{ ฟิคแปล sf - winner } Lost Stars | HoonWoo,HoonJin,JinHoon. - { ฟิคแปล sf - winner } Lost Stars | HoonWoo,HoonJin,JinHoon. นิยาย { ฟิคแปล sf - winner } Lost Stars | HoonWoo,HoonJin,JinHoon. : Dek-D.com - Writer

    { ฟิคแปล sf - winner } Lost Stars | HoonWoo,HoonJin,JinHoon.

    ผู้เข้าชมรวม

    1,128

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    1.12K

    ความคิดเห็น


    11

    คนติดตาม


    46
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  13 ธ.ค. 57 / 22:44 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    เหวย -..-)\ สวัสดีกั๊บป๋ม
    คราวนี้ก็คัมแบคมากับช้อทฟิคอีกแล้ว 
    ชานแบคอีกเรื่องยังดองอยู่เล้ย T w T ) เก๊าขอโต้ด (อัพอันนี้เสร็จจะไปปั่นต่อแย้ว)



    คราวนี้ผมก็มาเป็นฟิคแปลครับ
    เป็นฟิคแปลที่ลองแปลเรื่องแรกในชีวิตเลยล่ะครับ ; w ;) ไม่พ้นคู่น้องตี๋พี่แป๋วอีกเหมือนเคย
    เฮ้ยแกร์ คู่นี้มันเพอร์เฟคนะเว้ย TT แบบสูงสูงกับเตี้ยสุด ตาโตสุดกับตาตี่สุด เฮ้ยเข้ากันดี(?)
    นอกเรื่องมาก ณ จุดนี้ . . .







    ลิงค์ของออริจินัล (จิ้มที่รูป)








    ใครมีอะไรสงสัยก็เมนชั่นมาได้ทางทวิตของผมครับ♥




     
    โน้ตของผู้เขียน : ได้แรงบันดาลใจมาจากเพลง Lost Stars - Adam Levine! อันที่จริงฉันอยากจะให้ฟิค Hats ของฉันจบก่อน แต่ฉันรู้สึกว่าอยากจะลงฟิคเรื่องนี้ค่ะ มันมีฟิคจินฮุนไม่มากนักในแฟนดอมของเรา แต่จินฮุนเป็นอีกคู่ที่ฉันชอบในวินเนอร์เลยนะ ฉันสนุกที่ได้เขียนฟิคเรื่องนี้ :D ฉันหวังว่าคุณก็จะชอบมันนะ! ช่วยคอมเม้นต์และวิจารณ์เพื่อพัฒนาฝีมือขึ้นไปอีกด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ :)

    โน้ตจากผู้แปล : ไม่มีไรมาก ผมหล่อ =..=(?) การแปลครั้งนี้ผมก็เพียงแค่อยากจะฝึกฝีมือเท่านั้นแหละครับ - 3 - บ่ะบ่ะบู้ว ~ แปลผิดตรงไหนก็ขออภัยอย่างแรงนะครับ . . 




    สุดท้าย . . . ฟิคนี้แปลเพื่ออัพเลเวลภาษาอังกฤษของไรท์นั่นเอง ถ ถ ถ 
    ขอบคุณธีมจาก 
    。SYDNEY♔
    Free Lines - Handwriting
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ





      “ Lost Stars ”

       

       

                  คิมจินอูโยนตัวของเขาเองลงไปนั่งที่ฟุตบาท ท่าทางดูเหนื่อยและสับสน นี่เป็นวันแรกของทริปการไปเที่ยวที่กรุงเวนิสประเทศอิตาลี เขามักจะหลงทางอยู่เป็นประจำ แทฮยอนเพื่อนสนิทของเขาพูดถูก เขาไม่ควรจะมาในที่แบบนี้ตัวคนเดียวเลย เขาหลงได้อย่างง่ายดายในเวลาไม่ช้า

       

