ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    FIC SEVENTEEN "Story Of 17"

    ลำดับตอนที่ #5 : [SF] Mingyu x Wonwoo : This man is mine (Part 2/2)

    • อัปเดตล่าสุด 2 ต.ค. 60


    This man is mine

    Pairing : Mingyu x Wonwoo

    Note : เห็นหลายๆคนถามหา นี่คือเรื่องต่อของ A man in dream ค่ะ ความเผ็ดยังเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือฉากคัทค่ะ *แสยะยิ้มหัวเราะในลำคออย่างบ้าคลั่ง*

    Note2 : ใครยังไม่อ่านพาร์ทแรก อย่าลืมกลับไปอ่านนะคะ ปย๊ง











    ครืนน !!

    ซ่า !!

     

    เสียงของท้องฟ้าที่กำลังปั่นป่วนเทียบไม่ได้กับความปั่นป่วนในใจของมินกยู ร่างสูงนอนหงายพร้อมเอามือก่ายหน้าผากตัวเอง เขาสไลด์หน้าจอโทรศัพท์มือถือ ปลดล็อกมัน เลื่อนกลับไปกลับมาแล้วก็ล็อกหน้าจออีกครั้ง ทำแบบนี้ซ้ำไปซ้ำมาเป็นเวลาเกือบจะครึ่งชั่วโมงแล้ว

     

    ‘…ทำไมกูต้องหงุดหงิดขนาดนั้นวะ เพราะเป็นห่วงน้องที่ชื่อซานะเหรอ ไม่ ไม่ใช่แน่ๆ..

     

                ‘...หรือเพราะที่พี่วอนอูเป็นพี่ว้าก มันทำให้มีคนมาสนใจพี่เขาก็เลยไม่ชอบใจ...

     

                ‘…แล้วกูก็ไปพาลใส่พี่เขาเนี่ยนะ โคตรงี่เง่าเลยคิมมินกยูเอ้ย!

     

     

    ย้อนกลับไปเมื่อเกือบสองชั่วโมงก่อน หลังจากที่ร่างสูงได้ทะเลาะกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรักของเขาไป จากที่ควรจะโมโหกลับกลายเป็นว่าความรู้สึกผิดมันแทรกซึมเข้ามาแทนที่     มินกยูเดินคอตกกลับมาที่เต็นท์ของฝ่ายพยาบาล ร่างสูงเดินไปนั่งข้างเพื่อนสนิทตัวเองที่กำลังเก็บอุปกรณ์ช่วยพี่ปีสามก่อนจะเป็นฝ่ายชวนหญิงสาวคุย

    “ยูนา”

    “ว่า”

    “ฉันทะเลาะกับพี่วอนอู”

    “ห๊ะ! ทะเลาะอะไรกัน”

    คนมีปัญหาค่อยๆเล่าเรื่องราวให้ที่ปรึกษาฟัง ก่อนจะได้รับฝ่ามือฟาดลงบนแขนแรงๆหนึ่งทีกับคำบ่นประมาณหนึ่งชุดเป็นของรางวัล

     

    เพี๊ยะ !

     

    “โหย อีตาบ้า! นายไปพูดกับพี่เขาแบบนั้นได้ยังไงห๊ะ ใช้หัวคิดแล้วใช่มั้ยเนี่ย! นายมีเหตุผลมากนักรึไงถึงได้เอาไปหาเรื่องพี่เขาอ่ะ!! ถ้าฉันเป็นพี่วอนอูนะ ฉันจะบอกเลิกนาย! เลิก เลิก เลิก!

    “...นี่ฉันคิดถูกหรือคิดผิดเนี่ยที่มาเล่าให้เธอฟัง”

    “บ่นเหรอ!

    “เปล่าครับ”

    “นายฟังฉันนะ...”

    “...”

    “ฉันไม่รู้หรอกนะว่านายคิดอะไร ถึงได้ไปหาเรื่องพี่เขาแบบนั้น นายรู้มั้ย การเป็นพี่ว้ากน่ะ มันเหนื่อยนะ พี่เขาไม่เคยบ่นอะไรให้นายฟังใช่ว่าพี่เขาจะไม่เหนื่อย ตอนอยู่ที่ค่ายพี่ว้ากอ่ะ พี่ตีบ(ซูนยอง)โทรมาบ่นกับพี่ตัวเล็ก(จีฮุน)ทุกวันเลยนะว่าที่นั่นน่ะ---”

    “นี่เธอเรียกสายรหัสตัวเองอย่างงี้เหรอ”

    “อ่าฮะ ทำไมยะ อย่าเพิ่งขัดสิเอ้อ กำลังได้ฟีลเลย”

    “...ขอโทษครับ”

    “ต่อนะ ว่าที่นั่นน่ะอย่างกับนรกเลย ฉันคิดว่า การที่จู่ๆคนเงียบๆแบบพี่วอนอูจะมาเป็นพี่ว้ากน่ะมันคงไม่ง่ายหรอก คำที่นายพูดกับพี่เขา มันเหมือนกับว่าพี่เขาทำเพราะแค่ความสะใจเฉยๆ แต่นายได้ถามความรู้สึกพี่เขาบ้างรึเปล่าว่าพี่เขาคิดยังไง”

    “พี่เขาบอกว่ามันเป็นหน้าที่”

