คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : [SF] Mingyu x Wonwoo : This man is mine (Part 1/2)
“This man is mine”
Pairing
: Mingyu x Wonwoo
Note
: เห็นหลายๆคนถามหา
นี่คือเรื่องต่อของ A man in dream ค่ะ ความเผ็ดยังเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือฉากคัทค่ะ
*แสยะยิ้มหัวเราะในลำคออย่างบ้าคลั่ง*
Note2 : คือมันยาวมากเพราะฉะนั้นจะแบ่งเป็น 2 พาร์ทนะคะ
หลังจากคืนนั้น ก็ผ่านมาจะหนึ่งปีแล้ว....
ในตอนเช้าหลังจากผ่านค่ำคืนอันแสนเร่าร้อนมา
ทั้งสองคนก็แทบจะเข้าหน้ากันไม่ติด ต่างฝ่ายต่างพูดจาอึกอักและเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องเมื่อคืน
สุดท้ายทั้งสองคนก็จบบรรยากาศอันแสนจะอึดอัดลงด้วยการที่มินกยูมาส่งพี่รหัสตัวเองที่คอนโด
เป็นระยะเวลาเกือบสองอาทิตย์ที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่นั้นเรียกได้ว่าเป็นไปอย่างค่อนข้างอึดอัดและงุ่มง่าม
ทำเอาคนรอบข้างก็งงไปตามๆกัน แต่เมื่อนานวันเข้า
ดูเหมือนคนเป็นน้องจะเริ่มทนไม่ไหว
จึงเริ่มเข้าหาและพูดคุยกับพี่รหัสของตัวเองจนทำให้ทั้งสองคนเลิกนึกถึงคืนนั้นทุกครั้งที่มองหน้ากัน
ความสัมพันธ์จึงค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆและกลับมาเป็นพี่รหัสน้องรหัสกันเหมือนเดิม
แต่เมื่อกลับมาคุยกันเหมือนเดิมแล้ว
ก็ยังมีบางอย่างที่ไม่กลับมาเหมือนเดิม...
ความฝันที่ต่างคนต่างเคยฝันเห็นกันนั้นก็ได้หายไปด้วย
จึงกลายเป็นว่า ยิ่งทั้งสองคนพยายามลืมเรื่องคืนนั้นมากเท่าไหร่
มันก็กลับวนเวียนมาให้เห็นมากขึ้นเท่านั้น
และยิ่งทำให้ต่างคนต่างโหยหาอีกฝ่ายหนึ่งในโลกแห่งความจริงมากขึ้นไปอีก
จนมีคืนที่สองตามมาในเวลาไม่ถึงสองเดือน....
และหลังจากคืนที่สองผ่านไป
ดูเหมือนอะไรๆมันก็เริ่มชัดเจนขึ้นด้วย
ความรู้สึกที่ต่างคนต่างก็มั่นใจแล้วว่ามันไม่ใช่แค่ความเสน่หาหรือความใคร่ แต่มันมากกว่านั้น
ทำให้ต่างคนต่างเลิกปิดกั้นตัวเองแล้วลองทำตามความรู้สึกดู
พวกเขาตกลงคบกันประมาณห้าเดือนถัดมา...
และตอนนี้จากวันที่คบกันก็ผ่านมาจะหกเดือนแล้ว
สรุปแล้วก็คือผ่านมาจะหนึ่งปีแล้วเช่นกันนับตั้งแต่วันรับน้อง
จากเด็กปีหนึ่งก็ขึ้นเป็นปีสอง จากพี่สันฯก็กลายเป็นพี่คุมระเบียบ
จากพี่คุมระเบียบก็ไปเป็นประธานเชียร์…
ในเช้าวันที่อากาศสุดแสนจะเป็นใจ
ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้เมฆบดบังส่งผลให้แดดออกมาเฉิดฉายลำแสงที่หากโดนเกินหนึ่งชั่วโมงอาจมีการโคฟเวอร์เป็นกิ้งก่าที่เปลี่ยนสีได้
~ Girl you know I want your love Your love was handmade for
somebody like me ~
ร่างโปรงที่กำลังหลับอย่างมีความสุขขมวดคิ้วด้วยความรำคาญเมื่อเสียงริงโทนจากสมาร์ทโฟนที่วางอยู่ที่หัวเตียงดังออกมา
มือเรียวยกขึ้นปัดป่ายไปโดยที่ไม่ลืมตาก่อนจะคว้าเอาตัวต้นเสียงมากดรับสาย
“อือ... ฮัลโหล..”
‘ตื่นรึยังครับคนขี้เซา’
ริมฝีปากบางยกยิ้มขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงปลายสายตอบกลับมา
ก่อนจะตามมาด้วยเสียงแหบๆตามประสาคนเพิ่งตื่น
“ยังไม่ตื่นอ่ะ..”
‘ยังไม่ตื่นแล้วจะรับโทรศัพท์ได้ไงครับ หื้ม?”
“ยังไม่ตื่นก็คือยังไม่ลุกจากเตียงไง....”
‘นี่พี่ยังไม่ลุกจากเตียงอีกเหรอครับ ถ้าไม่รีบ--’
“นอนแบบไม่ใส่เสื้อผ้าด้วยอ่ะ
เมื่อวานง่วงมากอาบน้ำเสร็จแล้วก็นอนเลย”
‘….’
“เนี่ย ใส่แค่ชุดคลุมอาบน้ำด้วย—”
‘กล้าพูดแบบนี้ แสดงว่าพี่ยังไม่รู้ใช่มั้ยครับ?’
“หืม รู้อะไรเหรอ?”
เสียงปลายสายเงียบไปสักพัก
ก่อนวอนอูจะได้ยินเสียงกุกกักแล้วตามมาด้วยเสียงเปิดประตูที่ดังพร้อมกับเสียงประตูที่หน้าห้องนอนเขา
“นี่นาย อย่าบอกนะว่า—”
วอนอูยังพูดไม่ทันจบประโยคเสียงเปิดประตูห้องนอนเขาก็ดังแทรกขึ้นมา
ก่อนจะตามมาด้วยร่างสูงร้อยแปดสิบกว่าพร้อมชุดนักศึกษาเต็มยศก้าวเท้าเข้ามาในห้อง
แกร๊ก
“ผมยืนอยู่หน้าห้องพี่ตั้งแต่ที่กดโทรหาพี่แล้วนะครับ”
จอนวอนอูได้แต่อ้าปากค้างกับการปรากฏตัวของมินกยู
ร่างสูงสาวเท้าเข้ามาหาแฟนตัวเองโดยที่อีกฝ่ายได้แต่นั่งตัวแข็งอยู่บนเตียง
“ไหนครับ
ใส่แค่ชุดคลุมอาบน้ำจริงๆเหรอ”
คิมมินกยูกระชากผ้าห่มที่คลุมร่างบางออกก่อนจะเหยียดยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์เมื่อเห็นว่าคนช่างยั่วใส่แค่ชุดคลุมอาบน้ำอย่างที่พูดจริงๆ
คนบนเตียงได้แต่กระพริบตาปริบๆก่อนจะเบนหน้ามองไปทางอื่นด้วยความกระดากอาย
“เห้ย !”
