คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : CHAPTER SIX
Under the monument is empty
EXO / Kai x Sehun / PG17
note : ไม่ได้ต้องการเสียดสีหรือพยากรณ์
VI
“คุณว่ามันใช้ได้ยัง?”
“หืม... ถามฉันเหรอ?” ชายหนุ่มหน้าโชกเหงื่อเลิกคิ้วขึ้นสูงพร้อมคำถาม
ยิ่งทำให้ใบหน้าเหยเกจากความเหนื่อยล้าแลดูตลกขบขันขึ้นไปอีกเท่าตัว
เจ้าของคำถามพยักหน้ายืนยันอีกครั้งแล้วหลีกทางให้จงอินขยับขาก้าวไปบนพื้นดินร่วนซุยจากการขุดพรวนหลายชั่วโมงได้เปลี่ยนตำแหน่งตัวเองมายืนด้านข้าง
พินิจผลงานตรงหน้า “เป็นคำถามที่ยากมากสำหรับช่างซ่อมโดรน” ดวงตาคมกวาดมองดินสีน้ำตาลตรงหน้าที่ถูกขุดเรียงเป็นแถวตรงสวยงาม
กองพูนเล็กๆเหล่านั้นคล้ายกับสัญลักษณ์คอยบอกว่าตรงไหนเหยียบได้ ตรงไหนห้ามเหยียบ
“ผมก็ลืมคิดไปว่าคุณคงไม่คุ้นกับ...การปลูกต้นไม้”
“อะไรก็ตามที่ไม่เกี่ยวกับไขควง
น็อต และโดรน อยู่นอกเหนือความเข้าใจฉันทั้งหมดนั่นแหละ” หนุ่มผิวเข้มว่า ขยับพลั่วประดิษฐ์ในมือที่ทำจากก้านไม้และแกลอนนมผ่าครึ่ง “นี่ก็ด้วย มันเรียกอะไรนะ?”
“พลั่ว” เซฮุนตอบทั้งรอยยิ้ม “อันที่จริง
พลั่วแบบไม่เป็นทางการเท่าไหร่ ของจริงมันจะแข็งแรงกว่านี้แล้วก็ใช้ถนัดมือกว่านี้”
“หวังว่าร้านลุงฮีชอลคงมีดูเป็นตัวอย่าง”
เซฮุนระเบิดหัวเราะกับความคิดอันแสนน่ารักของมนุษย์ Blue World ผู้ไม่ได้มีวิถีการใช้ชีวิตตามตำราที่เขาเคยอ่าน
และแม้ว่าอีกฝ่ายจะทำหน้าไม่เข้าใจในความขบขันนั้นแต่ร่างบางก็ไม่ใส่ใจอธิบาย
เท้าเปล่าก้าวยึกยักไปยังแปลงดินที่จงอินพรวนเอาไว้พร้อมกับชามพลาสติกบรรจุหัวมันฝรั่งผ่าเป็นชิ้นในมือ
เซฮุนย่อตัวลงนั่งยองให้ถนัดก่อนจะเริ่มขุดทำรูตื้นๆแล้วหย่อนพวกมันลงไปอย่างเป็นระเบียบ
“พวกนี้จะเป็นต้นได้จริงเหรอ?” จงอินมองการกระทำประหลาดที่เจ้าตัวแอบคิดว่ามันเข้าข่ายเป็นพิธีกรรมมนต์ดำอะไรหรือเปล่าด้วยใบหน้าฉงนสงสัย “แล้วมันจะเป็นหัวๆแบบนั้นได้แน่นะ?”
คนจากโลกล่างยิ้มขำ “ภาวนาสิ”
“ภาวนา?”
“คล้ายๆเวลานายท่องไงส่วนประกอบของโดรนไง
กลหนึ่งไฟเขียวสองขีด กลสองไฟแดงสองขีด กลสามไฟน้ำเงินสองขีด บวกต่อบวก ลบต่อลบ...”
“อันนั้นมันเรียกว่าสูตรหรอก”
“ไม่สิ
เราไม่ใช้ภาวนากับสูตร” เซฮุนกวาดสายตามองแปลงผักทั้งสามที่พวกเขาใช้เวลาครึ่งวันเต็มไปกับพวกมัน “เราใช้ที่เชื่ออะไรสักอย่างมากๆ แล้วก็พูดสิ่งนั้นออกมา”
คำตอบนั้นไม่ช่วยให้จงอินกระจ่างขึ้นสักนิด กับสิ่งที่เชื่ออย่างนั้นเหรอ... จะเชื่อได้ยังไงกันในเมื่อเบื้องหน้าเขาตอนนี้มีแต่แปลงดินโล่งๆที่ได้รับการฝังชิ้นมันฝรั่งหัวเหลืองลงไปกับเม็ดของฟักทองลูกใหญ่
เท่าที่เคยอ่านมาจากตำรับตำราเรามักจะฝังคนตายลงไปในดินและพวกเขาก็คงจะไม่ชูแขนชูขาทะลุหน้าดินขึ้นมาเหมือนอย่างที่เซฮุนพยายามอธิบายการเติบโตของผักพวกนี้แน่นอน
“ถ้างั้น...
เราต้องภาวนาว่าอะไรล่ะ?”
