ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [WONKYU ft. KIHAE] DAMNCUPID . พรหมลิขิตพิสดาร

    ลำดับตอนที่ #5 : . ความประทับใจที่สอง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 821
      2
      10 ธ.ค. 55


    ดวงตาของคนเราหน่ะบอกทุกอย่างนั่นแหละ
    ผิดก็แต่ผมที่ไม่เคยจะอ่านออกเสียที
    !

     

     

                สถานที่นัดพบถูกเปลี่ยนอย่างกะทันหันจากร้านกาแฟที่ให้บรรยากาศสบายๆเหมือนอยู่บ้านกลับกลายเป็นร้านอาหารหรูหราที่ชาตินี้คยูฮยอนอาจไม่มีวันได้หยาดเยื้องฝ่าเท้าก้าวมาประทับรอยไว้บนพื้นไม้ปาร์เก้ขัดเงาที่ส่องสะท้อนแสงจากโคมไฟแก้วแวววาวระยิบระยับที่แขวนอยู่เหนือหัวเขา คือร้านแม่งมีพนักงานเสิร์ฟใส่ชุดทักซิโด้คอยบริการถอดเสื้อสูทให้ลูกค้า อนิจจาตัวเขาใส่แค่เสื้อเชิ๊ตธรรมดาเท่านั้น (แถมมีรอยโหว่นิดหน่อยตรงรักแร้อีกด้วย)

     

                “เอ่อ...” และจากที่เคยเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเอง ตอนนี้คยูฮยอนกลับรู้สึกว่าตัวเขาเป็นเพียงแมลงสาบในห้องครัวของโรงแรมหรูเท่านั้น ความมั่นใจเอยอะไรเอยเหมือนถูกจับมัดไปโยนทิ้งลงในทะเลแปซิฟิก เหลือแค่โจวคยูฮยอนลูกเมียหลวงผู้น่าสงสารที่ได้แต่เดินตามคุณชายใหญ่ทั้งสอง(?)ด้วยแววตาละห้อยละเหี่ย

     

                “VIP Room

     

                “ครับ” ดวงตากลมกลอกมองผู้จัดการตัวใหญ่ที่เดินนำขบวนทัพตรงรี่เข้าไปหาบริกรคนหนึ่งแล้วกระซิบกระซาบโค้ดลับอะไรกันสักอย่างก่อนที่พี่จองฮุนจะเดินตามบริกรคนนั้นอีกที (จินตนาการภาพห้องเรียนของเด็กอนุบาลที่เราเดินตามหลังกันเตาะแตะ นั่นแหละบรรยากาศในตอนนี้เลยหล่ะ) เขาพยายามจะชะเง้อคอมองผ่านไหล่กว้างลาดๆของชเวซีวอนที่ตั้งตรงเสียจนแทบจะจอดเครื่องบินได้ แต่ความสูงของพ่อดาราหนุ่มนี่มันช่างตัดความมั่นใจของเขาที่มีมาตลอดยี่สิบปีเหลือเกิน... เขาเคยคิดว่าเขาสูงมากแล้วแต่พอมาเจอชเวซีวอนที่สูงกว่าเขา และบึกกว่าเขา คุณพระ ! เขาตัวเล็กลงอีกแล้วหล่ะ ซึ่งส่วนนี้คงต้องโทษลีทงเฮเพื่อนสนิทที่บังอาจใช้ความเตี้ยล่ำสันมาบังตาเขาตลอดเวลาที่ผ่านมาทำให้เขาคิดไปเองตลอดเลยว่าความสูงที่เขามีนั้นคือสุดยอดแล้ว

     

                อ่อ พูดถึงชเวซีวอน เกือบลืมไปแล้วเชียวว่ามีหมอนั่นเดินนำหน้าอยู่หน่ะ... อันที่จริงเขาเองก็อยากจะชวนหมอนั่นคุยบ้างอะไรบ้าง ติดอยู่ก็แต่ว่าไม่รู้จะเริ่มยังไงดี เพราะก่อนหน้านี้บนรถหน่ะเขาดันไปปล่อยเป็ดปล่อยไก่เกลื่อนกลาดใส่ดาราตัวสูงคนนี้เสียเต็มสตรีม ตั้งแต่เอนคอไปซบไหล่เขาแล้วก็บ่นพึมพำจนหมอนั่นนั่งฟังตัวแข็ง เผลอหลับแล้วหัวฟาดเข้ากับฟันหน้าของซีวอนจนหัวเกือบยุบ แล้วไหนจะตอนที่ลงมาจากรถแล้วเผลอเหยียบรองเท้าราคาแพงของหมอนั่นจนเป็นรอยอีกตะหาก โชคดีหล่ะที่ชเวซีวอนไม่ปริปากด่าเขาสักคำ สมภาพพจน์หล่อเหลาเอาเก่ง(?)ของเจ้าตัวเขาจริงๆหล่ะ

     

                “เฮ่ออออออ... หวังว่าที่นี่คงไม่มีพวกปาปารัซซี่อะไรนั่นอีกหล่ะ” ทันทีที่เดินมาถึงห้อง VIP คิมจองฮุนก็พรูลมหายใจเฮือกใหญ่ออกมาก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาสไตล์วินเทจสีครีมอ่อนทันที อย่าเรียกว่าทิ้งตัวเลยนะ อันที่จริงเหมือนพี่แกจะกระแทกตัวเองใส่เครื่องนั่งสุดหรูนั่นมากกว่า

     

                “...” ตัวดูดปาปารัซซี่(?) ก้าวเท้าทิ้งห่างร่างของผมออกไปแล้วค่อยๆย่อขาลงเพื่อทิ้งตัวลงบนโซฟาตามผู้จัดการส่วนตัวไปติด ๆ ปล่อยให้ผมซึ่งเป็นคนนอกที่ไม่ค่อยจะรู้จักการวางตัวในสถานการณ์ประหลาดแบบนี้ได้แต่ยืนนิ่งเกาหัวจนรังแคร่วงกราวลงมาสร้างสมาคมอยู่ที่พื้น... แล้วทีนี้ เขาควรจะพูดอะไรต่อหล่ะ ?

