ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ( kaihun ) Under the monument is empty .

    ลำดับตอนที่ #7 : CHAPTER SIX

    • อัปเดตล่าสุด 19 ก.พ. 59


    Under the monument is empty

    EXO / Kai x Sehun / PG17




    note : ไม่ได้ต้องการเสียดสีหรือพยากรณ์

     

    VI

     

    คุณว่ามันใช้ได้ยัง?”

     

    หืม... ถามฉันเหรอ?” ชายหนุ่มหน้าโชกเหงื่อเลิกคิ้วขึ้นสูงพร้อมคำถาม ยิ่งทำให้ใบหน้าเหยเกจากความเหนื่อยล้าแลดูตลกขบขันขึ้นไปอีกเท่าตัว เจ้าของคำถามพยักหน้ายืนยันอีกครั้งแล้วหลีกทางให้จงอินขยับขาก้าวไปบนพื้นดินร่วนซุยจากการขุดพรวนหลายชั่วโมงได้เปลี่ยนตำแหน่งตัวเองมายืนด้านข้าง พินิจผลงานตรงหน้า “เป็นคำถามที่ยากมากสำหรับช่างซ่อมโดรน” ดวงตาคมกวาดมองดินสีน้ำตาลตรงหน้าที่ถูกขุดเรียงเป็นแถวตรงสวยงาม กองพูนเล็กๆเหล่านั้นคล้ายกับสัญลักษณ์คอยบอกว่าตรงไหนเหยียบได้ ตรงไหนห้ามเหยียบ

     

    ผมก็ลืมคิดไปว่าคุณคงไม่คุ้นกับ...การปลูกต้นไม้

     

    อะไรก็ตามที่ไม่เกี่ยวกับไขควง น็อต และโดรน อยู่นอกเหนือความเข้าใจฉันทั้งหมดนั่นแหละ” หนุ่มผิวเข้มว่า ขยับพลั่วประดิษฐ์ในมือที่ทำจากก้านไม้และแกลอนนมผ่าครึ่ง “นี่ก็ด้วย มันเรียกอะไรนะ?”

     

    พลั่ว” เซฮุนตอบทั้งรอยยิ้ม “อันที่จริง พลั่วแบบไม่เป็นทางการเท่าไหร่ ของจริงมันจะแข็งแรงกว่านี้แล้วก็ใช้ถนัดมือกว่านี้

     

    หวังว่าร้านลุงฮีชอลคงมีดูเป็นตัวอย่าง

     

    เซฮุนระเบิดหัวเราะกับความคิดอันแสนน่ารักของมนุษย์ Blue World ผู้ไม่ได้มีวิถีการใช้ชีวิตตามตำราที่เขาเคยอ่าน และแม้ว่าอีกฝ่ายจะทำหน้าไม่เข้าใจในความขบขันนั้นแต่ร่างบางก็ไม่ใส่ใจอธิบาย เท้าเปล่าก้าวยึกยักไปยังแปลงดินที่จงอินพรวนเอาไว้พร้อมกับชามพลาสติกบรรจุหัวมันฝรั่งผ่าเป็นชิ้นในมือ เซฮุนย่อตัวลงนั่งยองให้ถนัดก่อนจะเริ่มขุดทำรูตื้นๆแล้วหย่อนพวกมันลงไปอย่างเป็นระเบียบ

     

    พวกนี้จะเป็นต้นได้จริงเหรอ?” จงอินมองการกระทำประหลาดที่เจ้าตัวแอบคิดว่ามันเข้าข่ายเป็นพิธีกรรมมนต์ดำอะไรหรือเปล่าด้วยใบหน้าฉงนสงสัย “แล้วมันจะเป็นหัวๆแบบนั้นได้แน่นะ?”

     

    คนจากโลกล่างยิ้มขำ “ภาวนาสิ

     

    ภาวนา?”