“En pási gár toís fysikoís énestí
ti thavmastón*”
“ห้ะ?”
“ในธรรมชาติ
นายจะเจอบางอย่างที่โคตรจะวิเศษ”
หลังจากหย่อนเมล็ดพืชและหัวเชื้อลงหลุมครบตามจำนวนแล้ว
จงอินก็ชวนเซฮุนเข้าไปในป่าบอกว่าในนั้นมีน้ำตกที่เราพอจะใช้ชำระเอาเหงื่อไคลออกไปจากตัวได้
เซฮุนลังเล
กระนั้นก็ต้องยอมแพ้ให้กับกลิ่นเปรี้ยวฉุนจมูกจึงยอมเดินตามเจ้าถิ่นเข้ามาในเขตป่าทึบ
แหล่งน้ำธรรมชาติส่งเสียงฟู่ฟ่ามาให้ได้ยินแต่ไกล
โขดหินสูงชันมนเงาจนแทบจำส่องหน้าต่างกระจกได้คงเพราะถูกน้ำไหลเซาะมานานหลายปี
เซฮุนคิดว่ามันเป็นเรื่องประหลาดมากที่สถานที่แบบนี้ปรากฎอยู่ในโลก Blue World เขาอยากจะใส่ใจคิดกับประเด็นนี้ให้มากขึ้นถ้าหากไม่ติดว่าความงามของธรรมชาติตรงหน้ามันทำให้ลืมสิ้นไปหมด
จงอินเดินเข้ามากระตุกแขนของเขาชวนให้เดินอ้อมไปอีกทางซึ่งเป็นแอ่งน้ำไม่กว้างไม่แคบ
พอเหมาะพอดีสำหรับการลงไปแช่ตัวให้หายล้า เจ้าถิ่นไม่พูดพร่ำทำเพลง
หันหลังกลับไปปลดชุดลำลองของตัวเองออกมาในคราวเดียวก่อนจะหย่อนตัวลงไปอย่างคล่องแคล่วราวกับใช้ทั้งชีวิตอยู่ในน้ำตกแห่งนี้
เซฮุนวกความคิดกลับมาที่เดิม
จงอินเป็นมนุษย์โลกบนที่ประหลาด ความคิดในสมองเป็นตามแบบแผนของคนที่นี่ทั้งหมด
ทว่าบางส่วนที่เขาเดาเอาเองว่าอาจจะเป็นสัญชาติญาณกลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
การกระทำของจงอินบางครั้งหาคำตอบไม่ได้ด้วยหลักการของที่โลกแห่งนี้
แต่อาจจะเจอได้ในโลกล่าง
ในโลกที่เขาจากมา
"มาเหอะหน่า"
เสียงทุ้มตะโกนเรียกพร้อมยืดแขนโบกมือหาคนที่ยืนนิ่งอยู่ริมขอบ
"มันสบายตัวจริงๆนะ" ทั้งยังกวักมือตีน้ำเหมือนกับเด็ก
ก่อนหันหลังกลับไปอีกทาง ยกมือปิดตาเป็นสัญญาณว่ากำลังรอเซฮุนจัดการตัวเองให้พร้อม
พอเห็นท่ามาขนาดนั้นแล้วเซฮุนก็จนใจจะปฏิเสธ
ร่างบางสูดหายใจรวบรวมความกล้าแล้วรีบปลดเสื้อผ้าออกโดยเร็วให้ทันก่อนที่อีกคนจะหันกลับมา
ขาเรียวหย่อนลงมาช้าๆ
ทันที่ที่ปลายเท้าแตะน้ำร่างบางก็รีบดึงตัวเองลงไปนั่งขัดสมาธิก้นติดบ่อ
ผิวน้ำใสละอยู่แถวลำคอสูงมาจนถึงปลายคาง ทำให้จงอินมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายเพียงแค่ดวงตาที่ฉายแววหวาดระแวงเท่านั้น
"เกร็งอะไรขนาดนั้น..."
เสียงทุ้มถามขณะลอยตัวไปมาด้วยท่าทางสนุกสนาน
"ปกติคนโลกบนเขาแก้ผ้าอาบน้ำด้วยกันเหรอครับ" เซฮุนถามกลับทั้งริมฝีปากยับยู่และใบหน้าง้ำงอ จงใจเน้นคำว่าแก้ผ้าเป็นพิเศษเพื่อให้คนไม่รู้ทุกข์รู้ร้อนนึกระคายใจบ้าง
ทว่าผลลัพธ์กลับตรงข้าม จงอินหัวเราะลั่นจนตาหยี
อ้าปากเห็นฟันครบสามสิบสองซี่ให้เจ้าของคำถามตะหงิดใจว่ามีอะไรน่าตลกมากมายในคำถามนั้น
"ฮ่าๆๆ...
นายน่ะ... เขินเหรอ?" ร่างสูงเปลี่ยนจากขยับตัวหมุนเป็นวงกลมไปแหวกน้ำเย็นเฉียบ
เดินตรงเข้าไปหาคนขี้เขินที่ถอยตัวหนีจนแผ่นหลังชนโขดหิน "เขินอะไรเหรอ?"
"ก ก็...
