ตอนที่ 23 : 22 : จีบหมอครั้งที่ยี่สิบเอ็ด 100 per
จีบหมอครั้งที่ยี่สิบเอ็ด
งานเปิดบ้านมาถึงทำให้มหาวิทยาลัยวันนี้ค่อนข้างคึกคักกว่าทุกๆครั้ง โดยเฉพาะคณะที่เป็นที่โปรดปรานของเด็กมอหกอย่างคณะแพทย์ที่คนออกันเต็มจนล้นออกมานอกคณะ ส่วนคณะอื่นๆก็แบ่งสัดส่วนไปเท่าๆกัน
ฐานทัพที่ถูกลากมายืนทำหน้านิ่งๆอยู่ที่ลานคณะแพทย์เพราะวันเปิดบ้านเลยทำให้อาจารย์เลิกเร็วกว่าปกติเพื่อที่จะได้ไปแนะนำเด็กๆในการเรียนแต่ละชั้นปี ความจริงเขาตั้งใจจะกลับหอแต่โดนคินลากมาเลยทำให้ปฏิเสธไม่ได้
“สงสัยตรงไหนถามพี่ได้นะครับ” คนร่าเริงยังคงพูดต่อไปโดยไม่ได้สนใจอาการของคนที่ยืนข้างๆ
“พี่คะเรียนเป็นยังไงบ้างคะ” เด็กนักเรียนกลุ่มใหม่เดินเข้ามาถามด้วยความสนใจ
“เรียนหนัก อ่านหนังสือเยอะ” ฐานทัพตอบกลับเมื่อเห็นว่าคู่สนทนาสบตาเขา
“เอ่อ…แล้วมีอะไรอีกไหมคะพี่”
“สอบบ่อย” เขาตอบกลับไปตามความจริงแต่ดูเหมือนคำตอบของเขาจะไม่เป็นประโยชน์สักเท่าไหร่
“ถามพี่ก็ได้ครับ ไอ้นี่มันซื่อบื้อน่ะ” คินที่ได้ยินการสนทนาทั้งหมดออกตัวแทนก่อนจะหันไปมองหน้าฐานทัพ “มึงกลับก็ได้ถ้าจะเบื่อโลกขนาดนี้”
“อืม ได้” เขาพยักหน้าอย่างว่าง่าย อยู่ไปก็ไม่รู้จะอยู่ทำไม เขาไม่รู้จะแนะนำอะไร ไม่รู้ว่าต้องพูดแบบไหน เขาไม่ได้เป็นคนพูดน้ำไหลไฟดับเหมือนคิน
“ไม่แวะไปคณะน้องมันก่อนกลับหรอวะ ป่านนี้โดนสาวขอไลน์ไปสิบกว่าคนละมั้งงง~” คินยังไม่วายที่จะทิ้งระเบิดไว้ก่อนที่เขาจะเดินออกมา
“เออ เดี๋ยวไป” พอได้ยินคำว่าขอไลน์เขาก็รู้สึกตะหงิดขึ้นมาทันที ถึงจะอยากกลับหอแต่แวะไปดูสักพักคงไม่เป็นไร
ไหนๆวันนี้ก็ว่างแล้ว…
จักรยานคันเก่งจอดลงหน้าคณะเกษตรที่ดูคึกคักไม่ต่างจากคณะอื่นๆ ฐานทัพเดินเข้าไปยังคณะโดยที่มีเด็กนักเรียนยืนดูกันเป็นจุดๆก่อนจะเห็นร่างสูงที่ดูโดดเด่นกว่าคนอื่นๆยืนยิ้มให้กับเด็กๆที่เข้ามาถาม
“สงสัยตรงไหนถามพี่ๆปีสองปีสามได้นะครับ” คนที่ถูกบังคับให้มายืนต้อนรับเอ่ยคำเดิมซ้ำๆตั้งแต่มาถึง เขาเป็นเดือนคณะเลยต้องทำหน้าที่ในการเรียกให้เด็กเดินเข้ามาเยี่ยมชมคณะ
“ทำดีๆ” พี่ใบที่ยืนอยู่ไม่ไกลยกนิ้วโป้งให้ก่อนจะหัวเราะกับสีหน้าบอกบุญไม่รับของเดือนคณะ
“เชิญเข้ามาชมก่อนได้ครับ”
“ขอถ่ายรูปหน่อยได้ไหมคะ พี่น่ารักมากเลย” น้ำเสียงตื่นเต้นของเด็กมอหกเดินตรงเข้ามายังร่างสูงที่ยืนอยู่ “พี่ใช่เดือนคณะใช่ไหมคะ”
“อ่อ ครับ” บุ๋นยิ้มแห้งๆ
ใครก็ได้เอากูออกไปจากตรงนี้ที…
“ก็ว่า หล่อมากเลยค่ะ” ใบหน้าขาวแดงระเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย “ชูสองนิ้วนะคะพี่”
“อ่อ ครับ” บุ๋นพูดพร้อมกับทำท่าตามที่อีกฝ่ายบอก
“ขอบคุณมากค่ะ พี่มีไลน์ไหมคะ เผื่อหนูมีเรื่องสงสัยอยากจะถาม”
“เอ่อ…คงให้ไม่ได้ครับ”
“ทำไมละคะ”
“พอดีแฟนพี่หวงครับ” บุ๋นยกเรื่องหมอฐานทัพขึ้นมาอ้าง เอาความจริงแล้วเขาไม่รู้ว่าจะต้องปฏิเสธยังไง
“พี่มีแฟนแล้วหรอคะ” คำถามที่ถามออกไปดังพอที่จะทำให้อีกคนที่ยืนฟังอยู่ได้ยิน
“ครับ มีแล้ว” บุ๋นตอบกลับมาทันทีไม่มีท่าทีลังเล “อยากรู้อะไรเข้าไปถามข้างในดีกว่านะ พี่เองพึ่งปีหนึ่งยังไม่ได้เรียนวิชาในคณะมากเท่ารุ่นพี่ปีอื่นๆ”
“อ่อ ได้ค่ะ” เธอยิ้มเจื่อนก่อนจะเดินเข้าไปยังจุดอื่นๆที่มีรุ่นพี่ประจำที่อยู่
ร่างสูงถอนหายใจออกมาอย่างอ่อนแรง ไม่ใช่รายแรกที่ขอไลน์ เขาปฏิเสธจนแทบจะไปปริ้นกระดาษมาติดบนหน้าอยู่แล้ว
“เชิญเข้าชมด้านในก่อน…” คำพูดทุกอย่างหายไปเมื่อเห็นใบหน้าของอีกคน รอยยิ้มบางๆเผยออกมา “คิดถึงผมหรอครับ”
“เปล่า” ฐานทัพปฏิเสธทันที “ว่างเลยแวะมา”
“แวะมาทักทายหรอครับ”
“เปล่า แวะมาดูว่าแจกไลน์ไปกี่คนแล้ว”
“หืม?” บุ๋นเลิกคิ้ว “หมายความว่ายังไงครับ”
“คินบอกให้แวะมาดู” ฐานทัพตอบตามประสาคนซื่อ พอเห็นว่าบุ๋นไม่ได้ให้ไลน์อย่างที่คินบอกเขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาแปลกๆ
“พี่คิดว่าผมจะแจกไลน์หรอครับ?”