     

    คล้ายๆเวลานายท่องไงส่วนประกอบของโดรนไง กลหนึ่งไฟเขียวสองขีด กลสองไฟแดงสองขีด กลสามไฟน้ำเงินสองขีด บวกต่อบวก ลบต่อลบ...

     

    อันนั้นมันเรียกว่าสูตรหรอก

     

    ไม่สิ เราไม่ใช้ภาวนากับสูตร” เซฮุนกวาดสายตามองแปลงผักทั้งสามที่พวกเขาใช้เวลาครึ่งวันเต็มไปกับพวกมัน “เราใช้ที่เชื่ออะไรสักอย่างมากๆ แล้วก็พูดสิ่งนั้นออกมา

     

    คำตอบนั้นไม่ช่วยให้จงอินกระจ่างขึ้นสักนิด กับสิ่งที่เชื่ออย่างนั้นเหรอ... จะเชื่อได้ยังไงกันในเมื่อเบื้องหน้าเขาตอนนี้มีแต่แปลงดินโล่งๆที่ได้รับการฝังชิ้นมันฝรั่งหัวเหลืองลงไปกับเม็ดของฟักทองลูกใหญ่ เท่าที่เคยอ่านมาจากตำรับตำราเรามักจะฝังคนตายลงไปในดินและพวกเขาก็คงจะไม่ชูแขนชูขาทะลุหน้าดินขึ้นมาเหมือนอย่างที่เซฮุนพยายามอธิบายการเติบโตของผักพวกนี้แน่นอน

     

    ถ้างั้น... เราต้องภาวนาว่าอะไรล่ะ?”

     

    “En pási gár toís fysikoís énestí ti thavmastón*”

     

    ห้ะ?”

     

    ในธรรมชาติ นายจะเจอบางอย่างที่โคตรจะวิเศษ

     

     

     

    หลังจากหย่อนเมล็ดพืชและหัวเชื้อลงหลุมครบตามจำนวนแล้ว จงอินก็ชวนเซฮุนเข้าไปในป่าบอกว่าในนั้นมีน้ำตกที่เราพอจะใช้ชำระเอาเหงื่อไคลออกไปจากตัวได้ เซฮุนลังเล กระนั้นก็ต้องยอมแพ้ให้กับกลิ่นเปรี้ยวฉุนจมูกจึงยอมเดินตามเจ้าถิ่นเข้ามาในเขตป่าทึบ

     

    แหล่งน้ำธรรมชาติส่งเสียงฟู่ฟ่ามาให้ได้ยินแต่ไกล โขดหินสูงชันมนเงาจนแทบจำส่องหน้าต่างกระจกได้คงเพราะถูกน้ำไหลเซาะมานานหลายปี เซฮุนคิดว่ามันเป็นเรื่องประหลาดมากที่สถานที่แบบนี้ปรากฎอยู่ในโลก Blue World เขาอยากจะใส่ใจคิดกับประเด็นนี้ให้มากขึ้นถ้าหากไม่ติดว่าความงามของธรรมชาติตรงหน้ามันทำให้ลืมสิ้นไปหมด

     

    จงอินเดินเข้ามากระตุกแขนของเขาชวนให้เดินอ้อมไปอีกทางซึ่งเป็นแอ่งน้ำไม่กว้างไม่แคบ พอเหมาะพอดีสำหรับการลงไปแช่ตัวให้หายล้า เจ้าถิ่นไม่พูดพร่ำทำเพลง หันหลังกลับไปปลดชุดลำลองของตัวเองออกมาในคราวเดียวก่อนจะหย่อนตัวลงไปอย่างคล่องแคล่วราวกับใช้ทั้งชีวิตอยู่ในน้ำตกแห่งนี้

     

    เซฮุนวกความคิดกลับมาที่เดิม จงอินเป็นมนุษย์โลกบนที่ประหลาด ความคิดในสมองเป็นตามแบบแผนของคนที่นี่ทั้งหมด ทว่าบางส่วนที่เขาเดาเอาเองว่าอาจจะเป็นสัญชาติญาณกลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง การกระทำของจงอินบางครั้งหาคำตอบไม่ได้ด้วยหลักการของที่โลกแห่งนี้ แต่อาจจะเจอได้ในโลกล่าง