คนปกติที่ไหนถอดเสื้อผ้าอาบน้ำด้วยกันล่ะครับ!" เสียงหวานเถียงตะกุกตะกักแต่ก็พยายามจะพูดให้ดังเพื่อกลบอาการเขินอาย
ใบหน้าตะแคงเบี่ยงจนแทบจะหลอมรวมเป็นหินสีน้ำตาลเข้มที่ด้านหลัง
ยิ่งเห็นท่าทางตื่นๆของเซฮุนจงอินก็ยิ่งนึกอยากจะแหย่ให้เป็นหนักกว่านี้
หนุ่มโลกบนหัวเราะหึในลำคอก่อนจะมุดลงไปใต้ผิวน้ำอย่างรวดเร็ว
เซฮุนยังไม่ทันประมวลได้ว่าเกิดอะไรขึ้นตอนนั้น
มือหนาก็จัดการคว้าเอาข้อเท้าเรียวแล้วกระตุกดึงให้หลุดออกมาจากโขดหิวข้างหลังเสียแล้ว
"จงอิน!" เสียงหวานตะโกนดังลั่น ดิ้นขลุกขลักไปมาทั้งอยากจะขืนตัวออกให้ห่าง
ทั้งตกใจที่โดนดึงให้ไถลลงไปผิวน้ำ
เจ้าของชื่อรีบเอื้อมไปคว้าเอวผอมเอาไว้ให้มั่นแล้วค่อยดึงให้โผล่พ้นน้ำขึ้นมาพร้อมกัน "ฮ่าๆๆๆ!"
"คุณ!
เล่นบ้าอะไรเนี่ย?!"
"ชวนออกมาตรงกลางไง" คนโดนแกล้งจนหอบฮักหันหลังกลับไปมองโขดหินที่ตัวเองเคยเกาะอยู่ถึงได้รู้ว่าหล่นลงหลุมพรางมากับช่างซ่อมโดรนจอมเจ้าเล่ห์ถึงกลางสระเสียแล้ว
แต่ที่น่าลงโทษมากกว่าคือมือสองข้างที่มันจับบ่าของกว้างยึดเอาไว้แน่นทั้งที่สระก็ไม่ได้ลึกจนยืนไม่ถึง
แถมตำแหน่งที่ยืนอยู่ตอนนี้มันก็ใกล้เกินความจำเป็น
ใกล้จนเห็นรอยปานเล็กๆตรงกกหูของจงอินเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ "มันตื้นจะตาย ไม่ต้องกลัวหรอก"
มืออุ่นตบเข้าข้างเอวก่อนจะเลื่อนขึ้นมาจับข้อมือเล็กไว้คล้ายกับจะช่วยประคองไม่ให้ตกอกตกใจไปอีก
พอเห็นเซฮุนเริ่มหายใจช้าลง
ชินกับน้ำและสระแล้วจึงค่อยๆผละมือออกพร้อมกับขยับตัวถอยหลัง
"เห็นมั้ย? ตื้นนิดเดียว"
"มันเกี่ยวกับลึกไม่ลึกที่ไหนล่ะครับ" พอเห็นแก้มขาวเปลี่ยนเป็นสีแดงถึงได้ร้องอ๋อให้กับคำพูดเสียดสีนั่น
"ฮ่าๆ
ไม่เห็นต้องอายเลย มีเหมือนกันแหละ" จงอินบอกด้วยน้ำเสียงปกติ
เซฮุนได้ยอนแบบนั้นก็เบ้ปากให้กับประโยคเถรตรงนั้น
ทำหน้างอแล้วแหวกน้ำหนีไปอีกทางทิ้งช่างซ่อมโดรนเอาไว้กับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเบาๆ
x x x x x
หลังจากที่ภาพโฮโลแกรมของเซฮุนกระจายไปทั่วทั้งเมืองได้ร่วมอาทิตย์
การค้นหาวัตถุทดลองกับกล่องเหล็กบรรจุกลายเป็นเหมือนวาระแห่งชาติ
ทหารทุกหน่วยถูกส่งกระจายไปตามจุดสำคัญของเมืองพร้อมกับโดรนไร้คนขับบันทึกข้อมูล
สถานที่สำคัญทุกแห่งถูกตรวจสอบคนเข้าออกอย่างละเอียดถี่ถ้วนผ่านเครื่องแสกนร่างกายและระบบตรวจจับใบหน้า
บ้านบางหลังถูกรื้อค้น รวมทั้งพวกร้านขายของเก่าเองก็โดนรื้อและสั่งปิด
โชคดีที่ลุงฮีชอลรู้ทางหนีทีไล่ถึงยังรอดอยู่ได้
ยังมีการส่งข่าวมาบอกจงอินด้วยอีกว่าร้านตัวเองไม่โดนบุกทลายเหมือนเจ้าอื่น
หลังจากนั้นพวกผู้ปกครองเพิ่มมาตรการคุมเข้มเข้าไปอีก
มีการรื้อค้นบ้านของคนที่ทำงานในกระทรวงวิทยาศาสตร์และการทดลองทุกคน
บ้านของจงอินเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
เขาแทบจะเสียสติตอนตื่นมาแล้วเจอทหารสองนายกับหุ่นโดรนยืนอยู่หน้าบ้านพร้อมกับหมายค้น
