสัยว่าคุณบิดาตัวดีไปหาแม่ที่สวยเซ็กซี่ขนาดนี้ได้จากเมืองไหนหรือพบกันอย่างไร ถามเท่าไรก็ไม่ตอบ แม่มีลูกตั้งสองคนทว่าหุ่นเธอยังกะสาวแรกรุ่น คิดไปก็ปวดกบาลเปล่าๆ ตั้งใจหาหน่อไผ่จะดีกว่า หนึ่งหน่อขายได้ห้าสิบทองแดง หนึ่งร้อยทองแดงคือหนึ่งเงิน และหนึ่งร้อยเงินคือหนึ่งทองคำ
"วันนี้จะเอากี่ทองคำดีล่ะ" เจี้ยนหมิงรำพัน ก่อนจะเออออห่อหมกกับตัวเอง "ได้เลย ห้าทอง"
หนึ่งทองคำต้องขุดได้สองร้อยหน่อ ห้าทองคำคือหนึ่งพันหน่อ นี่ตั้งใจมาหาของป่าเพื่อการค้าใช่ไหม ป่าไผ่คงได้สูญพันธุ์ก็ปีนี้แหละ
ความอัศจรรย์ต้องยกให้กับถุงเก่าที่นำมาด้วย มันเป็นสมบัติโบราณของคุณบิดาตัวดี ของวิเศษเลอเลิศคุณตัวดีจะเก็บสะสมไว้ในหีบไม้ใบเก่าคร่ำคร่าซึ่งตั้งอยู่ชั้นใต้ดินของบ้าน ถุงประหลาดนี้สามารถจุของได้หลายร้อยชิ้น วันนี้เจี้ยนหมิงตั้งใจนำมันมาใส่หน่อไผ่หนึ่งพันหน่อ ดูสิว่าจะใส่ลงไปได้ไหม
"สองร้อยสิบเอ็ด สองร้อยสิบสอง สองร้อยสิบสาม... สองร้อยสิบสี่" ชายหนุ่มยัดหน่อไผ่เข้าไปในถุงวิเศษสองร้อยสิบสี่หน่อ หนึ่งในห้าส่วนของความตั้งใจวันนี้พร้อมกับหลุมดินรอบกอไผ่จำนวนมากมายที่ทิ้งไว้เพื่อจดจำว่ากอนั้นขุดแล้ว กอนี้หมดแล้ว ป่าไผ่กว้างใหญ่ไพศาลโซนหากินประจำสิ้นแล้วซึ่งลูกหลาน เขาพึมพำกับตัวเอง "ยังไม่ครบเลย จะเที่ยงวันแล้วด้วย ต้องไปหาที่อื่นต่อสินะ"
เมื่อเจี้ยนหมิงมองไปยังทิศตะวันออก เขาก็ได้เห็นปราสาทร้างต้องห้ามที่ท่านผู้เฒ่าตรากฎเอาไว้ไม่ให้คนในหมู่บ้านเข้าใกล้อยู่ไกลลิบ ปราสาทร้างสีขาวถูกสร้างไว้บนเนินเขาสูง สำคัญคือมันรายล้อมไปด้วยป่าไผ่แน่นขนัด มีหน่อไผ่ให้ขุดอีกหลายพันหน่อเป็นแน่ แต่ท่านผู้เฒ่าได้ห้ามเป็นหนักหนา คนดีต้องเคารพกฎเกณฑ์บ้านเมือง
ลมเค็มจากทะเลวิ่งมาสัมผัสกายบ่อยขึ้นทุกที เขตป่าไผ่ของหมู่บ้านแคนเดิลไลท์ถูกทิ้งไว้ด้านหลัง ภูมิประเทศเปลี่ยนเป็นดินร่วนอมทราย มีกรวดหินและพืชพันธุ์แปลกตาขึ้นอยู่ประปรายกระจายไปจนสุดชายฝั่ง ในยามนี้เจี้ยนหมิงมองไม่เห็นสิ่งมีชีวิตใดเลยนอกจากพวกต้นไม้กอเล็กๆที่เขาไม่รู้จัก เบื้องหน้าของชายหนุ่มคือสะพานหินที่ถูกน้ำทะเลซัดกระหน่ำจนผุกร่อน ความเก่าแก่ของมันยากที่จะประมาณเป็นเดือนปี
สะพานหินนี้ทอดยาวเข้าไปยังเนินเขาลูกใหญ่ ด้านตรงข้ามของสะพานมีประตูลูกกรงเหล็กถูกล็อคตายไม่ให้ผู้ใดเข้าไป ความเงียบเหงาที่มีเพียงเสียงน้ำทะเลครวญคร่ำก็ให้ความรู้สึกประหม่าอย่างหวาดระแวง เจี้ยนหมิงตัดสินใจปีนประตูลูกกรงเหล็กเพื่อเยี่ยมเยือนถิ่นใหม่ จอบถือมั่นในมือขวา อย่างไรเสียวันนี้เขาจะต้องได้ห้าทองคำมิเช่นนั้นไม่ยอมเลิกรา
