ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ( kaihun ) Under the monument is empty .

    ลำดับตอนที่ #9 : CHAPTER EIGHT

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 259
      3
      21 เม.ย. 59

    Under the monument is empty

    EXO / Kai x Sehun / PG17




    note : ไม่ได้ต้องการเสียดสีหรือพยากรณ์ 


    VIII



                   ชานยอลไม่ชอบการคิดอะไรเยอะแยะ เพราะมันทำให้เขาปวดหัว


                   แต่ตอนนี้ เขากำลังฝืนกฎข้อนั้นอย่างรุนแรง


                   “แล้วนี่มันเรื่องบ้าอะไรกันล่ะ!” เรื่องบ้าที่ว่าคงไม่ใช่แค่การที่คิมจงอินบุกโพล่งเข้ามากลางดึกถึงข้างเตียงเพื่อเขย่าแขนของเขาซึ่งยังคงอยู่ในชุดนอนเต็มยศพร้อมกับหุ่นกระบอกสภาพน่าสงสาร ส่งเสียงร้องกริกๆแกร้กๆไปทุกย่างก้าว แต่มันรวมไปถึงคำถามเชิงขอความร่วมมือกับเรื่องบ้าบออีกร้อยแปดพันเก้าที่ไม่ชวนให้เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง


                   โคตรปวดหัว... คิมจงอินกับเรื่องราวเหล่านั้นและเสียงน่ารำคาญของหุ่นกระป๋องโคตรทำให้ปวดหัว


                   “มันไม่ได้บ้าเว้ย แต่มันมีอะไรแปลกๆที่เราต้องเข้าใจ... อะไรที่เกี่ยวกับพวกเรา ว่าเรามาเป็นแบบนี้ได้ยังไง”


                   “คือมันยังมีอะไรที่แปลกกว่าตอนนี้อีกเหรอวะ?” รองหัวหน้าฝ่ายซ่อมบำรุงตัวสูงขยี้ผม “ข้อเสนอที่เหมือนจะต้องโดนโยนลงไปโลกล่าง บุกคุกหอคอยที่เจ้าหุ่นน้อยไปถล่มมา แล้วก็อะไรนะ... ศาสตราจารย์จางอี้ชิงที่กำลังบาดเจ็บ คิมจงอิน! บางทีนายอาจจะต้องเข้าใจว่าหมอนั่นอยู่ในคุกตั้งแต่เราเกิดแล้วนะ!”


                   “นั่นไง! นั่นไงชานยอล เมื่อไหร่วะ ตั้งแต่เกิดมันคือเมื่อไหร่ล่ะ? จำได้เหรอว่ามันให้ความรู้สึกแบบไหน?” จงอินถามย้อนแล้วหย่อนตัวลงนั่งบนเตียงนอนของเพื่อนโดยไม่คิดเกรงใจหรือกังวลเกี่ยวกับมารยาท เขาเอื้อมแขนไปแตะที่บ่าของชานยอล มองเข้าไปในดวงตากลมฉายแววลอกแลกเมื่อลองพยายามคิดตามคำบอก


                   “เออว่ะ...” ชานยอลคราง “แต่.. จะคิดทำไมวะ?” ลูกตาดำจ้องกลับมายังเจ้าของคำถามแล้วขมวดคิ้วเป็นก้อนปม บ่ากว้างยกสูงขึ้นพร้อมกับมือที่กระชับผ้าห่มเข้ามาชิดอก


                   “ต้องคิดสิ! เฮ้ย! นี่เรื่องใหญ่นะ”


                   “คิดก็ปวดหัวเปล่าว่ะ?”


                   “ไม่เว้ย!” จงอินกระชากผ้าห่มผืนใหญ่มาไว้ในมือตัวเอง นึกขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้ชานยอลใจเย็นและพยายามอย่างมากที่จะไม่ให้อะไรนั่นเป็นพระเจ้าแบบที่ฮีชอลพูดจนติดปาก “ต้องคิดสิ! เราเกิดมายังไง นั่นแหละปัญหาใหญ่”


                   “การที่นายอยากรู้ต่างหากที่เป็นปัญหาใหญ่”


                   “โอ่ย... ขอร้องล่ะชานยอล มันทะแม่งจะตาย” 


                   “ทะแม่ง?” 


                   “หมายถึงน่าสงสัย”


                   “ศัพท์บ้าอะไรวะ”


                   “ก็นี่ไง เพราะมันเป็นอย่างนี้ไงเล่า ศัพท์บ้าอะไรก็ไม่รู้ แล้วไหนจะเรื่องพวกนั้นที่เล่าให้ฟังอีก นายเข้าใจไหมว่านี่มันเรื่องใหญ่ ใหญ่มาก!!” 