     

                “ไม่นั่งเหรอ?” และก่อนที่คยูฮยอนจะได้นึกกร่นด่าผู้ชายสองคนที่ล่อลวงเขามาถึงร้านอาหารหรูหรา คิมจองฮุนฮยองซึ่งดูมีมนุษย์สัมพันธ์ดีที่สุดในกลุ่มก็เอ่ยประโยคคำถามที่พอตีความแล้วน่าจะเป็นคำชวนให้เขาไปนั่งด้วยขึ้นมาเสียก่อน คยูฮยอนก็เลยสาวเท้าตามไปทิ้งตัวลงบนโซฟาตัวเล็กซึ่งตั้งอย่างโดดเดี่ยวอยู่ฝั่งตรงข้าม

     

                “หิวหรือเปล่า”

     

                “เห?” ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าเสียงที่ได้ยินนั้นใช้ชเวซีวอนหรือเปล่า แต่พอเงยหน้าขึ้นมาแล้วสบเข้ากับดวงตาดำขลับสีนิลที่กำลังจ้องมองมาทางเขาพร้อมกับยื่นเมนูออกมาให้มันก็ทำเอาเขาตัวเกร็งขึ้นมาเสียเฉย ๆ เพราะไอ้คำถามเมื่อครู่นั้นออกมาจากริมฝีปากหยักได้รูปของพ่อดาราหนุ่มที่ตอนนี้กำลังทอดสายตามามองเขาอยู่ สายตาที่เขาเองก็ไม่รู้ว่ามันแสดงนัยอะไรออกมากันแน่เพราะแม่ง.... น่ารักมว๊ากอ่ะ ! -//-

     

                “ผม... คือ...ผมว่า คุณ...เอ่อ...ซีวอน...เอ่อ...คุณซีวอนสั่งเองดีกว่าครับ ผมไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่” ผมกล่าวปฎิเสธไปอย่างสุภาพพร้อนมกับใช้ปลายนิ้วเรียวยาวสลวยดันเล่มเมนูอันหนากลับไปให้คนตรงหน้าที่ตอนนี้เริ่มขยับคิ้วเลิกขึ้นด้วยความสงสัย มันก็ตรงตามที่ผมบอกนั้นแหละ เมื่อสักครู่ตอนเดินเข้ามาแอบชะโงกดูเมนูของคนที่นั่งอยู่ด้านนอกเห็นแล้วว่ามันเป็นภาษาฝรั่งเศสอะไรไม่รู้ อ่านไม่ออก... ขืนให้เขาสั่ง มีหวังคืนนี้ไม่ต้องได้กินข้งกินข้าวกันพอดี

     

                “เอางั้นเหรอ... ฮะๆ ให้ตายเถอะ แล้วอะไรกันที่นายชอบกินหน่ะ” ร่างสูงใหญ่ที่ครอบครองเมนูเอาไว้อยู่ในมือส่งเสียงหัวเราะในลำคอก่อนจะเริ่มบ่นกับตัวเองต่อมาพร้อมกับขยับดวงตากลับมาไล่มองไปตามรูปภาพอาหารที่อยู่ในเมนู ขายาวถูกยกขึ้นซ้อนทับขาอีกข้างหนึ่งเป็นท่านั่งไขว่ห้าง ดูเหมือนว่าการเลือกอาหารครั้งนี้จะเป็นงานช้างสำหรับชเวซีวอนเสียแล้วหล่ะ

     

                “ผมกินอะไรก็ได้... คุณซีวอนกับคุณจองฮุนสั่งเลยครับ” เมื่อรู้สึกว่ายังมีร่างของผู้จัดการที่นั่งตาปรือปรอยมองเมนูอาหารที่กางอยู่ตรงหน้าอย่างไม่ใส่ใจนัก คยูฮยอนจึงดึงพ่อผู้จัดการเข้ามาอยู่ในบทสนทนาด้วย เพื่อไม่ให้เขาดูมีโลกส่วนตัว(?)กับชเวซีวอนมากเกนไปจนน่าเกลียด แน่นอนว่าพอผู้จัดการรูปหล่อ...(โอเค เขายอมรับก็ได้ เขาว่าบางทีจองฮุนฮยองก็ดูดีในแบบที่ชายมีอายุเขาจะดูดีได้หน่ะ) ก็เงยหน้าขึ้นมามองเขาพร้อมกับพูดประโยคเสียดแทงหัวใจออกมาจนเขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกย่อส่วนอีกครั้ง

     

                “อ่านภาษาฝรั่งเศสไม่ออกหล่ะสิเราหน่ะ...”