"อะไรกันเนี่ย..." ชายหนุ่มแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ป่าไผ่ขึ้นอยู่บนเนินเขา ทว่าเนินเขาสูงชันขนาดนี้เขาจะปีนขึ้นไปได้อย่างไร หรือว่ามีทางเข้าอื่น ต้องมีสิ สะพานคงไม่ทอดมาถึงนี่หากว่าข้ามมาแล้วไร้ทางไปต่อ มันไร้สาระเกินไปจริงไหม
เนินเขาถูกตัดให้ราบชันประหนึ่งหน้าผา มันเคยเป็นปราการหินผาที่แข็งแกร่งในอดีต โดยมีปราสาทขาวงามสง่าของชนชาวโบราณสร้างคร่อมไว้ นามนั้นคือ อินอสกิเลียส ปราการต้านมังกรไฟ ทว่ากาลเวลาได้ล่วงเลยกว่าร้อยปี อินอสกิเลียสท้ายที่สุดก็กลายเป็นแค่ซากปราสาทเก่าที่แฝงเร้นสัตว์ร้ายและเหล่าอสูรกายน่ากลัว
"ถ้ำอย่างนั้นเหรอ~" และแล้วเจี้ยนหมิงก็เดินมาเจอถ้ำ ที่จริงมันเป็นอุโมงค์แคบๆที่ถูกสร้างไว้เพื่อระบายน้ำฝน แต่ก็กว้างพอที่จะมุดเข้าไปได้อย่างสบาย ด้านในนั้นชื้นแฉะและเหม็นอับ เสื้อผ้าของเขาเปื้อนเปรอะคราบดินและอิฐแดง ชายหนุ่มคลานจนกระทั่งทะลุเข้ามา ณ อีกสถานที่หนึ่งซึ่งดูแปลกตา ดีที่มีแสงสว่างส่องลอดเข้ามาตรงช่องกากบาททางทิศตะวันออกซึ่งอยู่เหนือศีรษะ แม้นแสงน้อยนิดยังพอให้เห็นว่าเบื้องหน้าเป็นห้องกว้างทรงสี่เหลี่ยมที่เต็มไปด้วยลังไม้ผุมากมาย "โอโห ดูที่นี่สิ"
ผนังห้องจัดเรียงด้วยแผ่นหินทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสราวกับตาข่าย ทุกแผ่นขรุขระ บางแผ่นมีรอยบากถากเป็นทางยาว นั่น! สายตาอันละโมบพลันสะดุดประกายความสุกใสของเศษเงินจำนวนหนึ่งวางอยู่บนลังไม้ผุ เป็นเหตุให้เจี้ยนหมิงลงมืองัดแงะลังไม้เหล่านั้นทันที เขาได้เงินทั้งสิ้น ยี่สิบเงินกับสามสิบห้าทองแดง ครึ้มอกครึ้มใจไม่ใช่น้อย การณ์นั้นเจ้าหนุ่มจึงตั้งใจเดินไปดูห้องอื่นๆเผื่อว่าจะมีแบบนี้อีก
"ที่นี่เป็นคลังเก็บของไม่ผิดแน่ มีทางแยกเยอะแยะเลยแฮะ ไปทางไหนก่อนดี อ๊ะ!"
ควันดำปรากฏแก่สายตา มันเคลื่อนที่ผ่านรองเท้าผ้าของเขาเข้าไปในห้องมืดด้านหน้า มีบางสิ่งขยับเขยื้อนอยู่ใต้แผ่นหินเก่าเกิดเป็นเสียง กึก!กึก!กึก! บางสิ่งนั้นต้องการกะเทาะแผ่นหินให้แตกออก เฮ้ย! มือโครงกระดูกจู่ๆก็ผุดขึ้นจากซอกของแผ่นหิน มือผีนั่นผลักแผ่นหินออกพร้อมกับควันดำเข้าไปเกาะกลุ่มกัน อุบัติซากกระดูกเดินได้จนต้องตระหนก มันลากดาบสนิมยาวประมาณหนึ่งเมตรตรงหาเจี้ยนหมิง
>> ซากกระดูกสเกเลตัน
"ตัวอะไรเนี่ย! ผีเหรอ!"
จะเป็นหมีตัวใหญ่ เสือตัวโต ฝูงหมาป่า กระต่ายดุร้าย กระรอกเจ้าเล่ห์ ตั๊กแตนจอมตะกละหรือกบพิษ ชายหนุ่มดวงตาสีฟ้าคนนี้สู้มาหมดแล้ว นักรบกระดูกโบราณเดินได้อย่างนั้นหรือ เจอจอบพิฆาตหน่อยเป็นไร
ฉึบ! จอบคมสุดด้ามวงสวิงฉับใส่หน้าอกซากกระดูกสเกเลตันทีเดียว โพละ! อย่างกับเสียงทุบหม้อดินแตก ซากกระดูกสเกเลตันแตกกระจัดกระจายเป็นชิ้นๆ
"ฮ่าฮ่าฮ่า! ทำให้ตกใจกลัวนึกว่าจะเก่ง!" เจี้ยนหมิงชอบใจยิ่ง "กระจอกจริงๆ-หือ?"