    “นั่นไง ก็มันเป็นหน้าที่ มันก็ถูกแล้วนี่”

    “แต่ยูนา เธอไม่คิดว่ามันเกินไปหน่อยเหรอ น้องเพิ่งทำผิดแค่ครั้งแรกเองนะ ทำไมต้องทำขนาดนั้น”

    “โอ๊ยยย ครั้งแรกอะไรยะ กะอีแค่คำถามง่ายๆอย่างในรุ่นมีกี่คน ถ้าสนใจจะหาคำตอบสักหน่อยมันก็รู้คำตอบแล้วไม่ใช่เหรอ ปีที่แล้วเรายังตอบได้เลย แต่ปีนี้คือน้องมันไม่สนใจกันเลยไง มีกันต้องหกร้อยกว่าคนแต่ไม่มีใครตอบได้เลย เป็นฉัน ฉันให้วิ่งรอบสนามแล้วไม่ให้ลุกนั่งหรอก”

    “...มันก็จริง”

    “เห็นมั้ย ละเรื่องน้องคนนั้นอ่ะ ฉันล่ะไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมผู้ชายมันถึงดูไม่ออก ฉันยังดูออกเลยว่าหล่อนก็แค่บีบน้ำตา ผู้ชายนี่มันบื้อจริงๆเลย เห็นสวยหน่อยเป็นไม่ได้เลย!

    “ฉันว่ามันผิดประเด็นแล้วนะ...”

    “เถียงเหรอ!

    “เปล่าจ้า”

    “เพราะฉะนั้น นายก็ควรไปขอโทษพี่เขาซะ พี่เขาคงเสียความรู้สึกไม่น้อยเลยล่ะที่โดนนายพูดแบบนั้น ฉันละนึกภาพพี่เขาร้องไห้แล้วยังรู้สึกสงสารเลย นายนี่มันแย่จริงๆเลยคิมมินกยู มีดีแค่หน้าตาเหรอยะ”

    “ครับๆ ขอโทษครับ ผิดไปแล้วครับ”

    “ดีมาก งั้นก็รีบไป---”

     

    เปาะแปะ เปาะแปะ

    ซ่า !!

     

    “ว๊าย อะไรเนี่ย!

    ในขณะที่ยูนากำลังให้คำปรึกษาอยู่ จู่ๆฝนก็สาดเทลงมาอย่างไม่มีปีมีขลุ่ย หญิงสาวหันไปมองท้องฟ้าอย่างหงุดหงิดก่อนจะรีบลุกขึ้นเพื่อช่วยรุ่นพี่เก็บของในเต็นท์เตรียมย้ายถิ่นฐาน

    “มาตกอะไรเอาตอนนี้ยะเนี่ย เอ้อ เอาเป็นว่า นายก็รีบไปขอโทษพี่เขาซะล่ะ แล้วฉันจะคอยฟัง”

    “ฉันจะพยายามละกัน ขอบใจนะ”

    “เอาเป็นเลี้ยงฮันนี่โทสต์ร้านหลังม.จะดีใจกว่าอ่ะนะ”

    “..เดี๋ยวอ้วนนะ”

    “ว่าไงนะ!

    “เปล่าคร้าบ...”

     

     

    แล้วหลังจากนั้น เขาก็พยายามที่จะติดต่ออีกฝ่ายเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะมีคนรับสาย ฝนก็ยังไม่หยุดตกเสียที จนในที่สุด คิมมินกยูก็เลือกที่จะกลับมาที่ห้องของตัวเอง โชคดีที่เขาเอารถยนต์ไปเมื่อเช้าทำให้ไม่ต้องทนหนาวอยู่ที่มหาลัยรอให้ฝนหยุดตก

    ร่างสูงนอนมองหน้าจอโทรศัพท์ที่เป็นรูปรายชื่อพร้อมเบอร์โทรศัพท์ของคนรักก่อนนิ้วจะกดโทรออกอีกครั้ง และก็เหมือนเดิม ยังคงมีแค่เสียงรอสายที่ดังออกมาจนถูกตัดไป

     

    พี่โกรธผมขนาดนี้เลยเหรอครับ ผมขอโทษ พี่วอนอู

     

     

     

    “ถ้าอย่างงั้น ผมขอจบการประชุมเชียร์ของวันนี้เพียงเท่านี้!

    ขอบคุณครับ / ค่ะ!

    สิ้นเสียงประกาศที่เปรียบดั่งเสียงสวรรค์ เหล่าเด็กปีหนึ่งมากมายก็พากันแยกย้ายออกจากห้องประชุมเชียร์ ที่ต้องย้ายมาที่นี่เพราะพายุฝนเมื่อวานทำให้สนามหญ้าเปียกเกินกว่าจะใช้งานได้

    “พี่ซูนยองครับ”

    ในขณะที่เฮดคุมระเบียบกำลังเดินแยกออกไปเพื่อพัก จู่ๆรุ่นน้องปีสองคนสนิทก็เดินเข้ามาเรียกไว้ คนตาตีบยักคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเป็นเชิงถาม

    “วันนี้พี่วอนอูไม่มาเหรอครับ”

    “อ้าว พี่ซึงชอลยังไม่ได้บอกมึงเหรอ”

    ร่างสูงกระพริบตาปริบๆเมื่อสิ่งที่ได้กลับมาไม่ใช่คำตอบที่ต้องการแต่เป็นคำถามแทน

    “บอกอะไรครับ?