     

    ในโลกที่เขาจากมา

     

    "มาเหอะหน่า" เสียงทุ้มตะโกนเรียกพร้อมยืดแขนโบกมือหาคนที่ยืนนิ่งอยู่ริมขอบ "มันสบายตัวจริงๆนะ" ทั้งยังกวักมือตีน้ำเหมือนกับเด็ก ก่อนหันหลังกลับไปอีกทาง ยกมือปิดตาเป็นสัญญาณว่ากำลังรอเซฮุนจัดการตัวเองให้พร้อม

     

    พอเห็นท่ามาขนาดนั้นแล้วเซฮุนก็จนใจจะปฏิเสธ ร่างบางสูดหายใจรวบรวมความกล้าแล้วรีบปลดเสื้อผ้าออกโดยเร็วให้ทันก่อนที่อีกคนจะหันกลับมา

     

    ขาเรียวหย่อนลงมาช้าๆ ทันที่ที่ปลายเท้าแตะน้ำร่างบางก็รีบดึงตัวเองลงไปนั่งขัดสมาธิก้นติดบ่อ ผิวน้ำใสละอยู่แถวลำคอสูงมาจนถึงปลายคาง ทำให้จงอินมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายเพียงแค่ดวงตาที่ฉายแววหวาดระแวงเท่านั้น

     

    "เกร็งอะไรขนาดนั้น..." เสียงทุ้มถามขณะลอยตัวไปมาด้วยท่าทางสนุกสนาน

     

    "ปกติคนโลกบนเขาแก้ผ้าอาบน้ำด้วยกันเหรอครับเซฮุนถามกลับทั้งริมฝีปากยับยู่และใบหน้าง้ำงอ จงใจเน้นคำว่าแก้ผ้าเป็นพิเศษเพื่อให้คนไม่รู้ทุกข์รู้ร้อนนึกระคายใจบ้าง ทว่าผลลัพธ์กลับตรงข้าม จงอินหัวเราะลั่นจนตาหยี อ้าปากเห็นฟันครบสามสิบสองซี่ให้เจ้าของคำถามตะหงิดใจว่ามีอะไรน่าตลกมากมายในคำถามนั้น

     

    "ฮ่าๆๆ... นายน่ะ... เขินเหรอ?" ร่างสูงเปลี่ยนจากขยับตัวหมุนเป็นวงกลมไปแหวกน้ำเย็นเฉียบ เดินตรงเข้าไปหาคนขี้เขินที่ถอยตัวหนีจนแผ่นหลังชนโขดหิน "เขินอะไรเหรอ?"

     

    "ก ก็... คนปกติที่ไหนถอดเสื้อผ้าอาบน้ำด้วยกันล่ะครับ!" เสียงหวานเถียงตะกุกตะกักแต่ก็พยายามจะพูดให้ดังเพื่อกลบอาการเขินอาย ใบหน้าตะแคงเบี่ยงจนแทบจะหลอมรวมเป็นหินสีน้ำตาลเข้มที่ด้านหลัง ยิ่งเห็นท่าทางตื่นๆของเซฮุนจงอินก็ยิ่งนึกอยากจะแหย่ให้เป็นหนักกว่านี้

     

    หนุ่มโลกบนหัวเราะหึในลำคอก่อนจะมุดลงไปใต้ผิวน้ำอย่างรวดเร็ว เซฮุนยังไม่ทันประมวลได้ว่าเกิดอะไรขึ้นตอนนั้น มือหนาก็จัดการคว้าเอาข้อเท้าเรียวแล้วกระตุกดึงให้หลุดออกมาจากโขดหิวข้างหลังเสียแล้ว

     

    "จงอิน!เสียงหวานตะโกนดังลั่น ดิ้นขลุกขลักไปมาทั้งอยากจะขืนตัวออกให้ห่าง ทั้งตกใจที่โดนดึงให้ไถลลงไปผิวน้ำ

     

    เจ้าของชื่อรีบเอื้อมไปคว้าเอวผอมเอาไว้ให้มั่นแล้วค่อยดึงให้โผล่พ้นน้ำขึ้นมาพร้อมกัน "ฮ่าๆๆๆ!"