กระสับกระส่ายแทบตายตอนคนพวกนั้นเข้ามารื้อของแม้แต่ในตู้เย็น
โชคดีที่ก่อนหน้านี้จงอินจัดการย้ายพวกของเก่าไปไว้ที่กระท่อมกบดานทั้งหมดแล้วจึงไม่เหลือหลักฐานให้กลายเป็นผู้ต้องสงสัย
ทั้งนี้ต้องขอบคุณเซฮุนที่เอ่ยเตือนเรื่องนั้นหลังจากที่เขาเล่าเรื่องมาตรการตรวจค้นให้ฟัง
แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือมาตรการคุมเข้มทำให้เขาไม่สามารถออกไปหาเซฮุนได้ทุกวันเหมือนอย่างเคยเพราะจะเสี่ยงต่อการโดนจับตามองมากเกินไป
ความกังวลทำให้เขาเริ่มคิดหาวิธีการสื่อสารกับเซฮุนเพื่อให้มั่นใจว่าอีกคนปลอดภัย
โดยเริ่มจากการดัดแปลงเครื่องมือสื่อสารระบุตำแหน่งรุ่นก่อนหน้าที่ใช้อยู่
ดัดแปลงคลื่นสัญญาณให้ขนาดไปกับสัญญาณปัจจุบันเพื่อไม่ให้อีกใครจับได้
ทว่าปัญหาเดียวในตอนนี้คือเขาไม่สามารถเอามันไปให้เซฮุนได้
และนี่ก็ผ่านมาสามวันแล้วที่จงอินไม่รู้เลยว่าเซฮุนอยู่อย่างไรกลางป่าทึบไกลออกไปนั่น
“นายฟังข่าวเมื่อเช้าหรือเปล่า?”
“หืม... ข่าวอะไร?”
“ที่ว่าค่าหัวของวัตถุทดลองอะไรนั่นเพิ่มขึ้นไปอีกเท่าตัวไง!” ชานยอลชะโงกหน้าออกมาจากแผงไฟของโดรนไร้คนขับที่ได้รับความเสียหายจนเยินเพราะบินชนเสาไฟจราจร “ให้ตายสิ ฟังแล้วอยากจะวางไขควงออกไปล่าด้วยอีกแรง”
“เพิ่มอีกเท่าตัวเลยเหรอ?” จงอินทำหน้าเบ้
ยอมละสายตาขึ้นจากสายไฟในมือที่ต้องคอยจับไว้ไม้ให้ไปเฉียดเข้าใกล้ไฟหลอมของชานยอลซึ่งกำลังประกอบเชื่อมเหล็กบุบบี้ให้กลับมาเป็นรูปเป็นร่างอีกครั้ง
“อาฮะ...
เห็นว่าเป็นมติของสภาสูง
แถมคราวนี้พวกคนในกระทรวงวิทย์ฯก็เห็นตรงกันหมดว่าถ้าเกิดมันตกไปอยู่ในมือของใครก็ตามมันจะเป็นอันตราย...
มันมีใครสอดระเบิดเอาไว้ในตัวมนุษย์ทดลองรึไงถึงต้องทำกันขนาดนี้
แทนที่จะเอาเงินมาเปลี่ยนให้เครื่องเชื่อมร้อนๆนี่กัน” เพื่อนตัวสูงบ่นเป็นหมีกินผึ้งยาวไปจนกระทั่งเหล็กที่ฉีกออกจากกันถูกเชื่อมติดเรียบร้อยตามกระบวน
จงอินไม่ได้ตอบคำถามนั้น
เขายักไหล่ไม่ขอแสดงความคิดเห็นแล้วปลดแว่นตากันรังสีลงมาคล้องไว้กับคอ
มือหนาพลิกหาแผงตั้งค่าของหุ่นโดรนทรงกลมในมือแล้วจัดการรีสตาร์ทระบบเพื่อตั้งค่าป้อนคำสั่งให้มันใหม่อีกครั้ง
ขณะที่เพื่อนร่วมงานหันไปจัดการเก็บอุปกรณ์ให้เข้าที่ เตรียมพร้อมสำหรับการเคลื่อนย้ายกลับฐานทัพที่ทิ้งมาเกือบชั่วโมงแล้ว
“มันทะแม่งยังไงไม่รู้
ขนาดตอนจับศาสตราจารย์จางยังไม่ให้สูงขนาดนี้ ต้องมีอะไรแน่เลย” ชานยอลวกกลับมานั่งอยู่ข้างกันแล้วเริ่มลากบทสนทนาเข้าสู่เรื่องเดิมอีกครั้ง
ซึ่งจงอินคิดว่ามันคงจะประหลาดจริงอย่างที่เพื่อนเขาว่านั่นแหละ
ชานยอลไม่ใช่คนขี้สังเกต
หากเรื่องนี้เกิดเตะตาเจ้าเพื่อนตัวสูงโย่งโก้งของเขาได้ก็นับว่ามันต้องทะแม่งมากพอควร
“จางอี้ชิงน่ะนะ?” เขาถามกลับไปแบบไม่ได้คิดอะไร
แค่ไม่อยากให้ความเงียบสร้างบรรยากาศอึดอัดขึ้นมาระหว่างการรอคอยอันแสนน่าเบื่อให้หุ่นตรงหน้าดึงข้อมูลหลายเทเลไบต์กลับมา
“เออสิ...