     

    เสือกรู้ทันกูอีก
    ~ w ~

     

                “แหะๆ...” นั่นแหละครับ ผมก็ทำได้แค่ส่งเสียงหัวเราะแหะ ๆ แล้วก็ยิ้มแห้ง ๆ ออกไป รู้แล้วหล่ะว่าทำไมพี่จองฮุนถึงได้มาเป็นผู้จัดการของดาราดังระดับนี้หน่ะ... ถึงจะหัวช้าไปหน่อย แต่เรื่องการอ่านคนนี่เฮียแกไม่พลาดจริงๆ

     

                “อ่า... งั้นผมเอ่อ...ขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะครับ” หลังจากนั่งมองสถานการณ์ไปได้สักพัก(ประมาณ 3 นาทีเห็นจะได้) คยูฮยอนก็เริ่มตระหนักได้ว่าเขาเองไม่สามารถมีส่วนช่วยในการเลือกสรรอาหารเย็นมื้อนี้ได้อย่างเต็มที่นัก ครั้นจะนั่งอยู่อย่างนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงความระแวดระวังและสายตาของชเวซีวอนและคิมจองฮุนที่สอดส่องมาคอยเช็คเขาเป็นระยะ ทางทีดีเขาควรจะออกไปจากห้องนี้เพื่อให้ทั้งสองคนได้สั่งอาหารกันตามอัธยาศัยแล้วค่อยกลับเข้ามาอีกทีตอนที่บริกรจดออร์เดอร์เรียบร้อยแล้ว

     

                “อื้ม” จองฮุนฮยองขานรับโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมามองผมในขณะที่ซีวอนก็ยังคงปักหลักตั้งอกตั้งใจอยู่กับการดูเมนูจนผมแอบนึกในใจว่าเขาคงจะหิวมากถึงได้ก้มหน้าก้มตาจ้องภาพอาหารราวกับจะเขมือบเข้าไปทั้งเล่มขนาดนั้น แต่ช่างเถอะ... เอาเป็นว่าตอนนี้ผมออกไปเข้าห้องน้ำ จัดการสภาพรุงรังยุ่งเหยิงของตัวเองก่อนดีกว่า

     

                บานประตูถูกเลื่อนปิดลงเบาๆด้วยฝ่ามือของร่างบางที่เพิ่งจะก้าวออกไป และทันทีที่สันประตูกระทบเข้ากับวงกบ ซีวอนก็เสใบหน้าคมคายหล่อเหลาขึ้นมา ทิ้งเมนูอาหารภาษาฝรั่งเศสลงบนโต๊ะตรงหน้าก่อนจะผ่อนคลายตัวเองด้วยการเอนหลังลงไปพิงโซฟาแล้วยกมือขึ้นปิดบังใบหน้าที่ถูกเคลือบไปด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ...

     

                “นั่งตัวแข็งเป็นหินเชียว... เหอะ ! ถูกใจหล่ะสิไม่ว่า”

     

                “ถูกจงถูกใจอะไร๊~” น้ำเสียงที่ปกติทุ้มต่ำถูกดัดให้สูงขึ้นเมื่อสัมผัสได้ว่าตัวเองกำลังถูกผู้จัดการตามความคิดได้ทันอีกแล้ว ซีวอนรีบหุบรอยยิ้มและปั้นสีหน้าให้กลับมาเรียบนิ่งเหมือนเดิม แต่ก็ไม่ได้แค่กี่นาทีหรอก เพราะเมื่อภาพของโจวคยูฮยอนลอยปิ๋วเข้ามาซ้อนทุกความคิดของเขา ร่างสูงก็ต้องยกเมนูขึ้นปิดหน้าเพื่อกำบังความรู้สึกของตัวเองเอาไว้

     

                “เหอะ... ทีอย่างนี้ทำปากแข็ง ยังไงซะ ครั้งเดียวก็คือครั้งเดียว...โอเค๊ ?”

     

                “ผมรู้หน่าพี่... สั่งอาหารเหอะ ~” สุดท้ายซีวอนก็จำต้องบ่ายเบี่ยงประเด็นออกไปอีกตามเคย ขืนพูดอะไรออกไปจะมีแต่ทำให้คนอย่างคิมจองฮุนจับได้มากขึ้นกว่าเดิม แถมเขาก็จะเสียฟอร์มหนักเข้าไปอีกกว่าเก่า... ดังนั้น สั่งอาหารแม่งเลยดีกว่า พี่จองฮุนจะได้ปากไม่ว่าง ไม่ล้วงแคะแกะเกาเขาอีก

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     



     

     

     

    คนที่น้อยใจ
    เขาไม่บอกหรอกว่ากำลังน้อยใจหน่ะ

     

    “ทงเฮ... ไปรดน้ำต้นไม้หน่อยสิลูก”
    * w *

     

                ถ้าแม่ไม่ทำเสียงอ้อนกับหน้าตาแอ๊บแบ๊วใส่เขาขนาดนั้นหล่ะก็นะ ป่านนี้ลีทงเฮผู้ชายหล่อโสดที่ติสม์สัด ๆ คงไม่ได้ออกมายืนจังก้าหอบสายยางยาวร้อยเมตรวิ่งโร่ไปทั่วหน้าบ้านเพื่อหยอดอาหารให้กับเหล่าพนาดงพงไพรหรอก... เพราะแดดยามบ่ายแก่ๆเช่นนี้นอกจากจะเป็นปรปักษ์ต่อผิวพรรณเนียนนุ่มขาวใสของเขาแล้ว ไอ้นายแบบที่พักนี้ดวงตกไม่มีงานเข้าก็ดันยืนอยู่หน้าบ้านพอดีด้วย

     