    “ก็วอนอูมันไม่สบายไง โทรศัพท์มันก็พัง พี่ซึงชอลเพิ่งโทรมาบอกกูเมื่อเช้านี้เอง”

    “อะไรนะครับ!

    มินกยูเบิกตากว้างกับคำตอบที่ได้รับ เขาเงียบไปนิดนึงก่อนจะหันไปรัวคำถามใส่เพื่อนสนิทของคนรักอีกรอบ

    “แล้วตอนนี้พี่วอนอูอยู่ไหนครับ? หายรึยัง? แล้วตอนนี้มีใครดูแลพี่เขามั้ยครับ?

    “เห้ยๆใจเย็นดิ กูก็อยู่กับมึงมาตั้งแต่เช้ายังไม่ได้เข้าไปเยี่ยมมันเลยเหมือนกัน เห็นพี่ซึงชอลบอกว่าไข้ไม่สูงมาก แต่จะให้ออกมาว้ากต่อก็คงไม่ไหว ตอนนี้น่าจะนอนอยู่คอน--”

    “งั้นผมขอตัวก่อนนะครับ ขอบคุณครับพี่ซูนยอง”

    “..โดแหละ ใจคอมึงจะไม่ฟังให้จบเลยใช่มั้ยเนี่ยห๊ะ!

                ซูนยองตะโกนไล่หลังรุ่นน้องที่วิ่งออกไปอย่างหวังว่าจะให้อีกฝ่ายได้ยิน แต่ดูเหมือนสิ่งที่ร่างสูงให้ความสำคัญที่สุดในตอนนี้คงจะไม่ใช่คำพูดของเฮดคุมระเบียบอย่างเขาซะแล้วสิ

     

     

               

                เมื่อขับรถมาถึงคอนโดของคนรัก ร่างสูงก็รีบจอดรถก่อนจะวิ่งเข้าไปในตัวคอนโดทันที มือเรียวคว้าเอาคีย์การ์ดมาถือไว้ในขณะที่ลิฟต์ค่อยๆเคลื่อนตัวขึ้นไปถึงชั้นที่8

                เมื่อลิฟต์เปิดออกขายาวก็ก้าวฉับๆไปยังห้องของวอนอูทันที มินกยูเอาคีย์การ์ดเสียบที่ประตูก่อนจะดึงออกแล้วเปิดประตูเข้าไปอย่างรวดเร็วแล้วก็ต้องชะงักเมื่อพบกับอดีตเฮดคุมระเบียบที่ค้างอยู่ในท่ายกมือกำลังจะจับลูกบิดประตู

                “อ้าว มินกยู”

                “อ้าว พี่ซึงชอลหวัดดีครับ พี่วอนอูล่ะครับ?

                “อ่อ นอนอยู่ในห้องอ่ะ”

                “อ่า งั้นผมขอเข้าไปดูหน่อยนะครับ”

                ว่าจบร่างสูงของเด็กปีสองก็แทรกตัวเข้าไปในห้องแล้วสาวเท้าเดินไปยังห้องนอนของคนป่วยทันที แต่ยังไม่ทันจะเปิดประตูเข้าไป ประธานเชียร์คนปัจจุบันก็ตรงมาคว้ามือเขาไว้ก่อน

                “กูว่าอย่าเพิ่งดีกว่า มันเพิ่งกินยาแล้วหลับไปเมื่อกี้ อย่าเพิ่งไปปลุกมันเลย”

                “งั้น...เหรอครับ”

                “แล้วนี่มึงกินข้าวเที่ยงรึยัง”

                “อ่อ ยังครับ”

                “เออดี งั้นไปกินกับกู เพราะกูยังไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้าเลย หิวเหี้ยๆอ่ะตอนนี้”

                ว่าจบก็ลากแขนหลานรหัสตัวเองออกจากห้องไปทันที คนเด็กกว่าหันหน้าไปมองประตูห้องนอนที่มีคนป่วยอยู่ในนั้นอีกครั้งก่อนจะเดินตามลุงรหัสตัวเองไป

     

     

     

                “มึงจะกินอะไรสั่งเลยนะ เดี๋ยวกูเลี้ยงเอง”

                “ขอบคุณครับ”

                เมื่อมาถึงร้านอาหารสองหนุ่มวิศวะก็เลือกที่นั่งติดกระจกก่อนจะลงมือเลือกเมนูอาหารทันที หลังจากพนักงานเสิร์ฟรับเอารายการอาหารไปแล้ว ทั้งสองคนก็ตกอยู่ในความเงียบ คนอายุมากกว่ามองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะเป็นคนเริ่มต้นบทสนทนาก่อน

                “มึงทะเลาะกับวอนอูเหรอ”

                “...พี่วอนอูเล่าให้ฟังเหรอครับ”

                “อืม กูฟังจากฝั่งของไอ้มึนแล้ว กูอยากฟังจากปากมึงด้วย”

                “...”

                “ไหนเล่าให้กูฟังหน่อย ว่าทำไมมึงไปหาเรื่องมัน”

                “คือ...”

                หลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมดจบ อดีตเฮดคุมระเบียบก็ถอนหายใจน้อยๆก่อนจะมองหน้าหลานรหัสตัวเอง

                “ปีที่แล้วกูก็สั่งทำโทษแบบนี้ ไม่เห็นมึงจะโกรธขนาดนี้เลย”

                “ผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันครับ”

                “หรือเป็นเพราะคนสั่งคือวอนอู มึงก็เลยไม่พอใจ”

                “...”

                “กูก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่าเหตุผลที่มึงไปหาเรื่องวอนอูอ่ะคืออะไร เพราะฉะนั้นกูจะพูดถึงแค่คำที่มึงพูดกับวอนอูละกันนะ”

                “..ครับ”

                “การเป็นพี่ว้ากอ่ะ มันไม่ได้ง่ายนะ ยิ่งกับคนแบบวอนอูอ่ะ ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ มึงก็รู้ว่ามันเป็นคนยังไง ตอนแรกกูก็แค่พูดเล่นไปงั้นแหละเรื่องที่จะให้มันเป็นพี่ว้ากอ่ะ แต่กูก็ไม่คิดว่ามันจะเอาจริง”

                “อ้าว พี่ไม่ได้เป็นคนบังคับพี่วอนอูเหรอครับ”

                “โอ้โห มึงเห็นกูเป็นคนยังไงครับ ไอ้มึนอ่ะเป็นคนเดินมาบอกกูเองว่ามันอยากเป็นพี่ว้าก”

                “...”

                “ที่ค่ายอ่ะ มันพยายามมาก เรียกได้ว่าพยายามมากกว่าคนอื่นซะด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น พอเจอมึงพูดแบบนั้นเข้าไป มันถึงได้ร้องไห้ไง”

                สิ้นคำพูดของคนอายุมากกว่า ภาพของคนรักที่น้ำตาคลอเบ้าก็ปรากฏขึ้นมาในหัวของเขา มินกยูกำมือแน่นด้วยความหงุดหงิดกับส่งที่ตัวเองทำลงไปก่อนจะค่อยๆคลายออกช้าเพื่อระงับอารมณ์

                “วอนอูมันก็ผิดที่พูดประชดมึง แต่มึงก็ต้องเข้าใจ ว่า ณ เวลานั้น คนที่ร้อนก็ไม่ได้มีแค่เด็กปีหนึ่งหรอก พวกพี่ว้ากก็ยืนตากแดดด้วยกันตรงนั้นทุกคน เพราะฉะนั้นมันก็เลยน้อยใจที่มึงอ่ะพูดเหมือนมีแค่เด็กปีหนึ่งที่เหนื่อยอยู่ฝ่ายเดียว”

                “....”

                “แล้วสุดท้ายพวกมันได้ให้น้องลุกนั่งจนครบหกร้อยครั้งจริงๆมั้ย”

                “ไม่ครับ”

                “เห็นมั้ย ความผิดพลาดครั้งนี้จะให้ใครคนใดคนหนึ่งรับผิดชอบทั้งหมดหรือยกเว้นให้ใครคนใดคนหนึ่งไม่ได้ ถึงน้องคนนั้นจะตอบ แต่น้องคนนั้นก็ตอบผิด ส่วนพวกที่เหลือก็ไม่มีใครรู้คำตอบ นั่นก็มากพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าเด็กพวกนั้นไม่มีความสามัคคีกัน”

                “...”

                “เพราะฉะนั้นที่พวกพี่ว้ากสั่งทำโทษอ่ะ ก็แค่อยากจะให้เด็กมันตระหนักถึงเรื่องนี้ แต่ถ้าพูดตรงๆมันก็ไม่จำใช่มั้ยล่ะ ก็เลยใช้วิธีนี้ แค่นั้นเอง”

                “....”

                คนเด็กกว่าถึงกับพูดไม่ออกเมื่อเจอกับคำอธิบายแสนยาวยืดของลุงรหัส เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กน้อยที่ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ไปในทันทีเมื่อได้พบกับเบื้องหลังที่แท้จริง สิ่งที่เขาอยากทำมากที่สุดตอนนี้คือกลับไปขอโทษคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคนรักของตัวเอง

                “อ้าว นั่น...”

                ในขณะที่มินกยูกำลังอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง จู่ๆเสียงของคนที่นั่งตรงข้ามก็ดังขึ้น เขาเงยหน้าและหันหลังมองตามสายตาของลุงรหัสไป

                ร่างโปร่งของคนผมสีดำที่คุ้นเคยบวกกับต่างหูไม่กางเขนสีเงินที่ห้อยลงมาจากหูซ้ายทำให้คนที่มองอยู่ถึงกับอ๋อทันทีเป็นจังหวะเดียวกับที่คนถูกมองก็เงยหน้าขึ้นมา ทั้งสามคนสบตากันอยู่ประมาณเสี้ยววินาทีก่อนที่ควอนซูนยองจะหันไปบอกพนักงานแล้วชี้มาที่โต๊ะนี้

                “พี่ซึงชอลหวัดดีครับ มาทำอะไรอ่ะพี่”

                “มาร้านข้าวนี่กูคงเอาผ้ามาซักมั้ง”

                “โหย แหย่เล่นนิดเดียวเอง มินกยูเขยิบหน่อย กูนั่งด้วย เอ้อ ว่าแต่เมื่อวานมันเป็นไงมาไงอ่ะพี่ โทรศัพท์ไอ้มึนพังไม่ใช่เหรอทำไมพี่รู้อ่ะว่ามันป่วย”