พลันเหล่าชิ้นส่วนที่เกลื่อนกลาดรวมตัวกันใหม่ เกิดเป็นซากกระดูกสเกเลตันดั่งเดิม
"โห~จะเกรียนไปไหน ฟื้นขึ้นมาได้ไง"
กลุ่มควันดำอีกหลายสายเคลื่อนที่ไปมาภายในห้องมืด ผองผีร้ายในยุคอดีตคืนชีพขึ้นมาจากพื้นนับสิบตัว หนึ่งในนั้นสวมมงกุฎทองประหนึ่งบอกเป็นนัยว่าข้าคือหัวหน้า
>> นายกองแห่งซากกระดูกสเกเลตัน
"ฆ่าก็ไม่ตายยังจะมากันเป็นฝูง ข้าขอผ่านล่ะ" สิ้นคำกล่าว ชายหนุ่มก็ใส่เกียร์สุนัขโกยแนบสุดชีวิต ทางไหนเป็นทางไหนมั่วไปก่อนแล้วกัน "อึ๋ย! วัว!?"
กลับไปเจ๋อกับมินะทอร์ตัวขาวสูงกว่าสองเมตร เจ้าครึ่งวัวครึ่งคนเห็นคู่ต่อสู้หน้าใหม่ก็ร้องคำรามลั่น มออออออ!!! ในมือมันถือขวานยักษ์วาววับวิ่งเข้าสับผู้เสนอหน้าทันที
>> บริสเทอร์มินะทอร์
เจี้ยนหมิงหาได้หวั่นกลัวอสูรกายหัวเป็นวัวตัวเป็นคนไม่ เนื่องจากมันมีเนื้อมีหนังแสดงว่ามีสิทธิ์ม้วยมรณา ต่างจากพวกผีเกรียนเหล่านั้น พอวัววิ่งมาใกล้ ชายหนุ่มก็งัดจอบขึ้นโต้สุดแรง แคร๊ง!!! ขวานจามใส่จอบเกิดประกายไฟแลบ ไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์ธรรมดาจะสู้แรงมินะทอร์ได้ สุโก้ย!
ผัวะ!มอ!!! เจ้าวัวถึงกับเซถลายามถูกสันจอบตีเข้าที่เขาในครั้งที่สอง ด้ามจอบหัก เขาวัวก็หักด้วย มินะทอร์ส่ายศีรษะไล่ความมึนงงในขณะที่ชายหนุ่มกัดกรามแน่นเสียบด้ามจอมปลายแหลมเข้าท้องวัว ฉึบ! มออออ!!! แล้วดึงออกให้เลือดแดงฉานทะลักทลายกระฉูดคาวคลุ้ง
ยังไม่พอเจี้ยนหมิงใช้มือซ้ายจับกรามมินะทอร์ ชายหนุ่มตะโกนดังกึกก้อง ย๊ากกก!!! นิ้วอันทรงพลังของเขาบีบกรามเจ้าวัวก่อนจะเหวี่ยงร่างสัตว์อสูรกายที่มีน้ำหนักมากกว่าตนถึงสี่เท่าปลิวกระเด็นใส่ผนังหิน โครม!!! ผนังเก่าแก่แตกยุบทะลุไปอีกห้อง
ในเวลาเดียวกันนั้นพลังงานความร้อนระอุสายหนึ่งได้รวมตัวกันในความมืด บังเกิดเป็นก้อนหลังงานสีดำทมิฬถูกยิงออกมาสามลูกซ้อนร่อนใส่พวกซากกระดูกสเกเลตันที่ลากดาบยาวตามเจี้ยนหมิงมา บึม!!!บึม!!!บึม!!! เป็นเหตุให้พวกมันตายเกลี้ยงและดูเหมือนว่าจะไม่ฟื้นคืนชีพอีก ชายหนุ่มนิ่งอึ้งในสิ่งที่ได้เห็น เพราะนอกจากเจอะวัวกับผีแล้ว เขายังต้องสู้กับจอมขมังเวทย์สาวด้วยเหรอเนี่ย
ดังนั้นต้องเข้าประชิดตัวศัตรูให้ไวที่สุด อย่าให้พวกจอมเวทย์ร่ายมนตร์สำเร็จเป็นอันขาด กระทั่งได้ระยะเหมาะสม มือขวาก็วาดด้ามจอบปลายแหลมหมายหวดใส่ศีรษะเธอสุดแรงเกิด
"ย๊ากกก!!!"
'เวียร์!' เสี้ยววินาทีอันตรายเป็นเหตุให้เซนต์ฟาร์ที่เพิ่งปรากฏกายกลับยืนตกตะลึง ดวงเนตรสีครามน้ำทะเลเบิกกว้างเหตุเพราะเธอจำเขาได้ พลางน้ำตาก็ปริ่มเปรม เรือนผมสีขาวดุจหิมะนั่น ดวงตาสีฟ้าที่กล้าแข็ง ในที่สุดข้าก็พบท่านแล้ว! ในที่สุดข้าก็หาท่านเจอแล้ว! 'เวียร์~'
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น