                  และตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่ตรงฟุตบาทที่ไม่รู้ว่าเป็นที่ไหน ตัวของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อไคลและน้ำที่หกลงมาใส่ตอนกำลังดื่มน้ำอยู่ เขาหายใจแรงหลังจากที่เดินไปเดินมาเกือบสามชั่วโมงตามทางที่วกไปวนมาแล้วกลับมายังจุดเดิม ถึงเขาจะสามารถถามคนที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้นได้ก็เถอะ แต่ภาษาอังกฤษของเขาก็ใช่ว่าจะดีและแถมยังเป็นคนขี้อายอีก เขาไม่สามารถเขาไปถามเกี่ยวกับทิศทางโดยปราศจากความกังวลได้เลย

       

                  “นายดูหลงทางนะ” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นมาจากทางด้านขวาของเขา ที่สำคัญเขาพูดภาษาเกาหลี ดังนั้นจินอูจึงเข้าใจและหันไปหาทางต้นเสียง “นายมาจากเกาหลีใช่ไหม?” เขาถามพร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่ประดับอยู่บนหน้าของเขา

       

                  จินอูขมวดคิ้ว คิดว่าตัวเองคงกำลังตาฝาดหูฝาดอยู่แน่ๆ แต่เมื่อคนๆ นั้นลงไปนั่งข้างๆ จินอู เขาก็เอนตัวไปข้างหลังเล็กน้อย เขาไม่อยากเขาใกล้คนแปลกหน้าให้มากนัก

       

                  “นายต้องเป็นคนเกาหลีแน่ๆ เลย ฉันว่านายเข้าใจที่ฉันพูดใช่ไหม?” คนตัวสูงและตาคมตี่พูดอีกครั้ง พร้อมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ขึ้น และตอนนี้ริมฝีปากบางกำลังฉีกยิ้มอยู่

       

                  จินอูลังเลนิดๆ ที่จะตอบคำถาม แต่เขาก็ตอบมันออกมา “ชะ ใช่ ฉันเป็นคนเกาหลี”

       

                  คนตรงหน้าจินอูยิ้มกว้างกว่าเดิม “โว้ว งั้นก็แปลว่าฉันเดาถูกสินะ? เจ๋ง!” เขาพูดออกมาอย่างตื่นเต้น “นายมาทำอะไรที่นี่น่ะ? หลงเหรอ?”

       

                  จินอูนึกถึงคำที่พ่อแม่และเพื่อนบอกเอาไว้ อย่าแม้แต่จะบอกหรือสารภาพกับคนแปลกหน้าว่ากำลังหลง ทำตัวให้สบายเข้าไว้แล้วแกล้งทำเป็นว่ากำลังจะไปที่ไหนสักที่ บอกเขาว่าเราต้องไปแล้ว

       

                  “ไม่.. ฉัน...ฉันแค่เดินเล่นรอบๆ นี้” เขาพูดแล้วหันหน้าไปทางอื่นทำเหมือนว่าตัวเองไม่เป็นไร

       

                  อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ “แต่นายเหมือนกำลังหลงเลยนะ”

       

                  จินอูพยายามที่จะผ่อนคลายความตื่นตระหนกของเขาโดนการดื่มน้ำ พลางสำลักออกมาเบาๆ ฉันดูเหมือนคนหลงทางเหรอ? เขาคิด

       

                  “แต่มันก็ดีแล้วแหละถ้านายไม่หลงน่ะ ขอให้สนุกกับทริปนะ” เขาพูดขึ้นมาอีกครั้ง แล้วหันไปหยิบกระเป๋าสะพายตัวเองจากนั้นจึงเดินจากไป

       

                  จินอูลุกขึ้นเดินตามผู้ชายคนนั้นไปอย่างอัตโนมัติ เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงทำแบบนี้ เขาเดินตามไปเงียบๆ หวังให้อีกฝ่ายรีบๆ เดินเร็วๆ แล้วจากเขาไปเสียที แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาต้องการ ร่างสูงหยุดเดินและหันหลังกลับมา

       

                  “นายตามฉันมาเหรอ?” เขาพูดออกมา แล้วขมวดคิ้วเข้าหากัน

       