                เขาไม่ได้มีอคติอะไรมากมายกับคิมคิบอมหรอก ก็แค่รู้สึกหมั่นไส้ไอ้ผู้ชายอารมณ์แปรปรวนเหมือนพวกวัยหมดประจำเดือนที่นึกจะดีกับเขาก็ดีเสียเหลือเกิน แต่พอวันไหนอยากจะร้ายใส่เขาก็ทำหน้าตาปั้นปึง ยืนเงียบเป็นสากกะเบือเล่นเกมส์จ้องตากับเขาจนคนความอดทนสู๊งสูงอย่างลีทงเฮต้องตบเท้าก้าวหนีไปพร้อมกับเสียงดังโวยวายก่อนทุกที (แถมโดนแม่ด่าอีกตะหากว่าเป็นพวกเสียงดังไร้วัฒนธรรม)

     

                ให้ตายเถอะ ทงเฮก็ไม่ใช่เทพธิดาพยากรณ์ยิปซี 1900 ที่จะเดาอารมณ์ของคิมคิบอมได้ถูกทุกครั้งหรอกนะ เช่นเดียวกันกับบ่ายนี้นั่นแหละ ในขณะที่เขาออกแรงลากสายยางท่อนโตไปที่หน้าบ้าน หมอนั่นก็เพิ่งกลับมาจากการออกกำลังกายที่มีเจ้าตูบตัวโตได้อานิสงไปลดความอ้วนด้วย คิมคิบอมในกางเกงบอลสีขาวกับเสื้อกล้ามสีน้ำเงินที่แนบเนื้อเพราะน้ำเหงื่อจนเห็นซิกแพ็คมันทำให้เขาอดรู้สึกอิจฉาไม่ได้... เท่าที่จำความได้คิบอมเข้าฟิตเนสน้อยกว่าเขาอีก ไหงแม่งปึ๋งปั๋งขนาดนี้วะเฮ้ย !

     

                “รดน้ำต้นไม้ ?” ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาเป็นฝ่ายโดนทักก่อน... และที่สำคัญ นั่นเป็นคำทักทายจากคิมคิบอมเสียด้วย ! ทงเฮเงยหน้าขึ้นมาจากกอไม้กอหญ้าเพื่อมองใบหน้าโชกเหงื่อของอีกคนที่ท้าวอยู่กับรั้วไม้เตี้ย ๆ อยู่ สีหน้าที่ไม่ได้ดูเหนื่อยล้านั้นบ่งบอกได้ว่าวันนี้คิมคิบอมอาจจะอารมณ์ดีอยู่ก็เป็นได้...

     

                “เห็นผมร่อนทองอยู่ ?”

     

                “นี่ ฉันเป็นพี่นาย...”

     

                “อาฮะ... รู้หน่า” คนที่เพิ่งจะเบนหน้ากลับมาสนใจพืชพรรณของตัวเองขานตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ที่ไม่ได้คิดอะไร จนไม่ทันได้สังเกตว่าใบหน้าของคิมคิบอมเริ่มจะสลัดรอยยิ้มออกไปเหลือเพียงแต่ดวงตาที่จ้องมองการกระทำของเขาด้วยแววยียวนกวนพระบาทแทน

     

                “นึกว่าสมองเสื่อม” เสียงทุ้มเอ่ยค่อนขอดอีกคนที่ยังคงก้มหน้าก้มตาเห็นต้นไม้ดีกว่าเขาอยู่ตรงหน้า เขาไม่ได้อยากจะต่อล้อต่อเถียงอะไรมากมายกับทงเฮหรอกนะ แต่เด็กนี่นับวันยิ่งลามปามไม่เรียกเขาว่าพี่ ซ้ำร้ายยังมาแสดงท่าทีเมินเฉยใส่เขาที่อุตส่าห์พยายามจะชวนเปิดบทสนทนาอีกตะหาก... คิบอมก็น้อยใจเป็นนะครับลีทงเฮ !

     

                “นี่ ถ้าจะมาชวนทะเลาะตอนนี้หล่ะก็เข้าบ้านไปเลยไป”

     

                “ไล่งั้นสิ ?”

     

                “เออ !

     

                “เหอะ” คิบอมส่งเสียงประชดประชันจากในลำคอก่อนจะโยนก้อนกระดาษกลม ๆ ที่อยู่ในมือใส่หัวเด็กข้างบ้านที่ปากจัดปากร้ายใส่เขาได้ทั้งวี่ทั้งวันแล้วจึงก้าวเท้าเดินทอดน่องเข้าบ้านไปอย่างสบายอารมณ์ ทิ้งให้ทงเฮได้แต่ยืนกระฟัดกระเฟียดเป็นหมาอยู่หน้าบ้าน

     

                “ไอ้ชั่วคิมคิบอม !

     

                “ทงเฮ! พูดจาแบบนั้นไม่น่ารักเลย” เสียงของแม่ที่เอ็ดมาจากด้านในของบ้านทำให้เขายิ่งรู้สึกโมโหโกรธาหนักขึ้นกว่าเก่า เพราะนอกจากจะไม่สามารถเอาคืนไอ้คนข้างบ้านที่ชอบทำร้ายเขาทางอ้อมได้แล้ว ยังโดนแม่บังเกิดเกล้าว่าเข้าให้อีก หนอย ! คิมคิบอมแม่งตัวการทำให้ครอบครัวของคนอื่นเขาร้าวฉาน ไอ้คนร้ายกาจจจจจจจ !!