                เมื่อหัวข้อสนทนาถูกเปลี่ยนมาเป็นอาการของร่างบาง มินกยูก็รีบหันมาตั้งใจฟังทันที

                “ก็เมื่อวานกูนี่แหละเป็นคนเอามันกลับหอ”

                “ห๊ะ / ห๊ะ”

                “ก็เมื่อวานตอนฝนตกอ่ะ กูไปส่งจองฮันที่หอแล้วผ่านหลังม. ก็เลยไปเจอไอ้มึนเดินเป็นซอมบี้อยู่พอดี ร่มเริ่มอะไรก็ไม่กาง เดินตากฝนปล่อยให้ตัวเองเปียกเป็นพระเอกเอ็มวีอยู่นั่นแหละ ตากแดดแล้วมาตากฝนต่อ ไม่ป่วยก็ให้มันรู้ไป”

                “โอ้โห นี่ถ้าผมรู้ว่ามันจะทำแบบนี้นะ ผมไปส่งมันแต่แรกแล้ว”

                “แล้วพอแม่งไม่กางร่ม ตัวมันเปียก โทรศัพท์มันก็เปียกด้วย ก็เลยพังอย่างที่พวกมึงรู้กันนั่นแหละ”

                “อ่อออ เอ้อ มินกยู เห็นหน้ามึงแล้วนึกถึงเรื่องนี้พอดีเลย”

                “ครับ?

                ในขณะที่กำลังจะเริ่มเล่าเรื่อง อาหารที่สั่งไว้ทั้งสามจานก็มาเสิร์ฟพร้อมกัน ทั้งสามคนจัดแจงของกินให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะหันมาสนใจคนที่เปิดประเด็นต่อ

                “เมื่อวานอ่ะ มึงจำน้องผู้หญิงที่ยกมือตอบวอนอูได้มั้ย ชื่อซานิหรือซันนี่ อะไรสักอย่างนี่แหละ”

                “ซานะครับ”

                “โอ้โหรู้ดี เออนั่นแหละ น้องเขาจะจีบมึงเว้ย แม่งแกล้งทำเป็นเจ็บข้อเท้าไปให้มึงทำแผลแล้วเอามาอวดเพื่อน”

                “...”

                “ยังมีอีกนะ พี่ซึงชอลรู้มั้ย น้องแม่งด่าพวกผมซะเละเลย โอ้โหววว ตัวเองนี่คุณหนูผู้ดีสุดๆ โดนแดดนิดโดนแดดหน่อยไม่ได้ คนโดนหนักสุดนี่น้องพี่เลย เป็นคนสั่งทำโทษเลยโดนเยอะกว่าเพื่อน”

                ประโยคแรกหันไปพูดกับคนเด็กกว่าก่อนจะเปลี่ยนเป้าหมายมาพูดประโยคต่อมากับคนอายุมากกว่าอย่างเคียดแค้นโดยไม่ทันได้เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของรุ่นน้อง

     

    น้องคนเมื่อกี้น่ะ เจ็บจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ นายต้องเห็นสายตาที่หล่อนมองนายนะ อย่างกับจะจับนายกินเข้าไปอ่ะ

     

    งั้นพี่ก็จะบอกให้นายรู้เหมือนกันว่าเธอแค่แกล้งเจ็บ ไม่ได้เจ็บจริง

     

    เพราะฉะนั้น นายก็ควรไปขอโทษพี่เขาซะ พี่เขาคงเสียความรู้สึกไม่น้อยเลยล่ะที่โดนนายพูดแบบนั้น ฉันละนึกภาพพี่เขาร้องไห้แล้วยังรู้สึกสงสารเลย นายนี่มันแย่จริงๆเลยคิมมินกยู มีดีแค่หน้าตาเหรอยะ

     

    คำพูดและเหตุการณ์ต่างๆค่อยๆไหลเข้ามาในหัวของมินกยูเหมือนหนังที่ถูกฉายซ้ำ มือของเขาถูกกำเข้าหากันอีกครั้ง

     

    ให้ตายเถอะ ไม่เคยรู้สึกแย่ที่ทะเลาะกันครั้งไหนเท่าครั้งนี้เลยจริงๆ

     

    “...แล้วก็นะ— อ้าว มินกยู มึงไม่กินข้าวเหรอ”

    “..อ่อ ครับ กินครับ”

    มือหนาค่อยๆยกช้อนส้อมที่ใช้กินข้าวขึ้นช้าๆ คนอายุมากกว่าที่สังเกตเห็นความผิดปกติหันมามองหน้ากันก่อนคนอายุมากที่สุดจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น

    “ไม่ต้องคิดมากหรอก กูกับจองฮันเคยทะเลาะกันหนักกว่านี้อีก วอนอูมันเป็นคนมีเหตุผล ค่อยๆคุย เดี๋ยวก็ดีกันได้น่า”

    ร่างสูงเงยหน้าขึ้นมาองรุ่นพี่ก่อนจะพยักหน้าช้าๆลงมือจัดการกับอาการที่อยู่ตรงหน้าต่อ แต่ยังมีคนที่ไม่รู้เรื่องราวทั้งหมดอยู่หนึ่งอัตรา

    “อ้าว พวกมันทะเลาะกันเหรอพี่”

