ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : กระท่อมพริมโรส
บทที่ 2
เช้าวันอาทิตย์ อย่างแรกที่พาร์เนลี่ทำเมื่อตื่นขึ้นคือเดินไปเปิดหน้าต่างให้ลมอ่อนๆ สดชื่นโชยเข้ามา อืมมม กระท่อมพริมโรสนี่ท่ามกลางสวนสวรรค์โดยแท้
ถ้าลืมๆ ซะนะว่าทุกห้องในบ้านนี้ต้องแต่งใหม่ขนานใหญ่ซะก่อนถึงเรียกได้เต็มปากว่าน่าอยู่ เธอคิดขณะยืนชมวิวอย่างอิ่มอกอิ่มใจ
แล้วเธอก็ละสายตามาที่บริเวณรอบกระท่อม อืมมม ต้องรีบทำอะไรสักอย่างกับสนามหญ้าเร็วๆ นี้ล่ะ ไม่น่าเชื่อว่าแค่ไม่กี่เดือนที่มิสซิสกู๊ดวิวย้ายออกไป สนามหญ้าจะรกได้อย่างกับป่าย่อมๆ ขนาดนี้
ถึงดูรกขนาดนั้นเถอะนะ มันก็ยังไม่อยู่ในลิสต์ที่ต้องทำในเร็วๆ นี้อยู่ดี แล้วก็ต้องสะท้อนใจเพราะพอมองข้ามกำแพงหินสองฟุต-ที่ตอนนี้ถูกซ่อมจนอยู่ในสภาพดีแล้ว-ไปที่สนามหญ้าและสวนของบ้านข้างๆ สำหรับผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ค่อยมาเหยียบที่นี่บ่อยนัก มิสเตอร์ทรีเมนกลับใส่ใจดูแลสวนหย่อมได้อย่างดี แต่ยังไงเธอก็ยังไม่ชอบเขาอยู่ดี ฮึ ต้นหญ้าสักต้นคงไม่กล้าเสนอหน้าท้าทายตานั่นแน่ อย่าว่าแต่ไปขึ้นในสนามของเขาเลย
เศษหิน เศษวัสดุก่อสร้างที่เคยกองบนทางเข้าบ้านถูกเคลียร์ออกไปหมดแล้ว จากที่เห็นนายทรีเมนนั่นคงไม่ได้มาเมื่อคืนนี้ ก็ไม่เห็นรถจากัวร์คันหรูที่เธอเคยเห็นตอนที่เจอเขาครั้งก่อน แล้วก็นึกขึ้นได้ เขาจะจอดรถไว้บนถนนทำไม ในเมื่อเขามีโรงจอดรถใหญ่โตมโหราฬอยู่
จากจุดที่เธอยืนมองไม่เห็นเจ้าโรงจอดรถนั่นหรอก ถ้าชะโงกออกไปนอกหน้าต่างล่ะก็ไม่แน่ แต่เธออยากรู้ขนาดนั้นซะที่ไหนล่ะ ก็แค่สงสัยว่าเธออาจจะไม่ได้ยินเสียงรถตอนเขาขับเข้ามาเมื่อคืน ถ้าเธอจำไม่ผิดนายทรีเมนนั่นต่อโรงจอดรถจากตัวบ้านเดิม เอ รู้สึกว่าจะใช้หินสีเทาซีด แล้วก็ทำได้เนี๊ยบเชียว มันเป็นแนวเดียวกับตัวบ้านด้านหน้าซะด้วยสิ จะว่าไปแล้วโรงจอดรถใหม่นั้นก็เข้ากับตัวบ้านได้ไม่มีที่ติ ถ้าไม่รู้มาก่อนคงนึกว่าโรงจอดรถนั่นเป็นส่วนหนึ่งของกระท่อมนี้มาก่อน
แล้วพาร์เนลี่ก็ก้าวออกจากหน้าต่าง อืมมม นายทรีเมนคนนี้
ก็รสนิยมดีใช้ได้ ดูท่าแล้ว เธอ
จะไม่ค่อยแฟร์กับเขาเท่าไหร่ที่ไปว่าเขาอย่างนั้น
เธอลงมาที่ชั้นล่าง หลังจากชงชาร้อนให้ตัวเองก็มานั่งสำนึกผิดอยู่พักใหญ่ แต่พอนึกได้ว่าถ้าไม่เพราะนายทรีเมนนั่นป่านนี้เธอคงได้เป็นเจ้าของกระท่อมไมร์เทิลนั่นไปแล้ว เธอก็เลยยกโทษให้ตัวเอง
ถึงจะยังเศร้าเรื่องกระท่อมไมร์เทิล แต่พอคิดได้ว่าตอนนี้เธอมีกระท่อมพริมโรสแทนแล้ว กับโครงการมาหมายที่เธอจะแปลงสภาพมันให้น่าอยู่ เธอก็รู้สึกดีขึ้น
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ก็มีโทรศัพท์จากแม่ของเธอ “แม่ว่าแล้วเชียว นอนไม่หลับล่ะสิ” แม่ทัก
“ค่ะ แล้วแม่ล่ะคะนอนไม่หลับเหมือนกันล่ะสิ
” เธอแหย่กลับ-ก็ตอนนี้ยังไม่เจ็ดโมงเช้าด้วยซ้ำ
“หนูจะทำอะไรจ๊ะวันนี้”
“เอาก่อนหรือหลังจากที่หนูจัดของทุกอย่างเสร็จแล้วล่ะคะ”
“โอ๊ย นั่นคงต้องใช้สักสองสามอาทิตย์ละมั้งกว่าจะเสร็จนะ” แม่ออกความเห็น แล้วทั้งสองก็คุยเรื่องจิปาถะกันอีกกว่าสิบนาทีก่อนที่แม่จะวางหูไป พาร์เนลี่ไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วก็เริ่มรื้อชุดกระเบื้องเคลือบที่แม่ยืนยันให้เธอขนมาด้วย ตามด้วยของกระจุกกระจิกที่เธอสะสมไว้ตั้งแต่เด็ก
พาร์เนลี่ยุ่งตลอดวันอาทิตย์ และถึงจะทำงานยุ่งทุกวันตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันพุธ ทุกเย็นเธอก็กลับมาค่อยๆ จัดของไปเรื่อยๆ เย็นวันพฤหัสบดีเธอกลับมาถึงบ้านก็เห็นคนกำลังตัดหญ้าที่สนามหญ้าของบ้านข้างๆ อยู่ โธ่เอ้ย มิน่าสิว่าทำไมมันถึงสวยไม่มีที่ติ- ก็ น า ย จ้ า ง ค น ทำ แ ท น นี่ น า
ถ้าเธอมีเงินเหลือล่ะก็ ก็คงเข้าไปคุยกับคนสวนนั่นแล้วล่ะ แต่เธอว่าจะแต่งบ้านด้วยตัวเอง แล้วก็ยังพรมที่เล็งจะซื้อมาแต่งในห้องนั่งเล่นอีกล่ะ ราคาพรมผืนนั้นก็ใช่ย่อย เอาล่ะ-คุณคนสวนค่ะ-รอไปก่อนนะคะ จนกว่าฉันจะได้โบนัสงามๆ ละกัน ระหว่างนี้เธอคงต้องถากๆ ถางๆ ถอนๆ เองไปก่อน
“แม่ฉันกะถูกจริงๆ” เธอบ่นกับไมค์ ช่วงที่เขาพักจากงานอันเคร่งเครียดในบ่ายวันศุกร์ เขาถามเธอเรื่องย้ายบ้าน “แม่บอกว่ามันจะใช้เวลานานมากๆๆๆ ที่จะจัดของทั้งหมดให้เข้าที่เข้าทาง”
