ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF] KRISHUN STORAGE'

    ลำดับตอนที่ #1 : Rapunzel.

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.31K
      5
      11 ส.ค. 56


    { Rapunzel }

               

    ถ้าเจ้าชายไม่กล้าไต่ผมราพันเซลขึ้นมา

                เขาจะเจอรักแท้ได้อย่างไร...

     

                คนเราวิ่งได้เร็วมากแค่ไหนกัน อู๋อี้ฟานก็กำลังวิ่งเร็วมากเท่านั้นนั่นแหละ ช่วงขายาวก้าวสลับกันไม่หยุดหย่อนราวกับเป็นเครื่องจักรที่กำลังทำงานอย่างหนักในโรงงานผลิตสินค้า เม็ดเหงื่อที่ไหลลงมาจากขมับทำให้ใบหน้ารู้สึกเย็นวาบแต่ร่างสูงโปร่งก็ไม่คิดจะปัดมันออกไป เสื้อนักเรียนตัวยาวของเขาปล่อยละออกมาจากชายและมันกำลังลู่ลม สติ๊กเกอร์รูปหัวใจที่ใครต่อใครเอามาแปะเอาไว้ให้เนื่องในโอกาสวันสุดท้ายของการเป็นนักเรียนกำลังลอกหลุดไปตามแรงลมแต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจมันสักเท่าไหร่

     

                คนบนทางเดินเท้าต่างหันหน้ามามองเขากันเต็มไปหมด เสียงซุบซิบนินทาถามหาเหตุผลที่ทำให้เขาต้องมาวิ่งเป็นหนูติดจั่นอยู่แบบนี้ บ้างก็หาว่าเขาบ้าแต่นั่นเป็นเพียงคำครหาที่เขาไม่ได้คิดจะใส่ใจเท่าใดนัก ดวงตาคมกริบก้มลงมองนาฬิกาข้อมือของตัวเอง เข็มสั้นนิ่งไม่ไหวติงในขณะที่เข็มยาวขยับเดินหน้าทีละเล็กละน้อยจนเขาไม่มั่นใจเลยว่ามันจะเดินหน้าได้ไกลมากมาย

     

                คงไม่ต่างอะไรจากความรู้สึกของเขา...

                ความรักที่ไม่คิดว่าจะมากมายขนาดนี้

     

               

                แล้ววันนี้มันก็ล้นจนได้... เขาเก็บไว้ไม่หมดหรอก

                ไอ้แห้งเกาหลีคนนั้น...โอเซฮุนหน่ะควรรู้ซะบ้าง

     

     

                มึงกำลังลักลอบขนหัวใจกูข้ามประเทศเชียวนะ!!

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

     

     

     

     

     

     

     

                เปิดเทอมหน่ะน่าเบื่ออยู่แล้ว... อี้ฟานไม่ชอบเรียนหนังสือมาแต่ไหนแต่ไรกระนั้นกฎหมายบ้านเมืองก็บังคับให้เขาต้องจบเกรด 12 อยู่ดี แต่ก็โอเค ในเมื่อเขาเลี่ยงกฎหมายไม่ได้ แต่เขาสามารถเลี่ยงอาจารย์เฉิน อาจารย์โจวมี่ และอาจารย์ลี่อินได้ด้วยการเปลี่ยนที่อยู่จากห้องเรียนมาเป็นสนามบาส

     

                เขาย้ายเข้ามาในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ... เกรด 10 ขึ้น เกรด 11 นั่นเป็นเหตุผลที่เขาไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก เขาเขียนภาษาจีนได้แค่บางตัวและไม่คล่องแคล่วนัก... แคนนาดาไม่มีสอนนี่หว่า จะให้ทำยังไง กระนั้นคนอย่างอี้ฟานก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายนัก เอาแค่พูดได้ สื่อสารได้ก็พอแล้ว ครูที่นี่อนุโลมให้เขาตอบข้อสอบเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งมันก็นานๆทีนั่นแหละ กว่าจะมีข้อสอบข้อเขียนมาให้ทำ

     

                ลูกบาสหล่นเคร้งลงไปกลางแป้นอย่างสวยงาม แต้มสามคะแนนไม่ใช่เรื่องยากสำหรับความสูง 187 ที่ยืดเหยียดอยู่ หลายคนชอบถามว่าเขามีเชื้อสายแคนนาดาหรือ คำตอบคือไม่... ก็แค่คนจีนที่ไปอยู่แคนนาดาตั้งแต่เกิด ไม่มีอะไรมากกว่านั้น เขาสูงเพราะกรรมพันธุ์ ไม่เชื่อไปขุดกระดูกทวดขึ้นมาดูสิ

     

                ความสูงนี่ก็ปัญหาอีกอย่าง สูงเด่นเกินหน้าเกินตาเพื่อนผู้ชายในห้องจนกลายเป็นโดนเกลียดขี้หน้า... นี่แหละชีวิตบัดซบของอู๋อี้ฟานหล่ะ....

     

                “เอ่อ...นาย...”

     

                “...”

     

                “เฮ้ย...นายหน่ะ!” แขนยาวเก้งก้างชะงักเมื่อรู้สึกว่าคำว่านายที่ลอดเข้ามาในใบหูคือตัวเขานั้นเอง เสี้ยวใบหน้าเรียวยาวตะแคงกลับไปมองยังบานประตูโรงยิม ตรงนั้นมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่เขาไม่แน่ใจเอาเสียเลยว่าอายุอานามเท่าไหร่กัน แต่นั่นมันไม่น่าสนใจเท่าริมฝีปากชมพูกระจับกับสำเนียงภาษาจีนแบบไม่ชัดเจนหรอก...

     

                น่ารัก....

     

     

                คำนี้เขียนไงวะ?

     

     

     

                “...”

     

                “คือ...เอ่อ...ฉัน...เอ่อ....กำลังจะไป...ห้อง....เอ่อ...ห้องเก็บของ?” หมอนั่นยกมือยกไม้ พยามทำท่าทางประกอบให้กับเสียงอ้อมแอ้มของตัวเองที่เหมือนจะไม่มั่นใจเท่าใดนัก ดวงตาคมเข้มตวัดไปมองยังป้ายชื่อของนักเรียนคนนั้นเพื่ออ่านมันดูว่าหมอนี่เป็นใครมาจากไหนแล้วก็ไม่ต้องนานเท่าไหร่เขาก็ร้องอ๋อขึ้นมาทันที

     

                โอเซฮุน....

                เกาหลีงั้นเหรอ?

     

     

                “อาฮะ...”

     

                “มัน....มันไป.......เอ่อ...ทาง...หมายถึง....ไปทาง....”