                  จินอูสะดุ้ง และตอบกลับไป “เปล่านะ ฉันจะมาทางนี้อยู่แล้ว”

       

                  ร่างสูงพยักหน้าเบาๆ เขาหันกลับไปอีกครั้งแล้วเดินต่อไป

       

                  และจินอูยังคงเดินไปทางเดียวกับเขา

       

                  คนตรงหน้ารู้ว่าจินอูยังคงเดินตามมา เขาจึงเร่งเท้าเท้าเดินเร็วขึ้น และเปลี่ยนไปเป็นวิ่งแทน และจินอูเองก็ทำแบบนั้นเช่นเดียวกัน

       

                  “ตกลงนายจะไปที่ไหนกันแน่?” เขาหันไปหาจินอูที่กำลังหอบเหนื่อยอยู่หลังจากที่เดินตามอย่างรวดเร็ว

       

                  “ฉันไม่รู้ โอเคไหม? ใช่ นายพูดถูก ฉันหลงทาง!” จินอูพูดขึ้นเสียงเล็กน้อย ทำให้อีกฝ่ายเดินกลับมาหาเขาพร้อมกับใบหน้าที่ดูประหลาดใจ แต่หลังจากนั้นเขาจึงหัวเราะออกมาเบาๆ “หัวเราะทำไม?” จินอูถามออกมาอย่างหงุดหงิด

       

                  “ก็นายเพิ่งสารภาพมาว่านายหลงทางนี่นา” เขาพูดแล้วยิ้มออกมา

       

                  จินอูกรอกตาไปมา “มีความสุขนักเหรอ?”

       

                  ผู้ชายคนนั้นไม่ได้หัวเราะ หัวเราะเยาะ หรือทำอะไรต่อ เว้นแต่ยิ้มออกมาแล้วเดินเข้าไปใกล้กับร่างบางที่ยืนอยู่ “ทำไมฉันถึงมีความสุขน่ะเหรอ?”

       

                  จินอูหันหน้าไปทางอื่น “เพราะนายดูเหมือนนายมีความสุข แล้วฉันดูเหมือนกับคนขี้แพ้”

       

                  ร่างสูงรีบส่ายหัวทันควันแล้วยิ้มออกมาในแบบฉบับของเขาเช่นเคย “ฉันชื่อซึงฮุน อีซึงฮุน” เขาแนะนำตัวเอง พร้อมกับยื่นมือไปหาคนตรงหน้า

       

                  จินอูดูมีท่าทางเขินที่จะยื่นมือออกไป แต่เขาก็ยื่นมือไปจับแล้วเขย่าเบาๆ “คิมจินอู” เขาตอบ ไม่กล้าที่จะสบตากับซึงฮุน เพราะเขาเองก็เขินอายอยู่นิดหน่อย

       

                  “ยินดีที่ได้รู้จักนะคิมจินอู” เขายิ้ม “ที่มาจากเกาหลีเหมือนกัน”

       

                  จินอูค่อยๆ ชำเลืองมองอีกฝ่ายและถูกดึงดูดจากรอยยิ้มนั้น ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกอบอุ่นแปลกๆ ที่หัวใจ และในตอนนั้นเองเขาก็สามารถรับรู้ได้ว่าซึงฮุนไว้ใจได้แน่นอน ไม่ได้เป็นคนแปลกหน้าอย่างที่พ่อแม่และเพื่อนได้บอกเขาไว้

       

       

                  หลังจากนั้นซึงฮุนจึงช่วยจินอูหาโรงแรมที่จองไว้ สิ่งที่ไม่คาดคิดคือทั้งสองคนได้อยู่โรงแรมเดียวกัน ชั้นเดียวกัน อยู่ห้องข้างๆ กัน และเวลาที่เข้ามาเช็คอินห่างกันเพียงหนึ่งชั่วโมง (ซึงฮุนเป็นคนเข้ามาเช็คอินก่อน)

       