“อ้าวว คุณยังจัดของไม่เสร็จอีกเหรอ”
“ฉันว่าจะรื้อกล่องสุดท้ายคืนนี้ค่ะ” เธอตอบ ช่วงหลังมานี้ไมค์เครียดมาก ก็ปัญหาเรื่องเงินเดิมๆ นั่นล่ะ อย่างน้อยเธอก็อยากช่วยดึงความสนใจเขาไปที่เรื่องอื่นสักพัก เลยเล่าต่อว่าเธอจะเริ่มแต่งห้องนั่งเล่นใหม่เป็นห้องแรกจะเริ่มจากขูดวอลล์เปเปอร์ของเก่าออกก่อน
“เรื่องนี้ผมคิดว่าคุณจะต้องทำให้เสร็จไปตั้งแต่ก่อนย้ายเข้าไปแล้วนี่” ไมค์พูด
“ปกติก็น่าจะอย่างนั้นล่ะค่ะ แต่คนจะย้ายเข้าบ้านเก่าของฉันเขาอยากย้ายเข้าวันจันทร์ที่ผ่านมานี่ ส่วนทางทนายความของมิสซิสกู๊ดวินก็ไม่ยอมให้กุญแจบ้านฉันก่อนที่จะจ่ายเงินครบ ฉันเลยยังไม่ได้ทำอะไรเลย” เธออธิบาย หมดช่วงพักทั้งสองก็แยกย้ายกันกลับไปทำงาน
คืนนั้นพาร์เนลี่กลับบ้านไปนั่งรื้อของและจัดเข้าที่จนเสร็จ ส่วนนายจ้างของเธอไม่ต้องสงสัยว่าคงกลับไปนั่งกลุ้มต่อว่าจะทำยังไงจึงจะรอดจากวิกฤตการณ์ทางการเงินที่ง่อนแง่นเต็มทีในครั้งนี้ไปได้
เช้าวันเสาร์อากาศดีมีแดด พาร์เนลี่เปิดหน้าต่างออกกว้างทุกบานแต่ก็ไม่ได้มีเวลาชื่นชมกับความสงบเงียบสดชื่นของบรรยากาศรอบตัวเลย เพราะชั่วโมงที่ผ่านมาเธอนั่งขูดนั่งลอกวอลล์เปเปอร์เก่าบนผนังออกอย่างเอาเป็นเอาตาย
ผ่านไปอีกชั่วโมง เธอถึงได้รู้ว่าเจ้าของบ้านเดิมติดวอลล์เปเปอร์ทับลงไปบนวอลล์เปเปอร์เดิม แล้วเธอก็ต้องรับว่าเป็นไปไม่ได้ที่เธอจะลอกวอลล์เปเปอร์เสร็จก่อนเที่ยงแน่ๆ!
พอสิบเอ็ดโมงเช้าเธอก็ยอมแพ้อย่างสิ้นเชิง วางที่ขูดกระดาษ และโทรหาแม่ของเธอ “มีวิธีที่หนูจะลอกเอาวอลล์เปเปอร์ออกแบบเร็วๆ ไหมคะ” เธอถามอย่างมีความหวัง
“มีปัญหาอะไรล่ะ?”
“หนูว่าต้องมีวอลล์เปเปอร์สักห้าหกชั้นได้มั้งคะ แต่ละชั้นก็ไม่รู้ใช้กาวบ้าอะไรติดแน่นชะมัด” พาร์เนลี่ตอบ
แม่ปลอบเธอ แล้วก็เดินไปถามบรูซ “ลองเอาฟองน้ำจุ่มพวกน้ำยากัดผิวเอาอย่างแรงนะ แล้วถูๆ ลงบนวอลล์เปเปอร์” แม่กลับมาบอกเธอ
เธอเหนื่อย ท้อ แล้วตัวก็ชุ่มเหงื่อไปหมด เธอน่าจะหาอะไรดื่มก่อนดีกว่า พาร์เนลี่คิด แล้วก็เดินเข้าไปในห้องครัว หลังจากได้น้ำมะนาวมาแก้วหนึ่งก็คว้าเก้าอี้ออกไปที่สนามหลังบ้าน ตั้งใจไปนั่งพักเหนื่อยสักสิบนาที
แต่เธอนั่งมองบรรดาหญ้ายาวๆ เกือบถึงต้นขากับพวกวัชพืชรกๆ ได้แป๊บเดียว ก็ได้ยินเสียง-ซึ่งถ้าเธอเข้าใจไม่ผิดคงเป็น-เพื่อนบ้านของเธอ อืมม แสดงว่าอาทิตย์นี้เขาหาเวลาแวะมาพักร้อนที่กระท่อมไมร์เทิลได้สินะ
เธอเกือบลุกเดินเข้าบ้านไปแล้ว ถ้าไม่ฉุกคิดได้ว่า ทำไมเธอต้องหนีหน้านายนั่นด้วย นี่เป็นบริเวณบ้านของเธอนะ
เธอได้ยินเสียงประตูโรงจอดรถของเพื่อนบ้านเปิด ได้ยินเสียงรถของเขาขับเข้าไป ได้ยินเสียงประตูโรงจอดรถปิด แต่ความที่อยากแสดงจะให้ได้เขาเห็นว่าเธอได้เป็นเจ้าของบ้านนี้แล้ว ถึงได้ดันทุรังนั่ง(แสดงความเป็นเจ้าของ)อยู่ตรงนั้น พอจะหายเกร็งได้หน่อย เมื่อคิดว่าเพื่อนบ้านของเธอคงเข้าไปทางประตูหน้าแล้ว ก็ต้องตกใจเมื่อชายหนุ่มโผล่ออกมาตรงหัวมุมพอดี
ก่อนที่สองขาจะพาเธอหนีเข้าบ้านไปเธอลุกขึ้นและทักออกไปอย่างเกร็งๆ “อรุณสวัสดิ์ค่ะ” แล้วก็ได้เห็นสายตาห่างเหินของเขาไล่มองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า-ไล่ไปตั้งแต่ผมดำสนิทที่มัดเอาไว้-ไปที่ขาเรียวยาว-จนถึงนิ้วเท้าที่โผล่ออกมาจากรองเท้าแตะของเธอ แล้วเธอเองต้องอึ้งไป ที่นึกได้ว่าสภาพของตัวเองดูไม่จืดขนาดไหน เสื้อยืดแขนสั้นโทรมๆ กางเกงขาสั้นโทรมๆ
เชอะ ใครจะไปแต่งสวยนั่งลอกวอลล์เปเปอร์ตอนอากาศร้อนๆ อย่างนี้ล่ะ เธอคิด เริ่มรู้สึกเหนียวตัว ก็แน่ล่ะ ลอกวอลล์เปเปอร์ไม่ใช่ไปประกวดนางงานนะ
ในที่สุด หลังจากที่มองเธอตาค้างไปอึดใจ ชายหนุ่มก็ตวัดสายตาออกจากขายาวๆ กับสภาพดูไม่ได้ของเธอ ไม่ทักตอบไม่พอ ยังพูดห้วนๆ ว่า “ฉันหวังว่าเธอจะเป็นเพื่อนบ้านที่สงบเสงี่ยมนะ”
เท่านั้นเอง เธอก็ฉุนขาด “งั้นคุณ ไม่มีลูกงั้นสิ?” เธอพูดน้ำเสียงหาเรื่องสุดสุด ก็รู้หรอกว่าเขายังโสด แล้วไงล่ะ
เธอล่ะนับถือเลย เขาฉลาดมากและพลิกสถานการณ์ได้ดีจริงๆ เพราะแทนที่จะถามกลับว่าเธอพูดเรื่องบ้าอะไร หรือตอบว่า มี เขาใช้เวลาชั่วอึดใจก่อนถามกลับเสียงเข้มว่า “เธอมีแล้วล่ะสิ?”