                   “รีพอร์ทหมอคริสสิ เขาอาจจะช่วยนายได้นะ?” ชานยอลพยายามเสนอทางออกที่ทั้งช่วยจงอินได้และทั้งช่วยตัวเองให้ไม่ต้องเอายานออกไปกับจงอินในคืนนี้


                   “โอ่ ถ้ามันง่ายนักฉันทำไปแล้ว” จงอินตบหน้าผากตัวเองดังฉาดแล้วเริ่มเขย่าแขนชานยอลอีกครั้ง “เราต้องออกไปที่นั่น เราต้องช่วยอี้ชิง เขาไม่ได้ผิด”


                   “อะไรทำให้นายมั่นใจขนาดนั้น?”


                   ก็เพราะว่ามันเป็นแบบนั้นไงเล่า!” จงอินตะหวาดเสียงดัง เขาสติจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ที่ชานยอลยังคงตั้งคำถามอยู่ได้ด้วยน้ำเสียงใจเย็นเหมือนว่าเพิ่งจะได้รับคำเชิญออกไปซ่อมโดรนผุพังระหว่างลาดตระเวน “เขา ไม่ ได้ ผิด มา ตั้ง แต่ แรก แล้ว!” 


                   “...ใจเย็นดิ...”


                   “ก็เหมือนกับตอนที่ไอ้ฮยอกแจฝ่ายทดลองมันตัดสายไฟขาดแล้วพวกนั้นจับนายเข้าเครื่องทำให้ลืมเพื่อลบความผิดของลูกชายเลขาธิการพรรคปกครองไง!.................” จงอินนิ่งค้างไปกลางเสียงของตัวเองที่ยังสะท้อนดังไปทั่วห้อง พอมันจางไปเจ้าตัวถึงนึกอยากรัวมือตบปากที่เผลอหลุดพูดความจริงนั้นออกมาทั้งที่การเข้าห้องลบความทรงจำเป็นเรื่องไม่ควรจะพูดให้ใครฟังโดยเฉพาะคนที่ผ่านห้องนั้นมาด้วยตัวเองอย่างปาร์คชานยอล


                   “...”


                   “...” 


                   ไม่เพียงแค่จงอินเท่านั้น แม้แต่ชานยอลก็ได้แต่อ้าปากค้าง มาร์ตินหยุดทำเสียงกอกแกก ทั้งห้องนอนสงบนิ่งราวกับไม่มีใครนั่งอยู่ จนกระทั่งชานยอลพยักหน้าอย่างเชื่องช้าแล้วเบ้หน้า เลิกคิ้วขึ้นสูง


                   “ฮยอก...แจ...” เสียงทุ้มยานคางเรียกชื่อลูกชายของเลขาธิการพรรคใหญ่สุดที่ปกครอง Blue World มาตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบัน ก่อนจะส่ายใบหน้าที่เต็มไปด้วยความงุนงง “คือใครวะ?”


    x x x x x



                   อี้ชิงเห็นแสงสว่างซึ่งไม่น่ามาจากห้องคุกเก่ากรังนี่แน่ๆ เขาพยายามหยัดตัวเองขึ้นนั่งพิงกำแพงแตกบิ่นอันเป็นผลจากการปะทะขนาดย่อมเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน น่าประหลาดที่ยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้ ในสถานการณ์เช่นนี้ควรจะมีหน่วยอารักขาหรือหุ่นยนต์ตรวจการโผล่ทะเล่อทะล่าเข้ามาตรวจสอบ บางทีมาร์ตินอาจจะทำอะไรสักอย่างกับระบบก่อนจากไป


                   แต่นั่นเพื่ออะไร


                   กระนั้นความคิดทั้งหมดก็ถูกเบนออกไปที่นอกหน้าต่าง โดรนสีขาวผ่องลำใหญ่ลอยเด่นโฉบไปโฉบมาอยู่แถวช่องลมที่ปริแตกจากลำแสงเลเซอร์ หากจำไม่ผิดอี้ชิงคิดว่านั่นเป็นโดรนของเหล่าช่าง ทว่ามันคงเป็นผลมาจากสติอันพร่าเลือนของเขา โดรนซ่อมบำรุงจะมาโบยบินอยู่เหนือหอคอยในเวลาแบบนี้ทำไมกัน มาเพื่อซ่อมคุกเย็นนี่หรือไง 


                   ปึ้ง!