“เปล่า คินคิด”
“ครับ” บุ๋นหัวเราะ “ไม่แจกหรอก พี่สบายใจได้”
“รู้แล้ว ได้ยิน”
เขาได้ยินชัดเจนเลยด้วยซ้ำตรงคำว่า ‘แฟนหวง’
“แล้วพี่จะไปไหนต่อรึเปล่าครับ?” เขาอยากจะออกไปจากตรงนี้เพราะยืนมาเกือบสามชั่วโมงแล้ว ตอนนี้เริ่มหิวข้าวขึ้นมานิดๆ
“อืม เลยมาชวน”
“ชวนไปไหนครับ?”
“ไปเดต” ฐานทัพที่ศึกษาข้อมูลมาอย่างดีพูดเต็มเสียงก่อนจะเห็นปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้ามที่เริ่มมีเลือดฝาดปรากฏขึ้นบนใบหน้า
เขาพูดอะไรผิด?
“พี่มาชวนผมไปเดต?” บุ๋นถามแม้ว่าจะได้ยินชัดเจนทุกถ้อยคำแล้ว เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่จู่ๆหมอก็ชวนขึ้นมา
“อืม ตอนแรกว่าจะกลับหอ” เขาบอก “แต่เปลี่ยนใจแล้ว”
“อ่อ…”
“ไปเดตกันไหม?”
“เอ่อ…”
ถามมาแบบนี้….ใครจะกล้าปฏิเสธ
เสียงหัวใจของบุ๋นมันร่ำร้องบอกให้ตอบตกลงออกไปอย่างรวดเร็วแต่ก่อนที่จะตอบออกไปเขาก็รู้ถึงสายตาของพี่ใบที่จับจ้องมาที่เขา
ไม่นะ…บุ๋นจะไป!!
“เดี๋ยวผมไปบอกรุ่นพี่ก่อนนะครับ”
“อืม เดี๋ยวออกไปรอข้างนอก”
ฐานทัพเดินออกมารอยังที่จอดจักรยานเพราะไม่อยากอยู่ในที่ๆมีคนเยอะๆ ตอนแรกก็ตั้งใจว่าจะแวะมาแล้วก็กลับไปนอนเล่นที่หอแต่พอเห็นบุ๋นก็รู้สึกยังไม่อยากกลับ อีกอย่างวันนี้ว่างตรงกันพอดีเลยถือโอกาสชวนบุ๋นไปเที่ยวซะเลย
ก่อนที่เขาจะเตรียมอ่านหนังสือสอบไฟนอลยาว
เสียงคุยจ๊อกแจ๊กของเด็กนักเรียนดังผ่านหูเขาไป ฐานทัพไม่ได้สนใจฟังเป็นพิเศษจนกระทั่งคำพูดหนึ่งสะกิดให้เขาฟังอย่างปฏิเสธไม่ได้
“แกเดือนคณะเกษตรหล่อเนอะ” ผู้หญิงหนึ่งในสามที่พึ่งเดินออกมาจากคณะคุยกันผ่านหน้าเขาไป
“ใช่ แต่พี่เขาบอกว่ามีแฟนแล้ว”
“โหยแก แฟนต้องสวยมากแน่ๆเลย”
“แน่ดิ หล่อแบบนั้นแฟนไม่สวยก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว”
“แฟนเขาอาจจะไม่ใช่ผู้หญิงก็ได้นะเว้ยย”
“ไม่มีทาง ฉันเชื่อว่าต้องเป็นผู้หญิง!!” คำที่เถียงเด็ดขาดลอยมาสะกิดให้คนที่ฟังรู้สึกถึงคำพูดนั้น
ฐานทัพได้แต่ยืนฟังเงียบๆปล่อยให้เสียงนั้นลอยผ่านไปตามลม เขาถอนหายใจออกมายาวๆอย่างไม่เข้าใจตัวเอง ถ้าเป็นแต่ก่อนเขาคงไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดพวกนี้ แต่ครั้งนี้มันต่างออกไป จากที่คิดว่าตัวเองไม่รู้สึกอะไรกับคำพูดของคนอื่น
แต่ครั้งนี้…เขารู้สึก
ทั้งๆที่ทุกอย่างมันชัดเจนดีอยู่แล้วแต่ทำไมเขาถึงรู้สึกกับสิ่งที่ได้ยิน จากที่ไม่เคยสนสิ่งรอบข้าง แต่ในตอนนี้เขาได้ย้อนมองตัวเองผ่านมุมมองของคนอื่น
รักแบบนี้จะเป็นไปได้จริงงั้นหรอ
“มาแล้วครับ~” น้ำเสียงร่าเริงเรียกสติของคนที่ยืนคิดอะไรคนเดียวให้กลับมาสู่ปัจจุบัน
“อืม” ฐานทัพพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มบางๆ “เป็นไง”
“ไปได้ครับ พอดีอีกสักพักน้ำฟ้าจะมาอยู่ต่อแทนผมเลยได้ออกมาก่อน” บุ๋นยิ้มกว้างด้วยความดีใจ นี่ถือเป็นเดตครั้งแรกของเขากับหมอหลังจากที่พึ่งคบกัน
“เราจะไปไหนกันดีครับ” บุ๋นถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นผิดกับอีกคนที่มีเรื่องให้คิดอยู่ในใจ
“อืม นั่นสิ” ฐานทัพตอบกลับด้วยน้ำเสียงเนือยๆ
“พี่เป็นอะไรรึเปล่าครับ” เมื่อเห็นหมอมีท่าทางที่แปลกไปบุ๋นก็อดสงสัยไม่ได้หรือว่าหมอรอนานจนไม่อยากไปแล้ว
“เปล่า” เป็นครั้งแรกที่ฐานทัพตอบออกไปส่งๆ ความจริงแล้วเขาเป็นแต่ไม่รู้จะให้เหตุผลว่าอะไร
ในเมื่อเขาดันเก็บสิ่งที่ได้ยินมาคิดมากเอง…บุ๋นไม่ได้ผิดอะไร