“บ้าเรอะ ฉันยังไม่ได้แต่งงาน!” เธอตะโกนสวนกลับเสียงดัง
“นั่น” เขาพูดเสียงรอดไรฟัน “ก็ไม่ได้แปลว่าเธอไม่มี” และเห็นชัดว่าเขาคงอยากจะไปทำอะไรที่มีสาระกว่ามายืนต่อปากต่อคำกับเธอ เขาหันกลับไปไขประตูหลังบ้านและหายเข้าไป
พาร์เนลี่จ้องไปที่ประตูบ้านซึ่งทาสีใหม่ของเขา และถึงเธออยากจะกลับเข้าในบ้านขนาดไหนก็ทนนั่งทำไม่รู้ไม่ชี้อยู่ตรงนั้นต่ออีกห้านาที
พอเข้าบ้านเธอก็เข้าใจเลยว่าทำไมเขาพูดว่าเขาเชื่อว่าเธอจะเป็นเพื่อนบ้านที่สงบเสงี่ยม เธออยู่ในห้องครัวก็ได้ยินเสียงทั้งดังค่อยทุกอย่างที่เขาทำในห้องข้างๆ เอาล่ะ นั่นคงเป็นเพราะหน้าต่างห้องครัวเปิดไว้มั้ง เขาก็เปิดหน้าต่างห้องครัวของเขาไว้นี่นา แต่ ชิ! สาบานได้ เมื่อกี้เธอได้ยินเสียงเขาปิดประตูตู้เย็น ไม่เคยคิดถึงมาก่อน คงเพราะตอนมาดูบ้านแล้วก็ตั้งแต่ย้ายมายังไม่เคยมีคนมาอยู่บ้านข้างๆ ก็ได้
โอ้ย ดีจังล่ะ เธอคิดอย่างไม่สนุกนัก จำได้จากตอนที่มาดูกระท่อมไมร์เทิลว่าห้องนั่งเล่นของเขาใช้ผนังเดียวกับห้องนั่งเล่นของเธอ และผนังนี่ก็เป็นผนังที่แยกห้องนอนของเขาและเธอออกจากกัน เยี่ยมมาก! เธอคิดอย่างสยอดสยอง พอหายตกใจก็ได้แต่หวังว่าเขาจะไปใช้ห้องนอนที่อยู่ติดทางผนังอีกด้านแทน และก็นึกได้ว่าห้องน้ำของเขาก็อยู่ตรงผนังด้านนั้นด้วย ก็ดีว่าอย่างน้อยเธอไม่ต้องรับรู้ทุกครั้งที่เขาอาบน้ำ
สองพี่น้องกู๊ดวินคงไม่ได้สนใจเรื่องเสียงตอนกั้นผนังกระท่อม พาร์เนลี่รำพึงขณะนั่งขูดวอลล์เปเปอร์ไปตลอดวันเสาร์ที่เหลือนั้น ฮึ ฮึ เผลอๆ เวลาฝนตกสองพี่น้องอาจตะโกนคุยกันแทนที่จะเดินตากฝนไปอีกบ้านก็ได้
จากสภาพเธอตอนนี้ ถ้านายทรีเมนนั่นกะจะมาพักผ่อนเงียบๆ ที่กระท่อมไมร์เทิลอาทิตย์นี้ล่ะก็ เขาคงไม่ทนทู่ซี้นั่งในห้องนั่งเล่นนั่นแน่ๆ ก็ถ้าเธอได้ยินเสียงเขาเดินไปเดินมาในห้องนั้นเขาต้องได้ยินเสียงเธอแหง่มๆ พาร์เนลี่ยิ้มอย่างมีความสุข ถึงมือจะขยับเป็นระวิงก็เถอะ
ช่วงสามทุ่มคืนนั้น หลังจากลอกเศษวอลล์เปเปอร์ชิ้นสุดท้ายออกมา เธอก็ปวดเมื่อยไปทั้งตัว อาบน้ำสระผมเสร็จไม่นานก็ผลอยหลับไป
ถึงยังไงเธอก็ยังเกรงใจเพื่อนบ้าน (นิดๆ) วันอาทิตย์ถัดมาเธอเลยทนรอจนแปดโมงเช้าถึงเริ่มทากาวที่ผนังห้องนั่งเล่น ก็ไม่รู้ว่าเป็นกิจวัตของเพื่อนบ้านของเธอหรือเปล่าที่เขาจะออกไปข้างนอกซะตั้งแต่สิบเอ็ดโมงของเช้าวันอาทิตย์อย่างวันนี้ แต่เธอเห็นรถของเขาขับออกไป แล้วก็ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่ไม่เห็นเขาอีกอาทิตย์นั้น
วันจันทร์ตอนเธอกำลังจะออกไปทำงานก็พบหญิงกลางคน คงอายุประมาณห้าสิบกว่าๆ ท่าทางแข็งแรงลงจากจักรยานและเข็นเข้ามาในเขตรั้วของกระท่อมไมร์เทิล
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ!” พาร์เนลี่ทักหญิงกลางคนที่เดินขึ้นมาถึงทางเชื่อมและมองมาที่เธอ “หนูว่ามิสเตอร์ทรีเมนไม่อยู่นะคะ” เธอรีบบอก
“อ๋อ ป้ารู้แล้วจ๊ะ” หญิงกลางคนตอบอย่างร่าเริง “ป้าชื่อมิสซิสมัวร์มาจากในหมู่บ้าน เสาร์อาทิตย์ไหนที่มิสเตอร์ทรีเมนมา วันจันทร์ป้าก็จะมาทำความสะอาดจ๊ะ” แต่วิธีไหนที่หญิงกลางคนรู้ว่านายนั่นมานั้นเธอไม่ได้บอก มิสซิสมัวร์หยุดคิดครู่หนึ่งและพูดว่า “ป้าได้ยินว่ามีสาวน้อยย้ายมาอยู่บ้านเก่าของแกลดี้ กู๊ดวิน ป้าหวังว่าหนูจะชอบที่นี่นะ”
“ค่ะ ขอบคุณค่ะ” พาร์เนลี่ยิ้มและบอกต่อว่า “หนูชื่อพาร์เนลี่ ริดชาร์ด หนูรักที่นี่ค่ะ อืมม มันสวยจริงๆ”