แล้วจะต้องตกใจจนร้องออกมาก่อนจะรีบเกี่ยวแขนเข้ากับต้นคอของอีกคน
เมื่อวงแขนแกร่งรวบเอาตัวเขาอุ้มขึ้นในท่าเจ้าสาวพร้อมกับยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนหน้าผากของทั้งคู่ชิดกัน
“วันนี้ผมจะยอมให้ก่อนก็แล้วกัน
แต่ถ้าเป็นวันอื่นไม่รอดแน่ครับตัวแสบ”
ทิ้งท้ายไว้ด้วยรอยยิ้มที่ถ้าหากสาวๆมาเห็นคงเป็นต้องพากันหวีดร้องและอ่อนระทวยเป็นแน่
ซึ่งอาการแบบนั้นคงไม่เกิดขึ้นกับจอนวอนอูแต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเรียกรอยยิ้มเอ็นดูจากคนอายุน้อยกว่าได้เป็นอย่างดี
ใบหน้าหล่อติดสวยซับสีแดงจางๆอย่างน่ารัก
ริมฝีปากล่างถูกกัดแน่นด้วยความขัดเขิน
มินกยูจ้องมองภาพนั้นอย่างไม่ละสายตาจนทำให้คนถูกมองเขินหนักเข้าไปอีก
“ละ...เลิกจ้องพี่ได้แล้ว”
คนโดนอุ้มได้แต่พูดงึมงำในลำคอเนื่องจากไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตากับดวงตาที่มีประกายบางของคนอุ้ม
เกิดความเงียบขึ้นยาวนานเพียงชั่วอึดใจเดียวก่อนระยะห่างระหว่างริมฝีปากของทั้งสองคนจะลดลงเรื่อยๆจนหมดลง
ริมฝีปากของร่างสูงค่อยๆสัมผัสลงบนริมฝีปากของคนในอ้อมกอดอย่างอ่อนโยนก่อนจะหนักแน่นมากขึ้น
เรียวลิ้นถูกส่งเข้าไปในโพรงปากของร่างบางเพื่อตักตวงเอาความหวานจากอีกคน
มือเรียวของวอนอูถูกยกขึ้นมาประคองใบหน้าของรุ่นน้องเพื่อปรับองศาให้สามารถสัมผัสกันได้มากขึ้นก่อนที่ลิ้นเล็กจะค่อยๆตอบรับสัมผัสแสนวาบหวามที่อีกฝ่ายมอบให้
ลิ้นทั้งสองเกี่ยวกระหวัดกันอย่างไม่มียอมใคร เสียงน่าอายอันเกิดจากดีพคิสที่ดังออกมาเป็นระยะๆทำให้อารมณ์ของทั้งสองคนค่อยๆพุ่งสูงขึ้น
ริมฝีปากทั้งสองผละออกมาเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะประกบเข้าหากันใหม่
มือเรียวที่ตอนแรกประคองใบหน้าของอีกฝ่ายไว้
ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสอดเข้าไปในกลุ่มผมสีเข้มก่อนจะขยุ้มเบาๆแล้วรั้งต้นคอของคนรักให้แนบแน่นขึ้นอีก
เสียงครางสลับกับเสียงจูบดังอยู่ภายในห้องเป็นเวลาเกือบหลายนาทีก่อนจะเสียงจูบจะหยุดลงเหลือเพียงเสียงหอบหายใจของทั้งสองคน
ริมฝีปากทั้งสองผละออกจากกันอย่างอ้อยอิ่งแต่ก็ยังไม่ละจากกัน
ร่างสูงยังคงแนบหน้าผากชิดกับคนอายุมากกว่าไว้เหมือนเดิมก่อนจะพูดชิดริมฝีปากอีกฝ่าย
“คิดถึงจังครับ...”
วอนอูหลุดยิ้มกับคำพูดน่ารักๆจากปากของคนรักก่อนจะยืดตัวขึ้นจูบเบาๆที่แก้มอีกฝ่ายเป็นรางวัล
“คิดถึงเหมือนกัน”
เป็นเวลาเกือบสองเดือนที่พวกเขาทั้งคู่ไม่ได้เจอกันเนื่องจากวอนอูต้องเข้ารับการฝึกเพื่อเป็นพี่คุมระเบียบรุ่นถัดมาต่อจากซึงชอล
ทำให้ต้องไปเก็บตัวเข้าค่ายบนเขาและฝึกต่างๆนานาที่บางทีเขาก็คิดว่ามันก็หนักไปหรือเปล่าสำหรับเรื่องแค่นี้
แต่พวกรุ่นพี่บอกว่ามันเป็นธรรมเนียม เขาจึงไม่ได้คัดค้านอะไร
มินกยูยิ้มแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
ขายาวก้าวไปทางห้องน้ำที่อยู่ภายในห้องนอนก่อนจะวางอีกคนลงกับพื้น
“รีบอาบนะครับ จะได้ไปกินข้าวกัน”
ตบท้ายด้วยการขยี้หัวอีกฝ่ายเบาๆก่อนจะเดินออกจากห้องนอนไป
วอนอูยิ้มบางๆกับการกระทำของคนรักของตัวเองก่อนจะคว้าผ้าเช็ดตัวแล้วรีบเข้าไปทำธุระส่วนตัวเพื่อไม่ให้อีกคนรอนานกว่านี้
หลังจากพากันออกไปหาอะไรใส่ท้องเรียบร้อยแล้ว
ทั้งคู่ก็รีบเดินทางมาสถานที่ที่จะใช้ในการประชุมเชียร์ครั้งแรก
‘สนามหญ้าวิศวะ’ เป็นชื่อเรียกของสนามฟุตบอลที่อยู่ภายในอาณาเขตของคณะวิศวกรรมศาสตร์
เป็นที่ที่รู้กันว่านอกจากจะเอาไว้แข่งฟุตบอลภายในคณะแล้วยังเป็นที่ที่เอาไว้จัดการประชุมเชียร์รวมของคณะนี้อีกด้วย
เหล่านักศึกษาปีหนึ่ง คณะวิศวกรรมศาสตร์ภาคต่างๆกระจายตัวกันอยู่เต็มสนาม
มีทั้งจัดกลุ่มคุยกันและยืนอยู่คนเดียว เสียงพูดคุยดังจ้อกแจ้กยังคงดังอย่างสนุกสนานเพราะเหล่าน้องใหม่ยังคงไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า
ที่ข้างสนามเป็นเต็นท์ที่มีเหล่าเด็กปีสองและปีสามนั่งรวมกันอยู่
รุ่นพี่บางคนก็อยู่ในชุดนักศึกษา บางคนก็สวมเสื้อยืดสีขาวทับด้วยเสื้อช็อป ทุกอย่างเกิดขึ้นคล้ายๆปีที่แล้ว
ถึงสถานที่จะเปลี่ยนแต่ระบบและบทบาททุกอย่างยังคงเหมือนเดิมเพิ่มเติมคือเปลี่ยนตัวแสดง
เหล่าพี่คุมระเบียบรุ่นก่อนได้ส่งต่อหน้าที่ให้ทายาทของตัวเอง
ในเหล่าคนที่สวมเสื้อช็อปยังมีบางคนที่แต่งตัวแตกต่างจากคนอื่น
เสื้อช็อปที่ใส่เหมือนกันแต่แตกต่างตรงที่ด้านในเป็นเสื้อยืดสีดำ
เครื่องแบบที่บ่งบอกอย่างชัดเจนถึงฐานะความเป็น ‘พี่คุมระเบียบ’
มินกยูเดินแยกไปอีกเต็นท์หนึ่งซึ่งเป็นเต็นท์ของฝ่ายพยาบาล
วอนอูจึงเดินตรงเข้าไปรวมกับกลุ่มพี่คุมระเบียบที่นั่งกันอยู่อีกเต็นท์หนึ่งทันที
ก่อนจะต้องกลั้นขำเมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงของเพื่อนสนิทตัวเอง เส้นผมที่เคยเป็นสีทองปัจจุบันถูกย้อมเป็นสีดำสนิทพร้อมเซ็ตอย่างดี
คนที่เคยบอกว่ากลัวเข็มแทบตายตอนนี้กลับมีต่างหูรูปไม้กางเขนสีเงินห้อยอยู่ที่ติ่งหูด้านซ้าย
“ซูน มึงไปทำอะไรมาวะ”
พูดไปก็กลั้นขำไปเมื่อเห็นเพื่อนตัวดีของตัวเองพยายามดึงหน้าให้นิ่งที่สุดแล้วหันมาพูดกับเขาเสียงเข้ม
“วอนอู มึงอย่าทำให้กูหลุดขำดิวะ กูเป็นเฮดว้ากนะเว้ย
ถ้ากูไม่เข้มน้องก็ไม่กลัวดิวะ”
วอนอูหัวเราะลั่นทันทีที่เห็นอีกคนยังคงพยายามคีพลุคอยู่
ก่อนจะมีฝ่ายสนับสนุนช่วยแซวอย่างเหวินจวิ้นฮุยและคังแดเนียลเสริมขึ้นมาอีก
“กูแม่งไม่เข้าใจจริงๆ ใครเลือกมึงมาเป็นเฮดว้ากวะไอ้ซูน”
“เออนั่นดิ เอาจริงๆถ้ากูเป็นน้องกูก็ไม่กลัวมึงอ่ะ
55555555”
“ไม่มีใครเลือกกูหรอก กูสถาปนาตัวเองเองแหละ โด่ว
พอใจยัง!”