“หรือว่าพี่หิวข้าว เราไปกินข้าวกันก่อนไหมครับ” บุ๋นยังคงถามต่อ เขาไม่ชอบเวลาเห็นหมอฐานทัพมีท่าทีเหม่อลอยดูไม่เหมือนปกติ
“อืม ได้”
“ยิ้มก่อน อย่าทำหน้าเครียดแบบนั้นสิครับ” บุ๋นยิ้มเป็นตัวอย่าง “ผมเป็นห่วงนะ”
“อืม ยิ้ม” ฐานทัพยกยิ้มบางๆหากแต่ไม่ได้มาจากความรู้สึกข้างในจริงๆ
แค่คำพูดของคนที่เขาไม่รู้จัก ทำไมมันมีอิทธิพลกับตัวเขามากขนาดนี้
หรืออาจเพราะ…เขาเป็นผู้ชาย
ทั้งสองคนมาที่ห้างสรรพสินค้าที่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากเท่าไหร่นัก ฐานทัพพยายามสลัดความคิดในหัวทิ้งไปก่อนจะหยิบกระดาษที่เขียนจดบันทึกไว้ขึ้นมาอ่านเพื่อให้การเดตครั้งแรกของเขาสองคนเป็นไปอย่างราบรื่น
“พี่จดมาเลยหรอครับ”
“อืม” ฐานทัพพยักหน้า เขาไล่สายตาอ่านสิ่งที่จดมาก่อนจะหันไปหาคนข้างๆ “ดูหนังไหม”
“ได้ครับ พี่อยากดูเรื่องอะไร” บุ๋นถามอย่างคนตามใจ เขาเองก็ไม่ได้ดูหนังในโรงมาสักพักแล้วเลยไม่รู้ว่ามีหนังอะไรเข้าใหม่บ้าง
“เห็นมีคนบอกเรื่องนี้สนุก” ฐานทัพชี้ชื่อเรื่องที่ลิสไว้ให้บุ๋นดู “เรื่องนี้ไหม”
“ได้ครับผม”
“เดี๋ยวไปซื้อตั๋วให้” ฐานทัพบอกเมื่อเดินมาถึงโรงหนัง ไม่รอให้บุ๋นตอบร่างสูงก็เดินเข้าไปต่อแถวเพื่อซื้อตั๋วหนัง
เมื่อเห็นหมอเดินเข้าไปยังที่ซื้อตั๋วบุ๋นเลยเดินแยกไปซื้อน้ำกับป๊อปคอร์นเพื่อเตรียมเข้าสู่โรงหนัง ถึงเขาจะรู้สึกว่าหมอแปลกไปแต่ก็เลือกที่จะเก็บไว้ เขาไม่อยากให้บรรยากาศที่อยู่ด้วยกันตอนนี้แย่ลง
บางทีเขาอาจจะรู้สึกไปคนเดียวก็ได้…
เมื่อถึงเวลาเข้าโรงหนังทั้งสองก็เดินตามกันเข้าไปยังที่นั่งที่ฐานทัพเป็นคนเลือกไว้ ที่นั่งที่พอดีกับระดับสายตาทำให้คนที่มาด้วยรู้สึกผ่อนคลายขึ้นไปอีก อาจเพราะวันนี้เป็นวันธรรมดาเลยทำให้คนในโรงหนังไม่เยอะมากเท่าวันหยุดเสาร์อาทิตย์
“หนังจะเริ่มแล้วบอกนะ” ฐานทัพหันไปกระซิบคนข้างๆเมื่อเห็นว่าตัวอย่างหนังกำลังเริ่มฉาย
“พี่จะนอนหรอครับ?”
“เปล่า พักสายตาเฉยๆ” เขาพูดพร้อมค่อยๆหลับตาทั้งสองข้างลง “บุ๋น” น้ำเสียงทุ้มต่ำเรียกชื่อคนข้างๆ
“ครับ?”
“ขอมือหน่อย” ฐานทัพแบมือไปตรงหน้าอีกคน “จับมือ”
“คะ…ครับ” บุ๋นตะกุกตะกักขึ้นมาเล็กน้อยแต่ก็ยอมทำตามที่อีกฝ่ายขออย่างเต็มใจ
มือทั้งสองสอดประสานกันแน่นเป็นหนึ่งเดียว ฐานทัพรับรู้ถึงความอบอุ่นที่ถ่ายทอดมายังเขา ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขารู้สึกมีความสุขมากมายขนาดนี้
มือคู่นี้…ไม่อยากปล่อยเลย
บุ๋นปล่อยให้อีกฝ่ายจับมือโดยไม่ถามอะไรต่อ เสียงหัวใจของเขาเต้นแรงเหมือนทุกๆครั้ง แม้เขาจะพยายามทำใจให้ชินแต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่ชินได้
หมอฐานทัพมีอิทธิพลกับหัวใจเขามากจริงๆ
“พี่คินจดลิสให้พี่หรอครับ” บุ๋นถามออกไปเมื่อเห็นว่าฐานทัพแค่พักสายตาไม่ได้งีบหลับ
“เปล่า” เขาตอบ
“อ่าว…”
“อ่านพันทิป”
เขานั่งหาข้อมูลทั้งคืนเพียงเพราะว่าตัวเองไม่เคยมีประสบการณ์และไม่อยากให้อีกคนรู้สึกน้อยใจ ถึงเขาจะไม่เก่ง ถึงจะไม่เชี่ยวชาญแต่เขาจะพยายามทำให้ดีที่สุด
เพื่อให้บุ๋นมีความสุขเหมือนที่เขามีความสุข
บุ๋นแทบไม่มีสมาธิกับหนังที่ดูเพราะมือที่ประสานกันแน่นผิดกับหมอฐานทัพที่นั่งดูตาไม่กระพริบ แม้ว่ามือทั้งคู่จะเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อแต่ไม่มีสักวินาทีที่มือทั้งคู่หลุดออกจากกัน
เป็นแบบนี้ไปนานๆนะครับ
หนังกินเวลาไปเกือบสองชั่วโมงครึ่งทำให้ออกมาจากโรงหนังฟ้าก็เริ่มเปลี่ยนสี บุ๋นดูเวลาในโทรศัพท์มือถือก่อนจะมองอีกคนที่ยืนเงียบๆอยู่ข้างๆ
“ไปไหนกันต่อดีครับ?”