“ก็ต้องอย่างนั้นสิจ๊ะ” มิสซิสมัวร์ตอบอย่างดีใจและทำท่าจะคุยต่อ แต่พาร์เนลี่อยากไปให้ถึงที่ทำงานก่อนเก้าโมงตรง เธอจึงบอกลามิสซิสมัวร์ยิ้มๆ และเดินไปขึ้นรถ
สัปดาห์นั้นแทบเป็นสัปดาห์หฤโหดของพาร์เนลี่เลย เพราะ ไมค์ โยแลนด์ ที่ยังกลุ้มใจเรื่องเงินจนน่ากลัว เขากลัวมากว่าต้องเสียบริษัทไปถ้าแก้ปัญหาไม่ได้เร็วๆ นี้ และเขาคงนั่งหาวิธีแก้ปัญหาตลอดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
“คุณคือดวงตะวันดวงที่สี่ของผม ขอบคุณมากนะ” เขาทักตอนเธอเดินเข้ามาแล้วก้มลงหอมแก้มของพาร์เนลี่เบาๆ นี่เป็นครั้งที่สามตั้งแต่ที่พวกเขารู้จักกัน
พาร์เนลี่ค่อนข้างสุขใจที่เธอเป็นหนึ่งในคนสำคัญของเขา แน่ล่ะต้องรองจากภรรยาและลูกทั้งสองของเขา แต่เธอก็ยังงงงง “ฉันทำอะไรหรือคะ” เธอถาม
“ผมแทบบ้าเพราะไม่รู้จะทำยังไงให้เรารอดพ้นวิกฤตินี้ไปได้” เขาเริ่ม “แล้วอยู่ๆ วันเสาร์ผมก็นึกถึงที่คุณเคยพูดน่ะนะ และพอเลิกคิดถึงคำว่าเป็นไปไม่ได้ ผมก็เริ่มสงสัย ว่ามันเป็นไปไม่ได้จริงหรือ ผมก็เลยใช้เวลาเกือบทั้งหมดตั้งแต่นั้นนั่งดูบัญชี ดูแล้วดูอีก ก็พบว่าผมทำมันได้”
“ทำ?” เธอถามงงๆ ถึงปกติเธอจะหัวไวก็เถอะ “ฉันเคยพูดอะไรคะ”
“คุณบอกว่า” เขายิ้ม “อะไรที่ผมต้องการคือหาใครมาช่วยอีกสักคน นั่นล่ะใช่เลย พาร์เนลี่ แล้วดูๆ แถวนี้ไม่มีใครอยากช่วยเราสักคน ดังนั้นผมมีแผนดีๆ เราจะไปคุยกับบริษัทการลงทุนในลอนดอน เอาล่ะ เอาสมุดจดของคุณมา เราคงต้องเริ่มกันตั้งแต่ศูนย์”
พาร์เนลี่รู้สึกเป็นความรับผิดชอบใหญ่หลวงที่เป็นคนต้นคิด เธอพูดอะไรอย่างนั้นไปด้วยเรอะ เธอคิดงงๆ และสัปดาห์นั้นผ่านไปค่อนข้างจะระทึกหน่อยๆ บริษัทแรกๆ ที่พวกเขาโทรติดต่อไปบอกให้พวกเขาเขียนรายละเอียดของโครงการที่พวกเขามีออกมาก่อน
ถึงจะทำงานหนักแต่พาร์เนลี่ก็ทำงานที่บ้านหนักพอกัน คริส ฟาร์เมอร์ เพื่อนของเพื่อน โทรมาชวนเธอไปเที่ยวคืนวันอังคาร แต่เธอก็มีอะไรต้องทำต้องคิดมากเกินกว่าจะออกไปไหนตอนเย็นได้
วันศุกร์เธอทาสีแล้วก็เกือบติดวอลล์เปเปอร์ในห้องนั่นเล่นเสร็จ เช้าวันศุกร์นั้นเองที่ ไมค์ โยแลนด์ มาพลิกหาจดหมายตอบอย่างกระตือรือล้น แต่เขาได้รับก็แต่พวกจดหมายข่าวชุมชนและอีกฉบับหนึ่งจากบริษัทหนึ่งแจ้งว่าจะพิจารณาใบสมัครของเขาในการประชุมครั้งหน้า
“คงต้องใช้เวลาเป็นเดือนแน่กว่าจะรู้ผล” เขาบ่นอย่างกลุ้มๆ
“แหม ก็เราขอเงินไปมากนี่คะ” พาร์เนลี่ปลอบเขา
“มันมากสำหรับเราเท่านั้นแหละ มันขี้ปะติวสำหรับพวกนั้น” เขาตอบ แล้วก็กังวลเพราะถึงพาร์เนลลี่จะแทบไม่เคยมาสายเลยแต่ช่วงนี้เธอเองก็ดูเหนื่อยๆ จึงถามว่า
“คุณแน่ใจนะว่าวันจันทร์คุณจะมาเก้าโมงเช้าไหว? ผมมีประชุมกับฝ่ายบัญชีแต่เช้า แต่บริษัทเอ็ดการ์จากลอนดอนบอกว่าจะส่งข่าวมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ตอนเช้าวันจันทร์-พวกเขาอาจโทรมาและ
”
“ฉันจะมาถึงตอนแปดโมงสี่สิบห้าค่ะ ฉันสัญญา” เธอพูดแทรกยิ้มๆ
บ่ายวันนั้นพอโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานของเธอดังขึ้น เธอเริ่มรู้สึกตัวว่าเธอเริ่มจะประสาทเสียเหมือนนายจ้างเข้าไปทุกที พอมันกลายเป็น คริส ฟาร์เมอร์ ที่โทรมาชวนเธอออกไปเที่ยวอีกครั้ง เธอก็รู้ว่าเธอต้องพักบ้าง
“ค่ะ ฉันไปได้ค่ะ” เธอตอบ อดภูมิใจนิดๆ ไม่ได้ตอนพูดว่า “ฉันย้ายไปอยู่ที่ชัมลีย์เอดจ์แล้วนะคะ” และบอกที่อยู่ใหม่แก่เขาไป