จางอี้ชิงที่อยู่คุกขังลืมนั่นแหละ” ขายาวยืดเหยียดขึ้นเต็มความสูง
นำเครื่องมือซ่อมบำรุงของเขาเข้าไปเก็บในโดรนให้เรียบร้อยแล้วค่อยวกกลับมานั่งยอง
เอนหลังพิงกำแพงของตรอกแคบเพื่อรอดูผลงานของตัวเอง “พ่อเป็นกบฏ
ตัวเองก็ทรยศไม่ยอมให้ความร่วมมือกับผู้ปกครองแล้วยังขายข้อมูลให้กับพวกคนนอกอีก
ค่าหัวยังเลยครึ่งของวัตถุทดลองอะไรนี่มาแค่นิดเดียวเอง”
“งั้นเหรอ...”
“อะไร...
ทำหน้าอย่างกับไม่เคยเห็นข่าวพวกนั้นแน่ะ” จงอินส่ายหน้าเป็นคำตอบ
แน่นอนว่าเขาเคยเห็นข่าวนั้น มันถูกแปะเอาไว้อยู่ในพิพิธภัณฑ์กลาง
ที่ซึ่งทุกคนจะต้องเคยไปเหยียบมาไม่ครั้งก็สองครั้ง
จงอินรู้ว่าเคยไปที่นั่นครั้งหนึ่งแต่ก็จำอะไรไม่ได้มากเกี่ยวกับห้องโถงโล่งๆที่เต็มไปด้วยสารพัดวัตถุสิ่งของ
แต่ที่ตรึงใจทุกคนก็คือคุกหอคอยจำลองที่พอเหยียบเข้าไปแล้วจะสัมผัสความความหนาวเย็นยะเยียบ
กลิ่นเหม็นสาบเพราะปราศจากการทำความสะอาด
รวมทั้งเสียงเหล็กก๊องแก๊งทุกครั้งที่พวกเขาขยับเท้าก้าวไปตรงไหนก็ตาม
คำอธิบายเขียนไว้ชัดเจนว่าที่แห่งนี้ใช้ขัง
จางอี้ชิง
นักโทษผู้ต้องถูกจองจำไปตลอดชีวิตเพราะไม่ให้ความร่วมมือกับผู้ปกครองในการสร้างและพัฒนา Blue World
จงอินคิดว่าห้องนี้ไม่มีมีเจตนาจะบอกเล่าอะไรทั้งนั้น
แต่มีไว้เพื่อข่มขู่ใครก็ตามที่ริกบฏ บอกชัดเจนว่าปลายทางสุดท้ายก็คือคุกสูงเสียดฟ้าที่มองเห็นได้ตลอดไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนของเมือง
“แปลกนะ
ทำไมคนพวกนั้นไม่ประหารศาสตราจารย์จางไปเลยล่ะ
ถ้าความผิดถึงขั้นต้องถูกขังตลอดชีวิต” จงอินถามกลับในจังหวะเดียวกับที่โดรนในมือกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง
ลูกเหล็กส่งสัญญาณไฟกระพริบขึ้นมาหลายสีก่อนจะลอยขึ้นไปบนอากาศแล้วบินโฉบหายไป พอโดรนบินพ้นสายตา ชานยอลจึงก้มหน้าลงมามองเขาแล้วส่ายหัว
“ไม่รู้นะ
แต่เคยได้ยินพวกผู้ใหญ่บอกกันว่าศาสตราจารย์จางนั่นสนิทกับหมอคริส
บางคนก็บอกว่าหมอคริสช่วยไว้” จงอินคว้าแขนเจ้าของคำตอบเอาไว้ขณะดึงตัวเองขึ้นมาจากพื้น
“ไม่ลองถามตอนนัดคราวหน้าดูล่ะ”
“ถามให้เขาเอาเข็มแทงกูน่ะสิ”
หัวหน้าหน่วยแกล้งยิ้มทั้งที่ความจริงภาพของความฝันเมื่อคราวก่อนยังติดตาเขาอยู่
ราวกับว่าถ้าหากวันหนึ่งเกิดพูดอะไรไม่เข้าหูหมอประจำตัวขึ้นมาคงได้โดนเข็มใหญ่แทงให้สลบ
“ไหนบอกหมอคริสใจดีไง”
“เรื่องแบบนี้ใครจะใจดีด้วยลงเล่า”
หมัดกลมโขกเบาๆกลาหัวของเพื่อนที่คิดว่าสนิทที่สุดก่อนจะเดินตรงไปที่โดรนประจำตำแหน่งแล้วขึ้นนั่งที่คนขับ
ชานยอลเดินตามมาทีหลังพร้อมกับเครื่องมือกล่องสุดท้าย
จงอินแหงนหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้าระหว่างรอให้ชานยอลปิดท้ายโดรนลง
คราวนี้เขาเผื่อสายตาไปยังหอคอยสูงตระหง่านที่ไม่เคยอยู่ในกรอบสายตาของตัวเองเท่าไหร่
ยอดหอคอยของคุกขังลืมยังคงโดดเด่นเป็นสง่า
มันอยู่สูงที่สุดประเภทที่ว่าทุกคนสามารถมองเห็นได้ชัดเจนไม่ว่าจะยืนอยู่ตรงไหนของเมือง
เหล่าผู้ปกครองจงใจสร้างมันเป็นเครื่องเตือนใจต่อใครก็ตามที่คิดจะกบฎเหมือนกับที่พวกเขาทำในพิพิธภัณฑ์