    “อย่าเสือกเรื่องเขา แดกไปมึงอ่ะ”

    “อ่ะจ้า”

     

     

     

     

    หลังจากหาอะไรใส่ท้องกันเสร็จแล้วซึงชอลจึงแวะกลับมาส่งหลานรหัสตัวเองที่คอนโดของวอนอูเนื่องจากตอนไปรถของเจ้าตัวยังคงจอดเอาไว้ที่นี่

    “ยังไงก็ค่อยๆเคลียร์กันนะเว้ย เรื่องมันไม่แย่ขนาดนั้นหรอก”

    “ครับ ขอบคุณนะครับพี่ซึงชอล”

    อดีตเฮดคุมระเบียบไม่พูดอะไรเพียงแค่พยักหน้ายิ้มๆพร้อมกดกระจกรถขึ้นก่อนจะเหยียบคันเร่งออกไป ร่างสูงยืนมองรถของรุ่นพี่ที่ขับออกไปก่อนจะหันหลังกลับมา ยืนทำใจอยู่หน้าคอนโดสักพักก่อนขายาวจะก้าวเข้าไปข้างใน

    คิมมินกยูแตะคีย์การ์ดเข้าไปในห้องก่อนจะพบกับความเงียบ เขาจึงถือวิสาสะเดินเข้าไปสำรวจภายใน ทุกๆห้องไม่มีวี่แววของร่างบางอยู่เลย ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเดินไปแง้มประตูห้องนอนของเจ้าของห้องดู

     

    หลับอยู่รึเปล่านะ? ’

     

    และก็เป็นดังคาด ร่างบางของพี่คุมระเบียบยังคงนอนหลับสนิทอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา มินกยูค่อยๆผลักประตูให้กว้างขึ้นก่อนจะแทรกตัวเข้าไปแล้วเดินไปหยุดอยู่ข้างเตียง ร่างสูงค่อยๆย่อตัวลงแล้วมองหน้าอีกฝ่ายก่อนจะยิ้มบางๆ

    ใบหน้าหล่อติดจะสวยที่มักจะนิ่งจนน่ากลัว ตอนนี้ก็ไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมาเช่นเดียวกัน แต่อีกฝ่ายกลับดูใสซื่อเหมือนเด็กเล็กๆที่กำลังนอนหลับ คนเด็กกว่านั่งมองอีกคนนอนเงียบๆโดยไม่ได้สนใจว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนจนในที่สุดตัวเองก็เผลอหลับไป

     

     

     

    รู้สึกตัวอีกทีเวลาก็ล่วงเลยมาจนเกือบสี่โมงเย็นแล้ว มินกยูค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นก่อนจะบิดตัวเล็กน้อยเพื่อไล่ความเมื่อยล้า โชคดีที่คนอายุมากกว่ายังคงหลับสนิทอยู่เหมือนตอนที่เขาเข้ามา ร่างสูงยิ้มบางๆอีกครั้งก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นเพื่อออกมาข้างนอกห้องนอน

     

    จะเย็นแล้ว... พี่วอนอูยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เที่ยง งั้นทำข้าวเย็นไว้ให้ละกัน

     

    คิดได้ดังนั้น ร่างสูงของเด็กปีสองก็เดินเลี้ยวไปทางห้องครัวทันทีก่อนจะหยิบของสดที่ตัวเองเป็นคนซื้อมาไว้ให้คนรักออกมา มือเรียวขยับหยิบจับนั่นนี่อย่างคล่องแคล่ว ไม่นานเกินรอ ข้าวต้มหอมฉุยก็ส่งกลิ่นหอมออกมาอย่างน่าอร่อย

     

     



    เปลือกตาบางขยับเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆเปิดขึ้น นัยน์ตาสีดำสนิทกรอกตามองไปรอบห้องอย่างช้าๆก่อนจะไปหยุดอยู่ตรงหน้าปัดนาฬิกาดิจิตอลที่อยู่ข้างหัวเตียง

     

    ...16.37...

    ‘ …ปวดหัวชะมัด

     

    จอนวอนอูยกมือขึ้นกุมหัวตัวเองแล้วนั่งนิ่งอยู่บนเตียงสักพัก ก่อนจะค่อยๆขยับตัวลงจากเตียงแบบทุลักทุเลเล็กน้อยเพราะยังคงมีอาการมึนหัวอยู่

    ใช้เวลาเพียงประมาณสิบห้านาที ร่างบางก็ออกมาด้วยชุดนอนพาจามาสีดำ มือเรียวยกผ้าขึ้นซับปลายผมที่โดนน้ำให้แห้งก่อนจะเดินออกจากบริเวณที่เป็นห้องนอน

    แต่แล้วคิ้วเรียวก็ต้องขมวดเข้าหากันเมื่อเดินออกมาแล้วได้ยินเสียงกุกกักดังออกมาจากบริเวณห้องครัว วอนอูสาวเท้าเข้าไปก่อนจะต้องชะงักเมื่อพบกับร่างสูงของคนที่เพิ่งทะเลาะกันมากำลังก้มๆเงยๆกับหม้อที่อยู่บนเตาอยู่

    “อ้าว ตื่นแล้วหรอครับ คงจะหิวใช่มั้ย ผมเพิ่มทำข้าวต้มเสร็จพอดีเลย”

    พ่อครัวจำเป็นที่กำลังทำอาหารอยู่หันมาเห็นคนป่วยเดินออกมาพอดี มินกยูปิดเตาแก๊สพร้อมถอดผ้ากันเปื้อนก่อนจะหันมาหาคนที่เดินเข้ามา

     “ไหนผมขอวัดไข้หน่อย ตัวยังร้อนอยู่--”

    “นายมาทำไม”

                “....”