“ไปกินไอศกรีมไหม” เขาดูรายการที่เขียนมาก่อนจะบอกอีกคน “หรือว่าหิว…” ฐานทัพหยุดคำพูดไว้เพียงเท่านั้นเมื่อเห็นสายตาของอีกคนที่มองกลับมา
รอยยิ้มบางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคนยิ้มเก่ง แววตาที่บ่งบอกถึงความสุขที่อัดแน่นอยู่เต็มหัวใจ ความรักที่เขามีให้แก่อีกคน บุ๋นไม่สามารถจะบรรยายออกมาได้หมด
แต่เขาเชื่อว่า…หมอรับรู้
“ยิ้มอะไร”
“มีความสุขครับ” สุขที่เห็นความพยายามของอีกคน “ทำไมต้องน่ารัก”
“น่ารัก?” ฐานทัพถามเสียงสูง “ไม่น่ารัก”
“น่ารักสำหรับผมคนเดียว” บุ๋นบอกอย่างคนขี้หวง “ไปกินไอศกรีมกันครับ”
“อยากกินหรอ”
“ครับ” เห็นหมอเขียนเขาเองก็ไม่อยากขัด เขาไม่เคยคิดว่าการมาเดตจะต้องวางแพลนเขียนไว้ทุกอย่าง แต่พอเห็นสิ่งที่หมอทำก็อดอมยิ้มไม่ได้
ใส่ใจรายละเอียดมากกว่าเขาอีก…
ร้านไอศกรีมมีคนอยู่ในร้านประปรายเลยทำให้เขาได้ไอศกรีมไวกว่าทุกๆครั้ง บุ๋นเลือกสั่งดาร์กช็อกโกแลตส่วนหมอฐานทัพสั่งรสมะนาว
“พี่ชอบเปรี้ยวๆหรอครับ”
“บางครั้ง” ฐานทัพตอบ “กินแล้วตื่นดี”
“พี่ง่วงหรอครับ?”
“เปล่า สงสัยเมื่อคืนนอนดึกไปหน่อย” เขาถอนหายใจ “หนังสนุกเนอะ” ฐานทัพพยายามเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นสายตาของอีกคนที่มองมา
จะให้บอกไปตรงๆว่านอนดึกเพราะอ่านกระทู้ก็ดูตลก
“พี่ว่าการตัดสินใจของเขาถูกแล้วหรอครับ” บุ๋นหยิบประเด็นหนังที่ดูออกมาถาม เขาไม่ค่อยเห็นด้วยกับการตัดสินใจของพระเอกสักเท่าไหร่
“ไม่รู้…แต่คิดว่าเป็นแบบนี้ก็ดีแล้ว”
“ไม่อะ ผมว่าพระเอกมันขี้แพ้เกินไป” เขาโต้ขึ้นมา
“ขี้แพ้ยังไง”
“ก็เขาไม่ถามความเห็นอีกฝ่ายสักคำว่าต้องการแบบนี้ไหม เขาเอาแต่การตัดสินใจของตัวเอง แล้วเป็นยังไง สุดท้ายก็เจ็บทั้งคู่” บุ๋นอินหนักกับหนังรักที่จบแบบไม่สมหวัง
เขาไม่เข้าใจจริงๆ
“บางทีเรื่องที่คิดไม่จำเป็นต้องพูดออกมา”
“…”
“รู้สึก…ก็รู้สึกแค่คนเดียวก็พอ”
“ทำไมล่ะครับ” บุ๋นถามอย่างคนไม่เข้าใจ
ไม่เข้าใจจริงๆ
“การที่ให้อีกฝ่ายไม่รับรู้คงเป็นทางที่ดีกว่าให้รับรู้” ฐานทัพเหม่อมองไอศกรีมตรงหน้า คำพูดเมื่อตอนกลางวันหวนกลับมาอีกครั้ง
ทั้งๆที่เมื่อกี้ก็ลืมไปแล้วแท้ๆ
“พี่ดูอินกว่าผมอีกนะเนี่ย” บุ๋นหัวเราะออกมาเมื่อเห็นหมอฐานทัพพูดในแบบที่ไม่เคยพูดมาก่อน
“อืม…คงงั้น”
ทางเดินที่เคยมองว่ายาววันนี้มันกลับสั้นแปลกๆ ฐานทัพหยุดยืนอยู่ตรงจักรยานที่ล็อกไว้ของตัวเองกับบุ๋นที่จอดข้างกันก่อนจะหันไปมองคนข้างๆที่เดินตามมาเงียบๆระหว่างทาง
อะไรหลายๆอย่างทำให้บทสนทนาของเขากับบุ๋นขาดช่วงไปและดูเหมือนบุ๋นจะไม่กล้าถามเหมือนทุกๆครั้ง ถึงจะอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ดูเหมือนตอนนี้หมอไม่พร้อมที่จะเล่า
“เจอกัน” ฐานทัพพูดออกไปสั้นๆหากแต่อีกคนไม่อยากฟังคำๆนี้
“พี่จะไม่บอกผมหน่อยหรอครับว่าพี่เป็นอะไร” คนที่รอให้ฐานทัพเป็นคนเปิดประเด็นตัดสินใจถามออกไปเมื่อไม่เห็นท่าทีที่หมอจะพูดออกมา
“เปล่า” เป็นอีกครั้งที่ปากไม่ตรงกับความรู้สึกข้างใน
รู้ว่าเป็น…แต่ไม่รู้จะบอกยังไง
“ผมไปทำอะไรให้พี่โกรธรึเปล่าครับ”
“เปล่า”
“แล้วผม…”
“ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น” เขาเอ่ยออกมาก่อนจะสบตาคนตรงหน้าช้าๆ “วันนี้สนุกมาก”
“ผม…” คิ้วทั้งสองข้างยังขมวดเข้าหากัน บุ๋นรับรู้ได้ว่าครั้งนี้หมอกำลังปิดบังอะไรเขาอยู่ แม้จะไม่ยอมบอกแต่แววตาของหมอไม่เหมือนเดิม
เป็นอะไร
“กลับเถอะ ดึกแล้ว”