     

                “อาฮะ... ตามมาดิ” ฝ่ามือยักษ์ใหญ่โยนลูกบาสลงกับพื้นราวกับเป็นเพียงถุงขนมที่หมดแล้ว คริสก้าวขายาวเหยียดตัดหน้าเด็กหนุ่มชาวต่างชาติเพื่อพาเดินเลาะออกไปจากสนามบาสกว้างขวาง คนต่างถิ่นตาเหลือกตาถลนเพราะฟังคำบอกนั้นไม่ทันแต่เซนส์บางอย่างเท่าที่ชาวต่างชาติจะพึงมีมันบอกให้โอเซฮุนเดินตามไป

     

     

                ขอบคุณพระเจ้าที่เซนส์ของเซฮุนยังใช้ได้ดีอยู่...

     

     

                ทั้งสองคนหยุดลงหน้าห้องเก็บของที่มีฝ่ายพัสดุฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะ คริสขมวดคิ้วให้กับการอู้งานกันอย่างซึ่งๆหน้า พลางคิดในใจว่าสู้เขาไม่ได้ที่ถ้าจะอู้เรียนก็อุตส่าห์หนีลงมาถึงสนามบาส... เสียงทุ้มสบถงึมงัมอยู่สองสามคำก่อนจะเคาะนิ้วลงกับโต๊ะเพื่อปลุกฝ่ายพัสดุตัวอ้วนฉุจากฝัน

     

                “มาเอาของ”

     

                “ฮื่ม...โอ๊ะ....”

     

                “...”

     

                “เอาอะไร?” คำถามนั้นทำให้เขาผงะไปชั่วครู่แล้วหันกลับไปหาคนข้างหลัง

     

                “....” หมอนั่นไม่พูดแต่ส่งกระดาษเปื่อยๆที่คาดว่าน่าจะฉีกมาจากสมุดเรียนให้เขา ดวงตาคมกวาดมองลงไปบนแผ่นนั้นก่อนจะเบิกลูกตากว้างขึ้นเมื่อเห็นรายการในมือ โชคดีแค่ไหนที่หมอนี่มาเจอเขาก่อน เขาหล่ะนึกหน้ายัยป้าอ้วนนี่กรี๊ดลั่นแล้วโวยวายไม่ออกจริงๆ

     

                “ไม่มีอะไร มาผิด” เสียงทุ้มต่ำบอกกับครูพัสดุด้วยใบหน้านิ่ง เขาคว้าข้อมือของคนข้างหลังแล้วลากออกมาจากตรงนั้นให้ไกล... คิดไม่ออกหรอกว่าจะพาไปไหน แต่ก็คงไม่พากลับเข้าไปสนามบาสแล้วหล่ะ

     

     

     

                ดาดฟ้าก็ได้วะ....

     

     

                ประตูเหล็กเปิดออกด้วยพละกำลังที่มีอยู่มาก... เพราะมีเด็กโดดเรียนมานอนเล่นที่นี่บ่อย ฝ่ายอาคารเลยเปลี่ยนเป็นประตูเหล็กเพื่อที่เด็กเหล่านั้นจะเปิดมันไม่ได้ (ที่จริงเคยเอากุญแจมาล็อคแต่ก็โดนกุญแจผีไขซะพรุนไปหมด) แต่มันก็ไม่เวิร์คเท่าไหร่หรอก เพราะอู๋อี้ฟานก็ยังผลักมันออกได้อยู่ดี

     

                “รู้ไหมว่านี่อะไร?” ทันทีที่พาหมอนั่นขึ้นมาหลบมุมอยู่ใต้กันสาด ริมฝีปากหยักก็ถามขึ้นมาทันที โอเซฮุนสะบัดหน้าส่ายไปมา ทั้งไม่เข้าใจทั้งไม่รู้เรื่องนั่นแหละ เขามาจากเกาหลีได้ยังไม่ถึงสองอาทิตย์ พื้นฐานภาษาจีนนี่อย่าถามถึงเลยขอร้อง เขาเรียนสายศิลป์คำนวณมาจะรู้เรื่องได้ไงเล่า!

     

                “นายฟังฉันพูดออกไหม?”

     

                “....” เซฮุนนิ่งไป... เอ....ประโยคนี้เหมือนว่าอี้ชิงสอนเข้าเมื่อวานนะ

     

                “โอเค...นายพูดจีนได้ไหม?” เขาลองเปลี่ยนเป็นภาษาเกาหลีดูเผื่อว่าจะช่วยหมอนี่ได้บ้าง ส่วนเรื่องที่ว่าพูดเป็นได้ยังไงนั่นมันยาว เอาเป็นว่าเพื่อนในทีมบาสที่แคนนาดาของเขาเป็นคนเกาหลีซะครึ่งทีมแล้วกัน

     

                “ไม่!พูดไม่ได้เลย....

     

                “โอเคหมดเรื่อง...” คริสเป่าลมออกมาจากริมฝีปากแล้วทรุดตัวลงนั่งที่พื้น เขาเงยหน้าขึ้นกระตุกแขนให้หมอนั่นนั่งลงมาข้างกันและก็โชคดีที่มันทำตาม

     

                “นายพูดเกาหลีได้เหรอ?”

     

                “ผ่านหูมาบ้าง...”

     

                “อ่า นายชื่ออะไร?”

     

                “อี้ฟาน... เรียกคริสก็ได้... พูดเกาหลีหน่ะพูดช้าๆนะ ฉันไม่ได้พูดมาเป็นปีแล้ว ฟังไม่ทัน”

     

                “ได้ๆ โชคดีจัง” เจ้านั่นทำท่าเหมือนจะสวดมนต์ให้พระเจ้าหรือไม่ก็ปลอบตัวเองที่ดูเหมือนจะกำลังขวัญเสียอยู่ กระนั้นก็เถอะ... ท่าทางแบบนั้นก็ยังทำให้โอเซฮุนดูน่ารักอยู่ดีนั่นแหละ

     

                “รู้ไหมมันแปลว่าอะไร?”

     

                “....” หมอนั่นส่ายหัว ทำหน้าตาเหรอหราจนเขาไม่รู้ว่าจะซ่อนรอยยิ้มไว้ตรงไหนจองใบหน้าดี

     

              “หนังโป๊ญี่ปุ่น”

     

                “ห๊า?!

     

                “นายโดนเพื่อนแกล้งแล้วหล่ะ โอเซฮุน....”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                “นี่ของนายนะ...”

     

                “อะไรวะ?”