     

                “แม่ง...” สบถออกมาด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจอย่างสุดขีดพร้อมกับทิ้งสายยางท่อนโตที่อุตส่าห์ออกแรงลากมาถึงหน้าบ้าน รองเท้าแตะคีบสีเหลืองจัดการเขี่ยเจ้าสายยางที่ไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่กับใครให้เข้าไปซุกอยู่ในพรงดอกไม้ ลีทงเฮต้องการที่ระบายอารมณ์มากหล่ะตอนนี้

     

                คนตัวล่ำเดินกระแทกเท้าไปตามทางเดินศิลาแลงสีส้มเข้มเพื่อตรงไปยังม้านั่งตัวยาวซึ่งตั้งอยู่กลางสวน อันเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของครอบครัวลีมาตั้งแต่สมัยปู่ทวด ทงเฮกดเบอร์โทรศัพท์ของเพื่อนสนิทที่เขาคิดว่าป่านนี้มันคงจะนอนกลิ้งตีพุงไปมาอยู่บนเตียงด้วยความหน่ายชีวิตพร้อมกับคิดวางแผนแก้แค้นแม่เลี้ยงของมันอยู่

     

                เสียงรอสายตู๊ดๆที่ดังแนบอยู่กับใบหูไม่ได้ช่วยให้ทงเฮรู้สึกผ่อนคลายอะไรจาดเมื่อครู่เลยสักนิด หนำซ้ำเขากลับพาลโมโหโจวคยูฮยอนไปด้วยที่ไม่เคยคิดจะรับสายเขาให้มันเร็วขึ้นมาบ้าง นี่เขาไม่สำคัญในสายตาใครต่อใครเลยสินะ !

     

                (ฮะโหล..)

     

                “พรุ่งนี้ค่อยรับเลยมั๊ย?”

     

                (มันทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ?)

     

                “เชี่ยคยู มึงเพื่อนกูป่ะเนี่ย?”

     

                (เพื่อนสิครับ กูไม่ใช่พ่อมึงซะหน่อย)

     

                “โอ๊ย วันนี้เจอแต่คนกวนตีน... มึงแม่งจะทำกูประสาทเสียอีกคน” ดูเหมือนว่าการโทรมาปรับทุกข์กับคยูฮยอนจะเป็นเรื่องที่ทงเฮคิดผิมหันต์ เพราะแม่งให้ทุกข์หนักกว่าที่มีอยู่ประมาณสามเท่าตัวได้เลยหล่ะ เดาสิว่าตอนนี้บนหน้าผากเขามีกี่ปมขมวดแล้ว

     

                (เป็นไรวะ?)

     

                “ก็ไอ้พี่ข้างบ้านที่กูเคยเล่าให้มึงฟังไง แม่งแย่งความรักของแม่ไปจากกู... กวนตีนกูแต่บ่าย แดกข้าวไม่ลงเลยเนี่ย”

     

                (เออหน่า ปล่อยเขาไปเถอะ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรจริงมั๊ย?)

     

                “ไอ้คิบอมไม่เห็นแม่งคิดได้แบบนี้... นี่มึงอยู่นอกบ้านเหรอวะ?”

     

                (เออ... อยู่ร้านอาหาร)

     

                “อยู่กับใครวะ”

     

                (ก็ชเวซี...เอ้ย จองฮุนฮยองอ่ะ เขาพามากินข้าว) โชคดีเหลือเกินที่ยั้งปากเอาไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นหล่ะก็คนอื่นที่เข้าห้องน้ำอยู่คงจะได้รู้กันหมดแน่ว่ามีดาราดังอย่างชเวซีวอนอยู่ในร้านอาหาร เขายังไม่อยากจะทำให้ใครต่อใครแตกตื่นหรอกนะ

     

                “ซีวอนก็อยู่ด้วย ?”

     

                (เออ ก็ประมาณนั้น)

     

                “นี่มึงเริ่มงานแล้ว...”

     

                (ไม่เชิงอ่ะ ก็กำลังดูอะไรไปเรื่อยๆ) กำลังดูเหรอ ?... กำลังดูบ้าบออะไรกันในเมื่องานเขารับเงินมาครึ่งนึงแล้ว แถมงานที่ว่านี้ก็รอบเดียวจบด้วยอีกตะหาก ! นี่เขาโกหกทงเฮอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย โอ๊ย... ไม่สบายใจเลยจริง ๆ T____T

     

                “เออ งั้นมึง... ไปทำงานเหอะ คุยกับกูเดี๋ยวเสียมารยาท” คนที่มัวแต่สนใจกับสารทุกข์สุกดิบของเพื่อนจนลืมความทุกของตัวเองไปแล้วเอ่ยบอกลาคนปลายสายที่ตอนนี้ไม่รู้ว่าไปกินข้าวที่ร้านไหนถึงได้มีเสียงโครกครากโฮกฮากเหมือนคนกดชักโครกอยู่ตลอดเวลา แต่ก็เอาเถอะ ในเมื่อโจวคยูฮยอนได้กินข้าวแล้ว มันก็คงต้องถึงเวลาที่เขาจะเดินไปกินข้าวบ้างแล้วสินะ...