เธอกลับบ้านคืนนั้นหลังจากโหมงานหนักมาทั้งสัปดาห์แถมยังเหมือนทำงานเป็นสองเท่าเพราะต้องคอยปลอบใจ คอยเตือนสตินายจ้างไม่ให้บ้าไปซะก่อน แต่เหมือนมีมนต์วิเศษยิ่งเธอขับรถใกล้ชานเมืองชัมลีย์เอดจ์ความรู้สึกเครียดและเหนื่อยมาตลอดทั้งวันค่อยๆ หายไป อืมม ถึงไงเธอคิดว่ามันเป็นเมืองที่น่ารัก
เธอขับรถไปถึงกระท่อม ลงจากรถ เปิดประตูรั้ว ขับเข้าไปจอด แล้วก็เดินกลับลงเนินมาปิดประตูรั้วตลอดเวลาก็รู้สึกเต็มตื้น พอหันกลับไปมองเริ่มหลงรักกระท่อมพริมโรสที่น่ารักของเธอมากขึ้น
ห้าทุ่มครึ่งคืนนั้นเองเธอก็ได้นั่งในห้องนั่งเล่นที่แต่งเสร็จแล้วของเธอ ตอนนี้ยังเป็นห้องเดียวที่แต่งเสร็จ ที่ผ่านมาเธอเคยช่วยแม่แต่งบ้านมาก่อน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอทำทุกอย่างด้วยตัวเองเลยค่อนข้างพอใจมาก วอลล์เปเปอร์สีเขียวจางมีลายทางสีชมพูอ่อนออกสไตล์รีเจนซี่ โทนสีไปกันได้ดีกับพรมสีเขียวอ่อนที่เธอปูลงไปเมื่อวันจันทร์ ผ้าม่านสีชมพูมีเชือกเกลียวผ้าไหมสีเขียวอมชมพูเป็นแถบรัด คงต้องรอจนกว่าเธอจะมีเงินพอซื้อเครื่องเรือนใหม่ตอนนี้เธอเลยใช้เก้าอี้นวมตัวยาวบุด้วยผ้าขนสัตว์สีน้ำตาลแดงตัดสีชมพูของแม่ไปพลาง ยังไงสภาพมันก็ยังดีอยู่
ถึงจะเหนื่อยมากแต่รุ่งขึ้นเธอก็ยังตื่นแต่เช้า สดชื่นกระตือรือล้นพร้อมที่จะเริ่มลอกวอลล์เปเปอร์ในห้องครัว วันนี้อากาศค่อนข้างอุ่น แต่ก็มีเมฆมาก ฝนคงจะตกในไม่ช้า
แล้วบรรยากาศรอบตัวเธอก็ยิ่งอึมครึมขึ้นทันทีที่เธอรู้ว่าเพื่อนบ้านของเธอมาพักสุดสัปดาห์นี้ด้วย เธอได้ยินเสียงเขาเดินไปมา แหม ตานี่มาสองสัปดาห์ต่อกันเลยนะ เธอจะหวังได้ไหมนะว่าอาทิตย์หน้าหรืออาจจะอาทิตย์ถัดไปเขาจะไม่มา เธอยิ้ม คิดขำๆ ว่า เธอคงทำอะไรได้หรอกนะถ้าเขาจะมาพักร้อนที่กระท่อมตากอากาศของเขาทุกอาทิตย์-ยังกับเธอจะพูดอะไรได้งั้นแหละ
ตลอดวันนั้นเธอนั่งลอกๆ ขูดๆ วอลเปเปอร์จนลืมเวลา หกโมงยี่สิบเย็นนั้น เธอหยุดมือพลางนึกได้ว่าเธอมีนัดกับคริส ฟาร์เมอร์ ตอนหนึ่งทุ่ม เธอรีบไต่ลงจากบันไดพับ รีบไปอาบน้ำสระผม แต่งเล็บที่ฉีกขาดของเธอ
โอ๊ย อีกหนึ่งนาทีจะหนึ่งทุ่ม แย่แล้ว เธอรีบคว้าเสื้อผ้าชุดที่ใกล้มือที่สุด โชคดีที่มันเป็นชุดผ้าไหมสีแดง เอาล่ะก็ดูดีมีคลาส พอมองออกไปนอกหน้าต่างห้องนอนก็เห็นคู่นัดของเธอขับรถเข้ามาใกล้แล้ว
พาร์เนลี่รีบคว้ากระเป๋าวิ่งเบาๆ ลงบันไดไป เธอเปิดประตูหน้าออกมาพร้อมกับคริสขับรถผ่านเข้าประตูรั้วมา แล้วก็ลืมคู่นัดของเธอซะสนิทตอนที่เห็นเพื่อนบ้านของเธอยืนอยู่บนถนนหน้าบ้านของเขาแถมกำลังมองมาทางเธออีกต่างหาก
ไงล่ะ เสาร์ที่แล้วที่เจอกันสภาพของเธอแย่สุดๆ เธอก็ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมมันถึงได้กวนใจเธอนัก แต่ตอนนี้เธอรู้สึกดีขึ้นมากๆๆ เลยล่ะที่เสาร์นี้เขาได้เห็นเธอตอนแต่งตัวดีๆ บ้าง
เธอทักออกไปเสียงเรียบ “สวัสดีตอนเย็นค่ะ” แล้วก็ถูกเมินใส่- ทั้งๆ ที่เธออุตส่าห์ยอมเป็นฝ่ายทักขึ้นก่อน
อ๊ายย คนบ้า! เชอะ เธอสะบัดหน้า หันไปสนใจคู่นัดเย็นนี้ของเธอ“คุณสวยมากเลยครับ เหมาะกับมื้อค่ำนี้” คริสทัก เธอยิ้มและขึ้นไปบนรถของเขา
เธอบังคับตัวเองให้มองตรงไปข้างหน้าตอนรถแล่นผ่านกระท่อมไมร์เทิล แต่ตลอดทางที่ไปอีสท์เดรินเลย์ ถึงเธอปากเธอจะคุยอยู่กับคริส แต่ใจเธอกลับคิดถึงแต่เรื่องที่ชัมลีย์เอดจ์
โอ ไม่นะ เธอได้แต่หวังว่าตอนนั้นเธอไม่น่าหลุดปากทักคนบ้านั่น แล้วดูเขาทำ เขาเมินใส่เธอ คิดว่าตัวเองเป็นใคร ฝากไว้ก่อนเถอะ ชาติหน้าก่อนเถอะเธอจะยอมเสวนาด้วยอีก เชอะ