                  “นี่พวกเรามีอะไรต่อกันรึเปล่าเนี่ย?” ซึงฮุนถามออกมาอย่างไม่ได้ใส่ใจ เมื่อทั้งสองคนมองเข้าไปที่หมายเลขห้องของแต่ละคน ซึงฮุนจึงฉีกยิ้มยิงฟันออกมาเล็กน้อย ในขณะเดียวกันจินอูก็ทำแบบนั้นเช่นกัน เขารับรู้ว่าทั้งวันนี้พวกเขาได้ใช้เวลาไปด้วยกันโดยที่ไม่รู้ตัว

       

                  “ฉันไม่รู้” จินอูตอบและยักไหล่ เขาเปิดประตูห้องออกมา “เจอกันพรุ่งนี้นะ”

       

                  “แล้วพรุ่งนี้วางแผนไว้ว่าจะทำอะไรบ้างล่ะ?” ซึงฮุนถามออกมาอีกครั้งก่อนจะเปิดประตูห้องของเขา

       

                  จินอูยักไหล่ “Rialto Bridge, Saint Mark’s Basilica, Grand Canal?”

       

                  “ฟังดูน่าสนุกดีนะ” ซึงฮุนยิ้ม

       

                  “ซึงฮุน..”

       

                  “หืม?”

       

                  “นายอยากจะ...”

       

                  “ไปกับนายพรุ่งนี้?”

       

                  “ใช่”

       

                  “แน่นอน” ซึงฮุนตอบกลับมา “หลงทางกับเพื่อนดีกว่าหลงทางคนเดียว ใช่ไหมล่ะ?” เขาหัวเราะเบาๆ

       

                  จินอูยิ้มออกมาบางๆ “อืม เจอกันพรุ่งนี้นะซึงฮุน”

       

                  “เจอกันครับ จินอู”

       

                  นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาที่รู้สึกเหมือนอยู่ที่บ้านทั้งๆ ที่ไม่ได้อยู่ในเกาหลี

       

       

                  “ทำไมนายท่องเที่ยวล่ะ?” ซึงฮุนถาม พวกเขากำลังนั่งอยู่ที่ร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่งสุดขอบแกรนด์คาเนล จุดหมายสุดท้ายของพวกเขาสำหรับวันนั้น แล้วมองวิวของพระอาทิตย์ตกดินด้วยกันเงียบๆ

       

                  “เพราะมันทำให้ฉันมีความสุข” เขาตอบ “ไปในที่ใหม่ๆ มันทำให้ฉันมีความสุขนะ”

       

                  ซึงฮุนพยักหน้า “ใช่แล้ว..”

       

                  “นายล่ะ? ทำไมนายถึงท่องเที่ยว?” จินอูถามกลับ

       

                  “ฉันกำลังหาความหมายของมัน” นั่นคือคำตอบของอีกฝ่าย

       

                  จินอูทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เขาหวังว่ามันจะเป็นคำตอบเดียวกับเขา หรือเป็นคำตอบที่นักท่องเที่ยวทั่วไปควรจะตอบ แต่ซึงฮุนไม่ คำถามของเขามันทำให้ร่างบางอยากจะถามต่อ “ความหมายอะไร?”

       

                  ซึงฮุนมองต่ำลงแล้วยิ้มออกมา “ทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรามีความหมาย ฉันอยากจะรู้ว่ามีกี่อย่างที่ฉันจะสามารถเรียนรู้ได้ถึงที่สุดในขณะที่ฉันกำลังท่องเที่ยว มันน่าตื่นเต้นนะ” เขาหันไปมองจินอูที่มองเขาอยู่โดยไม่กระพริบตา “เคยได้ยินคำพูดนี้ไหม? การสูญเสียทำให้คุณค้นพบตัวตนของคุณ” ซึงฮุนถาม

       

                  จินอูไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่เขาก็ไม่ได้ต้องการจะตอบอะไรกลับไปอยู่แล้ว เพราะซึงฮุนพูดขึ้นอีกครั้ง

       

                  “ฉันต้องการจะสูญเสีย และค้นพบตัวตนของฉัน” ซึงฮุนยิ้ม

       