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
บรรยากาศที่เคยสนุกสนานก็กลายเป็นตึงเครียด เมื่อเหล่าพี่คุมระเบียบต่างพากันเล่นอย่างสมบทบาท
เด็กปีหนึ่งแต่ละคนต่างมีสีหน้าไม่สู้ดีบางคนถึงกับน้ำตาคลอ เมื่อถูกเฮดตั้งคำถามแบบที่ไม่คิดว่าจะมีใครรู้คำตอบ
“รุ่นของพวกคุณมีทั้งหมดกี่คน!”
“.....”
“ผมถามได้ยินมั้ยครับ!”
“..ได้ยินครับ/ค่ะ”
“เสียงของพวกคุณมีเท่านี้เหรอ! เสียงผมคนเดียวยังดังกว่าพวกคุณทั้งหมดเลย
ตอบใหม่ให้ดังกว่านี้ครับ!”
“ได้ยินครับ/ค่ะ!!”
“ถ้าได้ยินแล้วก็ตอบครับ!”
“......”
“แค่จำนวนเพื่อนๆในรุ่นของพวกคุณ พวกคุณก็ยังไม่รู้
นั่นหมายความว่าพวกคุณไม่มีความกระตือรือร้นที่จะรู้จักเพื่อนของคุณเลยใช่มั้ย!”
ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดบวกกับแดดที่แรงจัด
ทำให้ใครหลายคนถึงกับทนไม่ไหว ในขณะที่พี่คุมระเบียบกำลังพูดอยู่นั้น จู่ๆก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งล้มลงไป
เหล่าเด็กปีหนึ่งต่างพากันแตกตื่นและเริ่มส่งเสียงขึ้นมาและท่ามกลางความวุ่นวายเหล่านั้นหนึ่งในพี่คุมระเบียบคนหนึ่งก็พูดขึ้นมา
“พยาบาลอยู่ไหนครับ!
ดูน้องด้วย! แล้วใครอนุญาตให้พวกคุณหันไป หันกลับมาครับ!”
ร่างสูงของมินกยูวิ่งออกมาพร้อมเปลกับพี่พยาบาลอีกสองสามคน
ก่อนจะช่วยกันปฐมพยาบาลเด็กผู้หญิงที่เป็นลมขึ้นเปล
และในขณะที่กำลังวุ่นวายอยู่นั้น หูเจ้ากรรมก็ไปได้ยินบทสนทนาของเด็กปีหนึ่งผู้ชายที่ยืนอยู่ใกล้ๆกัน
“เชี่ยมึง พี่ว้ากคนนั้นโคตรน่ารักเลย”
“คนไหนวะ”
“คนนั้นอ่ะ คนที่พูดเมื่อกี้อ่ะ”
“ไหนๆ เออว่ะ แม่งน่ารักจริงๆด้วย”
“พวกคุณสองคนตรงนั้นคุยอะไรกันครับ!
ยังไม่ทันที่จะได้ฟังให้จบประโยค
เสียงของควอนซูนยองก็ดังขึ้นมาอีก พร้อมกับที่พี่พยาบาลปีสามเอาน้องขึ้นเปลเสร็จ
ร่างสูงยกเปลของรุ่นน้องเข้ามาในเต็นท์แล้วจึงไปนั่งมองดูคนรักของตัวเองเล่นบทพี่คุมระเบียบต่อไป
เป็นเวลานานตั้งแต่เช้าจนเกือบเที่ยงการเข้าเชียร์จึงจบลง
เหล่ารุ่นน้องที่เพิ่งหลุดออกจากสถานการณ์ตึงเครียดก็เริ่มหายใจโล่งมากขึ้น
บางคนก็ทรุดนั่งลงกับพื้น บางคนก็รีบหาที่ร่มเพื่อนั่งพัก
บางคนก็รีบชิ่งกลับบ้านทันที
กลุ่มพี่คุมระเบียบเมื่อหมดหน้าที่ก็กลับเข้ามานั่งที่เต็นท์ดังเดิม
ไม่ได้มีแค่เด็กปีหนึ่งหรอกที่ร้อน เหล่ารุ่นพี่เองก็ร้อนไม่ต่างกัน
แต่ก็ต้องพยายามควบคุมตัวเองให้เหมาะสมกับหน้าที่อยู่ตลอดเวลา
ในขณะที่คนอื่นกำลังนั่งพักกัน
วอนอูก็ขอปลีกตัวออกมาเพื่อไปหาคนรักของตัวเองที่นั่งรอเขาอยู่อีกเต็นท์หนึ่ง
เมื่อเดินมาถึงก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อพบว่าเด็กปีสองหน้าหล่อกำลังนั่งทำหน้าบึ้งตึงอย่างหงุดหงิด
“เป็นอะไรน่ะ”
“.....”
ร่างบางของพี่คุมระเบียบเดินเข้าไปแตะไหล่และถามไถ่น้องรหัสตัวเองด้วยความเคยชินก่อนจะได้รับคำตอบกลับมาเป็นความเงียบ
มินกยูยังคงไม่ตอบอะไร เอาแต่ก้มหน้าพร้อมกับปั้นหน้านิ่งอยู่เหมือนเดิม
“มินกยู”
เสียงทุ้มหวานกดต่ำลงอีกเพื่อให้อีกคนสนใจตอบคำถามของเขา
และก็ได้ผล
คนเป็นรุ่นน้องเงยหน้าขึ้นมามองหน้าพี่รหัสตัวเองช้าๆแต่ก็ยังคงทำหน้านิ่งอยู่เหมือนเดิม
“ไม่มีอะไรหรอกครับ พี่หิวรึยัง”
“พี่เหรอ นิดหน่อยอ่ะ นายล่ะ”
“งั้นผมพาพี่ไปกินข้าวก่อนละกัน”
มินกยูไม่คำถามของคนรักแต่เปลี่ยนเป็นเดินไปหยิบกระเป๋าเป้ของตัวเองและเดินออกจากเต็นท์ไปทันที
ส่วนร่างบางที่ยังอยู่ในเต้นได้แต่ยืนเกาหัวตัวเองอย่างงงๆพร้อมกับทบทวนหาสาเหตุที่ทำให้อีกคนหงุดหงิดก่อนจะต้องรีบหยิบกระเป๋าของตัวเองตามออกไปเมื่อเห็นว่าร่างสูงของอีกฝ่ายเริ่มเดินไปไกลแล้ว
บรรยากาศในรถเป็นไปอย่างเงียบเชียบเมื่อไม่มีใครเปิดสนทนาใดๆขึ้นมาเลย
ฝ่ายคนขับรถก็เอาแต่ทำหน้านิ่งแล้วก็ปิดปากเงียบ
ฝ่ายข้างคนขับก็ไม่กล้าที่จะถามอะไร เพราะเมื่อถามออกไปคำตอบที่กลับมาก็กลายเป็นคำตอบแบบถามคำตอบคำซะมากกว่า
จนในที่สุดทั้งสองคนก็มาถึงร้านอาหารที่อยู่หลังมหาลัย
เมื่อรถจอดสนิทคนขับรถก็เตรียมจะดับรถทันทีแต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมือเรียวของคนที่นั่งอยู่ข้างๆคว้าข้อมือเขาไว้
“นายโกรธอะไรพี่เหรอ”
น้ำเสียงที่ถูกถามออกมาฟังดูเรียบๆหากแต่คนที่เป็นคนรักกลับฟังออกได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังรู้สึกเสียใจที่เขาเงียบใส่
ความหงุดหงิดที่มีในตอนแรกลดฮวบลงไปทันทีเมื่อคนอายุมากกว่าใช้น้ำเสียงแบบนี้ ร่างสูงหันหน้ามามองคนรักตรงๆแต่อีกคนกลับก้มหน้าจนเกือบชิดอกทั้งๆที่ยังจับข้อมือเขาอยู่
“ผมเปล่า”
“จะเปล่าได้ไง ก็นายเงียบใส่พี่”
“ผมเงียบใส่ที่ไหน
ตอนนี้ผมก็กำลังคุยกับพี่อยู่นะ”
“พี่ไม่ได้หมายถึงเงียบแบบนั้น
พี่ทำอะไรให้นายโกรธรึเปล่า”
“เปล่า”
“แล้วทำไม—“
“พี่ไม่ได้ทำหรอก”
เสียงของวอนอูถูกกลืนหายไปในลำคอทันทีเมื่อคนอายุน้อยกว่าพูดแทรกพร้อมกับใช้หน้าผากแตะลงบนอวัยวะเดียวกันทำให้คนที่ก้มหน้าอยู่เมื่อครู่ต้องเงยหน้าขึ้นมาอัตโนมัติ
ดวงตาสองคู่สอดประสานกันดั่งว่าจะสื่อสารกันผ่านสายตา ดวงตาคมของร่างสูงมองลึกลงไปในแววตากลมใสของอีกคนก่อนจะต้องเป็นฝ่ายหลบตาแทน
“ผม...หงุดหงิดคนอื่นน่ะ”
พูดจบก็ถอนใบหน้าออกแล้วก็ต้องเป็นฝ่ายตกใจแทนเมื่อคราวนี้ร่างบางเป็นฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาใกล้แทน
ใบหน้าคมสวยเอียงเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยคำถามที่เหมือนเด็กน้อยที่กำลังตั้งคำถามกับพ่อแม่
“แล้วนายหงุดหงิดใครล่ะ”
คิมมินกยูนิ่งไปนิดหน่อยกับท่าทางของคนตรงหน้า
ตอนนี้ความหงุดหงิดของเขามันหายไปเป็นปลิดทิ้งแล้วความรู้สึกที่เหลืออยู่ตอนนี้มีแค่ความรู้สึกหมั่นเขี้ยวและอยากขย้ำคนตรงหน้านี่เท่านั้นแหละ
“ผมหงุดหงิดเด็กปีหนึ่งน่ะครับ”
“หืม ไปหงุดหงิดน้องทำไม”
“พี่นี่น้า..”