    "คุณ! เล่นบ้าอะไรเนี่ย?!"


    "ชวนออกมาตรงกลางไงคนโดนแกล้งจนหอบฮักหันหลังกลับไปมองโขดหินที่ตัวเองเคยเกาะอยู่ถึงได้รู้ว่าหล่นลงหลุมพรางมากับช่างซ่อมโดรนจอมเจ้าเล่ห์ถึงกลางสระเสียแล้ว แต่ที่น่าลงโทษมากกว่าคือมือสองข้างที่มันจับบ่าของกว้างยึดเอาไว้แน่นทั้งที่สระก็ไม่ได้ลึกจนยืนไม่ถึง แถมตำแหน่งที่ยืนอยู่ตอนนี้มันก็ใกล้เกินความจำเป็น ใกล้จนเห็นรอยปานเล็กๆตรงกกหูของจงอินเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ "มันตื้นจะตาย ไม่ต้องกลัวหรอก"

    มืออุ่นตบเข้าข้างเอวก่อนจะเลื่อนขึ้นมาจับข้อมือเล็กไว้คล้ายกับจะช่วยประคองไม่ให้ตกอกตกใจไปอีก พอเห็นเซฮุนเริ่มหายใจช้าลง ชินกับน้ำและสระแล้วจึงค่อยๆผละมือออกพร้อมกับขยับตัวถอยหลัง

     

    "เห็นมั้ยตื้นนิดเดียว"

     

    "มันเกี่ยวกับลึกไม่ลึกที่ไหนล่ะครับพอเห็นแก้มขาวเปลี่ยนเป็นสีแดงถึงได้ร้องอ๋อให้กับคำพูดเสียดสีนั่น

     

    "ฮ่าๆ ไม่เห็นต้องอายเลย มีเหมือนกันแหละจงอินบอกด้วยน้ำเสียงปกติ เซฮุนได้ยอนแบบนั้นก็เบ้ปากให้กับประโยคเถรตรงนั้น ทำหน้างอแล้วแหวกน้ำหนีไปอีกทางทิ้งช่างซ่อมโดรนเอาไว้กับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเบาๆ

    x x x x x

     

    หลังจากที่ภาพโฮโลแกรมของเซฮุนกระจายไปทั่วทั้งเมืองได้ร่วมอาทิตย์ การค้นหาวัตถุทดลองกับกล่องเหล็กบรรจุกลายเป็นเหมือนวาระแห่งชาติ ทหารทุกหน่วยถูกส่งกระจายไปตามจุดสำคัญของเมืองพร้อมกับโดรนไร้คนขับบันทึกข้อมูล สถานที่สำคัญทุกแห่งถูกตรวจสอบคนเข้าออกอย่างละเอียดถี่ถ้วนผ่านเครื่องแสกนร่างกายและระบบตรวจจับใบหน้า บ้านบางหลังถูกรื้อค้น รวมทั้งพวกร้านขายของเก่าเองก็โดนรื้อและสั่งปิด

     

    โชคดีที่ลุงฮีชอลรู้ทางหนีทีไล่ถึงยังรอดอยู่ได้ ยังมีการส่งข่าวมาบอกจงอินด้วยอีกว่าร้านตัวเองไม่โดนบุกทลายเหมือนเจ้าอื่น

     