                  หลังจากนั้นความเงียบจึงปกคลุมบรรยากาศแถวนั้น พวกเขามองพระอาทิตย์ตกด้วยกันเงียบๆ เพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ของท้องฟ้าสีส้ม เรือกอนโดลาเคลื่อนผ่านไปผ่านมา และฟังคนแจวเรือกอนโดลาร้องเพลงพื้นบ้าน

       

                  “ฉันกลัว” จินอูพูดออกมาลอยๆ แต่เขาหมายถึงแบบนั้นจริงๆ

       

                  ซึงฮุนไม่ได้พูดอะไรตอบ แต่เขามองไปที่ร่างบาง รอให้อีกฝ่ายพูดต่อ

       

                  “ฉันกลัวการสูญเสีย..”

       

                  ซึงฮุนขมวดคิ้ว “ทำไม?”

       

                  “ฉันไม่รู้ ฉันไม่อยากจะสูญเสีย แต่ฉันกำลังจะสูญเสีย..” จินอูทำหน้ามุ่ย

       

                  ซึงฮุนตบไหล่จินอูเบาๆ “ไม่ต้องกลัวนะจินอู นายจะเจอทางของนาย”

       

                  จินอูขมวดคิ้วเข้าหากัน เขาไม่เข้าใจ เขาจะเจอทางของเขาอย่างที่ซึงฮุนได้บอกไว้ และเขาหวังไว้ลึกๆ ว่าเขาจะเจอคำตอบเร็วๆ นี้...พร้อมกันกับซึงฮุน

       

       

                  เป็นวันที่สามของพวกเขาที่ใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเวนิส พวกเขาเดินไปด้วยกัน บรรยากาศที่เปรียบเสมือนกับในประวัติศาสตร์และเครื่องประดับตกแต่งในยุคกลางที่พิพิธภัณฑ์ Corror ทั้งสองคนเดินไปเงียบๆ ชื่นชมความงามจิตวิญญาณของงานศิลปะ

       

                  “เมื่อวานนี้ฉันเห็นสิงโตจูบกวางด้วย” เขาพูดออกมาเสียงเบาแทบจะเป็นเสียงกระซิบ

       

                  “อะไรนะ?”

       

                  “มันเป็นสุภาษิต” ซึงฮุนยังคงพูดออกมาเสียงเบา “ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ในโลกนี้ แม้กระทั่งการที่สิงโตนั้นจูบกับกวาง อะไรประมาณนั้น” เขาเดินรอบๆ พิพิธภัณฑ์ต่อไปเรื่อยๆ ถ่ายรูปเก็บไว้เล็กๆ น้อยๆ ในกล้องของเขา และยิ้มให้กับจินอู

       

                  “ทำไมนายถึงบอกฉันแบบนั้น?” จินอูถามเมื่อพวกเขาทั้งสองคนออกมาข้างนอกพิพิธภัณฑ์แล้ว

       

                  “เรื่อง?”

       

                  “เรื่องสิงโตกับกวาง” จินอูสงสัย ซึงฮุนเป็นคนๆ หนึ่งที่สามารถทำให้จินอูสับสนและต้องการคำอธิบายเพิ่มเติม

       

                  “อ๋อ ฉันเพิ่งพูดไปนี่” ซึงฮุนฉีกยิ้ม “เมื่อนายสูญเสียบางอย่างไปสักวัน อย่ากลัวนะ เข้าใจไหม? ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นนายจะค้นพบตัวตนของนายในทุกๆ อย่าง”

       

                  สิ่งที่ทำให้จินอูหลงใหลไม่ใช่คำพูดของซึงฮุน แต่เป็นแนวการพูดในคำพูดพวกนั้นของซึงฮุน เขาพูดไปเรื่อยๆ เหมือนไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เหมือนไม่มีอะไรน่ากลัว

       

                  เขารู้ว่าจินอูกำลังมองมาที่เขา ซึงฮุนจึงยิ้มออกมา รอยยิ้มที่ทำให้เห็นโหนกแก้มขึ้นมา (เวลาที่ซึงฮุนยิ้มจนเห็นโหนกแก้มเป็นช่วงที่จินอูชอบที่สุดเวลาที่ซึงฮุนยิ้ม)

       

                  “ซึงฮุน..”