“ฉันทำไม”
“เพราะพี่ชอบทำตัวน่ารักอย่างงี้ไง
ถึงมีคนมาสนใจอยู่เรื่อย”
ร่าบางยังคงขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ร่างสูงจึงยกยิ้มขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปหาอีกคนอีกรอบ
พร้อมกับเอ่ยคำตอบที่ทำเอาวอนอูได้แต่อ้าปากพะงาบๆเหมือนหาเสียงตัวเองไม่เจอ
“ก็เด็กพวกนั้นมาสนใจแฟนของผมนี่ครับ ผมก็ต้องหึงเป็นธรรมดาสิ”
“ใครอนุญาตให้พวกคุณขยับตัวครับ!”
...ขณะนี้เวลาสิบสองนาฬิกา สี่สิบหกนาที
สิบเจ็ดวินาที เป็นเวลาอันสมควรที่ดวงอาทิตย์จะออกมาแผ่รังสีแผดเผาไปทั่วทุกบริเวณ
วันนี้เรียกได้ว่าร้อนกว่าทุกๆวันที่ผ่านมา ร้อนจนแทบจะเรียกได้ว่า
หากก้าวขาออกจากที่ร่มไปเพียงห้านาทีอาจระเหิดกลายเป็นไอได้
แต่เหล่าพี่คุมระเบียบก็ไม่สนฟ้าสนแดดอะไรทั้งสิ้น
สั่งทำโทษเด็กปีหนึ่งที่มาสายเกินเวลานัดไปเพียงสิบนาทีโดยการให้นั่งเก้าอี้อากาศกลางแดด
แต่ถึงแม้ว่าจะสั่งทำโทษรุ่นน้องตัวเองก็ไม่ได้เข้าไปนั่งสบายๆอยู่ในร่ม
เหล่าพี่คุมระเบียบก็ยังคงเดินไปเดินมาอยู่รอบๆแถวของของเด็กปีหนึ่งอยู่ดี
เมื่อเห็นว่าหลายๆคนเริ่มที่จะสั่นและเด็กผู้หญิงหลายคนก็เริ่มน้ำตาคลอแล้ว
เฮดจึงสั่งให้ทั้งหมดยืนตรง
“ผมนัดพวกคุณมาตอนกี่โมง! ตอบให้เสียงดังฟังชัดด้วยครับ!”
“เที่ยงครับ/ค่ะ!!”
“แล้วพวกคุณมาสายไปกี่นาที!”
เสียงที่ตอบกลับมาจากปีหนึ่งดังแบบฟังไม่ได้ศัพท์เหมือนเสียงผึ้งหึ่งๆ
จนควอนซูนยองต้องตอบคำถามที่ตัวเองเป็นคนถามเอง
“สิบหกนาทีครับ! พวกคุณมาสายไปสิบหกนาที!”
“....”
“ความรับผิดชอบ พวกคุณมีกันบ้างมั้ย! แค่มาให้ตรงเวลาพวกคุณยังทำไม่ได้!
แล้วต่อไปพวกคุณจะทำอะไรได้ครับ!”
จบประโยคก็เริ่มมีเสียงซุบซิบพูดคุยกันดังขึ้นมาด้วยความไม่พอใจก่อนจะเงียบลงทันทีเมื่อจวิ้นฮุยหนึ่งในพี่คุมระเบียบที่ยืนเงียบอยู่ตั้งนานเป็นคนพูดขึ้น
“ใครอนุญาตให้พวกคุณพูด เงียบด้วยครับ!”
“....” เมื่อเห็นน้องๆเงียบลง
เฮดอย่างซูนยองจึงเริ่มพูดต่อ
“ครั้งนี้เป็นครั้งแรก
ดังนั้นผมจะให้พวกคุณแก้ตัวด้วยการตอบคำถามที่ผมถามไปเมื่อวาน! รุ่นของพวกคุณมีกี่คนครับ! ”
“....”
“ไม่มีใครตอบได้เลยเหรอ! ทั้งรุ่นของพวคุณมีใครสนใจที่จะรับรู้เรื่องนี้บ้างมั้ย!”
“...”
“ถ้าไม่มีใครตอบ
ผมก็จะเรียกตัวแทนออกมา!”
“คือ...หนูขอตอบค่ะ”
ก่อนที่ควอนซูนยองจะได้จัดการสุ่มผู้โชคดี
ก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยกมือยกมือขึ้นมา
ดวงตาเรียวเล็กเหลือบมองเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองหน้าหนึ่งในพี่คุมระเบียบ
วอนอูสบตากับเพื่อนสนิทเพียงแว๊บเดียวก่อนจะเดินตรงไปหยุดยืนอยู่หน้ารุ่นน้อง
ทั้งสนามเงียบกริบจึงทำให้ได้ยินเสียงของร่างบางชัดเจน
“เชิญ”
“รุ่นของพวกหนู..มีทั้งหมด 541 คนค่ะ”
“คุณมั่นใจเหรอ”
“มั่น...มั่นใจค่ะ”
“ผมอนุญาตให้คุณหันไปถามเพื่อนคุณให้แน่ใจก่อน
แล้วหันมาตอบผมอีกที”
เด็กสาวค่อยๆหันไปมองเพื่อนร่วมรุ่นช้า
ก่อนจะได้คำตอบเป็นการส่ายหน้าเบาๆ เธอพยายามที่จะขอความช่วยเหลือแต่ดูเหมือนจะไม่มีใครให้ความร่วมมือกับเธอเลย
“รุ่นของคุณมีทั้งหมดกี่คนครับ”
“เอ่อ 541 คน...ค่ะ”
คนเป็นพี่คุมระเบียบพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะหันหน้าไปพูดกับเด็กปีหนึ่งที่เหลือ
“มีใครที่จะตอบอีกมั้ยครับ!”
“....”
“ไม่มีเลยงั้นเหรอ!”
“...”