     

                “คิมบับไง เหมือนเอ่อ....เหมือนข้าวปั้นของญี่ปุ่น”

     

                “อาฮะ” คริสรับกล่องข้าวของอีกคนมาถือไว้แล้วลองใช้จมูกดมกลิ่นฟุดฟิดเพื่อแน่ใจว่าเขาจะไม่หย่อนของบูดลงกะเพราะ ท่าทางไม่เข้ากับตัวแบบนั้นทำให้เจ้าเชฟผู้ทำอาหารมื้อนี้หัวเราะขำออกมาในขณะที่ยื่นตะเกียบไม้ส่งไปให้

     

                “กินได้ เราชอบทำกินตอนอยู่ที่เกาหลี”

     

                “ค่อยฟังดูดีหน่อย” คริสลองจิ้มเข้าปากดูแล้วบดเคี้ยวมันอย่างใจเย็นแตกต่างไปจากสีหน้าของอีกคนที่แสดงออกมาชัดเจนว่ากำลังลุ้นจนตัวโก่ง คาดหวังสินะ... ว่าจะมีคำชมอะไรหลุดออกมาจากปากของเขา

     

                “...อร่อยป่ะ?” ไอ้บ้านี่ไม่เคยรอให้ตัวเองสงสัยอะไรได้นานหรอก.... เชื่อเขาเลย โอเซฮุนหน่ะ ช่างถามจะตายไป!

     

                “ก็ดี”

     

                “แค่ดีเองเหรอ?”

     

                “อร่อยยยยยยยยยย พอใจยัง?”

     

                “โกหกป่าววะ?”

     

                “เปล่า ไม่เชื่อก็กิน” เขคีบก้อนอาหารที่เรียกว่าคิมบับขึ้นมาแล้วจ่อปากอีกคนอย่างไม่ทันคิด เดาเอาเองว่าเซฮุนคงไม่ทันคิดเหมือนกันเลยอ้าปากงับมันเข้าไปโดยไม่ใส่ใจว่ามันมาจากปลายตะเกียบของเขาก็ตาม แก้มขาวสีน้ำนมขยับตุ้ยๆ เคี้ยวข้าวห่อสาหร่ายเต็มปากเต็มคำนั่นเข้าไปก่อนจะยิ้มออกมาจนตาหยีเมื่อพบว่ารสชาติของมันไม่ได้แย่

     

                “....”

     

                “ไงหล่ะ ดีไหม?”

     

                “อร่อยไม่เปลี่ยน”

     

                “เหอะ... คนห่าไรเนี่ย ชมตัวเองก็เป็น” เอาปลายตะเกียบอีกข้างจิ้มลงกลางหน้าผาก และแน่นอนว่าโอเซฮุนหน่ะต้องปล่อยหมัดใส่บ่าของเขาเหมือนเช่นทุกครั้งอยู่แล้ว แรงเท่าแมวข่วนไม่ได้ทำให้คริสรู้สึกระคายอะไรไปมากกว่ารู้สึกหมั่นไส้หน่อยๆจึงแจกมะเหงกเขกลงที่กลางหน้าผากของอีกคนไปสักก้อน

     

                “เฮ่ย...เจ็บเว้ยเจ็บ”

     

                “ก็อยากให้เจ็บ...” หลังพูดจบประโยคก็ได้ยินเสียงของเซฮุนบ่นงุบงิบอะไรไม่รู้ด้วยภาษาเกาหลีระดับแอดวานซ์ ช่างเถอะ... มันคงไม่ได้สลักสำคัญอะไรเท่าไหร่นักหรอก

     

                แล้วมันก็เป็นแบบนี้ทุกเที่ยง โอเซฮุนมักจะเดินต้อยๆตามเขาขึ้นมาบนดาดฟ้าพร้อมกับข้าวกล้องสองอันติดมือมาด้วย เมนูแทบไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน หรือถ้าบางวันที่เจ้าผอมนี่ตื่นสาย เราสองคนก็จะอพยพตัวเองไปที่โรงอาหารโดยที่เขาเป็นคนจ่ายตอบแทนมื้ออื่นๆที่ผ่านมา

     

                ใช้เวลาศึกษากันอยู่พักใหญ่กว่าจะรู้ว่าโอเซฮุนเป็นนักเรียนห้อง C ที่ย้ายมาจากเกาหลีเพราะมีพ่อเป็นทูต และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้หมอนั่นโดนแกล้งสารพัดสารเพ ทักษะภาษาจีนของโอเซฮุนติดลบ ซึ่งแน่นอนว่าเขาก็ต้องคอยฝึกหมอนั่น สอนคำพูดจำเป็นทั้งหลายแหล่เผื่อว่าไอ้ผอมจะเดินหลงไปไหนสักแห่งโดยไม่มีเขา

     

                เซฮุนจะอยู่ที่จีนถึงแค่จบเกรด 12 เท่านั้น และหลังจากนั้นเจ้าตัวจะถูกส่งกลับไปที่เกาหลีเพื่อเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย... ฟังแล้วดูน่าใจหายไม่น้อย เท่ากับว่าโอเซฮุนจะมีเวลาอยู่ที่นี่อีกเพียงแค่ปีกว่าๆ

     

     

                คริสไม่เคยรู้สึกว่าเวลาปีกว่าในโรงเรียนมันสั้นมากขนาดไหน

                จนกระทั่งมีโอเซฮุนโผล่เข้ามาแล้วเริ่มสั่งให้เขานับถอยหลัง

     

     

     

                มันสั้นมากเกินกว่าจะทำใจรับได้จริงๆ

     

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

                ภายในสนามบินพลุกพล่านไปด้วยมวลชนหลายสัญชาติ มีภาษาที่เขาฟังไม่ออกและเต็มไปด้วยคนที่เขาไม่รู้จักทั้งนั้น ร่างสูงโปร่งชะเง้อคอมองซ้ายมองขวา เขาพยายามหาบอร์ดที่คนน้อยที่สุดแต่มันก็ไม่มี จนสุดท้ายก็ต้องอาศัยความสูงของตัวเองในการมองตัวอักษรพิกเซลเหล่านั้น

     

                 “Departure….Departure….” นึกโทษตัวเองที่ช่างโง่แสนโง่ไม่ยอมสอบถามรายละเอียดให้แน่ชัด หรือไม่ก็ต้องบอกว่าเขาโง่ที่ไม่จัดการให้เรื่องทุกอย่างมันจบๆไปตั้งแต่ที่โรงเรียน ที่หน้าบ้าน หรือแม้แต่ที่ข้างรถคันหรูซึ่งเขายังจำป้ายทะเบียนของมันเอาไว้แม่น ยิ่งกว่าเวลาทีนักฆ่าจำหน้าเหยื่อของตัวเองเสียอีก

     

                เขาไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงต้องมาปาดเหงื่ออยู่ตรงนี้

                เขาไม่เข้าใจเลยสักนิดว่าปล่อยให้หัวใจโดนขโมยไปได้ยังไง

     

     

                1298 ไมล์จากกวางเจาไปโซลหน่ะ... จะตามไปเอาคืนมายังไงดี

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

                “พายุเหรอ?”