       

                  “หืม?”

       

                  “ฉันอยากจะสูญเสียไปกับนาย”

       

       

                  “ต่อไปจะไปที่ไหนเหรอ?” จินอูถามขึ้นเมื่อพวกเขากำลังรออยู่ที่สนามบินเพื่อจะกลับเกาหลี

       

                  ซึงฮุนไม่ได้ตอบกลับในทันที เขาคิดก่อนเป็นอย่างแรก และจึงตอบกลับไป คำพูดที่เขาตอบกลับมานั้นทำให้จินอูไม่สามารถพูดอะไรต่อได้ “ที่ไหนก็ได้ ที่จะทำให้เราสูญเสียไปด้วยกัน”

       

       

                  จินอูและซึงฮุนได้ขึ้นเครื่องบินคนละเที่ยวบิน เพราะพวกเขาไม่ได้รู้มาก่อนว่าจะได้มาเจอกัน พวกเขาได้จัดแจงเที่ยวบินไปกลับไว้ก่อนหน้านั้นอยู่แล้ว และโชคร้าย ที่พวกเขาต้องแยกจากกัน

       

                  “นี่ ฉันให้นาย” จินอูยื่นเข็มทิศให้กับซึงฮุน “ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงเอามันมาด้วย แต่มันเป็นเข็มทิศที่เจ๋งไปเลยล่ะ” เขาหัวเราะออกมา

       

                  ซึงฮุนยิ้มให้อีกคนแล้วรับเข็มทิศไป “ขอบคุณ นี่เป็นของพิเศษเลย นายรู้ไหม? ว่าทุกวันนี้ผู้คนต่างก็ใช้ GPS จนลืมไปแล้วว่ามีเข็มทิศอยู่”

       

                  “เจอกันที่เกาหลีนะ?” จินอูพูดเมื่อเขาต้องไปแล้ว ในขณะที่ซึงฮุนต้องรออีกครึ่งชั่วโมง

       

                  “เจอกันเมื่อเราได้เจอกันนะ”

       

                  จินอูพยักหน้าในขณะที่ยิ้มไปด้วย เขาแน่ใจว่าเขาต้องได้พบกับซึงฮุนแน่นอนที่เกาหลี เขาอยากจะรู้เรื่องของซึงฮุนให้มากกว่านี้ ไม่อยากรอแล้ว เขาเองก็อยากจะแบ่งปันความคิดของเขาไปให้อีกฝ่ายเช่นกัน ต้องการจะรู้เกี่ยวกกับเพื่อน ครอบครัว ต้องการที่จะทำให้ซึงฮุนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเขาจริงๆ

       

                  จินอูโบกมือให้ซึงฮุนเช่นเดียวเหมือนที่ทำให้คนอื่นๆ

       

       

                  “บ้านนนนนนนจ๋า!” จินอูโยนตัวเองลงไปบนโซฟาที่อพาร์ทเม้นต์ที่อยู่ร่วมกับเพื่อนสนิทของเขาแทฮยอน

       

                  “เซอร์ไพส์มากเลยนะเนี่ยที่พี่กลับมาเกาหลีได้” แทฮยอนลงไปนั่งข้างๆ จินอู “ไปหลงกี่ครั้งน่ะ? แล้วอยู่ยังไง?”

       

                  จินอูหัวเราะออกมา “อย่ามาประเมินฉันต่ำไปแบบนั้นสิ ฉันได้เพื่อนใหม่ที่นั่นด้วยนะนายรู้ไหม?”