     

                (เออๆ โอเค) คยูฮยอนกดปุ่มวางสายโดยไม่รีรอ แค่มานั่งคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องน้ำนี่ก็ประหลาดมากพอแล้ว ขืนพูดอะไรออกไปมากกว่านี้มีหวังเพื่อนเฮจับไต๋เขาได้อีกแหงเลย... แถมนี่ก็ผ่านมานานหลายนาที คาดว่าจอ.ฮุนฮยองกับคุณซีวอนคงจะสั่งอาหารเอยอะไรเอยเรียบร้อยแล้ว... เขาว่าเขาคงกลับไปได้แล้วหล่ะมั้ง

     

                ร่างบางค่อย ๆ ดันปานประตูห้องน้ำออกมาด้วยสีหน้าที่เจ้าตัวพยายามปรับให้มันดูปกติที่สุด คยูฮยอนก้าวฝ่าผู้ชายตัวใหญ่สองสามคนที่ยืนอออยู่หน้าห้องน้ำเพื่อตรงไปยังอ่างล้างมือ ดวงตากลมกลอกมองบานกระจกกว้างด้านหน้าเพื่อเช็คความเรียบร้อยของตัวเองพร้อมกับยื่นมือออกไปล้างในอ่างหรูที่เป็นแก้วกระจกใส... ว่าแต่ สบู่อยู่ตรงไหนวะครับ - -

     

                คยูฮยอนก้ม ๆ เงย ๆ อยู่แถวอ่างล้างมือนานกว่าสองนาทีเพื่อหาตัวปั๊มสบู่ที่เขาไม่รู้ว่ามันไปซ่อนอยู่ตรงไหนกันแน่ อันที่จริงก็ไม่ได้อยากจะสะอาดอะไรมากมายขนาดนั้นหรอกนะ แต่วันนี้หน่ะจับอะไรมาบ้างก็ไม่รู้ แถมเหงื่อยังชื้นเต็มมืออีกตอนที่วิ่งหนีคุณปาปารัซซี่ชองขึ้นรถมา ถ้าไม่ล้างเห็นทีเชื้อโรคจะไต่ลามจากช้อนส้อมลงไปในจานอาหารของเขาได้

     

                “ถ้าหากจะงกไม่อยากให้ใช้สบู่ขนาดนี้หล่ะก็นะ...”

     

                ~ หมับ

     

                “เห?” ใบหน้าที่ก้มลงมองไปทั่วอ่างจำต้องเงยขึ้นมาเมื่อรู้สึกว่าโดนบีบที่ข้อมือ ดวงตากลมกลอกมองหาต้นสายปลายเหตุผ่านภาพสะท้อนบานกระจกแล้วก็พบว่าคนที่บังอาจมาจับมือเขาไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นคุณผู้จัดการคิมจองฮุนนี่เอง...

     

                “...” ผู้ชายตัวสูงใหญ่(ที่ติดจะอวบข้างเล็กน้อย)ดันมือของเขาให้เข้าไปจ่อใต้บานกระจกซึ่งมีช่องว่างอยู่ ครั้นเมื่อวางมือลงไปปุ๊บ สบู่เหลวกลิ่นหอมสีใสก็ไหลลงมาปะทะกับผิวเนื้อบนมือของเขาปั๊บ... โถ...โจวคยูฮยอน แกนี่มันบ้านนอกเข้ากรุงดี ๆ นี่เอง =____=

     

                “แหะ ๆ ขอบคุณครับ” ให้ตายเถอะจอร์จ! วันนี้เขาเผลอปล่อยไก่ใส่คุณผู้จัดการไปได้สองเล้าหรือยังก็ไม่รู้เนี่ย! ผมได้แต่ยิ้มจนตาหยีแล้วก้มหัวโค้งให้กับคุณพี่ผู้จัดการที่ยังคงมีสีหน้าเคร่งขรึมไม่เปลี่ยนรวมทั้งยังไม่ปล่อยมือออกไปจากข้อมือของผมเสียด้วย...

     

                “อ่ะ..อืม ล้างเสร็จก็กลับไปที่ห้องด้วย ฉันไม่อยากให้มันอยู่คนเดียวนาน”

     

                “ครับ.. ได้ครับผม” ผมพยักหน้าหงึกหงักพร้อมกับถูมือทั้งสองข้างไปด้วยหลังจากที่จองฮุนฮยองแกยอมปล่อยมือผมแล้วหน่ะนะ เขาสบตาผมด้วยแววตาเย็นยะเยือกประดุจว่ายืนอยู่ท่ามกลางภูเขาหิมาลัยแว๊บนึงก่อนจะปลีกตัวเดินเข้าห้องน้ำไปทิ้งให้ผมได้แต่ทำหน้ามึนอยู่หน้ากระจก...

     

    ผมว่าจองฮุนฮยองเองก็ดูจะเป็นคนเข้าใจยากระดับนึงนะ

     

                “อ่า... ช่างปะไร” เสียงทุ้มหวานพึมพัมกับตัวเองเบา ๆ แล้วปรายตามองข้อมือที่เมื่อครู่ถูกกุมเอาไว้ด้วยฝ่ามือของคนที่เพิ่งจะกระแทกบานประตูห้องน้ำปิดลง ความอุ่นของมันแม้ว่าจะถูกชะออกไปด้วยน้ำเย็นแต่ก็ประหลาดเหลือเกินที่คยูฮยอนยังรู้สึกเหมือนโดนกุมข้อมือเอาไว้อยู่ตลอดเวลา... หากมือของจองฮุนฮยองมันจะหลอนติวผิวขนาดนี้หน่ะ บรื๋วววว ~

     

                คยูฮยอนเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยท่าทางที่ดูมั่นใจมากกว่าเดิม ร่างบางสูดหายใจเฮือกใหญ่ กวาดอากาศรอบกายเข้าไปเต็มปอดก่อนจะสาวเท้าเดินกลับไปตามทางที่มาเพื่อตรงไปยังห้อง VIP. ฝ่ามือบางยกขึ้นแตะสัมผัสที่บานประตูแต่ก็เป็นอันต้องชะงักไปเมื่อเขานึกขึ้นมาได้ว่า... เขาต้องอยู่กับชเวซีวอนสองต่อสองในห้องนี้ ! สองต่อสอง... กับคนที่ซื้อตัวเขาไปนอนด้วย !