เหล่าเด็กปีหนึ่งยังคงพากันเงียบ
ร่างบางหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะเริ่มพูดต่อด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม
“ถ้างั้นจำเอาไว้ให้ดี! รุ่นของพวกคุณไม่ได้มี
541 คน แต่มี 664 คน! ตัวเลขสามตัวง่ายๆแค่นี้
พวกคุณไม่มีความสนใจที่จะจำกันเลยใช่มั้ยครับ!”
“....”
“ในเมื่อพวกคุณไม่มีใครจำได้สักคน! ผมจะให้พวกคุณกอดคอกันลุกนั่งตามจำนวนคนในรุ่นของพวกคุณก็แล้วกัน!”
เมื่อจบประโยคก็มีเสียงอุทานมากมายดังมาจากปากของเหล่านักศึกษาปีหนึ่งผู้กำลังจะถูกทำโทษ
เด็กสาวที่เป็นตัวแทนของเพื่อนเมื่อครู่นี้จากแค่น้ำตาคลอก็ปล่อยโฮออกมา
“ปีหนึ่งทั้งหมด! ลุกนั่ง 664 ครั้ง
ปฏิบัติ!”
“ครับ! / ค่ะ!”
ภายในเต็นท์พยาบาล
ร่างสูงยืนมองคนรักของตัวเองที่กำลังยืนออกคำสั่งทำโทษรุ่นน้องอยู่ด้วยความไม่เข้าใจ
สายตาของเขามองไปยังเหล่ารุ่นน้องที่กำลังถูกทำโทษด้วยความสงสารเล็กๆ
โดยเฉพาะน้องผู้หญิงที่อุตส่าห์เป็นตัวแทนตอบ มินกยูหันไปมองเพื่อนผู้หญิงผมยาวที่ยืนอยู่ข้างๆเขา
เชวยูนาน้องรหัสของเฮดคุมระเบียบตาตี่ที่กำลังยืนว้ากอยู่กลางแดดนั่นแหละ
“นี่ยูนา เธอว่ามันไม่เกินไปหน่อยเหรอ”
“หืม เกินไปยังไงอ่ะ”
“มัน..จำเป็นต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ
น้องเขาร้องไห้แล้วนะ”
“ปีเราก็โดนอย่างนี้
ฉันว่านี่ก็ปกตินะ”
“ปีที่แล้วเธอไม่เห็นร้องไห้เลยนี่”
“พอดีฉันเป็นคนมีความอดทนอ่ะนะ”
“แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
ทำแบบนี้เหมือนทรมานกันชัดๆ”
“พวกพี่ว้ากก็มีเหตุผลของพี่เขานั่นแหละ
พี่เขาก็แค่เล่นตามบทที่วางไว้ ใช่ว่าพี่เขาอยากจะทรมานน้องสักหน่อยนี่นา”
“ไม่เล่นใหญ่ไปหน่อยเหรอ
แดดร้อนขนาดนี้ ขนาดฉันเป็นผู้ชาย ยังไม่น่าจะไหวเลยเหอะ”
“ละนี่นายจะเป็นเดือดเป็นร้อนอะไรเนี่ย
ชอบน้องคนนั้นรึไง”
“จะบ้าเหรอ
ฉันก็แค่คิดว่ามันไม่ถูกที่พี่เขาทำแบบนี้ก็เท่านั้นเอง”
“อย่าให้ฉันเห็นนะว่านายนอกใจพี่วอนอู
ไม่งั้นฉันจะฟ้องพี่เขา”
“คิดมากไปละแม่คุณ”
ร่างสูงหันไปตอบเพื่อนแค่นั้นก่อนจะเบนสายตากลับมามองเหตุการณ์เบื้องหน้าของตนดังเดิม
“ไม่พร้อมกัน! เริ่มใหม่ตั้งแต่แรก!
“ครับ! / ค่ะ!”
เด็กปีหนึ่งบางคนถอนหายใจออกมาอย่างแรงด้วยความไม่พอใจ
ท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนระอุในเวลาใกล้บ่ายเช่นนี้ แค่ยืนอยู่เฉยๆก็สามารถเป็นบ้าได้แล้ว
แต่นี่พวกเขายังต้องมาออกกำลังกายเรียกเหงื่อยิ่งทำให้ความหงุดหงิดเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า
“พวกคุณสามัคคีกันได้แค่นี้เหรอครับ! ยังไม่พร้อมกัน!
เริ่มใหม่!”
“ครับ! / ค่ะ!”
การลุกนั่งเริ่มขึ้นใหม่เป็นรอบที่แปด เก้า
และสิบ ถ้านับรวมกันก็ลุกนั่งไปกันจนเกือบจะร้อยห้าสิบครั้งแล้ว
เด็กบางคนที่ทนไม่ไหวก็เริ่มล้มลงกับพื้น เด็กผู้หญิงบางคนก็ถึงกับร้องไห้ไปลุกนั่งไป
นอกจากจะต้องร้อนแดดและผิวเสียไม่พอ ยังต้องทนกับความทรหดที่ทั้งชีวิตไม่เคยได้เจออีกด้วย
จนในที่สุด ประโยคที่เป็นดั่งเสียงสวรรค์ก็ดังออกมาจากเฮดคุมระเบียบ
“พอ! ไม่ต้องทำแล้ว! ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่จนถึงพรุ่งนี้ก็ไม่ครบสักทีหรอก!
ครั้งนี้ผมจะยอมปล่อยพวกคุณไปก่อน แต่ผมหวังว่าครั้งหน้าจะไม่พวกคุณจะไม่เป็นแบบนี้อีก!
เลิกแถวได้!”
“ขอบคุณครับ/ค่ะ!”
เมื่อหมดหน้าที่เหล่าพี่คุมระเบียบก็เดินออกจากสนามไปทันที
พอพ้นสายตาของผู้คุมเหล่าเด็กปีหนึ่งหลายร้อยคนวิ่งหาที่ร่มหลบ บางคนหาน้ำมาดื่ม บางคนก็ทรุดลงที่พื้นหญ้าเลยพี่สันทนาการหลายคนจึงรีบแจกจ่ายน้ำ
แต่ที่หนักที่สุดคงเป็นฝ่ายพยาบาลที่ตอนนี้ดูจะงานล้นมือเนื่องจากมีคนที่ท่าทางจะไม่ไหวเยอะเหลือเกินโดยเฉพาะเด็กผู้หญิง
“พี่คะ คือ...หนูเจ็บข้อเท้าอ่ะค่ะ”
และในขณะที่มินกยูกำลังวุ่นวายกับการช่วยพี่ปีสามปฐมพยาบาลให้น้องอยู่นั้นก็มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งหน้าตาสะสวยเดินมาทางเค้าด้วยท่าเดินแบบขะเผลกๆ
เมื่อมองหน้าก็พบว่าเป็นน้องคนที่ตอบคำถามแทนเพื่อนเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้
“อ่า งั้นน้องนั่งตรงนี้ก่อนนะครับ
เดี๋ยวพี่ไปเอายามาให้”
ร่างสูงลุกจากเก้าอี้เพื่อสละที่นั่งให้คนเจ็บแล้วรีบเดินไปเอายานวดก่อนจะมานั่งคุกเข่าลงตรงหน้าของรุ่นน้อง
“น้องเจ็บตรงไหนครับ”
“เอ่อตรง...ตรงนี้ค่ะ”
เมื่อคนป่วยบอกพิกัดจุดที่เจ็บ