    หลังจากนั้นพวกผู้ปกครองเพิ่มมาตรการคุมเข้มเข้าไปอีก มีการรื้อค้นบ้านของคนที่ทำงานในกระทรวงวิทยาศาสตร์และการทดลองทุกคน บ้านของจงอินเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาแทบจะเสียสติตอนตื่นมาแล้วเจอทหารสองนายกับหุ่นโดรนยืนอยู่หน้าบ้านพร้อมกับหมายค้น กระสับกระส่ายแทบตายตอนคนพวกนั้นเข้ามารื้อของแม้แต่ในตู้เย็น โชคดีที่ก่อนหน้านี้จงอินจัดการย้ายพวกของเก่าไปไว้ที่กระท่อมกบดานทั้งหมดแล้วจึงไม่เหลือหลักฐานให้กลายเป็นผู้ต้องสงสัย ทั้งนี้ต้องขอบคุณเซฮุนที่เอ่ยเตือนเรื่องนั้นหลังจากที่เขาเล่าเรื่องมาตรการตรวจค้นให้ฟัง

     

    แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือมาตรการคุมเข้มทำให้เขาไม่สามารถออกไปหาเซฮุนได้ทุกวันเหมือนอย่างเคยเพราะจะเสี่ยงต่อการโดนจับตามองมากเกินไป ความกังวลทำให้เขาเริ่มคิดหาวิธีการสื่อสารกับเซฮุนเพื่อให้มั่นใจว่าอีกคนปลอดภัย โดยเริ่มจากการดัดแปลงเครื่องมือสื่อสารระบุตำแหน่งรุ่นก่อนหน้าที่ใช้อยู่ ดัดแปลงคลื่นสัญญาณให้ขนาดไปกับสัญญาณปัจจุบันเพื่อไม่ให้อีกใครจับได้ ทว่าปัญหาเดียวในตอนนี้คือเขาไม่สามารถเอามันไปให้เซฮุนได้

     

    และนี่ก็ผ่านมาสามวันแล้วที่จงอินไม่รู้เลยว่าเซฮุนอยู่อย่างไรกลางป่าทึบไกลออกไปนั่น

     

    นายฟังข่าวเมื่อเช้าหรือเปล่า?”

     

    หืม... ข่าวอะไร?”

     

    ที่ว่าค่าหัวของวัตถุทดลองอะไรนั่นเพิ่มขึ้นไปอีกเท่าตัวไง!” ชานยอลชะโงกหน้าออกมาจากแผงไฟของโดรนไร้คนขับที่ได้รับความเสียหายจนเยินเพราะบินชนเสาไฟจราจร “ให้ตายสิ ฟังแล้วอยากจะวางไขควงออกไปล่าด้วยอีกแรง

     

    เพิ่มอีกเท่าตัวเลยเหรอ?” จงอินทำหน้าเบ้ ยอมละสายตาขึ้นจากสายไฟในมือที่ต้องคอยจับไว้ไม้ให้ไปเฉียดเข้าใกล้ไฟหลอมของชานยอลซึ่งกำลังประกอบเชื่อมเหล็กบุบบี้ให้กลับมาเป็นรูปเป็นร่างอีกครั้ง

     

    อาฮะ... เห็นว่าเป็นมติของสภาสูง แถมคราวนี้พวกคนในกระทรวงวิทย์ฯก็เห็นตรงกันหมดว่าถ้าเกิดมันตกไปอยู่ในมือของใครก็ตามมันจะเป็นอันตราย... มันมีใครสอดระเบิดเอาไว้ในตัวมนุษย์ทดลองรึไงถึงต้องทำกันขนาดนี้ แทนที่จะเอาเงินมาเปลี่ยนให้เครื่องเชื่อมร้อนๆนี่กัน” เพื่อนตัวสูงบ่นเป็นหมีกินผึ้งยาวไปจนกระทั่งเหล็กที่ฉีกออกจากกันถูกเชื่อมติดเรียบร้อยตามกระบวน

     