“ผมว่าเราน่าจะแวะไปดื่มอะไรกันที่ร้านเดอะโกล๊บก่อน แล้วค่อยไปหาอะไรทานกัน” คริสพูด
“ก็ดีค่ะ” พาร์เนลี่ยิ้ม แล้วก็พลันกลับไปคิดถึงนายเพื่อนบ้านที่ต่อไปคงคบกันฉันท์เพื่อนบ้านไม่ได้
เอาเถอะ ที่แน่ๆ เย็นนี้เขาคงได้ทานมื้อเย็นแบบสงบไร้เสียงขูดกำแพงห้องครัวรบกวน แต่ ชิ กระท่อมของนายนั่นมีห้องทานอาหารนี่นา ไม่เหมือนบ้านของเธอ ถึงปากยังคุยกับคริส แต่ใจก็ตะหงิดๆ สงสัยว่าอยู่คนเดียวอย่างนี้นายนั่นทานมื้อเย็นที่ไหน ในห้องครัวหรือว่าเดินแบกข้ามห้องโถงไปทานที่ห้องอาหาร
แล้วพาร์เนลี่ก็ชะงักเหมือนถูกอะไรฟาดแสกหน้า เมื่อนึกได้ว่าที่ชายหนุ่มยืนอยู่นั้นใกล้กับโรงจอดรถ หรือว่าเขาก็กำลังจะออกไปทานอาหารค่ำเหมือนกัน เขาอาจไม่ได้อยู่ทั้งในห้องครัวและห้องอาหาร แต่อาจกำลังพาผู้หญิงสาวสวยสักคนไปข้างนอกก็ได้ ก็ไม่รู้ว่ารู้ได้ยังไง แต่พาร์เนลี่ก็รู้ว่าเขาต้องควง “สาวสวยมาก” แน่ๆ แล้วเธอก็รู้ตัวว่ากำลังนิ่วหน้า เธอขำตัวเอง คู่ควงเขาจะหน้าตาแบบไหนทำไมมันต้องมากวนใจเธอด้วยล่ะ ยังกับเธอจะแคร์นายนั่นงั้นแหละ ทำไมเธอต้องสะดุ้งกับเรื่องจิบๆ ที่ว่าเขาจะออกเดทกับใคร “ฉันไม่ได้ไปเดอะโกล๊บมานานมากแล้วค่ะ” เธอบอกเพื่อนร่วมทาง
แล้วค่ำนั้นก็จบลง เดทกับคริส ฟาร์เมอร์ นั้นก็ธรรมดา เธอค่อนข้างชอบเขาเพราะพูดคุยด้วยง่าย แต่พอสี่ทุ่มที่คริสบอกว่าเขาจะพาเธอกลับไปส่งที่กระท่อมพริมโรส เธอไม่รีรอเลยที่จะตอบรับ เอาเถอะ ถึงมันจะดูไม่ค่อยดีที่เธอรีบร้อนรับคำเขาที่จะไปส่งบ้าน แต่ทำไงได้ ในเมื่อพอเขาเริ่มเล่าถึงเรื่องงานอันแสนน่าทึ่ง ใจเธอก็พลันแต่จะไปนึกถึงแต่ผนังห้องที่เธอจะต้องลอกวอลล์เปเปอร์ให้เสร็จวันพรุ่งนี้แถมยังไผล่ไปคิดอีกว่าถ้ามีเวลาก็อาจจะทาสีลองพื้น
หลังห้าทุ่มเล็กน้อย คริสก็เลี้ยวรถเข้าจอดรถที่หน้ากระท่อมพริมโรส พาร์เนลี่หันไปขอบคุณเขาสำหรับช่วงเย็นที่เพลิดเพลิน แล้วเธอก็ได้รู้ว่าเขาเป็นคนเจ้าชู้จากที่เขาพยายามจะจูบเธอ ดีนะ ที่เธอเบือนหน้าหนีทัน จูบของเขาเลยลงไปที่แก้มของเธอแทน
“อาหารเย็นวิเศษมากค่ะ” เธอขยับออกช้าๆ เอื้อมมือไปที่ที่เปิดประตู “ราตรีสวัสดิ์นะคะ” เธอบอกและรีบลงจากรถ
เธอต้องแปลกใจที่เขาลงจากรถด้วย “ไม่เชิญผมไปดื่มกาแฟหน่อยหรือ?” เขายืนกราน
เฮ้ย! พาร์เนลี่ตกใจ รีบมุดเข้าไปอยู่อีกฟากของประตูรั้วและปิดลงอย่างรวดเร็ว “ฉันเพิ่งย้ายเข้ามา ข้าวของก็ยังไม่เข้าที่เข้าทาง” เธอตอบ รักษาน้ำเสียงให้ฟังเรื่อยๆ “บางที คราวหน้าดีกว่าค่ะ” เธอพยายามจะผ่อนคลายความตึงเครียด
“ผมถือว่าคุณสัญญาแล้วนะครับ” เขาตอบ ทำคะแนนด้วยการไม่ตื้อให้น่ารำคาญ กลับขึ้นรถและขับออกไป
พาร์เนลี่เดินขึ้นเนินไปตามทางตรงไปที่กระท่อม อืมม นอกจากแสงไฟจากถนนด้านหลังของเธอแล้วทั้งกระท่อมพริมโรสและกระท่อมไมร์เทิลอยู่ในความมืด นายทรีเมนเข้านอนแล้วเหรอ เอ หรือเขาออกไปข้างนอก? ที่ไหนนะ ฮึ เธอไม่อยากจะเดา หรือ-เธอนึกขึ้นได้-เธอไล่เขาไปอีแล้วด้วยเสียงขูดกำแพงของเธอ ที่จริงแล้วเขาอาจเบื่อเต็มทีจนต้องล่าถอยกลับลอนดอนไปหาความเงียบและสงบ
แล้วเธอก็ได้หลักฐานชิ้นโตว่าที่ชัมลีย์เอดจ์ยังเป็นสถานที่ที่น่าเพลิดเพลินของเขา เมื่อแปดโมงครึ่งของเช้าวันต่อมา เสียงโทรศัพท์ของเธอดังขึ้น และนั่นคือเขา!
“สะใจรึยัง คุณผู้หญิง!” เสียงเขาจู่โจมเข้ามาก่อนที่เธอจะพูด “สวัสดี” ด้วยซ้ำ “เธอทำตัวอย่างคนปกติ ที่เขาหยุดพักกันวันอาทิตย์ ไม่ได้หรือไง?”