“พี่จะกลับทั้งๆที่พี่ยังเป็นแบบนี้งั้นหรอครับ” เขาไม่มีความสุขถ้าจะให้กลับทั้งๆที่อีกคนยังมีความรู้สึกอะไรในใจ
“เป็นยังไง”
“ผมว่าพี่รู้นะว่าพี่เป็นอะไร แค่พี่ไม่ยอมพูด” ถ้าเป็นกับคนอื่นๆบุ๋นคงโมโหไปแล้วแต่พอเป็นกับหมอ แค่จะโกรธเขายังทำไม่ลง
เขาเข้าใจว่าหมอฐานทัพมีเขาเป็นแฟนคนแรกและไม่เข้าใจความสัมพันธ์เวลาคบกัน
แต่ทุกครั้งหมอก็เลือกที่จะพูดออกมา…ทำไมครั้งนี้ไม่ยอมพูด
“ขอโทษ” เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคำๆนี้ออกมาจากปากของหมอฐานทัพ ตั้งแต่ที่เจอกันหมอไม่เคยพูดคำๆนี้มาก่อน
ไม่ปกติแล้วสิ…
“พี่จะไม่บอกผมจริงๆหรอ” จากอารมณ์ดีๆในตอนแรกเริ่มมาคุขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่อยากให้หมอเป็นแบบนี้ เขาอยากให้ทุกอย่างมันเคลียร์
“บอกสิ” ฐานทัพยิ้มบางๆ เขาไม่อยากให้บุ๋นทำหน้าเครียด “แต่ไม่รู้จะบอกยังไง”
“บอกเหมือนที่พี่เคยบอกผมไง บอกตรงๆแบบที่พี่ชอบทำ”
“อืม”
ฐานทัพเงียบอยู่นานหลายนาที ความเงียบเริ่มเข้ามาปกคลุมรอบข้าง เสียงถอนหายใจของคนตรงหน้าดังขึ้นพร้อมกับอ้อมแขนที่ดึงเขาเข้าไปกอดไว้แน่น สัมผัสอบอุ่นที่ส่งผ่านมาเหมือนคำปลอบโยนไร้เสียง ฐานทัพหลับตาลงช้าๆพร้อมกับแขนที่โอบกอดคนตรงหน้าไว้แน่น ความกังวลที่เกิดขึ้นเหมือนถูกหักลบลงไปเรื่อยๆ
“ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ผมไม่ชอบเลยที่พี่เป็นแบบนี้” น้ำเสียงที่ดังอยู่ข้างหูเอ่ยเสียงสั่น “พี่เป็นแบบนี้ผมกลัวนะ”
“…”
“ผมกับพี่เราได้คบกันแล้ว ผมก็อยากจะทำทุกวันให้ดีที่สุด” บุ๋นกอดคนตรงหน้าไว้แน่นราวกับว่าถ้าเขาปล่อย หมอจะหายไป
“…”
“พี่บอกผมเถอะนะว่ามันเกิดอะไรขึ้น ผมจะได้ทำอะไรได้บ้าง”
“…”
“ผม ผม…” เสียงบุ๋นสั่นขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีน้ำตา ไม่มีเสียงสะอื้น มีแต่ความกลัวที่เริ่มก่อขึ้นในจิตใจ
กลัวไปหมด
“พอแล้ว” ฐานทัพตบหลังบุ๋นเบาๆ “ไม่มีอะไร”
“…”
“แค่รู้สึกว่าผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิง” เขายอมบอกในสิ่งที่ตัวเองคิดออกมา ทั้งๆที่ใจอยากจะเก็บไว้คนเดียวแต่พอเห็นอาการของอีกฝ่ายเขาก็ทำอย่างที่คิดไม่ลง
“ผมไม่รู้หรอกนะว่าใครเป็นคนคิดว่าชายกับหญิงต้องคู่กัน”
“…”
“แต่ผมมองข้ามมันไปตั้งแต่ได้รู้จักพี่”
เสียงหัวใจของบุ๋นบอกทุกอย่างให้เขาได้รับรู้ ความรู้สึกที่กลั่นกรองออกมาจากหัวใจ น้ำเสียงที่หนักแน่นจริงใจ
“ครับ” ฐานทัพรับคำสั้นๆ
“…”
“คิดมากไม่เข้าเรื่อง” เขาโทษตัวเอง “อย่าเครียด”
“ผมเข้าใจครับว่าทำไมถึงคิดมาก เอาจริงๆผมเชื่อว่าหลายๆคนก็คงจะคิดเหมือนกัน” บุ๋นเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ผมก็เคยคิดแบบนั้น”
“แล้วทำยังไงให้ไม่คิด”
“รัก” คำๆเดียวสั้นๆ “แค่ใช้ใจรักก็ไม่ต้องคิดเรื่องอื่นแล้ว”
“อืม นั่นสิ” ฐานทัพยิ้มออกมา เหมือนบุ๋นเป็นยางลบที่คอยลบเรื่องแย่ๆในความคิดของเขาให้หายไปหมดเหลือแต่ความสุขที่เริ่มอัดแน่นจนแทบจะล้นออกมา
“ความรู้สึกมันจะตอบทุกอย่าง”
“ขอบคุณ”
“พี่เครียดเรื่องนี้เรื่องเดียวหรอครับ”
“จริงๆก็มีอีกเรื่อง”
“เรื่องอะไรครับ?”
“แครอทหมดแล้ว” ฐานทัพพูดติดตลกทำเอาคนที่แทบจะกลั้นหายใจรอฟังถอนหายใจเสียงดังด้วยความโล่งอก
“โถ ผมก็นึกว่าเรื่องอะไร” บุ๋นหัวเราะ “เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมซื้อไปให้นะครับ”
“ได้ จะรอ”
“แล้วอย่าเครียดอีกนะครับ ถ้าเครียดอีกผมไม่ซื้อแครอทให้แล้วนะ”
“อย่ามาขู่”
“ผมพูดจริง”
“เครียดเรื่องสอบนับไหม?”