    จงอินไม่ได้ตอบคำถามนั้น เขายักไหล่ไม่ขอแสดงความคิดเห็นแล้วปลดแว่นตากันรังสีลงมาคล้องไว้กับคอ มือหนาพลิกหาแผงตั้งค่าของหุ่นโดรนทรงกลมในมือแล้วจัดการรีสตาร์ทระบบเพื่อตั้งค่าป้อนคำสั่งให้มันใหม่อีกครั้ง ขณะที่เพื่อนร่วมงานหันไปจัดการเก็บอุปกรณ์ให้เข้าที่ เตรียมพร้อมสำหรับการเคลื่อนย้ายกลับฐานทัพที่ทิ้งมาเกือบชั่วโมงแล้ว

     

    มันทะแม่งยังไงไม่รู้ ขนาดตอนจับศาสตราจารย์จางยังไม่ให้สูงขนาดนี้ ต้องมีอะไรแน่เลย” ชานยอลวกกลับมานั่งอยู่ข้างกันแล้วเริ่มลากบทสนทนาเข้าสู่เรื่องเดิมอีกครั้ง ซึ่งจงอินคิดว่ามันคงจะประหลาดจริงอย่างที่เพื่อนเขาว่านั่นแหละ ชานยอลไม่ใช่คนขี้สังเกต หากเรื่องนี้เกิดเตะตาเจ้าเพื่อนตัวสูงโย่งโก้งของเขาได้ก็นับว่ามันต้องทะแม่งมากพอควร

     

    จางอี้ชิงน่ะนะ?” เขาถามกลับไปแบบไม่ได้คิดอะไร แค่ไม่อยากให้ความเงียบสร้างบรรยากาศอึดอัดขึ้นมาระหว่างการรอคอยอันแสนน่าเบื่อให้หุ่นตรงหน้าดึงข้อมูลหลายเทเลไบต์กลับมา

     

    เออสิ... จางอี้ชิงที่อยู่คุกขังลืมนั่นแหละ” ขายาวยืดเหยียดขึ้นเต็มความสูง นำเครื่องมือซ่อมบำรุงของเขาเข้าไปเก็บในโดรนให้เรียบร้อยแล้วค่อยวกกลับมานั่งยอง เอนหลังพิงกำแพงของตรอกแคบเพื่อรอดูผลงานของตัวเอง “พ่อเป็นกบฏ ตัวเองก็ทรยศไม่ยอมให้ความร่วมมือกับผู้ปกครองแล้วยังขายข้อมูลให้กับพวกคนนอกอีก ค่าหัวยังเลยครึ่งของวัตถุทดลองอะไรนี่มาแค่นิดเดียวเอง

     

    งั้นเหรอ...

     

    อะไร... ทำหน้าอย่างกับไม่เคยเห็นข่าวพวกนั้นแน่ะจงอินส่ายหน้าเป็นคำตอบ แน่นอนว่าเขาเคยเห็นข่าวนั้น มันถูกแปะเอาไว้อยู่ในพิพิธภัณฑ์กลาง ที่ซึ่งทุกคนจะต้องเคยไปเหยียบมาไม่ครั้งก็สองครั้ง จงอินรู้ว่าเคยไปที่นั่นครั้งหนึ่งแต่ก็จำอะไรไม่ได้มากเกี่ยวกับห้องโถงโล่งๆที่เต็มไปด้วยสารพัดวัตถุสิ่งของ แต่ที่ตรึงใจทุกคนก็คือคุกหอคอยจำลองที่พอเหยียบเข้าไปแล้วจะสัมผัสความความหนาวเย็นยะเยียบ กลิ่นเหม็นสาบเพราะปราศจากการทำความสะอาด รวมทั้งเสียงเหล็กก๊องแก๊งทุกครั้งที่พวกเขาขยับเท้าก้าวไปตรงไหนก็ตาม

     

    คำอธิบายเขียนไว้ชัดเจนว่าที่แห่งนี้ใช้ขัง จางอี้ชิง นักโทษผู้ต้องถูกจองจำไปตลอดชีวิตเพราะไม่ให้ความร่วมมือกับผู้ปกครองในการสร้างและพัฒนา Blue World