“คุณให้ฉันปีนบันไดลงมา เพื่อถามแค่เนี้ยนะ” พาร์เนลี่ระเบิดโทสะ กางบันไดพับออกอย่างหงุดหงิดกับวิธีที่เขาใช้พูดกับเธอ
“ยังไม่เสร็จอีกหรือไง” คือข้อข้องใจถัดมาของเขา
“ยังเหลืออีกสองห้องย่ะ ถ้าฉันทำห้องนี้เสร็จแล้วนะ” เธอกระแทกเสียงอย่างโมโหและกระแทกหูโทรศัพท์ลงกับแป้น สิบนาทีต่อมาเธอยังวนเวียนคิดถึงคำตอบแบบอื่นที่น่าจะดีกว่านั้น
เป็นอย่างนี้ทุกทีสิน่า เธอคิดอย่างพลุ่งพล่าน เพราะค่อนข้างหงุดหงิดเลยเอามาระบายออกกับงาน ทำให้สี่โมงเย็นวันนั้นเธอก็ลอกวอลล์เปเปอร์ออกได้ทั้งหมด พักทานแซนวิชครู่หนึ่ง แล้วก็ทาสีรองพื้นบนผนังห้องครัวต่อ
พอรู้สึกเหนื่อย เธอขึ้นไปชั้นบน นอนแช่ในอ่างน้ำสบายอารมณ์ได้สักพักพอรู้ตัวว่าเกือบจะสัปหงกหลับคาอ่างอาบน้ำแล้ว เธอก็ลุกขึ้นแต่งตัว อืมม วันนี้เอาเสื้อยืดกับชุดหมีลายดอกตัวสวย กับรองเท้าแตะ ดีกว่า แล้วเธอก็ตัดสินใจออกไปเดินสูดอากาศบริสุทธิ์ เพิ่งนึกได้ว่าทุกวันนี้เธอยุ่งมาก ย้ายเข้ามายังไม่มีเวลาออกไปเดินดูรอบๆ หมู่บ้าน “ของเธอ” เลย
อากาศอบอ้าว ท้องฟ้าดูครึ้มฝน ตอนที่พาร์เนลี่ดึงประตูหน้าของกระท่อมพริมโรสปิด ประตูก็ปิดตามหลังเธอมาอย่างง่ายดาย เธอหย่อนกุญแจบ้านลงในกระเป๋าชุดหมี ชั่วขณะเธอลังเลกับน้ำหนักของประตู สงสัยที่ประตูปิดง่าย รู้สึกแปลกๆ เอ
ตัวล็อคลูกบิดเสียหรือเปล่านะ? แล้ว-ตัวล็อคยังล็อคได้รึเปล่า เธอลองเอื้อมมือไปทดสอบดู ล็อคประตูก็ค่อนข้างแน่นไม่ว่าจะลองผลักขนาดไหนมันก็ไม่ขยับ
เธอหันหลังกลับ เห็นรถของนายทรีเมนนั่นจอดอยู่บนถนนทางเข้าบ้านของเขา ดี บางที เขาอาจกำลังจะออกไป เห็นอย่างนั้นก็รู้สึกร่าเริงขึ้นมา-เขาและ “ยังไม่เสร็จอีกหรือไง” ของเขา- เธอเดินเป็นจังหวะอย่างมีความสุขลงไปตามถนนทางเข้าบ้านของเธอ พร้อมจะออกไปสู่โลกแห่งการสำรวจ
เธอเดินเล่นอย่างมีความสุข สนุกที่ได้เดินสำรวจเลี้ยวไปนั้นเดินไปทางนี้ เธอโชคดีจริงๆ ? เธอโชคดีใช่ไหม? “สวัสดีตอนบ่ายค่ะ” เธอตอบรับการทักทายอย่างเป็นมิตรตลอดทางที่เดินผ่าน ถึงโพสออฟฟิต-คัม-ช็อบ[1] เธอหยุดอ่านป้ายประกาศที่ติดอยู่บนหน้าต่างร้าน มีคนรับจ้างรีดผ้าตามบ้านราคาไม่แพง มีนัดเล่นไพ่ที่หอประชุมของหมู่บ้านเมื่อคืนนี้ และมีสอนโยคะทุกวันอังคาร มีความสุขจริงๆ ที่เธอได้เป็นส่วนหนึ่งของชุมชนเล็กๆ นี้ถึงเธอจะอยู่ห่างออกไปมากก็ตาม
เธอเดินต่อไปอีกหน่อยก็เลี้ยวขวา แล้วก็เลี้ยวซ้าย และก็พบว่าตัวเองออกมาอยู่นอกเมืองอีกแล้ว เธอเดินมาถึงทุ่งหญ้าที่มีแกะมากมายกำลังกินหญ้าอยู่ ก็ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าชาวบ้านแถวนี้จะถือว่าการเดินผ่านที่ดินเขาเข้าไปเป็นการบุกรุกที่ดินเขาหรือเปล่า แต่เอาน่า ถ้าเธอไม่เปิดประตูรั้วทิ้งไว้ และไม่ทำให้สัตว์พวกนี้ตกใจ เจ้าของก็คงจะไม่ว่าอะไรมั้ง ถ้าเธอจะเดินตัดทุ่งหญ้าของเขาไป วันนี้เป็นวันแรกของการผจญภัยของเธอซะด้วย
มันเป็นทุ่งหญ้าใหญ่ที่มีแกะเดิน นั่ง นอน กระจายไปทั่ว พาร์เนลี่คอยมองพวกเจ้าแกะอยากให้แน่ใจว่าเธอไม่ได้ทำอะไรให้มันตกใจ เธอเลยไม่ได้ตั้งตัวเลยตอนฝนที่ทำท่าจะตกมาสองสามวันแล้ว อยู่ๆ ก็เทลงมา เธอรีบวิ่งตัดข้ามทุ่งหญ้าไป แล้วก็มายืนอยู่ที่ประตูรั้วอีกบาน สวรรค์ทรงโปรด มันไม่ได้ล็อค
ด้วยงงๆ ที่อยู่ๆ ก็พบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางฝนที่ตกไม่ลืมหูลืมตา-ก็นะ เธอมัวแต่สนใจที่เจ้าสัตว์พวกนั้นไม่ใช่อากาศรอบตัวนี่นา-พาร์เนลี่รวบรวมสติอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ผมของเธอเปียกโชกลู่ไปกับหนังศีรษะ เธอออกวิ่งทันทีที่เห็นโรงนาที่อยู่ใกล้นั้น
เธอต้องภูมิใจกับฝีเท้าที่เร็วราวกับวิ่งแข่งของเธอ ถึงจะทำให้เธอแทบหายใจไม่ทันก็ตาม เมื่อเธอเลี้ยวหัวมุมโรงนาก็ไปเห็นประตูของมันเปิดกว้างอยู่ เธอรีบพุ่งไปราวกับจะทำสถิติวิ่งแข่งไม่ปาน ไม่นานนักเธอก็เข้ามาอยู่ข้างใน แต่พอเธอเสยผมเปียกโชกของเธอออกจากหน้ารอยยิ้มปีติยินดีของเธอก็หายไป เมื่อพบว่าไม่ใช่แค่เธอคนเดียวที่หนีเข้ามาหลบฝนที่นี่
“คุ๊ณ!” เธอร้องขึ้นอย่างกล่าวหากับคนสุดท้ายบนโลกนี้ที่เธอคาดว่าจะเจอ
เขาเหลียวมามองเมินๆ สภาพเปรอะเปื้อนเปียกปอนของเธอ ชะงักที่หน้าอกที่ขยับขึ้นลงของเธอนิดนึง แล้วมองกลับขึ้นมาที่ใบหน้าเปียกฝนมะล่อกมะแล่กของเธอ “เป็นความผิดของฉันงั้นสิ ที่ฝนตก?” เขาตอบหยันๆ กลับคำกล่าวหาของเธอ-ฉั น เ ก ลี ย ด คู้ ณ