คนที่มีหน้าที่พยาบาลจำเป็นก็ประคองข้อเท้าขึ้นพร้อมค่อยๆทายาลงอย่างเบามือ ก่อนจะต้องชะงักเมื่อได้ยินคำถามของคนเจ็บ
“พี่คะ พี่ชื่ออะไรอ่ะคะ”
“..มินกยูครับ คิมมินกยู”
“อ่อค่ะ หนูชื่อมินาโตะซากิ ซานะค่ะ มาจากญี่ปุ่น
แล้วพี่อยู่ปีไหนคะ”
“..ปี2 ครับ น้องคือคนที่ตอบคำถามพี่ว้ากใช่มั้ยครับ”
“ใช่ค่ะ”
“น้องรู้คำตอบเหรอครับ ทำไมถึงยกมือตอบล่ะ”
“หนู..ก็แค่อยากช่วยเพื่อนน่ะค่ะ
แต่กลายเป็นทำให้เพื่อนโดนทำโทษซะงั้น”
เด็กสาวตอบด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดและยังคงแหบเล็กน้อยจากการร้องไห้
ทำเอาคนฟังอารมณ์ขุ่นมัวขึ้นมาอีกรอบ
“แล้วน้องโกรธพวกพี่ว้ากมั้ยครับ”
“อืม... ไม่หรอกค่ะ”
“หืม ทำไมล่ะครับ” คำตอบที่ผิดคาด
ทำเอาคนฟังถึงกับถามอย่างสงสัย
“ก็เพราะ...พี่เขาก็สั่งทำโทษ
หนูก็เลยได้พี่มานวดขาให้ไงคะ เพราะพี่ว้ากแท้ๆเลยนะคะ”
คนพูดพูดด้วยน้ำเสียงชอบใจพร้อมกับยิ้มตบท้ายอย่างแฝงความหมายแต่คนฟังกลับรู้สึกได้ว่ามันชักจะมีอะไรไม่ชอบมาพากล
และหากต่อบทสนทนาคงจะเป็นอันตรายแน่ๆ
จึงเลือกที่จะหัวเราะเบาๆแล้วปิดปากเงียบเพื่อเป็นการจบบทสนทนากลายๆ
มินกยูปฐมพยาบาลให้เด็กสาวตามที่พี่ปีสามได้สอนมา
ก่อนจะค่อยๆเอาผ้าก๊อซมาพันให้คนเจ็บอย่างระมัดระวังที่สุดพร้อมกับเงยหน้าขึ้นถามรุ่นน้อง
“แบบนี้ดีขึ้นมั้ยครับ”
“อ่า..ดีขึ้นแล้วค่ะ”
“ถ้าเจ็บมากยังไงก็รีบบอกพวกพี่นะครับ
เผื่อเป็นอะไรร้ายแรง”
“ค่ะ เอ่อ คือพี่คะ---“
“น้องคนนี้เจ็บตรงไหนอีกรึเปล่าคะ พอดีในเต็นท์มันแคบน่ะค่ะ
ถ้าทำแผลเสร็จแล้ว ขอความกรุณาช่วย ‘เพิ่มพื้นที่’ ให้พวกพี่ด้วยนะคะ”
ยังไม่ทันที่น้องปีหนึ่งคนสวยจะพูดจบ ยูนาที่เพิ่งเดินมาถึงก็พูดแทรกอย่างรัวทันที
คนเป็นรุ่นน้องหน้าเสียนิดหน่อยก่อนจะรีบโค้งแล้วเดินออกจากเต็นท์ไป
เมื่อเห็นว่าไม่มีคนนอกแล้ว เด็กสาวตัวเล็กก็เงยหน้าขึ้นมองค้อนให้เพื่อนสนิทตัวเอง
“เธอพูดแรงไปรึเปล่าน่ะยูนา”
“แรงอะไรยะ ฉันช่วยนายไว้นะมินกยู คนเจ็บเป็นผู้หญิง
ทำไมนายถึงไม่ไปเรียกฉันห๊ะ”
“ก็ฉันเห็นเธอช่วยพี่นายองอยู่นี่เลยไม่อยากรบกวน
น้องเขาแค่เจ็บข้อเท้า ฉันทำเองก็ได้”
“น้องคนเมื่อกี้น่ะ เจ็บจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้
นายต้องเห็นสายตาที่หล่อนมองนายนะ อย่างกับจะจับนายกินเข้าไปอ่ะ”
“บ้าล่ะ เธอมโนเองรึเปล่า”
“มะนงมโนอะไรล่ะยะ เซนส์ฉันมันแรงนะ ฉันมั่นใจมากว่าถ้าฉันเข้ามาช้ากว่านี้อีกสักวิเดียว
หล่อนกลายเป็นมือที่สามระหว่างนายกับพี่วอนอูแน่”
“พี่ยูนาครับ”
ในระหว่างที่บทสนทนาระหว่างเด็กปีสองทั้งสองคนกำลังดำเนินอยู่ก็ถูกขัดด้วยเสียงของน้องปีหนึ่งคนหนึ่ง
เจ้าของชื่อหันหน้าไปมองคนเรียกก่อนจะนิ่งไปนิดนึงเหมือนพยายามนึกก่อนจะร้องออกมา
“อ้อ น้อง...น้องอูชินใช่มั้ย”
“ใช่ครับ”
คนเด็กที่สุดพยักหน้าตอบรับ
มินกยูมองคนสองคนที่กำลังคุยกันก่อนจะเอียงตัวลงเพื่อกระซิบกับเพื่อนสนิทตัวเอง
“ใครวะ”
“น้องชายของพี่รหัสเพื่อนฉันน่ะ”
“ห๊ะ”
“ว่าแต่น้องมีอะไรเหรอ”
หญิงสาวเพียงคนเดียวเลือกที่จะเมินเพื่อนสนิทของตนเองก่อนจะหันไปถามเด็กปีหนึ่งที่ยืนรอให้รุ่นพี่คุยกันอย่างมีมารยาท
“พี่คนที่เป็นคนสั่งทำโทษพวกผมเมื่อกี๊น่ะครับ
คนที่ตัวผอมๆ พี่เขาชื่ออะไรเหรอครับ”
“อ๋อ พี่เขา--”
“ไม่ทราบครับ”
ในขณะที่ยูนากำลังจะเอ่ยตอบรุ่นน้อง
คิมมินกยูก็พูดสวนขึ้นมาก่อน
หญิงสาวหันไปมองเพื่อนของตัวเองที่ตอนนี้เริ่มจะคิ้วขมวด
แต่ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรต่อก็ถูกขัดขึ้นมาอีกรอบที่สอง
“เดี๋ยวมินกยู--”
“น้องจะรู้ไปทำไมครับ”
“เอ่อคือ... เพื่อนผมฝากมาถามนะครับ”
ไม่พูดเปล่า
คนเด็กกว่าหันหน้าออกไปมองที่นอกเต็นท์ เมื่อมองตามไปจึงพบกับรุ่นน้องปีหนึ่งอีกสองคนที่กำลังมองมาทางนี้ด้วยสายตาคาดหวัง
ร่างสูงยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นไปอีกเมื่อพบว่าทั้งสองคนเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาอารมณ์ขุ่นมัวเมื่อวานนี้
“คือพี่เขาชื่อ--”
“กลับไปบอกเพื่อนนะครับ ว่าพวกพี่ไม่รู้”
“เห้ยมินกยู”
“เข้าใจนะครับ”
“อ่า คะ..ครับ”
เด็กปีหนึ่งเพียงคนเดียวตรงนั้นรีบตอบรับพร้อมก้มหัวลารุ่นพี่แล้ววิ่งออกไป
เมื่อพ้นสายตาของรุ่นน้องแล้วเชวยูนาก็ดึงหูเพื่อนสนิทของเธอทันที
“นายทำอะไรของนายยะ!”
“โอ๊ยๆๆ เจ็บนะยัยนี่
เธอรู้มั้ยว่าเด็กสองคนที่ฝากอูชินมาถามคือคนที่คิดจะจีบแฟนฉันนะเว้ย!”