     

    จงอินคิดว่าห้องนี้ไม่มีมีเจตนาจะบอกเล่าอะไรทั้งนั้น แต่มีไว้เพื่อข่มขู่ใครก็ตามที่ริกบฏ บอกชัดเจนว่าปลายทางสุดท้ายก็คือคุกสูงเสียดฟ้าที่มองเห็นได้ตลอดไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนของเมือง

    แปลกนะ ทำไมคนพวกนั้นไม่ประหารศาสตราจารย์จางไปเลยล่ะ ถ้าความผิดถึงขั้นต้องถูกขังตลอดชีวิต” จงอินถามกลับในจังหวะเดียวกับที่โดรนในมือกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง ลูกเหล็กส่งสัญญาณไฟกระพริบขึ้นมาหลายสีก่อนจะลอยขึ้นไปบนอากาศแล้วบินโฉบหายไป พอโดรนบินพ้นสายตา ชานยอลจึงก้มหน้าลงมามองเขาแล้วส่ายหัว

     

    ไม่รู้นะ แต่เคยได้ยินพวกผู้ใหญ่บอกกันว่าศาสตราจารย์จางนั่นสนิทกับหมอคริส บางคนก็บอกว่าหมอคริสช่วยไว้จงอินคว้าแขนเจ้าของคำตอบเอาไว้ขณะดึงตัวเองขึ้นมาจากพื้น ไม่ลองถามตอนนัดคราวหน้าดูล่ะ

     

    ถามให้เขาเอาเข็มแทงกูน่ะสิหัวหน้าหน่วยแกล้งยิ้มทั้งที่ความจริงภาพของความฝันเมื่อคราวก่อนยังติดตาเขาอยู่ ราวกับว่าถ้าหากวันหนึ่งเกิดพูดอะไรไม่เข้าหูหมอประจำตัวขึ้นมาคงได้โดนเข็มใหญ่แทงให้สลบ

     

    ไหนบอกหมอคริสใจดีไง

     

    เรื่องแบบนี้ใครจะใจดีด้วยลงเล่าหมัดกลมโขกเบาๆกลาหัวของเพื่อนที่คิดว่าสนิทที่สุดก่อนจะเดินตรงไปที่โดรนประจำตำแหน่งแล้วขึ้นนั่งที่คนขับ ชานยอลเดินตามมาทีหลังพร้อมกับเครื่องมือกล่องสุดท้าย จงอินแหงนหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้าระหว่างรอให้ชานยอลปิดท้ายโดรนลง คราวนี้เขาเผื่อสายตาไปยังหอคอยสูงตระหง่านที่ไม่เคยอยู่ในกรอบสายตาของตัวเองเท่าไหร่

     

    ยอดหอคอยของคุกขังลืมยังคงโดดเด่นเป็นสง่า มันอยู่สูงที่สุดประเภทที่ว่าทุกคนสามารถมองเห็นได้ชัดเจนไม่ว่าจะยืนอยู่ตรงไหนของเมือง เหล่าผู้ปกครองจงใจสร้างมันเป็นเครื่องเตือนใจต่อใครก็ตามที่คิดจะกบฎเหมือนกับที่พวกเขาทำในพิพิธภัณฑ์ เป็นคำบอว่าจุดจบของกบฏทุกรายก็คือที่สูงเย็นเยียบแบบไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน

     

    ไม่ถามหมอคริสก็ปีนขึ้นไปถามคนบนนู้นสิชานยอลยังคงเย้าแหย่กระทั่งนั่งก้นติดเบาะพร้อมสำหรับการเดินทาง จงอินเลือกไม่แสดงความเห็นอะไรต่อ เขาสตาร์ทโดรนแล้วระบุพิกัดของเป้าหมายปลายทางเป็นฐานบัญชาการที่ซึ่งงานอีกกองใหญ่กำลังรอคอยให้กลับไปสะสาง