“เรื่องนั้นไม่นับก็ได้ครับ” บุ๋นยิ้มด้วยความเอ็นดูคนชอบกินแครอท
หมอฐานทัพทุพครั้งที่พูดถึงแครอทจะเหมือนเด็กตัวเล็กๆที่รอคอยการมาของสิ่งที่ชอบอย่างใจจดใจจ่อ เห็นแล้วอดยิ้มไม่ได้ทุกที
อย่าขัดใจเชียว…
จาก…คิดถึง
สอบเสร็จคินกับป้องชวนไปหาอะไรกินต่อ ไปไหม?
จาก…คนส่งแครอท
อยากไปครับแต่คงไม่ได้ วันนี้ผมมีทำรายงานกับเพื่อน
กินให้อร่อยนะครับ :)
จาก…คิดถึง
ครับ
บุ๋นวางโทรศัพท์ลงแล้วหันไปสนใจเพื่อนที่ช่วยกันหาหัวข้อใส่ลงไปในรายงานกลุ่มที่อาจารย์สั่งไว้ตั้งแต่ต้นเทอมแล้วยังไม่ได้เริ่มทำ อาทิตย์หน้าต้องส่งงานแล้ว ถ้าเพื่อนกลุ่มอื่นไม่มาถามกลุ่มเขาก็คงลืมรายงานนี้ไปเลย
“ยากจังวะ” เดชที่เปิดหนังสือไปมาบ่น
“เออ ทำๆไปเถอะ” บุ๋นพูดก่อนจะหยิบหนังสือเล่มหนาที่วางอยู่ขึ้นมาเปิดช่วยหาเนื้อหา
เวลาบ่ายสามล่วงเลยไปจนถึงหนึ่งทุ่ม โน๊ตบุ๊คพับหน้าจอลงพร้อมกับไฟล์งานที่ถูกยื่นมาทางบุ๋นหลังจากใช้เวลากันมาหลายชั่วโมงในการทำรายงาน
“ฝากด้วยนะบุ๋น” เพื่อนในกลุ่มเอ่ยเมื่อบุ๋นเป็นคนออกปากว่าจะไปปริ้นเป็นรูปเล่มให้ “เข้าเล่มเท่าไหร่แล้วมาบอกนะ เดี๋ยวจ่ายให้”
“อืม ได้ๆ” บุ๋นพยักหน้ารับ
วันนี้ตั้งใจว่าจะไปเล่นบาสกับเพื่อนสักหน่อยหลังจากที่ห่างหายไปหลายวันจนโดนโทรตาม ไหนๆวันนี้เขาก็ไม่ได้ไปไหนกับหมอฐานทัพอยู่แล้วเขาจึงอาสาเอารายงานไปทำเป็นรูปเล่มที่ร้านถ่ายเอกสารไม่ไกลจากสนามบาสที่เปิดจนถึงสองทุ่ม
“ให้กูไปด้วยไหม” เดชที่นั่งข้างๆถาม
“ไม่เป็นไร กูไปเองได้ ว่าจะแวะไปเล่นบาสก่อนกลับด้วย”
“เออก็ได้ ไงเจอกันพรุ่งนี้นะ”
“เจอกันมึง” บุ๋นบอกลาก่อนจะยกมือบ๊ายบายเพื่อนที่กำลังเก็บของอยู่ที่โต๊ะก่อนจะเดินออกมาเพื่อให้ทันเวลาที่ร้านถ่ายเอกสารจะไม่ปิด
ร้านถ่ายเอกสารยังคงเปิดไฟสว่างพร้อมกับร้านที่ไม่มีลูกค้าต่างจากทุกวัน อาจเพราะเวลาที่ใกล้จะปิดร้านเต็มทีเลยทำให้ไม่มีคน
“พี่ครับ รวมเล่มรายงานครับ” บุ๋นพูดพร้อมกับเสียบไดร์ฟเข้ากับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะแล้วกดสั่งปริ้นเหมือนทุกๆครั้งที่เขามา
“พี่ติดงานถ่ายเอกสารอีกตัวอยู่อะน้อง น้องรีบไหม เดี๋ยวค่อยกลับมาเอาได้รึเปล่า” น้ำเสียงของเจ้าของร้านที่กำลังวุ่นอยู่กับเครื่องถ่ายเอกสารเอ่ยบอก
“ได้ครับ งั้นอีกสักครึ่งชั่วโมงผมจะมาเอานะครับ”
“จ้ะ รวมเล่มเลยใช่ไหม”
“ครับ ส่วนหน้าปกเอาเป็นสีฟ้าอ่อน”
“จ้าได้เลย เดี๋ยวพี่ทำให้”
“ครับ” บุ๋นยิ้มบางๆก่อนจะเดินออกมาจากร้านถ่ายเอกสารโดยไม่ได้เอาจักรยานไปด้วยเพราะร้านถ่ายเอกสารกับสนามบาสอยู่ไม่ไกลกันมาก
ถึง…คิดถึง
สอบเป็นยังไงบ้างครับ ยากรึเปล่า?