“โอ้ย
ถึงเขาจะมาจีบพี่วอนอูเขาก็เอาไปไม่ได้อยู่ดีป่ะวะ นายนี่มันจริงๆเล๊ย!” ว่าจบก็บิดหูเพื่อนตัวเองอีกทีก่อนจะปล่อยออก
“ยังไงฉันก็ไม่ชอบอยู่ดี”
“ยัง ยังอีก”
“..ขอโทษครับ”
“น้องมินกยู น้องยูนา
มาช่วยพี่ยกอันนี้ออกไปหน่อยได้มั้ย พอดีพี่ยกคนเดียวไม่ไหวอ่ะ”
“ค่า / ครับ ”
ตอนนี้จอนวอนอูกำลังนั่งรวมอยู่กับกลุ่มของพี่คุมระเบียบอยู่ที่ม้าหินอ่อนข้างตึกคณะ
หลังจากจบการประชุมเชียร์ของวันนี้พวกเขาก็พากันเดินแยกออกมาเพื่อหาอะไรทานและเพื่อประชุมสำหรับการประชุมเชียร์ของวันพรุ่งนี้
“โอ้ยยยยยยยย กูววววววว ร้อนนนนนนนนนน”
หลังจากนั่งลงบนเก้าอี้ได้
ควอนซูนยองที่คีพลุคมาได้ตั้งนานก็หลุดมาดทันที คนผมดำถอดเสื้อช็อปออกพร้อมกับกระพือคอเสื้อยืดของตัวเองอย่างรวดเร็ว
“กูว่าร้อนแบบนี้ ฝนตกแน่เลยว่ะ
แม่งเริ่มครึ้มล่ะ เมื่อกี๊ยังแดดเปรี้ยงๆอยู่เลย”
ครืนนน !
“นั่นไง พูดถึงแม่งก็มาเลย”
“กูว่ารีบคุยรีบกลับเหอะ
เดี๋ยวฝนตกละแม่งกลับไม่ได้ กูไม่ได้เอารถยนต์มาด้วยวันนี้”
“งั้นกูขอเปิด ไอ้เหี้ยยยย เด็กปีนี้แม่งงงงง
ทำไมมันดูไม่ได้เรื่องเลยวะ” ß แดเนียล
“บวกหนึ่ง
กูว่าเด็กปีที่แล้วมันยังดูได้เรื่องได้ราวมากกว่านี้ นี่อะไร
ถามไปให้เวลาไปหาคำตอบตั้งวันนึง เสือกไม่มีใครตอบได้เลย” ß ซูนยอง
“เออ แค่คำถามเบสิคป่ะวะ
ก็รู้อ่ะว่ายังไงพวกเราก็ต้องถาม” ß จวิ้นฮุย
เหล่ามนุษย์พี่คุมระเบียบต่างพากันบ่นไปกินไปอย่างเมามันส์
ในขณะที่วอนอูนั่งกินเงียบๆแล้วก็ฟังเพื่อนพูด
“เอ้อมึง น้องผู้หญิงคนที่ยกมือตอบอ่ะ
ชื่ออะไรวะ”
“โทดที กูไม่ได้แดกทะเบียนราษฎร์เข้าไปก็เลยไม่รู้”
“สัส กวนตีน แต่น้องแม่งน่ารักดีว่ะ เดี๋ยวจบเชียร์แล้วว่าจะลองเต๊าะดู”
“ไอ้แดนกูจะฟ้องพี่ซองอูว่ามึงนอกใจพี่เขา”
“ไอ้เหี้ยจวิ้น มึงอย่านะเว้ย เดี๋ยวกูโดนพ่อพี่เขาเอาปืนไล่ยิง”
“เห้ยมึน มึงเป็นไรรึเปล่าวะ
เห็นนั่งเงียบมาตั้งนานล่ะ”
เมื่อเห็นว่าเพื่อนสนิทตัวเองนั่งเงียบมาตลอดตั้งแต่ที่พวกเขาเริ่มกินข้าวกัน
คนตาตี่ก็อดที่จะถามออกไปไม่ได้
“มึงว่ากูทำเกินไปมั้ยวะ ที่สั่งน้องลุกนั่งอ่ะ”
“ไม่หร๊อกกกก
มึงจำตอนที่เราโดนพี่จงฮยอนสั่งวิ่งรอบสนามได้มั้ย แม่งโหดกว่านี้อีก”
“แต่นี่น้องเขาร้องไห้เลยนะเว้ย รู้สึกผิดเลยว่ะ”
“ไม่เป็นไรนะมึง อย่ารู้สึกผิดไปเลย
เดี๋ยวกูจะหาทางไปปลอบน้องเขาเอง”
ปั้ก !
“ไอ้ห่าแดน/ไอ้เหี้ยแดน”
“กูแค่ไม่อยากให้มันเครียดดด”
คนโดนด่าได้แต่เบะปากพร้อมกับลูกท้ายทอยตัวเองป้อยๆหลังจากโดนเพื่อนอีกสองคนเอามือฟาดไป คนเราอุตส่าห์หวังดีเล่นมุกไม่ให้เพื่อนเครียดไม่ได้หวังอย่างอื่นแต่โดนด่าเฉยเลย
“เออแก ฉันมีเรื่องจะเมาท์”
และในเสี้ยววินาทีที่ทั้งกลุ่มพร้อมใจกันเงียบ
ทำให้ได้ยินเสียงของเด็กปีหนึ่งผู้หญิงที่กำลังนั่งจับกลุ่มคุยกันอย่างออกรสดังออกมา
เพราะพวกเธอนั่งหันหลัง จึงทำให้ไม่เห็นพวกเขาที่กำลังนั่งอยู่ตรงนี้
“เรื่องพี่พยาบาลหล่อๆที่มาแบกยัยยูจองออกไปเมื่อวานอ่ะ
ฉันไปแอบสืบมาแล้วนะ”
“กรี๊ดดดดดด เร็วเวอร์ กับเรื่องเรียนตั้งใจอย่างนี้มั้ยค้า”
“พูดเหมือนแกไม่สนใจพี่เขาอ่ะโมโมะ จะฟังมั้ยยะ”
“ฟังๆๆ แหม อย่าเพิ่งกริ้วค่ะมิสมินาโตะซากิ”
กลายเป็นว่าทั้งกลุ่มของพี่คุมระเบียบพร้อมใจกันเงียบกันโดยไม่ได้นัดหมาย
มิหนำซ้ำยังพากันนั่งก้มหน้าก้มตากินข้าวเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตอีกด้วย
“พี่คนนั้นน่ะ ชื่อคิมมินกยู อยู่ปี2
ตอนเห็นใกล้ๆนะแก โคตรรรรหล่อออออ คือแบบพ่อของลูกเลยอ่ะ”
“ละนี่แกไปทำอีท่าไหนทำไมไปเห็นพี่เขาใกล้ๆได้ห๊ะ”
“ก็แค่แกล้งเจ็บข้อเท้านิดหน่อยแล้วไปให้พี่เขาดูให้อ่ะ
พี่เขาจำได้ด้วยนะว่าฉันคือคนที่ยกมือตอบ ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์เล่นละครบีบน้ำตา”
“หูยยยยย แผนสูงมากกก เล่นใหญ่มากกก
นี่แกจริงจังกับพี่เขามากมั้ยเนี่ยยย”
“เอ๊า แน่นอนสิยะ ไม่งั้นฉันไม่ทำขนาดนี้หรอก
คอยดูนะ ท่านซานะคนนี้จะเอาพี่เขามาเป็นแฟนให้ได้เลย”
“แกถามพี่เขาก่อนมั้ยว่าพี่เขามีแฟนรึยัง จู่ๆแกอาจจะแย่งแฟนชาวบ้านโดยที่ไม่รู้ตัวก็ได้นะ”
“นี่จีฮโย แกเป็นเพื่อนฉันมั้ยเนี่ย
เป็นเพื่อนก็ต้องเข้าข้างเพื่อนตัวเองสิยัยนี่”
“ฉันเข้าข้างความถูกต้องย่ะ”
วอนอูกำมือแน่นกับบทสนทนาที่ได้ยิน
เพื่อนอีกสามคนที่เหลือได้แต่มองร่างบางอย่างเป็นห่วง ดูเหมือนสาวๆกลุ่มนั้นจะไม่รู้ว่าคนที่กำลังนั่งอยู่ตรงนี้เป็นใคร
“ใจเย็นๆนะมึง”
“เออ..กูโอเค”
“ไม่เป็นไรนะเว้ยวอนอู
เดี๋ยวกูจะทำให้น้องเขาหันมาสนใจกูแทนแฟนมึงเอง”
ปั้ก !
“ไอ้ห่าแดน/ไอ้เหี้ยแดน”
เหมือนเกิดเดจาวูขึ้นอีกครั้ง แดเนียลลูบหัวตัวเองป้อยๆเพื่อบรรเทาความเจ็บจากฝ่ามือสองข้างที่ฟาดลงมาพร้อมกัน
“แต่เรื่องดีก็ยังมีเรื่องร้ายว่ะแก ขอบ่นหน่อยละกัน
โอ้ย พวกพี่ว้ากแม่งงง จะอะไรนักหนา ผิวฉันเสียหมดแล้วอ่ะ!”