                ขายาวที่กำลังจะเดินเข้าไปหากลับต้องหยุดชะงักเพราะคนตัวบางที่ก้าวถอยหลังไป คิมมินกยูลองก้าวเท้าเข้าไปอีกครั้งแต่อีกคนก็ถอยหลังไปอีกเช่นกัน จนในที่สุดร่างสูงก็ได้แต่ยืนมองคนรักที่เอาแต่หลบตาเขาแล้วก้มมองพื้นก่อนจะถอนหายใจออกมาเล็กน้อย

                “ผม..ได้ยินว่าพี่ไม่สบาย”

                “....”

                “ก็เลยมาหา---”

                “ได้ยินมางั้นเหรอ”

                “...”

    “แล้วถ้าไม่ได้ยิน นายก็จะไม่มาหาพี่สินะ”

                “....”

                “ไม่เป็นไร กลับไปเถอะ พี่สบายดี”

                พูดจบคนป่วยก็ทำท่าจะเดินออกไปแต่แล้วก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อแขนแกร่งของคนอายุน้อยกว่ารวบเอาตัวบางๆของตัวเขาเข้าไปในอ้อมกอด

                “มินกยู ปล่อยพี่”

                “ไม่ปล่อย”

                ได้ยินดังนั้นคนป่วยก็เริ่มออกแรงดิ้นเพื่อให้หลุดจากอ้อมกอดนี้ ใจของเขาตอนนี้ไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับอีกคน ทั้งโกรธ ทั้งเสียใจจนอยากจะเดินออกไปให้พ้นๆจากหน้าเด็กคนนี้ แต่แล้วการกระทำทุกอย่างก็ต้องหยุดลงด้วยคำที่ออกมาจากปากของคนเด็กกว่า

                “ผมขอโทษ”

                “...”

                “ผมขอโทษจริงๆที่พูดแบบนั้น”

                “ขอโทษทำไม”

                “...”

                “นายไม่ผิดหรอก นายก็แค่เป็นห่วงน้อง”

                “....”

                “เรื่องแบบนั้น.. พี่รู้อยู่แล้วล่ะว่ายังไงมันก็คงเกิดขึ้น”

                “....”

                “พี่ผิดเองแหละที่สั่งทำโทษน้อง เพราะฉะนั้นนายไม่ต้องขอโทษพี่หรอก”

                อ้อมแขนที่เคยรัดอย่างแน่นค่อยๆผ่อนแรงลง มินกยูจับคนตัวบางให้หันหน้ามาหาเขาช้าๆโดยที่ยังไม่ปล่อยมือจากเอวของอีกคน จนถึงตอนนี้ร่างบางยังคงไม่เงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขาเหมือนเดิม

                “ต้องขอโทษสิ”

                “...”

                “คนที่ผิดมันคือผมต่างหากล่ะ”

                “...”

                “ผมทำให้พี่เสียความรู้สึก ผมทำให้พี่ร้องไห้”

                “...”

                “ดูสิ ขนาดตอนนี้ผมยังทำให้พี่ร้องไห้เลย พี่จะบอกว่าผมไม่ผิดอีกเหรอครับ”

                มือหนาถูกยกขึ้นมาเกลี่ยที่ขอบตาของอีกคนอย่างทะนุถนอม ร่างบางที่เริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาเหมือนวันนั้นค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาสบตากับคนเด็กกว่าช้าๆ

                “...มินกยู”

                “ผมขอโทษ ยกโทษให้ผมนะครับพี่วอนอู”

                “....”

                “นะครับ คนดีของผม”

                ดวงตาทั้งสองสบมองกันเหมือนต้องการจะสื่อความรู้สึกผ่านทางสายตา ก่อนระยะห่างของใบหน้าจะค่อยๆลดลงเรื่อยๆจนริมฝีปากของทั้งคู่สัมผัสกัน

     



    -          CUT     -

    (ลิงค์ในไบโอทวิตนะจ๊ะ)





              ขณะนี้เป็นเวลาประมาณเกือบสามทุ่ม ร่างสูงเท้าคางมองคนอายุมากกว่าที่กำลังนอนหลับตาพริ้มด้วยความหลงใหล หลังจากเผลอรังแกอีกฝ่ายที่ห้องครัวก่อนจะมาต่อกันที่ห้องนอนจนคนที่ใกล้จะหายป่วยอาจจะกลับมาป่วยอีกรอบ

                เพราะความคิดถึงจากตอนที่วอนอูเข้าค่ายทำให้ไม่ได้เจอหน้ากันเลยเป็นเดือนๆ บวกกับอารมณ์พาไปจึงทำให้เขากอบโกยกำไรจากร่างบางตรงหน้านี้โดยไม่คิดจะชั่งใจเลยแม้แต่น้อย