ความจริงที่เมื่อคืนทรีเมนได้เห็นเธอในสภาพดูเป็นผู้เป็นคนดีๆ กับเขาบ้างถึงจะแค่แว๊บเดียวก็ตาม ถูกทำลายย่อยยับไปแล้วตอนนี้ ทุกอย่างที่เธอจำได้ตอนที่จ้องเขาอย่างเกลียดจับใจคือ เธอคิดแต่ว่าตอนนี้เขาเห็นเธอในสภาพที่แย่ยิ่งกว่าตอนนั้น-ที่เขามาที่กระท่อมไมร์เทิลและเธออยู่ในสภาพกรรมกรเหงื่อโชก มอมแมม สวมกางเกงโทรมๆ กับเสื้อยืดโทรมๆ-แต่ตอนนี้แย่กว่ายังไงเรอะ-หน้าซีด ผมเปียกลู่แนบศีรษะ เปียกปอนมอมไปทั้งตัว แถมแค่ขยับเธอยังไม่กล้าด้วยซ้ำ ทำไมน่ะเรอะ ก็ถ้าขยับรองเท้าแตะเจ้ากรรมก็คงส่งเสียงแผละๆ ของโคลนที่ติดอยู่ใต้รองเท้าออกมาน่ะสิ
เธอทำไม่สนใจชายหนุ่มอย่างสิ้นเชิง-อย่างกับว่ามันจะไปทำร้ายจิตใจเขา-และจ้องออกไปข้างนอกที่ฝนยังตกหนัก ถึงเธอไม่ได้หันไปมองทางเขาอีก ด้วยความจำอันดีเลิศ เธอไม่มีปัญหาเลยที่จะนึกถึงสภาพของเขาในใจ ดูเหมือนเขาจะโดนแค่ละอองฝนเท่านั้น เธอคิดอย่างหงุดหงิด ก็แน่ล่ะ เขาคงเห็นว่าฝนกำลังจะตก และมาถึงที่โรงนานี้ก่อนที่น้ำฝนหยดแรกจะหยดลงมาด้วยซ้ำ
ฝนไม่มีทีท่าจะหยุด และเครียดแปลกๆ ในตัวเธอก็เพิ่มขึ้น แล้วพาร์เนลี่ก็นึกได้ว่าเธอก็เปียกโชกอยู่แล้ว มันไม่ต่างเลย เธอคงจะไม่เปียกไปกว่านี้-ที่จริง ก็คงเปียกขึ้นแหละ แต่ไม่มากนักหรอก-ถ้าจะออกไปและกลับไปกระท่อมพริมโรสเลยตอนนี้ ใครหน้าไหนมันจะมาแคร์กับแค่เสียงแผละๆ จากรองเท้าแตะนั่น
แล้วชั่วอึดใจต่อมา หลังจากพาร์เนลี่ก้าวออกจากโรงนาไปได้สองก้าว ตาเธอก็เบิกกว้างอย่างตกใจกลัวสุดขีด ตัวแข็งทื่อ ไม่อยากเชื่อ ต้องใช้ความพยายามของยอดมนุษย์เท่านั้นที่ทำให้เธอควบคุมเสียงกรีดร้องอย่างตระหนกที่มาหยุดรอที่ริมฝีปากเธอไว้ได้ แต่สงสัยว่าคงมีเสียงเล็ดลอดออกมาน่ะน่ เธอคิด เพราะเธอได้ยินเสียงนายทรีเมนนั่นชยับตัวออกมา และเห็นเขายืนอยู่กลางสายฝนเหมือนเธอ
จากนั้น ก็ได้ยินน้ำเสียงยโสแกมล้อเลียนของเขา “แค่ วัว! เนี่ยนะ” เขาว่าเยาะๆ พาร์เนลี่ยังคงยืนนิ่งอย่างตกใจกลัว และเริ่มรับรู้ช้าๆ ว่า ตอนที่เธอคิดถึงคำว่าไม่ทำอะไรที่ทำให้พวกสัตว์ตื่นกลัว-เธอไม่ได้รวมวัวเข้าไปด้วย-ก็นี่มันสัตว์ประหลาดยักษ์ชัดๆ เธอยังตัวแข็งทื่อ “ฮึๆๆ อย่าบอกนะว่า ผู้หญิงที่กล้าย้ายมาอยู่ชนบทอย่างนี้ กลัววัว!” ทรีเมนพูดช้าๆ เห็นชัดว่าสนุกกับสิ่งที่เกิด
การล้อเลียนอย่างยโสโอหังของเขา คำพูดร้ายกาจของเขา ความไร้ศีลธรรมของเขา เป็นแค่อะไรที่เธอต้องการ เขารู้ว่าเธอกลัวมาก เขาก็แค่รู้! ตอนนี้มีสองตัวเลือก-อยู่ตรงนั้นหรือกลับเข้าไป-พาร์เนลี่เริ่มโมโห นี่จะไม่จบไม่สิ้นเลยหรือไงที่เขาจะทำให้เธออับอาย? เธอโกรธจนลมออกหู แล้วเธอตัดสินใจได้ว่าเธอจะต้องไม่ถูกทำให้ได้อายอีก-เธอแค่จะไม่! เธอจะไม่เอาหางจุกตูดแล้วกลับเข้าไปในโรงนานั่น!
ด้วยความกล้าที่มีมากกว่าที่หญิงรู้ว่าเธอมีอยู่ เธอสูดหายใจลึกๆ ไม่แม้แต่จะเหลียวมองไปทางไหน เธอเริ่มออกเดินไปข้างหน้า พอเธอเข้าใกล้ฝูงวัว เธอก็ไม่รับรู้ถึงสายฝน รู้สึกถึงแต่ฝ่ามือที่เปียกชุ่มด้วยเหงื่อ ช่องท้องเธอปั่นป่วนไปหมด พวกมันยืนนิ่งไม่ขยับ กำลังมองมาทางเธอ ทันใดนั้นเธอก็พบว่าตัวเองกำลังจ้องตากับหนึ่งในพวกมัน-เธอพลันก้าวสะดุดจนเกือบล้ม กลืนน้ำลายอย่างแรง เธอมองผ่านมันไป บังคับตัวเองให้เดินต่อไปต่อไป แต่ละก้าวยาวนานราวกับจะไม่สิ้นสุด แต่สุดท้ายเธอก็พาตัวเองไปถึงประตูรั้วที่เธอใช้ก่อนหน้านี้
เธอรีบพาตัวเองไปอยู่อีกด้านของรั้วและล็อคมันอย่างรวดเร็ว จากจุดปลอดภัยที่เธอยืนอยู่ เธอหันกลับไปมองที่โรงนา และไม่เคยรู้สึกดีใจมากอย่างตอนนี้เลยที่เธอข่มความกลัวได้ไม่วิ่งหัวซุกหัวซุนออกมาในช่วงสุดท้าย-ถึงจะเกือบไปก็เถอะ- ทำไมน่ะเหรอ ก็นายทรีเมนนั่นกำลังยืนดูเธออยู่ เขาขยับออกมาห่างจากโรงนาอีกนิดหน่อย เขาไม่สนใจกับสายฝน ยืนปักหลักอยู่ตรงนั้น มองดูเธอ! เจ้าหมูเห็นแก่ตัว!
เกลียดเขา! เธอเกลียดเขาจริงๆ! แล้วเธอก็หันหลังและเดินกลับบ้าน ก็แปลกนะ ก่อนที่เธอจะไปถึงกระท่อมพริมโรส ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงรู้สึกว่าตัวเองรู้สึกร่าเริงขึ้น ทำไมนะ? เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับตานั่นแน่ๆ เอ หรือว่าเกี่ยวนะ?
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น