เป็นคำบอว่าจุดจบของกบฏทุกรายก็คือที่สูงเย็นเยียบแบบไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน
“ไม่ถามหมอคริสก็ปีนขึ้นไปถามคนบนนู้นสิ”
ชานยอลยังคงเย้าแหย่กระทั่งนั่งก้นติดเบาะพร้อมสำหรับการเดินทาง
จงอินเลือกไม่แสดงความเห็นอะไรต่อ
เขาสตาร์ทโดรนแล้วระบุพิกัดของเป้าหมายปลายทางเป็นฐานบัญชาการที่ซึ่งงานอีกกองใหญ่กำลังรอคอยให้กลับไปสะสาง
โดรนของเขาลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
ในระดับที่ยังต่ำกว่ายอดหอคอยนั่น
หินสีดำโสโครกกับยอดสูงทะลุเมฆดึงความสนใจของจงอินไปทั้งหมด ชายหนุ่มทวนคำแนะนำของเพื่อนในหัวอีกครั้ง
ที่ว่าให้ปีนไปถามอี้ชิงด้วยตัวเอง
ขบคิดมันไปพร้อมกับใบหน้าของเซฮุนยามตะโกนชื่อนั้นออกมาแล้วบอกว่าเป็นอาจารย์ของตัวเอง
จงอินคิดว่าบางทีเขาอาจจะต้องปีนขึ้นไปบนนั้น
อาจจะในเร็ววันนี้ด้วยซ้ำ
x x x x x
คืนนี้เป็นหน้าที่ของจงอินในการบรรจุโดรนไร้คนขับที่ออกล่าตระเวรกลับเข้ามาที่ศูนย์บัญชาการดังนั้นเขาจึงกลายเป็นคนเดียวที่อยู่ในห้องทำงานคับแคบที่มีเพียงคอมพิวเตอร์ความสามารถสูงที่ยังคงรายงานการค้นหาอย่างต่อเนื่อง
ข้างกันไม่ห่างปรากฏหนังสือประวัติศาสตร์ของ Blue World ที่เขาแอบหยิบมาจากลูกชายของลูกน้องที่เข้ามาเล่นในฐานทัพเมื่อช่วงเย็น
จงอินไม่มั่นใจว่าเคยอ่านมันแล้วสักครั้งหรือยัง
เนื้อหาที่ปรากฏอยู่ในนั้นไม่คุ้นกับสิ่งที่อยู่ในหัวเขาเลยสักนิด
มันมีเค้าลางจางๆเพียงเล็กน้อยจนเผลอคิกว่าบางทีตัวเองอาจจะไม่ใช่คนบนโลกนี้มาตั้งแต่แรกอย่างที่เซฮุนเคยพูดไว้เมื่อตอนที่เล่าเรื่องความฝันให้ฟังก็ได้
แต่มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไงในเมื่อเขาก็อยู่ที่นี่มาตลอด
จงอินปัดเรื่องนั้นออกไปจากหัว
เขาสนใจอยู่แต่เรื่องการกำเนิด Blue World ที่เล่าเอาไว้คร่าวๆว่าเกิดจาการพัฒนาของเหล่านักวิทยาศาสตร์ฝีมือดีที่ต้องการป้องกันโลกจากสงครามและอาวุธชีวภาพร้ายแรงที่โลกล่าง
พวกเขาและทีมทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างเสาสูงเสียดฟ้าและสร้างฐานบัญชาการขนาดใหญ่ก่อนจะเริ่มขยายอาณาเขตด้วยสารพัดความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่สั่งสมกันมา
ไม่มีการกล่าวถึงรายชื่อแกนนำอย่างชัดเจนแต่มีชื่อของจางอี้ชิงปรากฏอยู่ในฐานะกบฏที่ไม่ให้ความร่วมมือในการสร้างและพัฒนาโลกแห่งนี้ หนังสือบอกว่าศาสตราจารย์ผู้เก่งกาจยกความสามารถให้กับพระเจ้าที่ไม่มีอยู่จริง
ปฏิเสธการผ่าตัดรักษามนุษย์ผู้สิ้นลมให้กลับมามีลมหายใจอีกครั้งรวมทั้งพยายามรวมกองกำลังโลกล่างให้ขึ้นมายุดแผ่นดิน Blue
World บทลงโทษจึงเป็นการถูกจองจำไว้ในคุกเหน็บหนาวโดยไม่มีวันได้รับการปล่อยตัวออกมาอีก
บางทีเซฮุนอาจจะเป็นกองกำลังโลกล่างที่หนังสือกล่าวเอาไว้
เซฮุนอาจจะเป็นหนึ่งในคนสำคัญ พวกผู้ปกครองถึงได้ต้องการตัวกันมากนัก
ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่ใช่เหตุผลที่ดีพอสำหรับการตั้งค่าหัวสูงเป็นประวัติกาลตั้งแต่โลกบนเคยมีมา
จงอินเชื่อว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่นอน…
“เวรนายเหรอคืนนี้?”