                   "..." เจ้าของร่างคุดคู้อยากร้องเสียงดังแต่ร่างกายสะบักสะบอมไม่เอื้อต่อการทำเช่นนั้นเลยสักนิด แม้ว่าอิฐก้อนหนึ่งจะกระแทกลงมาแถวหัวเข่า สร้างความปวดร้าวไปถึงต้นขาก็ตาม


                   แรงระเบิดเมื่อครู่ทำเอากำแพงอิฐล้านปีแตกเป็นรูโหว่ขนาดที่สามารถลอดหนีออกไปได้อย่างทุลักทุเล แต่ลบความคิดนั้นเถอะ การตายอยู่ในนี้น่าพิสมัยกว่าต้องหัวใจวายตายเพราะความสูงเยอะโข


                   ทว่าสายตากลับเหลือบไปเห็นเกราะเหล็กสีแดงเข้าเสียก่อน...


                   มาร์ติน? มาร์ตินเหรอ? 

                   

                   "ศาสตราจารย์!!" ยังไม่ทันได้ตรวจสอบสายตาให้มั่นใจ เสียงทุ้มประหลาดดังโพล่งขึ้นมากับสายลมที่พัดโขลกอยู่ด้านนอก อี้ชิงต้องใช้พลังอย่างมากเพื่อปรือตาขึ้นมองเจ้าของเสียงซึ่งน่าจะมาจากโดรนลำนั้น แล้วเขาก็ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองว่าคนที่เอี้ยวตัวออกมาจากกรอบประตูของโดรนนั่นจะเป็นคนเดียวกับที่ความคิดของเขาเอาแต่พะว้าพะวงถึงอยู่ตลอด


                   "ค ไค..." อี้ชิงไม่รู้ว่าตัวเองเรียกชื่อนั้นออกไปด้วยน้ำสียงทุเรศทุรังหรือเพียงแค่คิดย้ำอยู่ในหัว ก้อนสติซึ่งหลงเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยพยายามจะถ่างตามองคนๆนั้นเอาไว้ให้นานที่สุด แต่มันก็ยากเหลือเกิน เขาแทบไม่เหลือแรงจะเชื่อด้วยซ้ำว่าภาพตรงหน้าคือความจริง


                   "ศาสตราจารย์ครับ" เสียงทุ้มนั้นขยับเข้ามาอยู่ใกล้ใบหู ใกล้มากจนรับรู้ได้ถึงลมหายใจหอบอุ่นที่รดอยู่แถวบ่าของเขา สัมผัสที่โอบเข้ามาเข้ามาพยุงกันพาเอาอี้ชิงใจเต้นรัว ดวงตาปรือขึ้นมองอีกครั้งให้แน่ใจว่าคนๆนั้นคือไคหรือที่ทุกวันนี้กลายเป็นจงอินไปแล้วจริงๆหรือไม่


                   "จงอินเร็ว!!" ชานยอลที่ผู้หน่ายจะทำความเข้าใจในเรื่องที่ตัวเองไม่เข้าใจเหวี่ยงเชือกปลายตะขอข้ามมาจากโดรน จงอินจับปลายงอขดเกี่ยวเอาไว้กับสลักที่เอวก่อนที่มันจะถูกลงล็อคอย่างแน่นหนาเพื่อความปลอดภัย อ้อมแขนทั้งสองข้างประคองอี้ชิงเอาไว้แนบตัวแล้วค่อยๆเดินไปทางช่องที่ตัวเองจงใจเจาะให้ทะลุด้วยสารเคมีจากกล่องเครื่องมือสำหรับการซ่อมบำรุงเท่าที่หาได้ เขาส่งอี้ชิงข้ามไปก่อนโดนมีมาร์ตินยื่นมือกลแข็งแกร่งมาช่วยรับไปต่อ


                   "หยุด!"


                   ในจังหวะที่ทุกอย่างกำลังไปได้สวย เสียงคำรามก้องจากทางประตูคุกเรียกให้จงอินเงยหน้าขึ้นมองต้นเสียงที่พรวดเข้ามาหลังซี่กรงพร้อมกับปืนเลเซอร์ในมือ หนึ่งในนั่นเป็นอดีตช่างที่เคยฝึกงานกับเขา ทำให้ใบหน้าขาวแลจะตกใจอยู่ไม่น้อย เขาคิดว่ามันต้องแย่แน่ๆ ถ้าจะเป็นฝ่ายทำร้ายก่อน แต่ในเวลาเช่นนี้เขามีทางเลือกเพียงหนึ่ง 


                   นั่นคือเป็นฝ่ายลั่นไกก่อน


                   "เฮ้ย!"