     

    DAMN IT !
    นี่มันสถานการณ์อันตราย ควรประกาศเคอฟิลลลลลลลล  !!!

     

                คยูฮยอนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงไปในคอ พยายามทำให้หัวใจที่เต้นรัวสงบนิ่งลงด้วยการตั้งสติแล้วเพ่งมองไปยังลวดลายดอกไม้บนบานประตู เขาแอบรู้สึกได้ถึงเม็ดเหงื่อที่มันผุดพรายขึ้นมาบริเวณขมับของตัวเอง... โอ มาย ก็อด ! นี่มันล่อแหลมมากนะ

     

                “มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ ?”

     

                “เอ่อ...” ริมฝีปากบางที่เริ่มจะสั่นเล็กน้อยอ้าออกเตรียมพร้อมจะขยับตอบเจ้าของคำถามซึ่งเป็นบริกรร่างโปร่งคนเมื่อครู่ที่เดินนำพวกเขาเข้ามา มือของหมอนั่นแตะอยู่บนบานประตูเตรียมพร้อมจะผลักเปิดได้ทุกเมื่อซึ่งเขาไม่ต้องการให้ทำอะไรแบบนั้นในเวลานี้ แต่เหมือนว่ามันจะไม่ทันแล้วหล่ะเมื่อคุณบริกรได้ออกแรงดันบานประตูจนมันเปิดอ้าออกมาเสียแล้ว...

     

                ~ ครืด

     

    เชดโด้ครับ... กูยังไม่ได้บอกเลยว่าอยากเข้าไป
    T______________T

     

                “อ่า...” ผมยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าประตูโดยที่มีสายตาของเขาจับจ้องอยู่ เหมือนขาแข้งจะแข็งไปโดยปริยายเมื่อเห็นว่าอีกคนส่งรอยยิ้มมาให้พร้อมกับผายมือไปยังโซฟาตัวเดิมที่ผมนั่งเมื่อครู่ใหญ่ ๆ (ก่อนที่จะออกไปเข้าห้องน้ำหน่ะ) โฮกกกก.... ควรวางตัวยังไงวะครับเนี่ย

     

                “ไม่นั่งเหรอ?”

     

                “อ่อ.. นั่งครับ นั่งก็ได้” เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกเก้ ๆ กังๆ เพราะสายตาของเขาที่ทอดมองมายังผม ขาที่กำลังแข็งเป็นไก่แช่เข็นของผมพยายามก้าวตรงไปยังโซฟาด้วยท่าทางที่พยายามปั้นให้มันปกติสุด ๆ เพื่อไม่ให้เขาจับได้ถึงความเกร็งขึงตรึงแน่นของผมที่กำลังรุมเร้าไปทั่วร่างกาย คือซีวอนในระยะประชิดแม้ว่าจะหล่อปางตายแต่สถานการณ์แบบนี้มันก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะ

     

                ซีวอนก้มหน้าลงกลับไปจดจ่ออยู่กับหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองอีกครั้งหลังจากที่ผมแลนดิ้งลงบนโซฟาอย่างปลอดภัย ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกโล่งใจขึ้นเยอะกว่าการที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมาคลี่ยิ้มการค้าแล้วจ้องผมแบบเมื่อครู่ ถึงแม้ว่าการนั่งนิ่งแบบนี้จะแลดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลยก็เถอะแต่มันก็ทำให้สบายใจมากกว่าอยู่ดี

               

                “เอ่อ... เมื่อกี้นายไม่อยู่ ผมสั่งเครื่องดื่มเป็นไวน์ไป นายดื่มได้ใช่ไหม?” ในขณะที่ผมกำลังนั่งตัวเกร็งเสสายตาไปทางบานประตู (ด้วยความหวังอันริบหรี่ว่าพี่จองฮุนจะกลับมาในอีกสามวิข้างหน้า) สุ้มเสียงทุ้มต่ำของเขาก็ดังขึ้น สะกิดให้ผมสะดุ้งโหยงจนตัวโยนหัวกลับไปมองใบหน้าคมคายที่ตอนนี้เหวอไปไม่น้อยกับรีแอคชั่นอันแสนรุนแรงเมื่อครู่

     

                “ได้ครับ ผมพอดื่มได้บ้าง”

     

                “อ่า โชคดีไป...”

     

                “แหะๆ... เรื่องกินผมไม่ค่อยมีปัญหาอะไรเท่าไหร่”

     

                “ฮ่า ๆ ดูท่านายเป็นคนชอบกินนะ ชอบอาหารแบบไหนเหรอ?” ความจริงที่สุดบนโลกนี้คือชเวซีวอนเปิดประเด็นสนทนากับคนอื่นก่อนไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ คยูฮยอนอาจจะยังไม่รู้หรอกว่าเบื้องหลังประโยคคำถามที่แสนจะดูเป็นมิตรนั้น ซีวอนต้องระดมรอยหยักเกือบค่อนหัวมาเพื่อคิดแล้วคิดอีกก่อนจะพูดออกไป นั่นไม่ใช่ชเวซีวอนเลยจริง ๆ !