     

                “อืม”

     

                “น่าเบื่อสิแบบนี้”

     

                “คงงั้นมั้ง...” คริสตอบแบบไม่ค่อยใส่ใจเท่าใดนักก่อนจะโยนลูกบาสในมือของตัวเองไปยังแป้นสูงตระหง่านตรงหน้า และมันก็สมกับการเป็นนักบาสประจำโรงเรียนนั่นแหละ (หมายถึงโรงเรียนที่แคนนาดานะ) เพราะลูกกลมนั่นกลิ้งวนรอบแป้นอยู่สองสามครั้งก่อนจะกลิ้งหลุนลงหลุมไป

     

                “แล้วจะทำอะไรบ้าง?”

     

                “....”

     

                “...”

     

                “....คงเล่นเกมส์มั้ง น่าเบื่อ เล่นบาสไม่ได้...”

     

                “งั้นไปบ้านได้ป่ะ?”

     

                “หืม?”

     

                “พ่อกับแม่ไม่อยู่ ไปนอนบ้านคริสได้ป่ะ?” คำถามจากริมฝีปากสีชมพูคู่นั้นทำให้เขาครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะพยักหน้าตอบตกลงเมื่อคิดว่ามันก็คงดีไม่น้อยสำหรับช่วงเวลาพายุเข้าและโรงเรียนต้องหยุดยาว อันที่จริงก็อยากจะบอกเซฮุนอยู่เหมือนกันว่าพ่อแม่ของเขาไม่อยู่เหมือนกันแต่ช่างมันเถอะ

     

                ในเมื่อประเด็นคือบ้านของเขาไม่ใช่พ่อแม่...

               

     

     

     

     

     

     

                “ไม่เห็นเคยบอกเลยว่าอยู่คนเดียว”

     

                “มึงไม่ถามนี่?”

     

                “บอกสิ คราวหลังจะได้มาอยู่เป็นเพื่อนไง” คริสก็เริ่มไม่ค่อยแน่ใจว่าใครกันแน่เป็นเจ้าของบ้าน แต่เขาไม่นึกถือสาหรอกนะ ต่อให้เซฮุนจะกระโดดลงไปทิ้งตัวบนเตียงกว้างของขาแบบนั้นเขาก็ไม่ถือสาอะไรหรอก เขาไม่มีสิทธ์ขาดขนาดนั้นตราบใดที่สมองยังคงทำงานตามที่หัวใจบอก

     

                “เหอะๆ... อาบน้ำเถอะ เดี๋ยวจะเย็นกว่านี้” คริสว่าลอยๆอย่างไม่ได้นึกสนใจใยดีนักว่าอีกฝ่ายจะทำตามหรือเปล่า เขาปรายหางตามองโอเซฮุนที่ง่วนอยู่กับการรื้อเสื้อผ้าออกมาจากกระเป๋าเป้ของตัวเองเพื่อหาชุดนอนสำหรับคืนแรกในบ้านขนาดเล็กหลังนี้

     

                “แล้วมึงหล่ะ?”

     

                “เดี๋ยวอาบ”

     

                “อือ” ผ้าขนหนูสีส้มโอรสโยนแหวกอากาสไปแปะอยู่ตรงกลางหัวของเซฮุนพอดิบพอดี ริมฝีปากสีชมพูยู่เข้าหากันพร้อมกับจมูกที่ย่นขึ้นไปจนสูง คริสหัวเราะให้กับท่าทางเหมือนเด็กเอาแต่ใจและเตรียมรับมือกับหมัดเล็กๆแรงเท่าแมวข่วนที่หัวไหล่ของตัวเองเรียบร้อย

     

                หลังบานประตูปิดลง เจ้าของห้องตัวจริงก็วาดยิ้มออกกว้าง ใบหน้าของเขาแต่งแต้มไปด้วยความสุขชนิดที่นานครั้งจะสรรหามันเจอสักที เขาทิ้งตัวลงแผ่บนเตียงว้าง มองเพดานสีขาวที่วันนี้รู้สึกว่ามันไม่ได้น่าเบื่อหน่ายอะไรอีกต่อไป

     

                “ไอ้แห้งโอเซฮุน....” 

     

     

     

     

     

     

     

     

                “แบบนี้?”

     

                “ไม่ใช่เว้ย แบบนี้...”

     

                “ห่า ยุ่งยาก ทำไม่เป็น” คริสแทบจะล้มโต๊ะตอนที่ตัวเลขบนกระดาษของเข้าถูกแก้ด้วยดินสอหัวทู่ของคนที่นั่งอยู่ข้างกัน เรียวลิ้นเดาะกระพุ้งแก้มด้วยความไม่พอใจในผลลัพธ์สุดท้ายของโจทย์คณิตศาสตร์ เขาแทบอยากจะเขวี้ยงหนังสือนี่ลงถังขยะเสีย (พนันได้เลยว่าลงแน่!) แต่ก็ต้องสะกดอารมณ์เอาไว้ในเมื่อตรงข้างตัวยังมีใครอีกคนนั่งเอาดินสอจิ้มโจทย์ไปมาอย่างใจเย็น

     

                “นี่ไง พลาดแค่ตอนสุดท้ายเอง”

     

                “ก็ผิดอยู่ดี”

     

                “พยายามหน่อยดิวะ” เซฮุนจับแผ่นกระดาษพลิกไปอีกหน้า ดวงตาเรียวไล่หาโจทย์อีกสักข้อที่น่าจะคล้ายคลึงกับข้อก่อนหน้าอย่างจดจ่อจนอีกคนรู้สึกตะหงิดใจหมั่นไส้ขึ้นมาแปลกๆ

     

                “เหอะ”

     

                “ข้อนี้... ห้ามผิดแล้วนะ”

     

                “มึงห้ามกูแล้วกูทำได้ไหมหล่ะ”

     

                “คริสโอปป้า ไฟติง~

     

                “พ่อมึง....” แจกมะเหงกลงกลางหัวของคนข้างกายแต่ก็ไม่วายโปรยรอยยิ้มออกมาอยู่ดี เซฮุนหัวเราะให้กับท่าทางเอียงอายของเพื่อนสนิทที่เขาไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก ขาเรียวยืดออกเพื่อผ่อนคลายความเมื่อล้าจากการนั่งขดแข็งในท่าเดิมมาร่วมชั่วโมงพร้อมกวาดตามองไปรอบกาย ภายในห้องที่เขาใช้เวลาอยู่มาแล้วสามวันเต็ม

     

                ห้องนอนของคริสเรียบง่ายแต่ก็ดูมีเสน่ห์ แน่นอน... เตียงกว้างตรงนั้นหลับสบายจนเขาตื่นสายทุกวัน ถ้าเจ้าของบ้านไม่ปลุกเห็นทีคงนอนอุตุกินตะวันจนถึงบ่าย กลิ่นหอมจากสเปรย์ที่เจ้าตัวชอบฉีดก็ยังคงฟุ้งกระจายไม่ทั่วมาจนถึงตอนนี้ ยิ่งเมื่อผสานเข้ากับกลิ่นน้ำหอมของคริสแล้ว เขารู้สึกว่ามันเข้ากันดี

     

                จะพูดได้ไหมนะว่าเขากับคริสเองก็เข้ากันดีเช่นกัน...