                   "ดึง!!" นั่นเป็นคำสั่งเด็ดขาดที่สุดในชีวิตหลังจากได้ลองใช้อาวุธที่พกติดตัวอยู่ตลอดกับช่วงแขนของผู้ตรวจการ และมันคงบ้าบิ่นมากเช่นกันเพราะการสั่งให้ชานยอลดึงเชือกนั้นคืนไปมีความเสี่ยงมหาศาลจะพาร่างกายไปฟาดเปรี้ยงกับขอบกำแพงบิ่นๆจนได้แผล ถึงอย่างนั้น จงอินก็ไม่มีทางเลือกมาก เขาลั่นนัดที่สองเข้าที่ช่วงขาของผู้ตรวจการไม่คุ้นหน้า ขดตัวคุดคู้เป็นก้อนทั้งเพื่อหลบกระสุนและเพื่อพาตัวเองไปให้พ้นร่องเล็กๆนั่นพร้อมกับความรู้ใหม่ที่ว่าตัวเองแม่นปืนไม่หยอก


                   อาจเป็นโชคดีที่จงอินปะทะกับก้อนอิฐเพียงสองครั้งบริเวณไหล่กับสะโพกและเฉียดกระสุนไปอีกหนึ่งนัด เลเซอร์ทำให้ชุดทำงานซึ่งได้รับการออกแบบให้ทานทนต่อสารเคมีและอาวุธเกือบทุกชนิดขาดออกแต่ไม่สามารถบาดเข้าสู่ผิวเนื้อได้และต่อให้จะต้องห้อยโตงเตงอยู่กลางอากาศพักใหญ่จนกว่ามาร์ตินจะบังคับโดรนให้กลับมาอยู่ในสมดุล คิมจงอินคิดว่านี่มันคงจะดีที่สุดแล้ว


                   "โอเคนะ?!" ชานยอลชะโงกลงมาถาม มือสองรีบละจากแผงควบคุมเข้ามาช่วยสาวดึงเชือกเหล็กขึ้นมาให้เร็วที่สุด

                   

                   “โอ..... โอ่ พระเจ้า..." จงอินหลุดสบถคำต้องห้ามออกมาทันทีที่พลิกหน้าหันกลับไปอีกฝั่ง โดรนตรวจการสี่ลำเข้าล้อมพวกเขาเอาไว้ทุกทิศทาง มองแล้วไม่น่ามีทางรอด


                   "บ้าชะมัด!" ชานยอลกระวีกระวาดเข้าประจำตำแหน่งคนขับโดรนอีกครั้งแล้วส่งหน้าที่ดึงเชือกต่อให้มาร์ตินซึ่งฉายแสงไฟหลากสีออกมาด้วยความสับสนสนกระวนกระวาย มือกลสาวเชือกถี่จนเขาสามารถเกาะที่ขอบของพื้นโดรนได้อีกครั้ง


                   จงอินเฉียดวิถีกระสุดลำแสงนัดแรกไปเพียงเล็กน้อยเท่า แขนทั้งสองข้างพยายามเกี่ยวรั้งอะไรสักอย่างเอาไว้ ทว่าชานยอลกลับบังคับโดรนให้พุ่งสูงขึ้นเต็มแรงกระชากเพื่อสลัดออกจากวิถีกระสุน เขาจึงพลัดร่วงลงไปอีกครั้ง


                   กริกๆๆๆๆๆๆๆๆ 


                   เจ้าหุ่นกระป๋องส่งเสียงระงมไปทั่วขณะยืดมือกลมาช่วยหนีบไว้ใต้รักแร้ของเขาอีกแรงก่อนจะฉุดขึ้นมาจนสามารถเอื้อมมือคว้าเก้าอี้คนขับได้อีกครั้ง จงอินรีบยึดมือกับเบาะแล้วดีดตัวเองขึ้นมาอย่างทุลักทุเล โคลงเคลงคล้ายจะตกลงไปอีกครั้งให้ได้ตอนกระสุนเฉียดปีกโดรนไปเพียงเล็กน้อยแต่ก็ได้มือเย็นเฉียบของคนที่นั่งเงียบไร้แรงเอื้อมมาคว้าเอาไว้ก่อนพลาด


                   "ข ขอบคุณ...ครับ" ผู้ได้รับความช่วยเหลือเอ่ยขณะมองเข้าไปในดวงตาของคนตัวซีดผอม อี้ชิงส่ายหน้ายิ้มบางๆมาให้ก่อนที่มาร์ตินจะขยับเข้าไปออดอ้อนคลอเคลียด้วยเกาะเหล็กเย็นเฉียบ


                   ชานยอลพาโดรนของเราหลุดวิถีกระสุนมาได้ขณะพวกเขาบินผ่านโบทานิคการ์เดน ป่าจำลองอันรับหน้าที่หน้าที่เป็นปอดของ blue world จงอินกลับสู่ตำแหน่งคนขับอีกครั้ง เขาร่วมบังคับยานพาหนะชั่วคราวนี้ไปพร้อมกับชานยอล เริ่มต้นด้วยการไต่ขึ้นสู่ความสูงอีกระดับ เร่งความเร็วเพื่อไปต่อยังจุดหมายซึ่งเป็นเพียงแห่งเดียวที่ยังปลอดภัย