“คระ ครับ!” จงอินดีดตัวเองขึ้นมาจากเก้าอี้ ทิ้งหนังสือในมือวางบนโต๊ะก่อนจะรีบหันหน้ากลับไปมองเจ้าของเสียงเรียก
ลมหายใจของเขากระตุกไม่ใช่เพราะว่าเห็นคริสยืนอยู่ตรงนั้น
แต่เป็นเพราะบนเสื้อกาวน์สีขาวปรากฏคราบแดงฉานเปรอะเป็นวงกว้าง
ไม่ได้เละเทะมากแต่ก็ชวนให้นึกไปถึงภาพความฝันที่ตามหลอกหลอนอยู่เป็นนิตย์
“นั่งไปเถอะ ฉันมาตรวจงานข้างล่าง
เห็นไฟเปิดอยู่เลยแวะขึ้นมา” ร่างสูงขยับก้าวเข้ามาใกล้กับโต๊ะทำงาน
ดวงตาคมปรายมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้าอย่างสนอกสนใจ “เช็คเข้ากี่หน่วยแล้วล่ะ?”
“ขาดอีก 5 หน่วยครับ
มีคำสั่งออกไปบาเรียน 6 กับ 18 ตรงนั้นค่อนข้างไกล อาจจะต้องรออีกสักพัก”
“คืนนี้อีกยาวสินะ”
คริสว่ายิ้มๆ
คราวนี้เป้าหมายปลายสายตาหยุดลงที่หนังสือแบบเรียนเล่มบางที่วางคว่ำเอาไว้แทน “ยังต้องอ่านอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ?”
“อ้อ
ลูกของจงแดลืมเอาไว้เมื่อเย็นครับ ผมไม่มีอะไรทำเลยเอามานั่งอ่านระหว่างรอ”
จงอินตอบคำถามเสียงนิ่งทั้งที่ใจร่วงไปถึงตาตุ่มตอนที่คริสหยิบมันขึ้นมาอ่านแล้วพบว่ามันเป็นหน้าที่เกี่ยวกับศาสตราจารย์จางอี้ชิงพอดี
หัวหน้าฝ่ายซ่อมบำรุงคิดว่าที่ชานยอลพูดคงมีส่วนถูก
แววตาของคริสขณะกวาดมองตัวอักษรพวกนั้นแตกต่างไปจากที่เคยใช้มองตัวอักษรหรือหน้าของเขา
มันดูมีความหมาย เหมือนกับกำลังจ้องมองใครหรืออะไรที่สำคัญกับชีวิตเหลือเกิน
แล้วทั้งหมดนั่นก็หายไปเมื่อนายแพทย์หนุ่มพลิกกระดาษเปลี่ยนไปอีกหน้าที่อธิบายเรื่องโลกล่างเอาไว้
“นายว่ามันเป็นไงล่ะ?”
เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นมาพร้อมกับที่หย่อนตัวลงนั่งบนโต๊ะด้วยท่าทางแสนสบาย
เป็นกันเอง
คนโดนถามไม่ตอบทันที
สายตาของจงอินเหลือบขึ้นมองใบหน้าของแพทย์ประจำตัวที่จ้องมองมาทางตนระหว่างรอคำตอบ
หนังสือในมือมือหนาพลิกหันกลับมาให้เห็นหน้าที่อีกฝ่ายเปิดค้างเอาไว้
โลกล่าง...
“ไม่รู้สิครับ...”
จงอินเลือกบอกปัด “ผมยังอ่านไม่ถึงตรงนั้นเลย”
เขาเลือกโกหกออกไปเพื่อเลี่ยงไม่ต้องคิดหาคำตอบสำหรับเรื่องที่ตัวเองเลือกเปิดอ่านเป็นอันดับแรกตั้งแต่ได้หนังสือเล่มนี้มา
“อ่าวเหรอ...”
“...”
“ฉันว่ามันค่อนข้างจะเกินจริงไปสักหน่อย”
คริสทำปากคว่ำแล้วพลิกหน้ากระดาษไปอีกครั้ง “ที่ไหนก็น่าจะเกิดสงครามได้ทั้งนั้น
แล้วมันก็จะหยุดได้เมื่อพวกเขารู้แล้วว่าไม่มีประโยชน์จะเกลียดกัน
แต่นั่นน่ะเรื่องยาก เพราะเวลาเราเกลียดแค้นใครสักคนเราก็จะตาบอด ไม่รู้ผิดรู้ถูกแล้วก็ลืมคิดไปว่าที่ทำอยู่ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง”
“...”