     

                “อ่ะ”

     

                “...”

     

                “ถูกป่าววะ?”

     

                “ถูกแล้ว ทำได้สักที”

     

                “โอเค งั้นพอแค่นี้”

     

                “เฮ้ยยยยย~” คริสเอนแผ่นหลังลงเพื่อทิ้งหัวลงบนตักของอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์ โอเซฮุนทำทีทำท่าเหมือนจะร้องโวยวายแต่แล้วก็ยอมเงียบเมื่อเขายกนิ้วชี้ขึ้นแตะที่ริมฝีปากของตัวเองเป็นสัญญาณว่าต้องการการพักผ่อนจริงๆ

     

                ผมไม่ได้ลืมตาขึ้นมามองใบหน้าของอีกคนที่เดาได้ไม่ยากนักหรอก โอเซฮุนก็ยังน่ารักเหมือนเดิมนั่นแหละ น่ารักจากทุกมุมมอง ไม่ว่าจะมองทางซ้าย ทางขวา จากล่างหรือบน โอเซฮุนก็ให้ความรู้สึกเหมือนเขาเป็นหมาแหงนมองเครื่องบินอยู่ดี...

     

                ร่างสูงสะดุ้งหน่อยเมื่อมือเรียววางลงบนหน้าผากแล้วเกลี่ยเบาๆ คริสได้ยินเสียงของอีกคนครางงึมงำเป็นภาษาอังกฤษ เขาพยายามเงี่ยหูฟังมันให้ชัดด้วยการแสร้งทำเป็นหลับ หวังว่าความเงียบจะทำให้อะไรชัดเจนขึ้น

     

    I'm lucky I'm in love with my best friend
    Lucky to have been where I have been
    Lucky to be coming home again

     

    I'm lucky we're in love in every way
    Lucky to have stayed where we have stayed
    Lucky to be coming home someday

     

                และมันก็ชัดเจนขึ้นจริงๆ.....

     

                หัวใจของเขา... กำลังเต้นแรง.... ได้ยินชัดเจนเลยหล่ะ อู๋อี้ฟาน

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

                อี้ฟานไม่รู้หรอกว่ามันจะใช่เที่ยวบินนี้หรือเปล่า เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองจะมาถึงทันเจ้าของกระเป๋าเดินทางสีม่วงที่เอาแต่ร้องไห้ขี้มูกโป่งเมื่อประมาณสี่ชั่วโมงที่แล้วหรือไม่ แต่เขาก็จะพยายาม... คนที่ไม่เคยนึกถึงพระเจ้ากำลังสวดภาวนาด้วยบทอะไรสักอย่างที่จำได้ว่าเคยได้ยินมาจากพิธีมิสซาเมื่อสมัยประถม

     

                จะไม่ด้วยโชคชะตาก็ขอให้มีปาฏิหาริย์เถอะ!

     

                ขายาวก้าวสลับอย่างรวดเร็วอีกครั้งแม้ว่าข้อเท้าที่บาดเจ็บจะปวดร้าวไปหมด ดวงตาคมกริบดุจเหยี่ยวมองไปรอบกาย ผู้คนพลุกพล่านทำให้เขาจิ๊ปากอย่างขัดใจ นึกอยากจะตะโกนเสียงดังออกมาเหมือนเวลาที่ตะโกนขอลูกบาสจากเพื่อนร่วมทีมชาวเกาหลี เรียกชื่อ โอเซฮุน ให้ก้องไปทั่วสนามบินโดยไม่พึ่งพนักงานประชาสัมพันธ์

     

                ฝ่ามือยกขึ้นปาดเม็ดเหงื่อที่เคลื่อนเข้ามาเฉียดหางตา คริสพรูลมหายใจออกพรวดใหญ่ตอนที่เขาย่อตัวเองท้าวฝ่ามือทั้งสองข้างไว้กับหัวเข่าของตัวเอง ชุดนักเรียนหลุดลุ่ยทำให้เขากลายเป็นเป้าสายตาของคนที่เดินผ่านไปผ่านแต่ในเวลานี้เขาไม่ได้เป็นห่วงสายตาพวกนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว

     

                ตลอดเวลาปีกว่าที่ผ่านมาเขาสนใจเพียงแค่ดวงตาของโอเซฮุนเท่านั้น

                เขาเห็นเพียงแค่โอเซฮุน.... โจรขโมยหัวใจที่กำลังจะบินจากเขาไปไกลแสนไกล

     

     

                แต่ 1298 ไมล์ ไกลพอสำหรับการเสียน้ำตาของเขาอย่างแน่นอน...

     

     

     

                “โอเซฮุนนนนนนนนนนนนนนนนน!!!!!

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

                “ถ้ากูกลับเกาหลีแล้วมึงจะทำอะไรวะ?”

     

                “ไม่รู้สิ... คิดถึงมึงมั้ง”

     

                “อันนั้นเป็นไฟลท์บังคับอยู่แล้ว” ดวงตาเรียวหยีลงมาขณะที่เอื้อนเอ่ยประโยคนั้น คริสไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรกันทำไมแก้มขาวถึงได้ขึ้นสีแดงขึ้นมาได้ แต่เขาขออนุมานเอาเองให้ตัวเองฟินเพียงลำพังว่ามันเป็นเพราะโอเซฮุนกำลังเขินอยู่แน่ๆ

     

                “แล้วมึงหล่ะ... จะทำอะไร?”

     

                “คิดถึงมึงเหมือนกัน... แล้วก็ไปเรียนเขียนแบบ”

                 

                “เข้าสถาปัตย์สินะ?”

     

                “อือ... มึงหล่ะ?”

     

                “ติด NBA มั้ง...ฮะๆ... กูว่าจะกลับไปแคนนาดา ไม่ก็เที่ยวเล่นสักปี”

     

                “อ่า....” หมอนั่นทำหน้างงเหมือนจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด ก็ตามนั้นแหละ เพราะเขาต้องการแบบนั้น... เวลานี้คริสเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าท้ายที่สุดแล้วเขาควรจะทำยังไงกับชีวิตหลังจากนี้ต่อไปดี

     

                เขาไม่อยากไปในที่ที่ไม่มีโอเซฮุน...

                ไม่อยากอยู่ ในที่ที่ปราศจากรอยยิ้มสว่างเหมือนพระอาทิตย์

     

                “...”

     

                “...”