บุ๋นกดส่งข้อความไปก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋ากางเกงเหมือนเดิม สายตาทอดมองไปยังสนามบาสที่มีเสียงลูกบาสกระทบกับพื้นและเสียงคนพูดคุยกันที่ดังมาแต่ไกล
“มาได้แล้วหรอครับคุณบุ๋น~” น้ำเสียงที่ออกแนวประชดประชันถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวหายไปนาน
“เออ ช่วงนี้ไม่ค่อยว่างว่ะ” บุ๋นแก้ตัวออกไป “มากูพร้อมเล่นแล้ว” เขาถกแขนเสื้อขึ้นเตรียมพร้อมจะเล่นแต่โดนเพื่อนอีกคนเบรคไว้ก่อน
“ใกล้จบแล้ว มึงรอเล่นรอบใหม่”
“แบบนี้ก็ได้หรอวะ” เขาเอ่ยติดตลกแต่ก็ยอมทำตามที่เพื่อนในสนามบอก
บุ๋นยืดเส้นยืดสายเตรียมจะรอเล่นเกมส์ใหม่ แขนที่ยืดเหยียดออกไปสัมผัสกับความเย็นจัดจนต้องรีบชักแขนกลับมาแล้วหันไปมอง ใบหน้าของคนที่คุ้ยเคยยืนอยู่บนอัศจรรย์ชั้นที่สูงกว่ายิ้มให้อย่างเป็นมิตรพร้อมกับกระป๋องน้ำอัดลมในมือ
“สักหน่อยไหม” พี่ต้าถามพร้อมกับยื่นขวดน้ำอัดลมที่ตั้งใจเอามาให้
“มาไม้ไหนวะพี่” บุ๋นขมวดคิ้วงง ถึงครั้งสุดท้ายที่เจอกันทุกอย่างจะเหมือนปกติแล้วก็ตามแต่เขาก็ยังอดหวั่นใจเล็กๆ
“อะไรมาไม้ไหน ก็เอามาให้มึงไง”
“ใส่ยาลงไปปะ” บุ๋นแกล้งถามออกไปลองเชิงดูปฏิกิริยาของคนตรงหน้าว่าจะทำท่าทางยังไง
“กูไม่ฉลาดพอที่จะใส่ยาลงไปทั้งๆที่ยังไม่ได้เปิดกระป๋อง” พี่ต้าถอนหายใจแรงๆ “ไม่กินก็เรื่องของมึง”
“เออกินครับ” บุ๋นเอื้อมมือไปดึงกระป๋องในมือพี่ต้ามาถือไว้
“ก็แค่นั้น” คนแก่กว่าเอ่ยอย่างใจเย็นแล้วเดินลงมานั่งข้างๆบุ๋นที่มองไปยังสนาม
“ไม่ได้มานานสิมึงอะ” เขาชวนคนข้างๆคุย แม้ว่าบรรยากาศระหว่างเขาสองคนจะแปลกๆไปบ้างแต่ก็คงถึงเวลาที่เขาจะต้องพูด
“ครับ นาน” บุ๋นตอบพร้อมยกน้ำอัดลมในมือขึ้นดื่ม “มีอะไรรึเปล่าพี่ ทำตัวแปลกๆ” เขาสังเกตุปฏิกิริยของคนข้างๆออก
เขากับพี่ต้าไม่ถูกกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ความจริงเขาเองไม่ได้มีปัญหาอะไร พี่ต้าเองมากกว่าที่ชอบมามีปัญหากับเขาและครั้งนี้มันแปลกที่จู่ๆพี่ต้าก็ทำตัวเป็นคนดีผิดปกติ
ดีในที่นี้คือ…ให้น้ำเขาแถมยังเดินลงมานั่งคุยข้างๆ
บุ๋นสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่าง…
“กูดูออกง่ายขนาดนั้นเลยหรอวะ” คนที่มีความในใจอยากจะพูดหัวเราะออกมาเมื่อเห็นว่าอีกคนรู้ทันความคิดของเขา
“ว่างั้นก็ได้มั้ง”
“มาถึงขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่มีก็คงไม่เชื่อ” พี่ต้าหัวเราะ “ความจริงกูอยากคุยกับมึงตั้งแต่วันแข่งเสร็จแต่เห็นว่ามึงมีความสุขกับเพื่อนๆก็เลยไม่อยากพูดให้เสียบรรยากาศ”
“ครับ” เขาพยักหน้าช้าๆ
จะพูดอะไรกันแน่
“ขอโทษกับเรื่องทุกๆอย่างที่กูเคยทำกับมึง” คำพูดที่เคยคิดว่ายากลำบากแต่ในวันนี้เขาพูดออกมาได้อย่างง่ายดาย มันออกมาจากความรู้สึกในใจของเขา
“ทำไมถึงพึ่งมาขอโทษละครับ”
“พึ่งคิดได้” พี่ต้าหัวเราะออกมาอย่างนึกสมเพชตัวเอง “ย้อนกลับไปตอนนั้นกูทำไปได้ยังไงก็ไม่รู้ เลวชิบหาย”
“ยิ่งกว่าเลวอีกพี่” พอย้อนถึงเหตุการณ์วันนั้นในใจเขามันก็เจ็บแปล๊บขึ้นมา “ถ้าตอนนั้นผมมีพยานเชื่อเถอะว่ามันจะไม่เป็นแบบนี้”
“เออ กูรู้” เขารู้ตัวเองดีมาตลอดว่าทำไมบุ๋นถึงไม่แจ้งความเรื่องของเขา “เกลียดกูมากสินะ”
“มากว่ะพี่” เขายอมรับออกมาตรงๆ “พี่ทำให้ความสุขของผมครึ่งหนึ่งหายไป”
“อืม” เขายอมรับ “กูเลยอยากขอโทษ”
“…”
“พอมาคิดดูแล้วกูไม่มีน้ำใจนักกีฬาเลยที่ทำแบบนั้นกับมึง อาจเพราะตอนนั้นกูยังเด็กเลยคิดไม่ได้” เขาหลับตาลงช้าๆ “แต่พอเห็นมึงชนะ กูรู้สึกเหมือนเกมส์โดมิโนที่กูพยายามต่อมามันพังลงกับตา”
“…”
“จนกูพึ่งมารู้ว่า…ที่ผ่านมากูไม่เคยยอมรับความจริง”
“ครับ” บุ๋นรับคำสั้นๆ “แล้วทำไมพี่ถึงทำแบบนั้นกับผม”
“อิจฉา” เขาตอบ “คำเดียวเลยว่ะ” พี่ต้าหัวเราะออกมา คิดถึงตอนนั้นแล้วก็อดเกลียดตัวเองไม่ได้ เขาทำลงไปได้ยังไง
“พี่จะอิจฉาผมทำไม ทั้งๆที่พี่ก็เก่ง เก่งกว่าผมอีก”