“เออๆๆ อันนี้เห็นด้วย โดยเฉพาะพี่คนนั้นอ่ะ
คนที่หน้าสวยๆอ่ะ หน้าตาก็ดีหรอก แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องสั่งลุกนั่งด้วย”
“โอ้ย ทำเพื่อความสะใจล้วนๆอ่ะสิ จะอะไรอีก
น่ารำคาญที่สุดเลย”
“ทั้งรุ่นมีกี่คนใครจะไปนั่งนับวะ
ชีวิตไม่ได้ว่างขนาดนั้นนะ ไร้สาระชะมัด”
“กูกลับแล้วนะ”
“อ้าวเห้ย วอนอู”
จู่ๆคนที่เป็นหัวข้อสนทนาของกลุ่มสาวๆปีหนึ่งลุกพรวดขึ้นทันที
คว้าเอากระเป๋าของตัวเองเตรียมก้าวขาออกจากม้านั่ง
ก่อนจะถูกเพื่อนสนิทตาตี่ดึงแขนไว้
“เดี๋ยวดิมึง มึงจะกลับยังไง”
“เดินกลับ”
“แต่ฝนจะตกแล้วนะเว้ย”
“ช่างมัน”
บอกกับเพื่อนแค่นั้นก่อนจะจ้ำอ้าวเดินออกไป
พี่คุมระเบียบอีกสามคนที่เหลือได้แต่หันมามองหน้ากันด้วยสีหน้าแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ดูยังไงก็รู้ว่าคนที่พูดน้อยที่สุดในกลุ่มกำลังโกรธจัด
“พี่อยู่นี่เองเหรอ”
ในขณะที่ร่างบางกำลังเร่งฝีเท้าเพื่อเดินออกมาให้ห่างจากที่ตรงนั้นให้มากที่สุด
จู่ๆก็โดนเสียงที่คุ้นเคยเรียกเอาไว้ วอนอูหยุดชะงักแล้วค่อยๆหันมาทางต้นเสียงก่อนจะเจอคนรักของตัวเองเดินกอดอกเข้ามาพร้อมกับใบหน้าเรียบตึง
“ผมมีเรื่องจะคุยกับพี่อยู่พอดีเลย”
“...นายมีอะไร”
“ผมไม่เข้าใจ ทำไมพี่ต้องทำถึงขนาดนั้นเหรอ”
“พี่ทำอะไร”
“ก็ที่พี่สั่งให้น้องปีหนึ่งลุกนั่งไง
มันจำเป็นต้องทำถึงขนาดเลยเหรอครับ”
คนอายุมากกว่าขมวดคิ้วทันทีเมื่อรู้สาเหตุที่ทำให้อีกคนหาเรื่องเขา
วอนอูถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะเอ่ยตอบอีกคนด้วยเสียงที่พยายามปรับให้นิ่งที่สุด
“มันเป็นหน้าที่”
“แล้วยังไงครับ พี่ไม่สงสารพวกเขาเหรอ
แดดร้อนขนาดนั้น แถมยังต้องลุกนั่งอีก”
“พี่บอกแล้วไงมินกยู ว่ามันเป็นหน้าที่”
“แล้วมันต้องทำถึงขนาดนั้นรึไงครับ
น้องคนที่ยกมือตอบคำถามพี่ เธอร้องไห้เลยนะ”
วอนอูคิ้วกระตุกกับคำพูดของอีกคน
ดวงตาเรียวตวัดขึ้นมองอีกคนอย่างหาเรื่องทันที เขาอุตส่าห์พยายามที่จะไม่ทะเลาะด้วยแล้ว
แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ให้ความร่วมมือเอาเสียเลย
“นายไม่รู้อะไร อย่าพูดดีกว่านะมินกยู”
“ผมจะรู้หรือไม่ มันก็ไม่เกี่ยวกันหรอก พวกพี่อ่ะแหละจะอะไรนักหนา!”
“มันจะมากไปแล้วนะมินกยู!”
สุดท้ายวอนอูก็เผลอคว้าคอเสื้ออีกฝ่ายอย่างหมดความอดทน
ร่างบางจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง
ก่อนจะผลักออกอย่างแรงตามอารมณ์ที่กำลังปะทุขึ้น
“ถ้าจะมาเพื่อชวนทะเลาะก็กลับไปเลย!”
“ผมไม่ได้ชวนทะเลาะ ผมแค่ถาม พี่มีเหตุผลหน่อยสิ!”
“ใครกันแน่ที่ไม่มีเหตุผลน่ะคิมมินกยู!”
“งั้นพี่ก็บอกเหตุผลของพี่มาสิ
ว่าทำไมพี่ต้องทำขนาดนั้น”
“พี่ว้ากมีกันเยอะแยะ
แต่นายมาโกรธพี่คนเดียวเนี่ยนะ”
“ก็พี่เป็นคนสั่งทำโทษ จริงๆพี่จะไม่ทำแล้วให้คนอื่นทำก็ได้แต่พี่ก็ยังทำ
พี่รู้มั้ยว่าน้องคนนั้นเธอเจ็บข้อเท้าด้วย มันจำเป็นต้องทำขนาดนั้นเลยเหรอครับ!”
“อ้อ สรุปที่นายมาโมโหให้พี่
ก็เพราะเป็นห่วงน้องคนนั้นใช่มั้ย”
ในที่สุด คำพูดประชดประชันก็หลุดออกจากปากคนอายุมากกว่า ร่างสูงถอนหายใจกับคำพูดของคนตรงหน้าก่อนจะค่อยๆปรับเสียงให้กลับมานิ่งดังเดิม
“ผมว่ามันชักจะไปกันใหญ่แล้วนะ
ผมไม่ได้บอกสักคำว่าผมเป็นห่วงเธอ ผมก็แค่บอกให้พี่รู้”
“งั้นพี่ก็จะบอกให้นายรู้เหมือนกันว่าเธอแค่แกล้งเจ็บ
ไม่ได้เจ็บจริง”
“นี่พี่จะบ้าเหรอ ใครจะเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่น”
“นายจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ
แต่พี่ไม่อยากทะเลาะกันนายแล้ว ไว้คุยกันทีหลังเถอะ”
“เดี๋ยวสิพี่---”
มินกยูรีบตรงเข้าไปคว้าแขนของคนที่กำลังจะเดินหนีแต่สิ่งที่ได้กลับมาเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธผสมไปกับความน้อยใจ
ดวงตาที่คลอไปด้วยน้ำตาตวัดกลับมามองเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะหันหน้าหนี
ร่างบางสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมแล้วเดินจากไปทันที
ร่างสูงได้แต่ยืนอึ้งมองแผ่นหลังของอีกคนที่เดินห่างไกลออกไปเรื่อยๆ
ตั้งแต่คบกันมา ไม่สิ ตั้งแต่ที่ได้รู้จักกัน เขาไม่เคยเห็นพี่วอนอูร้องไห้เลยสักครั้ง ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ทะเลาะกับน้องชาย
ตอนที่เครียดเพราะอ่านหนังสือไม่ทัน หรือแม้แต่ตอนที่อยู่ที่ค่ายของพี่ว้ากก็ไม่เคยโทรมาร้องไห้หรือบ่นให้เขาฟังเลยสักครั้ง
แต่เขา...กลับเป็นคนทำให้พี่วอนอูร้องไห้ซะเอง
เอาแล้ววววว
ทะเลาะกันแล้ววว
วอนอูร้องไห้แล้ววววว
ว๊ายยยยยย คิมมินกยูคนไม่เดดดด
5555555555555555555555555555555
ถ้าพบคำผิดหรือตรงไหนแปลกๆ ทักเราด้วยนะคะ
บางทีก็รีบ พิมพ์ผิดเยอะแล้วมองไม่เห็น 5555555
ขอบคุณธีมสวยๆจาก
ความคิดเห็น