“Blue World เองก็ใช่ว่าไม่เคยผิด
การปลีกตัวแยกออกมาแล้วตัดขาดกันไป
เป็นทางออกจริงแต่ก็ช่วยได้แค่ระยะเดียวเท่านั้น” แบบเรียนเล่มเล็กถูกวางลงกลับไปที่โต๊ะเหมือนเดิม
ใบหน้าคมคร้ามได้สัดส่วนของนายแพทย์หนุ่มหันกลับมามองจ้องคนไข้ในความดูแลอีกครั้ง
และคราวนี้แววตานั้นแอบแฝงไปด้วยแววประกายที่จงอินไม่เข้าใจ “แต่มันก็ดันเป็นแบบนี้ไปซะแล้วน่ะสิ
บางทีสิ่งที่ดีที่สุดอาจจะเป็นแค่เดินไปตามเกมส์แล้วก็เอาชีวิตตัวเองให้รอดก็พอ”
จงอินมั่นใจว่าเขาไม่เห็นด้วยกับคำพูดนั้น
แต่ต้องเก็บมันเอาไว้ในปาก
อดกลั้นไม่ให้เผลอลั่นโพล่งออกไปให้อะไรมันยุ่งยากขึ้นไปอีก
“อาจจะฟังดูไม่ดีสักหน่อย
แต่ถ้ามีใครสักคนที่ต้องหายไปเขาก็น่าจะต้องหายไปนั่นแหละ... Blue
World เลือกแล้วว่าใครสมควรรอด ดังนั้นถ้าคนโลกล่างติดเชื้อ
พวกเขาก็คงต้องติดเชื้อล่ะมั้ง”
“....”
“ส่วนนายก็คงต้องเฝ้าโดรนต่อไป
ฉันเองก็ต้องเข้าเวรเหมือนกัน” คริสดีดตัวลงมายืนกับพื้นแล้วสะบัดเสื้อกาวน์ของตัวเองให้เข้าที่
“ไว้เจอกันล่ะ คนไข้”
“เอ่อ... หมอครับ”
เสียงทุ้มเอ่ยรั้งแพทย์ประจำตัวที่กำลังจะขยับเท้าก้าวออกไปไว้ “ผมขอถามอะไรสักหน่อยได้ไหมครับ?”
“อะไรล่ะ?”
“ที่ศาสตราจารย์จางโดนขัง...
เพราะแค่นั้นจริงเหรอครับ” จงอินแทบลืมว่าตัวเองหายใจอยู่ตอนที่เขาเอ่ยคำถามนั้นออกไป
มันเหมือนตายไปแล้วด้วยซ้ำตอนที่คริสหันหน้ากลับมามองเขาด้วยสายตาที่แปลกไปกว่าทุกครั้งก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มบางๆ
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงกันล่ะ”
“เอ่อ...คือ...ผม
ผมเคยได้ยินมาว่า หมอกับศาสตราจารย์...เคยสนิทกัน”
คริสเลิกคิ้วขึ้น
พยักหน้าหงึกหงักกับคำบอกเล่าของช่างซ่อมโดรน “คำว่าเคยได้ยินมันไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องจริงหรอกจงอิน”
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจ้องเจ้าของคำถามอีกครั้ง
รอยยิ้มเหนือริมฝีปากหนาหายไปอย่างกับมันไม่เคยมีอยู่ก่อน “จางอี้ชิงปฏิเสธการช่วยชีวิตมนุษย์...Blue
World…คนหนึ่ง ออกไปจากห้องผ่าตัดแล้วไม่กลับเข้ามาอีก
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่มนุษย์คนนั้นเกือบตายเพราะอี้ชิง...เพราะ
เขาทรยศพวกเดียวกัน”
จงอินพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร
เขาเหลือบมองดวงตาของคริสแล้วก็หลบออกมาเมื่อพบแววที่ไม่เข้าใจในสายตาคู่นั้น
“เขาต้องอยู่ในนั้นเพราะเลือกทรยศ”
“...”
“ส่วนเราสองคนคงต้องแยกไปเข้าเวรสักที”
คริสบ่ายหน้าไปทางประตูห้องแล้วส่งยิ้มให้กับคนตรงหน้า “ไว้เจอกัน จงอิน”
“ครับหมอ” ริมฝีปากหยักฝืนประดิษฐ์ยิ้มขึ้นมาพร้อมด้วยการผงกหัวเบาๆ
คริสเดินหายออกไปจากห้องควบคุม ไม่นานหลังจากนั้นโดรนลำหนึ่งก็บินกลับเข้ามาในเครื่องแสกน
เขาไม่ได้ใส่ใจตรวจประวัติการเดินทางที่แห่ขึ้นมาเต็มหน้าจอไปหมดอีกแล้ว
เพราะคำพูด คำตอบ
อะไรก็ตามที่เอ่ยมาจากปากของคริสดังก้องอยู่ในหัวสมองราวกับลูกบอลที่เด้งไปเด้งมาในโรงยิม
“Blue World ไม่มีสิทธิ์เลือก Blue
World ไม่มีสิทธิ์เลือก Blue World ไม่มีสิทธิ์เลือก...”
จงอินพูดมันซ้ำๆตามที่เซฮุนบอกว่ามันคือการภาวนา
x x x x x
เราได้พยายามจะให้เขาแหววแล้ว
มันได้แค่นี้แหละ 555555555555555
*In the all things of nature there is something of the
marvelous.
-- Aristotle (Parts of animals)*
ขอพื้นที่ให้เขาได้แหววกันหน่อย
#UMETKH
ความคิดเห็น