                   "จะไปไหน?" เพื่อนร่วมงานคนสนิทที่อาจจะกำลังกลายเป็นเพื่อนสนิท(มากกว่าเดิม) หันหน้ามาถามโดยสองมือวางเหนือแผงรวบคุมพร้อมปฏิบัติการณ์ เพื่อนสนิทเหรอ...จะใช้คำนี้กับสถานการณ์แบบนี้หรือเปล่า จงอินหวังว่าตัวเองจะไม่ใช้คำศัพท์ประหลาดพวกนี้ผิดบริบทและถ้าอยากมั่นใจคงต้องไปถามจากเซฮุนอีกที


                   ปลายนิ้วดันแถบเร่งความเร็วขึ้นอย่างเชื่องช้าไม่ให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเร็วเกินไป จงอินหันไปตอบคำถามของชานยอลในจุดที่ความเร็วของโดรนถูกเร่งให้อยู่สูงที่สุด


                   "ที่ๆปลอดภัยกว่านี้"


                   เเต่เขาไม่มั่นใจว่ามันจะปลอดภัยได้อีกนานแค่ไหน


    x x x x x 


                   เบื้องหน้าของผมเป็นบ่อน้ำกว้างที่โอบล้อมไปด้วยทุ่งหญ้าสีเหลืองทอง ลมพัดกระพือยอดต้นหญ้าใบเฉียงให้โยกไหวไม่เป็นจังหวะแต่เป็นไปตามธรรมชาติกำหนด สันเนินสูงเด่นขึ้นมาตรงท้ายไร่มะเขือเทศและสารพัดผักสวนครัวกลายเป็นพื้นที่ประจำของคนที่เขากำลังตามหา คนที่เปิดพลิกหน้ากระดาษไปมาโดยไม่แยแสต่อความร้อนแรงของแสงอาทิตย์เพราะอาศัยร่มเงาจากต้นโอ๊คสูงใหญ่แผ่คลุมไว้


                   เสียงหญ้าสวบสาบทำให้เขาคนนั้นเงยหน้าขึ้นมาจากแผ่นกระดาษตรงหน้า รอยยิ้มที่ส่งยื่นมสสวยประดุจวาดขึ้น มันเข้ากันเหลือเกินกับบรรยากาศในช่วงบ่ายแก่ๆของวันที่ทุกคนต่างวุ่นวายอยู่กับกิจกรรมของตัวเอง


                   เขาเป็นคนพูดน้อย ไม่ช่างเจรจา ความจริงเราต่างไม่ใช่คนพูดมากทั้งคู่แต่พอนั่งใกล้กันมันกลับทำให้รู้สึกเหมือนกำลังคุยกันด้วยหลายร้อยประโยค เหมือนเรื่องราวได้ถูกแลกเปลี่ยนผ่านรอยยิ้มที่ส่งให้กัน ผ่านฝ่ามือของผมที่วางลงบนหน้าตักของเขา ผ่านความอุ่นจากข้างขมับที่ซบลงมาบนไหล่ของผม


                   "ไม่ไปกับคุณจางเหรอ?"


                   ผมส่ายหน้าแล้วก้มลงมองใบหน้าอันแสนออดอ้อนขัดแย้งกับน้ำเสียงทุ้มขึ้นจมูก มือข้างหนึ่งสอดช้อนเข้าไปใต้แนวกรามที่นูนเด่นขึ้นมาเป็นรูปรอยได้สัดส่วน "เราเปลี่ยนใจแล้ว... ให้คริสไปคนเดียวก็พอ"


                   "อย่ามาง๊องแง๊งทีหลังแล้วกัน" เขายิ้มล้อก่อนจะโดนหยิกเบาๆที่แก้มจนเป็นรอย               


                   "อยากอยู่กับไคหรอก" ผมก้มหน้าลงไปหาเขาทั้งรอยยิ้ม ได้ยินเสียงหัวเราะอันเป็นเอกลักษณ์ก่อนจะสัมผัสได้ว่ามันดังก้องอยู่ในริมฝีปากตอนที่เราจูบกันอย่างแนบเน่นในเวลาต่อมา ปลายลิ้นของเขาต้อนผมเหมือนกับสิงโตไล่ต้อนลูกกวางท่ามกลางทุ่งหญ้าสะวันนา เสียงหัวเราะค่อยๆหายไปเพราะมันถูกแทนที่ด้วยการดูดดึงระหว่างริมฝีปากของเราซึ่งไม่เคยยอมลงให้กัน ก่อนจะเพลาจังหวะลงเชื่องช้า หลงเหลือเพียงความเนิบนาบคล้ายกับยอดหญ้าที่โอนอ่อนไปตามสายลม


                   “โม้หรือเปล่า...”