“มึงจะมาเข้าใจอะไร ในตอนนั้นมึงคือเด็กมอสี่คนเดียวในทีม มึงรู้ไหมตอนกูอยู่มอสี่กูต้องใช้ความพยายามขนาดไหนเพื่อที่จะได้เข้ามาเป็นตัวจริง” เขายังจำภาพเหตุการณ์เหล่านั้นได้ดี มันเหนื่อยและท้อ
“…”
“กูที่พยายามแทบตายแต่ต้องโดนเป็นตัวสำรองเพราะเรื่องที่ครูไม่ยอมฟังเหตุผลแล้วก็ให้มึงที่เป็นเด็กมอสี่ขึ้นมาเป็นตัวจริงแทน” เขาถอนหายใจ “ถ้ามึงเป็นกูมึงจะรู้สึกยังไงวะ ความพยายามที่กูทุ่มเทมาตลอดแต่ต้องมาพังเพราะเรื่องบ้าๆ”
“ครูเป็นคนเลือก ผมไม่ได้เลือก”
“เออ แต่ตอนนั้นกูไม่ได้คิดแบบนั้นเพราะอารมณ์อะไรหลายๆอย่างเลยทำให้กูต้องทำแบบนั้นกับมึง”
“…”
“ขอโทษว่ะบุ๋น” เขาหลุบสายตาลงต่ำ “กูก็รู้สึกแย่ไม่ต่างจากมึงหรอก มึงไม่ได้ทำอะไรผิดแต่คนที่ผิดคือกู”
“ถ้าพี่คิดได้แล้วก็ไม่มีเหตุผลที่ผมจะต้องโกรธพี่” บุ๋นตอบออกมาจากความรู้สึกตัวเองจริงๆ แม้ว่าเขาจะเกลียดพี่ต้ามากแต่เขาก็พอรู้เหตุผลลึกๆที่ทำไป
แม้จะเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงแต่ในเมื่อมันผ่านมาแล้วเขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปผูกใจเจ็บ
“ผมยกโทษให้”
“…” คนข้างๆเงียบลงเมื่อได้ยินคำพูดที่เปล่งออกมา ความรู้สึกผิดถาโถมออกมาจนจุกพูดไม่ออก พี่ต้าหันไปมองคนข้างๆช้าๆ
รอยยิ้มที่บุ๋นส่งกลับมาเหมือนเป็นคำตอบของทุกอย่าง แม้ว่าเรื่องที่เขาทำจะไม่สมควรแก่การให้อภัยแต่คนข้างๆกลับให้อภัยเขา
เขาที่ทำไม่ดีมาตลอด
“ผมดีใจที่ได้ยินคำขอโทษจากปากพี่”
“กูก็ดีใจที่ได้ยินคำว่ายกโทษ”
บุ๋นไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไงต่อไป ในวันข้างหน้าเขาอาจจะต้องเจอเรื่องที่ร้ายแรงกว่าที่เคยเจอหรือเหตุการณ์นั้นอาจจะเป็นเหตุการณ์สุดท้ายในชีวิตเขา แต่สิ่งหนึ่งที่เขาเชื่อและยึดถือมาตลอดคือ
คำว่าให้อภัย…จะทำให้การใช้ชีวิตอยู่บนโลกมีความสุขมากขึ้น
บุ๋นปั่นจักรยานกลับหอหลังจากที่เล่นบาสกับเพื่อนจบจนเกือบลืมไปเอาเอกสารที่ร้านถ่ายเอกสาร ดีที่เจ้าของร้านยังทำงานต่อเลยทำให้เปิดร้านดึกกว่าทุกๆวัน ลมเย็นๆในยามค่ำคืนพัดกระทบใบหน้าของเขาพร้อมกับเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นในกระเป๋ากางเกง
“ว่าไงครับ” บุ๋นจอดจักรยานลงตรงริมฟุตบาทก่อนจะกดรับโทรศัพท์ที่ปรากฏชื่อของคนสำคัญ
( อยู่ไหน )
“กำลังกลับหอครับ พี่มีอะไรรึเปล่า”
( มี ) เขาตอบกลับมาทันที ( อยู่ตรงไหน เดี๋ยวไปหา )
“ผมอยู่ตรงฟุตบาทแถวๆคณะพี่ครับ พอดีลมเย็นเลยขับอ้อม”
( รออยู่ตรงนั้นเดี๋ยวไปหา )
“พี่มีอะไรรึเปล่าครับ” บุ๋นเริ่มใจไม่ดีเมื่อได้ยินเสียงหมอฐานทัพที่เดาอารมณ์ไม่ออก
( มีเรื่องจะบอก )
“…”
( แต่บอกต่อหน้าน่าจะดีกว่า )
----------------------------------------
สำหรับเรื่องพี่ต้าก็จบลงด้วยดีนะคะ :)
บางครั้งคำว่าให้อภัยมันให้อะไรกับคนที่ต้องการหลายๆอย่าง
ให้โอกาสได้ปรับปรุงตัว ให้ได้เข้าใจว่าโอกาสที่ได้มันสำคัญมากแค่ไหน
บางคนอาจจะมองว่าบุ๋นให้อภัยง่ายไป แต่สำหรับเราแล้วถ้ารู้สึกผิดมันก็ไม่จำเป็นต้องผูกใจเจ็บ
สิ่งที่ผ่านมาแล้วเราเอาคืนกลับมาไม่ได้ เราย้อนไม่ได้เพราะฉะนั้นโกรธเกลียดไปก็เท่านั้น
ขอบคุณนักอ่านที่ชอบและรอเรานะคะ พอดีช่วงนี้อยู่ในสัปดาห์สอบไฟนอลเลยทำให้ลงล่าช้าไปบ้าง
ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ วันนี้ยังอัพดึกอีก ขอโทษน้า T^T
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นท์ทุกกำลังใจ
ขอบคุณคำแนะนำทุกคำแนะนำ เราจะน้อมรับไว้และนำไปปรับใช้ให้ดีขึ้นไปอีกค่ะ
ติดตามกันนานๆนะคะ <3
สามารถพูดคุยกันได้ที่แฟนเพจ Perlina. ติดตามการอัพเดทรายวันได้ทางเพจเลยนะคะ
เราจะอัพเดทความเป็นไปในเพจค่อนข้างเยอะ เขาไปทักทายกันได้น้า
ตอนนี้เริ่มมีคนใช้แท็กมากขึ้นเรื่อยๆ มีความสุขมากเลยค่ะ #ผมจีบหมอ อย่าลืมติดแท็กกันน้า
ใครเล่นทวิตเข้าไปทักทายพูดคุยกันได้ที่ @perlinjun เราตอบทุกเมนชั่นนะ >_____<
พี่หมอพูดซะใจไม่ดีเลยมีอะไรรึป่าวเนี่ย