     

                “ก็...พวกของหวาน ผมชอบทานเค้กหน่ะครับ”

     

                “อ้อ... แต่นายดูผอมเกินกว่าจะชอบกินเค้กนะ”

     

                “ที่จริงผมว่าผมก็ไม่ผอมเท่าไหร่หรอกนะครับ เนี่ย... มีพุงด้วย” คยูฮยอนก้มหน้าลงแล้วใช้มือทั้งสองข้างดึงเสื้อทาบลงไปติดกับร่างของตัวเองจนเห็นเอวคอดที่เว้าเข้าหากันอย่างได้รูป แถมบริเวณหน้าท้องก็ยังมีเนื้อนิ่มหยุ่นที่ไม่ทำให้ร่างบางผอมไปจนเกินเหตุ และเพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองมีพุงจริงอย่างที่ปากกว่า ปลายนิ้วเรียวจึงจิ้มลงไปสองสามครั้งบนหน้าท้องตัวเอง พร้อมกับช้อนดวงตากลมโตขึ้นไปมองหน้าอีกคนเหมือนจะขอร้องให้ซีวอนเชื่อ “เนี่ยเห็นมั๊ย ?... พุงอยู่นี่”

     

    โอ้มายกอดดดดด !
    ถ้าแม่งมีเงร้ล์อะวอร์ด คยูฮยอนคงกินขาดทุกคู่ต่อสู้

    O//////O

     

              “ครับ... มีก็มี ฮะๆ...”

     

              “ขออนุญาตครับ...” นับเป็นบุญของซีวอนที่ได้รับการช่วยชีวิต(?) จากเสียงเรียกของบริกรที่ยกอาหารมาเสิร์ฟ เขาเลยสามารถหลุดพ้นจากวังวนความโมเอะของคนตัวขาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าได้ บานประตูเลื่อนถูกผลักออกพร้อมกับเหล่าพนักงานเสิร์ฟในชุดสูทที่ทยอยยกอาหารจำนวนมากเข้ามาวางบนโต๊ะ คยูฮยอนจึงถือโอกาสนั้นล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาขึ้นมากดเล่น...

     

              “รายการที่สั่งได้ครบนะครับ”

     

              “ครับ” ร่างสูงส่งยิ้มให้กับพนักงานก่อนจะหันกลับมามองหน้าแขกคนพิเศษที่ตอนนี้เอนหลังลงไปพิงกับโซฟาเรียบร้อยแล้ว คยูฮยอนเงยหน้าขึ้นมายิ้มจนตาหยีให้กับเขาก่อนที่จะก้มหน้าลงไปหมกมุ่นอยู่กับน้าจอโทรศัพท์มือถือของตัวเองอีกครั้ง แล้วมันก็ทำให้ซีวอนคิดได้พอดีว่าบางทีเขาควรจะขอเบอร์ของคยูฮยอนเผื่อเอาไว้ติดต่อในกรณีฉุกเฉิน -….,-

     

     

              “คยูฮยอนครับ ผมขอเบอร์คยูฮยอนไว้ได้ไหม?”

     

              “ขอเบอร์ผม ?” ดวงตากลมที่โตเป็นปกติถูกเบิกให้กว้างขึ้นมากกว่าเดิม ชเวซีวอนเป็นดาราที่ดังระดับประเทศนะ แต่กลับมาขอเบอร์โทรศัพท์ของเขาซึ่งเป็นแค่นักศึกษาธรรมดา โหย... มันจะดูไม่ดีหรือเปล่าวะ

     

              “อืม เบอร์นายนั่นแหละ”

     

              “จะดีเหรอครับ ?”

     

              “ดีสิ... ดีที่สุดเลยหล่ะ” ไม่ว่าเปล่า แต่เจ้าของร่างสูงกลับยื่นโทรศัพท์ออกไปให้กับร่างที่อยู่ตรงหน้า ในเมื่อป้อนกันขนาดนี้แล้วคยูฮยอนเองก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไงจึงได้แต่รับเครื่องมือสื่อสารแล้จัดการกดเบอร์โทรศัพท์ของตัวเองลงไปตามคำขอร้องของอีกฝ่าย... ให้ตายสิ เขาควรจะพิมพ์ชื่อของเขาด้วยตัวเองลงไปด้วย จะได้ไม่ต้องลำบากซีวอน

     

              เจ้าของโทรศัพท์ทอดสายตามองนิ้วเรียวที่กดจิ้มลงไปอย่างเก้ ๆ กัง ๆ บางทีเขาอาจจะถูกใจคยูฮยอนน้อยกว่านี้ก็ได้ ถ้าเจ้าเด็กนี่ทำตัวเหมือนกับคนอื่น ๆ ที่พอเจอหน้าเขาก็ออกอาการตื่นเต้นเสียจนเขารู้สึกรำคาญ ในขณะที่โจวคยูฮยอนไม่ได้แสดงท่าทีตื่นเต้นอะไรออกมาและวางตัวราวกับว่าเขาเป็นเพียงผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น... ดังนั้น งานนี้แม่งต้องมีมากกว่าหนึ่งรอบแน่นอน ! ชเวซีวอนฟันธงเว้ยยยยย !

     

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

    *ดิทคำผิดแล้วค่ะ*
     

     
    THE★ FARRY
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×