       

                  แทฮยอนหยุดหัวเราะ “จริงดิ? แล้ว..เขาดีกับพี่ไหม?” เขาหยิบรีโมทที่วางไว้บนโต๊ะขึ้นมาเปิดโทรทัศน์

       

                  ข่าวเกี่ยวกับเครื่องบินตกในโทรทัศน์ ข่าวนี้ได้ออกอากาศทางทุกช่อง ตามที่ข่าวได้ว่าไว้ได้รายงานว่ามีผู้โดยสาร 270 คน และลูกเรือเจ้าหน้าที่อยู่ในเที่ยวบินจากกรุงเวนิสไปที่กรุงโซล อย่างทีได้รายงานไว้มีผู้สูญหายและไม่ทราบตำแหน่ง นักวิเคราะห์ได้สมมติฐานไว้ว่าอาจจะอยู่ในป่าตรงเส้นพรมแดนระหว่างรัสเซียและจีน

       

                  “โว้ว! โชคดีนะเนี่ยที่พี่ไม่ได้เที่ยวบินนั้นน่ะ!” แทฮยอนตะโกนออกมาแทบจะกระโดดออกจากที่นั่ง เขาดูข่าวอย่างตั้งใจ ไม่ได้สังเกตสีหน้าของจินอูตอนนี้ว่าซีดไม่ต่างอะไรจากศพเลย “พี่ พี่โชคดีมากๆ เลยนะ เที่ยวบินนี้ออกหลังจากพี่ครึ่งชั่วโมงเอง...”

       

                  ในใจจินอูตะโกนออกมา ซึงฮุนอยู่ในนั้น! เขาอยู่ในเครื่องบินลำนั้น! ซึงฮุน...! แต่เขาไม่สามารถพูดคำใดๆ ออกมาได้เลย เขารู้สึกเหมือนร่างกายกำลังแตกเป็นล้านๆ ชิ้น

       

                  มันเป็นอะไรที่คาดไม่ถึง เขายังไม่พร้อมสำหรับเรื่องนี้ซะหน่อย เขาไม่พร้อมที่จะสูญเสียบางคนที่เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเป็นคนสำคัญของหัวใจ และเขาร้องไห้ออกมา ปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มอยู่อย่างนั้น

       

                  “พี่? เป็นอะไร? ร้องไห้ทำไม?” แทฮยอนกำลังสับสนและถามต่อไป แต่จินอูเจ็บเกินไปเขาไม่สามารถพูดสิ่งใดออกมาได้เลย

       

                  การสูญเสียทำให้เขาค้นพบตัวตนของเขาเอง เขาค้นพบตัวตนของเขาเมื่อเขาได้พบกับซึงฮุน ตอนนี้เขาไม่รู้แม้กระทั่งซึงฮุนยังมีชีวิตรอดอยู่...หรืออาจจะไม่ เขารู้สึกเหมือนสูญเสียความเป็นตัวตนไปอีกครั้ง

       

       

                  หนึ่งปีต่อมา

       

                  จินอูหยุดท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ เขาได้รับงานถาวรงานหนึ่งเป็นบรรณาธิการที่สำนักพิมพ์ เขาประสบความสำเร็จที่จะสร้างชีวิตใหม่และพยายามจะเป็นคนเข้มแข็งเสมอ เขาไม่เคยบอกใครเลยเกี่ยวกับเรื่องของซึงฮุน เขาไม่ต้องการที่จะบอก เขาต้องการจะเก็บความทรงจำไว้ด้วยตัวของเขาเอง อย่างไรก็ตาม พวกสิ่งต่างๆ บทสนทนาเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นสิ่งที่มีค่าน่าจดจำที่สุดในชีวิตเขา เขาไม่เคยลืมมัน แต่ตอนนี้เขาพร้อมที่จะปล่อยมันไปแล้ว

       

                  ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ รวมถึงการปล่อยคนๆ นึงที่สำคัญในชีวิตไป

       

       

                  สามปีต่อมา

       

                  “นี่ หนังสือท่องเที่ยว นายเอาไปดูนะ” มิโนเพื่อนร่วมงานของจินอูพูดและยื่นหนังสือที่มีหน้าปกสีน้ำเงินให้ตอนที่พวกเขากำลังนั่งทานอาหารเช้าอยู่ที่ออฟฟิศ “มีบางคนส่งมาเมื่อสามวันก่อน ฉันนึกว่าเขาส่งมาให้ฉัน แต่ฉันเห็นโน้ตในหนังสือมันเขียนถึงนาย” เขายักไหล่