     

                “...” ความเงียบเข้าปกคลุมพื้นที่ว่างทั้งหมด สระหลังโรงเรียนในวันสุดท้ายของภาคการศึกษามักจะเงียบสงบเสมอเพราะใครต่อใครต่างก็พากันหนีไปฉลองที่ร้านอาหารกันหมด และมันก็เป็นโอกาสดีถ้าหากว่าเขาจะพูดอะไรออกไปแบบตามตัวเองสักครั้ง

     

                “เซฮุน...” อี้ฟานคิดว่ามันแปร่งไปหน่อยที่เขาจะเรียกชื่อของอีกคนด้วยน้ำเสียงแบบนี้ หัวใจดวงเล็กกำลังสับสน มันตีปนกันไปหมดด้วยความรู้สึกต่างๆนานาซึ่งตอนนี้เขาไม่มั่นใจเลยว่าจะสามารถจัดการกับมันได้ ยิ่งเมื่อเสี้ยวหน้าหวานนั้นตะแคงมองมา คำพูดที่ติดอยู่ตามริมฝีปากปากก็สะดุดกึกลงทันที

     

                “หื้ม?”

     

                “...” คิ้วของเขาขมวดแน่น ถ้าหากเป็นเชือกมันคงได้กลายเป็นปมไปแล้ว คริสเม้มริมฝีปากสลับกับคลายมันออกมา ก่อนจะเบี่ยงใบหน้าหลบไปอีกทาง หาหลักสติให้กับตัวเองเสียก่อน

     

                “เป็นไรวะ... ทำหน้าเหมือนปวดขี้” หมอนั่นเอื้อมมือมานวดที่ระหว่างคิ้วของผมพลางส่งเสียงหัวเราะไปมาอย่างชอบอกชอบใจ ผมหันหน้ากลับไปมองมัน จ้องเข้าไปในลูกปัดสีชาที่กลิ้งเกลือกหลีกซ้ายหลีกขวา อะไรสักอย่างทำให้ผมคว้าหมับเข้าที่ข้อแขนบอบบางนั่นไว้แน่นแล้วฉุดอีกคนเข้ามาฝังจมอยู่กับแผ่นอก

     

                “ไม่อยากให้มึงกลับเลยหว่ะ...” สุดท้ายคำว่ารักของเขาก็เหลือเพียงแค่ประโยคยาวเหยียด...หัวใจที่เต้นโครมครามเมื่อครู่สงบลงอย่างเชื่องช้า มันถูกแทนที่ด้วยความปวดเสียดขณะที่อ้อมแขนก็รัดอีกคนเอาไว้ไม่ยอมปล่อย

     

                เขาไม่รู้ว่าเซฮุนมีสีหน้าอย่างไรในตอนนั้น แต่ความชื้นแฉะบนเสื้อนักเรียนก็พอจะบอกได้ว่าไอ้ตัวแห้งจากแดนกิมจิคงปล่อยน้ำตาให้ไหลลงมาเงียบๆ ครั้นพอคิดว่าเขาจะผละออกมาเพื่อเช็ดน้ำตาให้มันเสียหน่อย แขนเก้งก้างนั่นกลับรัดรึงร่างของเขาเอาไว้แน่นกว่าเดิมพร้อมกับเสียงสะอื้นที่ดังชัดขึ้น

     

                “ฮึก..ไอ้ห่า....ฮึก...กูว่ากูจะไม่...ฮือ...ไม่ร้องแล้วนะ...”

     

                “ไอ้ขี้แย...”

     

                “เพราะมึง...ฮึก...เพราะมึงคนเดียว...ฮืออ....”

     

                “ไอ้แห้งขี้แยเอ้ย!

     

                “อู๋อี้ฟาน...ฮึก...ที่กูเป็นแบบนี้...ฮือ...มันเพราะมึงทั้งนั้น...”

     

                โอเซฮุนร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่หลายนาทีกว่าจะยอมผละออกมา เราตัดสินใจเข้าไปล้างหนาในตึกแล้วเดินออกมายังฟุตบาท เซฮุนจะบินคืนนี้... และผมก็ไม่อยากถามเวลาให้ตัวเองเกิดกิเลสไปส่งหมอนั่นที่สนามบิน เพราะเดาได้ไม่ยากว่าถ้าถึงเวลานั้นเขาคงต้องร้องไห้เป็นแน่...

     

                แต่สุดท้ายคริสก็ทำใจปล่อยวางไม่ได้ เขาจับมือของอีกคนมากุมไว้ ถามไถ่ให้แน่ชัดว่าโอเซฮุนเก็บข้าวเก็บของเรียบร้อยหมดแล้วใช่ไหม และเมื่อได้คำตอบเป็นการพยักหน้ายืนยัน มือหนาก็สอดเข้าไปตามร่องนิ้วของอีกคนแล้วเดินเลยป้ายรถเมล์ออกมา เลยออกมาไกลขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้ใกล้บ้านของเซฮุนมากยิ่งขึ้น

     

                เราคุยกันลอดทาง กระทั่งถึงหน้าบ้าน พ่อและแม่ของเซฮุนนั่งอยู่บนรถที่เตรียมขับออกไปเรียบร้อย ไอ้แห้งหันมามองหน้าผมก่อนจะโผเข้ากอดแน่นอีกครั้ง มันเบ้ปากคล้ายจะร้องไห้ ผมเลยแกล้งล้อมันว่าถ้าร้องและจะไม่ได้แต่งงานนะมันถึงยอมยิ้มทั้งที่ฝืน

     

                “เดินทางปลอดภัยหล่ะ”

     

                “อือ คริสกลับบ้านดีๆนะ” .... เขากำลังจะกลับบ้านของเขา และผมก็ควรกลับบ้านของผม

     

                “อืม”

     

                “ต้องคิดถึงด้วยนะ กาเกา ไลน์ เว่ยหน่ะ.... ต้องตอบกูด้วยนะ”

     

                “อยู่แล้ว มึงเหมือนกัน” คริสวางมือแหมะลงบนหัวของอีกฝ่ายแล้วขยี้เบาๆ มันคงไม่เท่าไหร่หรอกมั้ง.... คงไม่แย่เท่าไหร่หรอกมั้ง

     

                “อ่า...ไปก่อนนะคริส... กูจะกลับมาหามึงให้ได้”

     

                “อื้ม....กูจะรอ”

     

                “...อ่า... ไปนะ” ขาเรียวยาวนั้นก้าวห่างออกมาจากผมเพื่อตรงไปยังรถโดยสาร ผมส่งยิ้มให้พ่อกับแม่ของเขาแล้วโค้งให้ตามมารยาท ก่อนจะตวัดตากลับมามองเจ้าของแผ่นหลังแคบที่เดินต่อเท้าไปยังรถอย่างคนที่พยายามจะยืดเวลา

               

                “......เซฮุน” ผมสูดหายใจเข้าปอดและคิดว่าตอนนี้ผมควรจะพูดมันออกไป

     

                “...” เขาหันกลับมา เลิกคิ้วขึ้นหนึ่งข้าง

     

                “...” วินาทีนั้นผมคิดว่าแค่เก็บมันไว้แล้วปล่อยให้มันผ่านไปก็คงพอ

     

                “...”