                   “เปล่า...” หัวแม่โป้งปตะประทับลงเหนือริมฝีปากหนาคู่สวย “เราอยากอยู่กับไค...”


                   อยากอยู่กับไค...


                   อยากอยู่กับไคตลอดไป


                   อยากอยู่ด้วยกันตลอดไป...





                   ดวงตากลมเบิกโพล่งขึ้นมาท่ามกลางความมืดเพราะกุกกักจากด้านนอก เซฮุนเหลือบมองทางช่องเล็กของประโจมสีขาวเพื่อดูท้องฟ้าให้แน่ใจว่านี่มันคือช่วงใดของวัน ทว่าแสงภาพแสงดาวระยิบระยับก็ทำให้เขาตัดสินใจเอื้อมไปคว้ากระบอกปืนมาถือจับเอาไว้เแน่น


                   กายผอมซุกเข้ากับผ้านวมผืนหน้าเหมือนเห็นเงาตะคุ่มขยับเข้ามาใกล้และมันไม่ได้มีเพียงหนึ่ง หัวใจเต้นรัวเหมือนจังหวะของกลองศึกยามประกาศสงคราม เซฮุนสูดลมหายใจเรียกขวัญของตัวเองเข้ามาก่อนจะยกกระบอกปืนขึ้นเตรียมจ่อยิงหากผู้ไม่ชอบมาพากลนั้นทะลึ่งพรวดเข้ามาด้านในและเขาหวังว่าจะไม่ใช่ตัวเองที่โดนกระสุนทะลวงจนพรุนไปเสียก่อน


                   “เซฮุน!” ทว่าเสียงกระซิบคุ้นเคยทำให้เขาต้องลดกระบอกปืนลง คิ้วเรียวขมวดแน่นด้วยไม่อยากมั่นใจกับเสียงที่ตัวเองได้ยิน เพราะมันไม่ใช่เวลาอันเป็นปกติเลยสักนิด


                   “จงอิน?” เขาลองเอ่ยชื่ออีกคนกลับไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา


                   “อือ ฉันเอง...” เงารูปมือทาบลงมาแถวปากกระโจมก่อนจะเอ่ยขออนุญาต “เข้าไปนะ”


                   สิ้นสุดคำขอ เซฮุนปรี่ตัวเองเข้าไปที่ปากทางเข้าก่อนจะเป็นฝ่ายจับผ้าผืนนั้นลดลงมาเสียเอง เขายิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าตรงหน้าคือคิมจงอินคนคุ้นเคยที่หายไปหลายวันจริงๆ แต่ก็ต้องหุบลงเมื่อเหลือบไปเห็นรอยขาดบนเสื้อของอีกฝ่ายและหุ่นยนต์กระป๋องสภาพย่ำแย่กับร่างสูงชะลูดของใครบางคนที่ด้านหลังกำลังประคองชายตัวผอมร่างเล็กเอาไว้ ใบหน้านั้นแลดูหมองคล้ำและซีดเซียวจนเซฮุนอดสงสารไม่ได้ พร้อมไปกับความสับสนว่าคนที่หายไปหลายวันคิดจะทำอะไรกันแน่


                   “จงอินไปทำอะไรมา...” มือบางวางลงเหนือรอยขาดแล้วใช้นิ้วโป้งเกลี่ยปาดมันอย่างเชื่องช้า “แล้วคนนั้น--”


                   “อี้ชิง...” 


                   “...” ชื่อนั้นสะกดเซฮุนให้ยืนตัวแข็งทื่อยู่กับที่ 


                   “เราเข้าข้างในกันเถอะ” จงอินบอก วางมือของตัวเองเหนือฝ่ามือของอีกคนแล้วจับเอาไว้เพื่อดันให้ร่างบางเดินนำเข้ามาด้านใน เซฮุนทำตามอย่างว่าง่าย กระโดดหยองแหยงไปจัดผ้านวมให้เข้าที่เข้าทางเพื่อหลบให้ผู้ชายตัวสูงพาร่างของคนเป็นอาจารย์ที่เขารู้จักเพียงแต่ชื่อให้ล้มตัวลงนอนตามคำแนะนำ