       

                  จินอูรับหนังสือและโน้ตมาจากมิโน เขาอ่านชื่อหนังสืออย่างจดจ่อ The Art of Getting Lost โดย คังซึงยุน”

       

                  “ฉันรู้จักคนนี้ คังซึงยุนเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นเพื่อเพื่อนของเขาที่มีชีวิตรอดจากเครื่องบินตกเมื่อสี่ปีก่อน มันเหมือนกับหนังสือชีวประวัติเล็กๆ เพื่อนของเขาบอกเขาเกี่ยวกับประสบการณ์ที่เขาไปท่องเที่ยว และเขาก็เขียนมันลงในหนังสือเล่มนี้” มิโนอธิบาย

       

                  จินอูหรี่ตาลงก่อนจะรีบหยิบโน้ตขึ้นมาดูในทันที

       

                              ว่าไง คิมจินอู ฉันหวังว่านายคงสบายดีนะ

                          อ่าหนังสือเล่มนี้ และไม่ต้องกลัวที่จะสูญเสีย! เพื่อนของฉันเป็นคนเขียนมันเอง :)

                          -อีซึงฮุน-

       

       

                  หนึ่งอาทิตย์ต่อมา

       

                  “อ่านหนังสือเล่มนั้นจบรึยังอ่ะ?” มิโนถาม

       

                  “อ่านเสร็จตั้งแต่วันแรกที่นายให้มาแล้ว” จินอูตอบ “นายยังหาตัวคนส่งหนังสือเล่มนี้มาไม่ได้อีกเหรอ?”

       

                  มิโนส่ายหน้า “ฉันพยายามแล้ว เจ้าหน้าที่ที่การไปรษณีย์เขาบอกว่าจะลองหาให้อีกทีวันนี้”

       

                  จินอูส่งยิ้มเล็กๆ ไปให้มิโนที่เต็มใจจะช่วยเขา จากนั้นร่างบางจึงออกจากออฟฟิศไปที่ร้านกาแฟที่มักจะไปบ่อยๆ เขาต้องการกาแฟเพื่อมาช่วยระงับความเครียดของเขา จินอูกำลังนั่งรอกาแฟที่เพิ่งสั่งไป ในขณะนั้นเขาก็ได้กลิ่นที่เขาคุ้นเคยมาจากด้านหลัง เป็นกลิ่นที่เขาจำมันได้ดี กลิ่นที่หายไปเมื่อสี่ปีก่อน

       

                  “นายดูหลงทางนะ” นั่นมันเป็นสิ่งที่คุ้นมากสำหรับจินอู เสียงนี้มันคุ้นเคยเกินไป การพูดหรือคำพูดมันดูคุ้นเคยเกินไปจริงๆ

       

                  จินอูหันไปข้างหลัง น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาคู่สวยโดยที่เขาไม่รู้ตัวหลังจากที่เขาเจอกับคนตรงหน้า อีซึงฮุนกำลังยืนอยู่ข้างหน้าเขาพร้อมกับรอยยิ้มที่เห็นโหนกแก้ม กำลังถือเข็มทิศอยู่ เข็มทิศที่จินอูให้เขาไปเมื่อสี่ปีก่อน

       

                  “ฉันเคยบอกนายว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ใช่ไหม? แม้กระทั่งการที่สิงโตจูบกับกวาง” เขาพูดแล้วฉีกยิ้มออกมา “ยินดีจริงๆ ที่ได้พบนายอีกครั้ง จินอู”

       

                  จินอูยิ้มออกมาทั้งน้ำตา เขาได้ค้นพบตัวตนของเขาอีกครั้ง และเขาจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะรักษาตัวตนนี้ไว้ตลอดไป

      。SYDNEY♔
      Free Lines - Handwriting

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×