                ร่างสูงยกนิ้วขึ้นเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าของคนรักออกก่อนจะเอานิ้วไปเกี่ยวปอยผมมาม้วนเล่น ส่วนคนถูกกวนก็ได้แต่ครางฮึมฮัมอย่างรำคาญพร้อมกับฝังใบหน้าลงกับหมอนให้มากขึ้นเพื่อหลบสัมผัสที่กวนใจ เรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากคนขี้แกล้งได้เป็นอย่างดี

                ผ่านไปสักพักคนที่นอนอยู่ก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมา เปลือกตาบางกระพริบสองสามครั้งเพื่อปรับโฟกัสก่อนจะมอองไปยังคนที่นอนอยู่ข้างๆ โดยที่ร่างสูงเองก็ยังคงค้างอยู่ในท่าเดิมคือยังคงมองหน้าอีกคนอยู่นั่นแหละ ดวงตาสองคู่สบตากันอย่างเงียบงัน ฝ่ายคนอายุน้อยกว่ากลืนน้ำลายเอื้อกเพื่อรอฟังคำด่าและการประทุษร้ายจากคนตรงหน้า แต่สิ่งที่หลุดออกมาจากปากคนรักทำเอาร่างสูงถึงกับกลั้นยิ้มแทบไม่ทัน

                “ทำแบบนี้ เดี๋ยวนายก็ติดไข้พี่หรอก”

     

                …อา น่ารักชะมัด

     

                “ติดก็ติดสิครับ ถ้าผมติดไข้พี่ พี่ก็จะได้ดูแลผมไง”

                “ใครจะไปดูแลคนอย่างนายกัน”

                พูดจบก็พลิกตัวหันหลังให้คนรักทันที ท่าทางนั้นทำเอาที่พยายามกลั้นยิ้มแทบตายถึงกับหลุดยิ้มออกมา มินกยูเขยิบตัวเข้าไปใกล้ร่างบางมากขึ้นพร้อมกับเอามือตวัดรอบเอวคอดให้เข้ามาใกล้กักตัวอีกคนไว้ในอ้อมกอดตัวเอง

                “ปล่อยเลยนะ เด็กบ้า”

                “ไม่ปล่อย~

                “ไมต้องมากอดเลย คนหื่น”

                คนถูกกล่าวหาว่าหื่นเพียงแค่หัวเราะในลำคอก่อนจะยกมือขึ้นมาทาบกับมือของอีกคนแล้วค่อยๆประสานนิ้วลงไป

                “พี่นี่น่ารักจังน้า แล้ว...หายโกรธผมรึยังครับ”

                “...ถ้าโกรธอยู่จะยอมมั้ยล่ะ”

               

                ....แหม นาทีนี้คงไม่มีใครมีความสุขไปมากกว่าคิมมินกยูแล้วล่ะครับท่านผู้ชม

     

     

     

    -          END(?)            -

     

     

    มาเอาของแถมก่อน :

                “เอ้อ พี่วอนอูหิวมั้ยครับ ผมลืมว่าผมทำข้าวต้มไว้ให้พี่”

                พอนอนไปได้สักพัก จู่ๆคนเด็กกว่าก็ผงกหัวขึ้นมาถามคนรักถึงข้าวต้มที่อุตส่าห์เตรียมไว้ให้ ก่อนจะได้รับฝ่ามือฟาดลงมาหนึ่งทีพร้อมกับสายตามองค้อนอย่างหงุดหงิด

                “นายทำพี่หิวจนหายหิวแล้วเด็กบ้า! ไว้กินพรุ่งนี้ละกัน พี่ง่วงแล้ว”

                คนเด็กกว่าหลุดหัวเราะกับคำพูดของอีกคนก่อนจะล้มตัวลงนอนกอดคนรักของตัวเองเหมือนเดิม

     



    -          END    -



     

    โอเคจบจริงๆแล้ว 55555

    เห็นหลายคนเรียกร้องถึงภาคต่อและในที่สุดเราก็มีโอกาสแต่ง

    ไหนๆก็ไหนๆแล้วใส่คัทไปด้วยเลยละกัน 5555555

    นาทีนี้อยากจะแหมมินกยูจากไทยไปถึงดาวอังคาร

    นี่มาง้อหรืออะไรกันแน่ ได้กำไรไปเต็มๆอ่ะ55555

    คือไม่ว่าเริ่มเรื่องจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นเราก็สามารถลากเข้าเอ็นซีได้ค่ะ

    เป็นความสามารถพิเศษ(มีด้วยเหรอ?) 5555555

     

    สำหรับการหายไปเกือบปี ไม่มีอะไรจะแก้ตัวค่ะ // กราบขอโทษงามๆ

    และก็ขอขอบคุณรีดเดอร์ทุกคนที่ไม่หายไปไหน(และตามมาทวงบ้างก็มี)

    ขอบคุณมากๆเลยค่ะ // รัก ;///;

    คอมเม้นเป็นกำลังใจหรือสกรีมในแท็ก #Ficstory17 ได้เหมือนเดิมนะคะ

    ผิดพลาดตรงไหนก็ขออภัย ติชมได้เดี๋ยวจะนำไปปรับปรุงค่ะ

     

    สุดท้ายนี้ก็ฝากติดตามผลงานเรื่องต่อๆไปของด้วยนะคะ

    เลิฟยูว

    ภูฟ้า.




    ขอขอบคุณธีมสวยๆจาก

    O W E N TM.
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×