     

                “...” พอแค่นี้... อาจจะไม่ต้องเจ็บ

               

                “...”

     

                “ต้องกลับมาหล่ะ.... เดินทางปลดภัย” ผมโบกมือให้กับเขาอีกครั้ง รู้สึกเหมือนหมอนั่นอยากจะพูดอะไรสักอย่าง ดวงตาเรียวคู่นั้นช้อนขึ้นมองผมและตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกว่ามันมีอะไรมากมายซ่อนอยู่หลังม่านน้ำตา เซฮุนพยักหน้าแล้วสอดตัวเองเข้าไปในรถ

     

                ผมยืนล้วงกระเป๋า จ้องมองเลขทะเบียนของยานพาหนะที่กำลังเคลื่อนตัวออกไป

     

                “เซฮุน...กูรักมึง”

     

                มันหลุดออกมาหลังจากที่ท้ายรถเลี้ยวพ้นหัวมุมของซอยแคบที่เราเดินมาด้วยกัน

     

                ผมยกมือขึ้นทาบตรงตำแหน่งหัวใจ

                ประหลาด... มันวูบโหวง ไม่มีเสียงอะไร

     

     

                วินาทีนั้นผมนึกถึงราพันเซล... นิทานที่แม่เล่าให้น้องสาวฟังทุกคืน ส่วนพี่ชายอย่างผมก็ได้แต่นอนขื่นฟังๆมันให้จบไปก่อนนอน

     

     

     

                “เจ้าชายผู้กล้าหาญไต่ขึ้นไปบนปราสาทด้วยเส้นผมของราพันเซล เขาทำตามหัวใจของตัวเองเพื่อคว้ารักแท้เอาไว้”

     

     

     

     

                ผมจับสร้อยคอของตัวเอง ไม้สลักบูดเบี้ยวฝีมือของเขาจิ้มลงที่ปลายนิ้วของผม

     

                เจ้าชายงั้นเหรอ... ใช่สิใครๆก็เรียกคริสว่า Prince ทั้งนั้นแหละ

     

     

     

     

     

     

     

                อี้ฟานคิดว่าตัวเองคงระห่ำมาก... ระห่ำที่สุดในโลก

     

                เขากระชากประตูของรถแท็กซี่ที่จอดอยู่แล้วสอดตัวเข้าไปด้านใน ไม่คิดถามราคา ไม่สนใจว่าในกระเป๋ามีเงินอยู่แค่ไหน

     

     

                “ไปสนามบินครับ!

     

     

                เอาเป็นว่า... ไต่ไปให้ถึงยอดหอคอยก่อนแล้วกัน

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

                เซฮุนละหน้าของตัวเองออกมาจากเคาท์เตอร์หลังได้ยินเสียงก้องกังวานตะโกนเรียกชื่อของเขา และคงจะไม่ประหลาดใจเท่าไหร่ถ้าหากเสียงนั้นช่างละท้ายคล้ายคลึงกับคนที่ชื่ออู๋อี้ฟานเป็นบ้า

     

                “เรียบร้อยค่ะ” เสียงพนักงานบอกเตือนว่ากระเป๋าสัมภาระของเขาถูกโหลดเข้าไปจนครบเรียบร้อยแล้ว เซฮุนก้มลงเช็ครายละเอียดบนบัตรโดยสารของตัวเองอีกครั้งก่อนจะขยับตัวละออกมาเพื่อให้ผู้เดินทางคนต่อไปได้จัดการธุระของตัวเองบ้าง

     

                บางทีเขาอาจจะแค่คิดถึงผู้ชายตัวสูงคนนั้นมากเกินไป...

     

                ริมฝีปากแห้งผาดเม้มเข้าหากัน มันยากเหลือเกินที่จะกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลลงมาอีกครั้ง กับคริสมันต่างไปจากคนอื่น ผู้ชายคนนั้นดูนิ่งแข็งและเย็นชา แต่ทุกครั้งที่อยู่ใกล้เขากลับรู้สึกอบอุ่นใจอย่างน่าประหลาด เขาชอบเวลาที่มือของตัวเองโดนคว้าเข้าไปกุมเอาไว้แล้วเราก้าวเท้าไปตามทางฟุตบาทในจังหวะเดียวกัน

     

                หลงรักเวลาที่อี้ฟานยิ้มให้กับมุกตลกฝืดเฝื่อนของเขา ชอบเวลาที่คิ้วนั้นยุ่งเละเทะตอนฟังภาษาเกาหลีดั้งเดิมอันแสนเร็วรัวไม่ออก ขบขันเมื่ออี้ฟานเผลอหลุดมาดนิ่งๆของตัวเองด้วยการเดินสะดุดอะไรสักอย่าง หรือหัวเสียเวลาโยนลูกบาสไม่ลงแป้นแต่สุดท้ายก็ยิ้มออกมาพอเขาหิ้วเอาเกลือแร่ไปให้

     

                เขารักทุกอย่างที่เป็นอี้ฟาน

                เซฮุนมั่นใจ... มันคือความรัก

     

                แต่ถ้าจะพูดออกไป ก็กลัวแสนกลัวว่าทุกอย่างระหว่างเราจะขาดสะบั้นลงแบบจับมาต่อกันอีกไม่ได้... มิตรภาพชุดนี้ไม่อาจเอาไปเสี่ยงกับอะไรได้เลยจริงๆ เขาหวงแหน และรักมันมาก มากเกินกว่าจะเอามันไปเสี่ยงกับคำว่ารักคำเดียวแม้ว่าคำนั้นจะเป็นทุกอย่างของความรู้สึกที่เขามีก็ตามที

     

                “เซฮุน!! โอเซฮุน!!!!” ครั้งนี้เขาแน่ใจว่าหูตัวเองไม่ได้ฝาด เพราะภาพตรงหน้าคือเพื่อนที่เพิ่งแยกจากกันเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว แม้เสื้อผ้าจะหลุดลุ่ยแต่คริสก็ยังคงดูดีไม่เคยเปลี่ยน ข้างแก้มทั้งสองประดับไปด้วยเม็ดเหงื่อและถ้าให้เดาหล่ะก็ หมอนี่คงจะวิ่งตุเลงลงจากรถที่ติดหนักตรงหน้าสนามบินเป็นแน่

     

                “คระ...คริส...”