                   ชานยอลวางอี้ชิงลงอย่างเบามือที่สุดก่อนจะถอยห่างออกมาแล้วยกหน้าที่เช็ดหน้าเช็ดตาให้กับเซฮุนที่กลับเข้ามาพร้อมกับกระป๋องน้ำ ร่างโปร่งย่อตัวลงข้างคนที่ยังไม่ได้สติแล้วค่อยๆลากผ้าขนหนูชื้นเช็ดชำระคราบไคลฝุ่นผงออกจากร่างกายผอมแห้งไม่มีน้ำมีนวล


                   “เซฮุนนี่ชานยอล” จงอินเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบงันที่น่าอึดอัด ผายมือไปทางเพื่อนร่วมงานที่ถือแก้วน้ำแนบริมฝีปากเอาไว้ไม่ยอมปล่อยห่าง ชานยอลค้อมหัวลงมาเล็กน้อยเป็นการทักทายตามมารยาทเช่นเดียวกับที่เซฮุนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มแห้งๆ “ไม่ต้องห่วงนะ ชานยอลเป็นเพื่อนฉันเอง”


                   “ครับ” ขานรับเพียงสั้นๆก่อนจะหันไปสนใจกับหน้าที่ที่เหลือของตัวเองต่อโดยมีมาร์ตินเข้ามานั่งอยู่ข้างๆกันและเอาแต่ส่งเสียงบิดกังกริกๆคล้ายกับจะแสดงความเป็นห่วงต่อคนที่นอนไม่ได้สติ


                   เซฮุนใช้เวลาอยู่สักพักจึงผละห่างออกมาจากศาสตราจารย์ที่ดูสะอาดสะอ้านขึ้น เขาหันหน้ามองมนุษย์ Blue World สองคนนั่งเอนหลังพิงอยู่กับผนังกระโจมในสภาพอิดโรยเหมือนอดหลับอดนอน โดยเฉพาะชานยอลที่ตาปรือ สับปะหงกจนหัวหล่นกลิ้งลงมาหลายรอบไม่ต่างอะไรกับจงอินที่เดี๋ยวปิดเดี๋ยวเปิดตาขึ้นมาเป็นพักๆ


                   “คุณชานยอลครับ” มือบางสะกิดไปที่ไหล่ของผู้มาเยือนคนใหม่ ถึงจะยังหวาดระแวงไม่น้อยแต่เซฮุนก็จะเชื่อใจคนที่จงอินเชื่อด้วยเช่นกัน “นอนดีๆไหมครับ?” เอ่ยบอกเมื่ออีกฝ่ายเปิดดวงตาปรือขึ้นมองหน้าเขา ชานยอลดูแทบไม่มีสติแล้วด้วยซ้ำตอนที่พยักหน้ารับแล้วเอนตัวเองลงกับพื้นปูนโดยมีหนังสือเล่มหนาคลุมไว้ด้วยเสื้อผ้าเนื้อนุ่มที่เซฮุนจับมันมาซ้อนกันเป็นหมอนชั่วคราวสำหรับค่ำคืนที่เหน็ดเหนื่อยให้กับคนแปลกหน้า


                   เป้าหมายต่อไปของเซฮุนคือคนที่นั่งหลับตาอยู่ไม่ห่าง เขาคลานเข่าเข้าไปหาอย่างเงียบเชียบเพื่อไม่ให้รบกวนอีกสองชีวิตและหนึ่งเครื่องจักรกลที่ตอนนี้เองก็พักผ่อนด้วยการดับสวิชต์ทุกอย่างลงแล้ว ปลายนิ้วแตะไปรอบรอยบากที่มองเผินๆแล้วดูเหมือนจะไม่ได้รับการกระทบอะไรมากมายแต่พอลงน้ำหนักเพียงเบาๆ จงอินกลับสะดุ้งขึ้นมาเบิกตาโพล่งใส่เขา


                   “จงอินเจ็บ...” เซฮุนกระซิบเสียงแผ่ว ยู่ปากสีชมพูเป็นพุ่มเมื่อเห็นคิ้วคมขมวดแน่นแต่ใบหน้ากลับส่ายปฏิเสธ


                   “นิดหน่อยหน่า”


                   “ผมขอโทษ... ที่ทำให้ต้องลำบาก”


                   “ไม่หรอก... บอกแล้วไงว่านายต้องรอด” เซฮุนไม่ชอบประโยคนั้นสักนิดเหมือนกับที่เขายังหาคำตอบไม่ได้ว่าการรอดไปโดยไม่มีคิมจงอินมันจะช่วยให้อะไรดีขึ้นตรงไหน


                   “ทำแผลนะครับ เดี๋ยวผมออกไปเปลี่ยนน้ำ--”