     

                “อย่า...โอ่ยเหนื่อย...อย่าเพิ่งไป...แฮ่ก...” ขายาวคู่นั้นขยับเข้ามาใกล้ ผมรู้สึกได้ว่าเขาคงเหนื่อยมาก ลมหายใจของเขาแรงขึ้นเรื่อยๆ เม็ดเหงื่อเหล่านั้นทำให้ผมต้องขยับตัวเข้าไปใกล้แล้วใช้แขนเสื้อเขลอะๆของตัวเองปาดมันออก

     

                อี้ฟานเงยหน้าขึ้นมา ยิ้มเผล่ให้กับผมด้วยท่าทางน่ารักที่ชวนให้มีรอยยิ้ม ฝ่ามือใหญ่โตเลื่อนมาจับที่ข้อมือของผมก่อนจะกระชากเข้ามาด้วยแรงทั้งหมดที่เขามีอยู่ในตอนนี้ ผมไม่ลังเลที่จะซบลงไปกับแผ่นอกกว้างขอเขาแม้มันจะชื้นเหงื่อจนแฉะไปหมด ใบหูแนบลงฟังเสียงหัวใจของเขาที่เต้นรัวจนแอบนึกกลัวว่ามันจะหลุดออกมา

     

                “เซฮุน...กูชอบมึง...”

     

                “...”

     

                “กูชอบมึง กูรักมึง กู...กูรักมึงมากเกินไปแล้ว”

               

                “คริส...”

     

                “ขอกูพูดเถอะ... ไหนๆมึงก็จะเอาหัวใจกูข้ามประเทศกลับเกาหลีไปกับมึงแล้ว ก็ขอกูบอกมึงสักหน่อยเถอะว่ากูรักมึงมากจริงๆ...  มากจนกูเก็บไว้ไม่ได้แล้วหว่ะ”

     

                “...”

     

                “กูหน่ะ..กู...กู....กูก็แค่... กูแค่รักมึง...รักมึงมากๆๆๆ...รักมึง โอเซฮุน กูรักมึง...” เสียงนั้นแผ่วลงเพราะสันจมูกโด่งกดลงที่ข้างขมับของผม คริสรัดวงแขนของตัวเองแน่นขึ้นไม่ต่างอะไรจากผมที่เบียดเข้าหาเขามากขึ้นเช่นกัน เป็นไปได้ผมอยากหยุดเวลาเอาไว้ตรงนี้ด้วยซ้ำ

     

                “...คริส...” วินาทีนี้ผมคงไม่มีอะไรจะผิด ผมคงไม่ผิดถ้าจะทิ้งหัวใจเอาไว้ที่กวางโจว...

     

                “...อย่าเกลียดกูนะไอ้ห่า กูขอแค่วันนี้...”

     

                “กูก็รักมึง”

     

                “...”

     

                “กูคงรักมึงพอๆกับที่มึงรักกูนั่นแหละ” เซฮุนดันตัวเองออกมาจากอ้อมแขนของอีกคนเพื่อมองใบหน้าได้รูปนั้นให้ชัดเต็มสองตา แต่เขาก็ไม่ทันได้จบจุดโฟกัสอะไรได้สำเร็จ ฝ่ามือหน้าก็ประคองใบหน้าแล้วรั้งเขาเข้าไปบดจูบเสียแล้ว

     

                ริมฝีปากของเราบดกันอยู่นานสองนาน อาจจะสามสี่ห้านานด้วยซ้ำ เราไม่ได้สนใจว่าเสียงประกาศขึ้นเครื่องจะดังขึ้นเป็นรอบที่สาม ผมไม่ได้แคร์ว่าตัวเองอาจจะต้องวิ่งโกยจนเหงื่อแตกผลักเพื่อเข้าไปให้ทันเครื่องบินเพาะสิ่งเดียวที่ดึงความสนใจองผมไปทั้งหมดคือริมฝีปากของเขาที่กำลังเม้มขบอยู่ในตอนนี้

     

                สุดท้ายผมต้องยอมจำนนเมื่อเสียงโอเปอเรเตอร์ประกาศเรียกชื่อของผม ใบหน้าของเขาผละออกมาก่อนจะเลื่อนริมฝีปากขึ้นกดจูบตรงหว่างคิ้ว...ตอนนี้ผมไม่รู้สึกว่าการบินกลับกาหลีจะเป็นเรื่องทุกข์อีกแล้วหล่ะ

     

                “ดูแลตัวเองด้วยคริส รักนะ”

     

                “เหมือนกัน เดินทางปลอดภัย...” เขาถอยห่างออกมาจากโอเซฮุนที่ค้อมตัวลงไปหยิบกระเป๋าสะพายของตัวเอง มือเรียวหันมาโบกให้เขาก่อนจะลากเท้าก้าวตามผู้โดยสารคนอื่นๆเข้าไป มือหนายกขึ้นทาบที่อกข้างซ้ายของตัวเอง ได้ยินเสียงก้อนเนื้อเต้นตึกตักเป็นจังหวะปกติแล้วจึงค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย

     

                อย่างน้อย ลากันแบบนี้ก็ดีกว่าไม่ได้พูดอะไร

                ถึงแม้ว่าสุดท้ายจะต้องแยกย้ายกันไป แต่ก็ไม่มีอะไรค้างในใจ

     

                “เซฮุนนา!

     

                “...” เจ้าของชื่อหันหน้ากลับมาตามเสียงตะโกนเรียกอีกครั้ง และการเห็นผู้ชายตัวสูงคนนั้นป้องปากพูดอะไรสักอย่างก็ทำให้ริมฝีปากต้องคลี่ยิ้มกว้างออกมา

     

                “กูเปลี่ยนใจแล้วนะ...กูจะไปเกาหลี”

     

                “อาฮะ...”

     

                “ไว้กูถึงอินชอนแล้วจะโทรหามึงนะ”

     

                “โอเค...ได้เลย!

     

                ทุกอย่างจบลงด้วยรอยยิ้มและการโบกมือเพื่อลากจากกัน

     

                เข้าใจแล้วหล่ะ ความรู้สึกของเจ้าชายตอนกระโดดเข้าไปในยอดหอคอย

     

     

                คริสยิ้มกว้างให้ตัวเองอีกครั้งก่อนจะลากขาออกไปยังประตูเพื่อหาแท็กซี่กลับบ้านของเขา

     

     

                เห็นทีคืนนี้คงต้องกลับไปแพคกระเป๋าเตรียมไว้เสียแล้ว...

     

     

    FIN*
     

    ไม่รู้พูดไรดี... สวัสดีแล้วกันนะ ฮ่าๆ อันนี้รวมช็อทฟิค ส่วนมากก็พยายามให้เป็น 1 ตอนแล้วจบ (พยายามเท่านั้นจริงๆ) ไม่รู้ว่าจะถูกใจหรือเปล่า ก็ฝากด้วยแล้วกันนะคะ ^^



     

    Minor!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×