                   “ไปด้วยกัน” จงอินดันตัวขึ้นมาก่อนที่เซฮุนจะได้ทันตั้งคำถามอะไรอีก มือสากคว้าข้อมือเล็กเอาไว้แล้วก็อดเหลือบไปมองไม่ได้ว่าทำไมโอเซฮุนถึงตัวผอมกระหร่องได้ขนาดนี้กันทั้งที่เขาก็ตุนอาหารไว้มากพอจะกินไปทั้งปีด้วยซ้ำ


                   พวกเขาแหวกกระโจมออกมาด้านนอก ท้องฟ้ายังมืดสนิทและมีดวงดาวระยิบระยับเป็นประกาย จงอินพาคนตัวผอมมาที่ริมบ่อน้ำแล้วปล่อยให้เซฮุนได้เอาผ้าไปชุบส่วนตัวเขานั่งกอดเข่าอยู่ข้างโขดหิน ไม่นานนักเซฮุนก็เดินย้อนกลับขึ้นมานั่งข้างๆ หย่อนตัวลงกับพื้นหญ้านุ่มแล้วจับปลายผ้าเช็ดไปบนรอยแผลอย่างเบามือ


                   “เหมือนจะเจ็บนะเนี่ย”


                   “แน่สิครับ นี่แผล...นะ” คำพูดของเซฮุนขาดช่วงเมื่อรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนที่เป่ารดอยู่เหนือขมับด้วยเจ้าของบาดแผลอยากจะมองเห็นมันให้ชัดเจนด้วยตาของตัวเอง


                   “ฉันรู้หน่า” น้ำเสียงไม่จริงจังติดขบขันของจงอินอยู่ใกล้ใบหูจนเซฮุนเผลอเงยหน้าขึ้นมามอง ปลายจมูกของพวกเขาแตะชนกันเล็กน้อยก่อนที่จงอินจะเป็นฝ่ายเสหน้าหันหนีไปอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจ


                   “คุณไม่ควรต้องเจ็บเลย” ดวงตาเรียวจ้องเข้าไปในลูกปัดกลมของอีกฝ่าย แม้มันจะมืดมิดแต่เซฮุนก็ยังคงเห็นแววอ่อนโยนปรากฎอยู่ชัดเจน ให้ความรู้สึกเหมือนกับตอนที่เขารู้สึกว่าตัวเองสบตาคนในความฝันเมื่อครู่ “ต่อให้ผมต้องรอดแต่คุณก็ไม่ควรเจ็บตัว”


                   “...นิดเดียวเอง”


                   “วันนี้มันนิดเดียวแต่หลังจากนี้ล่ะครับ... ถ้ามันยังมีมากกว่านี้อีกผมจะทำยังไงครับ” เซฮุนยกมือข้างหนึ่งขึ้นจับใบหน้าคมที่หันออกให้หันกลับมาอีกครั้ง เขาจ้องเข้าไปในดวงตาที่มองตอบกลับมาอย่างไม่กลอกหนี มองผ่านม่านน้ำตาบางๆของตัวเองออกไปด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไมจงอินต้องทำอะไรมากมายขนาดนี้เพียงเพื่อให้เขารอดชีวิตจากโลกอันแสนโหดร้ายนี่กัน


                   สัมผัสที่ประคองอยู่กับสันกรามเลื่อนไปจับไว้ที่ท้ายอยก่อนจะรั้งใบหน้าคมให้ก้มต่ำลงมา เซฮุนประทับริมฝีปากแนบลงไปกับส่วนเดียวกับของอีกฝ่ายเพียงหนึ่งครั้งก่อนจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาแล้วโอบรอบลำคอแกร่งเอาไว้ มันช่างให้ความรู้สึกเหมือนกับความฝันเมื่อสักครู่ เหมือนเขากำลังกอดผู้ชายคนนั้นที่ชื่อไค คนที่เขามองเห็นใบหน้าไม่ชัดแต่กลับจำดวงตาสีเฮเซลนัทคู่นั้นได้ชัดเจน ดวงตาที่ทอประกายอุ่นเหมือนแสงอาทิตย์ส่องสว่าง น้ำเสียงทุ้มที่ตราตรึงยาวนานจนมาถึงตอนตื่นนอน 


                   “ผมอยากให้จงอินรอด” เซฮุนเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงอู้อี้แบบคนที่กำลังจะร้องไห้ออกมา มือสองข้างกระชับอ้อมแขนของตัวเองให้แน่นขึ้นอีกแล้วเบียดตัวเองซุกกับอกกว้างจนแทบจะจมหายไปในนั้น “ถ้าผมต้องอยู่ต่อโดยที่ไม่มีจงอิน ผมคิดไม่ออกจริงๆว่าจะอยู่ทำไม”


    x x x x x


    #UMETKH

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×