     

    โดรนของเขาลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ในระดับที่ยังต่ำกว่ายอดหอคอยนั่น หินสีดำโสโครกกับยอดสูงทะลุเมฆดึงความสนใจของจงอินไปทั้งหมด ชายหนุ่มทวนคำแนะนำของเพื่อนในหัวอีกครั้ง ที่ว่าให้ปีนไปถามอี้ชิงด้วยตัวเอง ขบคิดมันไปพร้อมกับใบหน้าของเซฮุนยามตะโกนชื่อนั้นออกมาแล้วบอกว่าเป็นอาจารย์ของตัวเอง

     

    จงอินคิดว่าบางทีเขาอาจจะต้องปีนขึ้นไปบนนั้น อาจจะในเร็ววันนี้ด้วยซ้ำ

     

    x x x x x

     

    คืนนี้เป็นหน้าที่ของจงอินในการบรรจุโดรนไร้คนขับที่ออกล่าตระเวรกลับเข้ามาที่ศูนย์บัญชาการดังนั้นเขาจึงกลายเป็นคนเดียวที่อยู่ในห้องทำงานคับแคบที่มีเพียงคอมพิวเตอร์ความสามารถสูงที่ยังคงรายงานการค้นหาอย่างต่อเนื่อง

     

    ข้างกันไม่ห่างปรากฏหนังสือประวัติศาสตร์ของ Blue World ที่เขาแอบหยิบมาจากลูกชายของลูกน้องที่เข้ามาเล่นในฐานทัพเมื่อช่วงเย็น จงอินไม่มั่นใจว่าเคยอ่านมันแล้วสักครั้งหรือยัง เนื้อหาที่ปรากฏอยู่ในนั้นไม่คุ้นกับสิ่งที่อยู่ในหัวเขาเลยสักนิด มันมีเค้าลางจางๆเพียงเล็กน้อยจนเผลอคิกว่าบางทีตัวเองอาจจะไม่ใช่คนบนโลกนี้มาตั้งแต่แรกอย่างที่เซฮุนเคยพูดไว้เมื่อตอนที่เล่าเรื่องความฝันให้ฟังก็ได้ แต่มันจะเป็นแบบนั้นได้ยังไงในเมื่อเขาก็อยู่ที่นี่มาตลอด

     

    จงอินปัดเรื่องนั้นออกไปจากหัว เขาสนใจอยู่แต่เรื่องการกำเนิด Blue World ที่เล่าเอาไว้คร่าวๆว่าเกิดจาการพัฒนาของเหล่านักวิทยาศาสตร์ฝีมือดีที่ต้องการป้องกันโลกจากสงครามและอาวุธชีวภาพร้ายแรงที่โลกล่าง พวกเขาและทีมทำงานอย่างหนักเพื่อสร้างเสาสูงเสียดฟ้าและสร้างฐานบัญชาการขนาดใหญ่ก่อนจะเริ่มขยายอาณาเขตด้วยสารพัดความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่สั่งสมกันมา ไม่มีการกล่าวถึงรายชื่อแกนนำอย่างชัดเจนแต่มีชื่อของจางอี้ชิงปรากฏอยู่ในฐานะกบฏที่ไม่ให้ความร่วมมือในการสร้างและพัฒนาโลกแห่งนี้ หนังสือบอกว่าศาสตราจารย์ผู้เก่งกาจยกความสามารถให้กับพระเจ้าที่ไม่มีอยู่จริง ปฏิเสธการผ่าตัดรักษามนุษย์ผู้สิ้นลมให้กลับมามีลมหายใจอีกครั้งรวมทั้งพยายามรวมกองกำลังโลกล่างให้ขึ้นมายุดแผ่นดิน Blue World บทลงโทษจึงเป็นการถูกจองจำไว้ในคุกเหน็บหนาวโดยไม่มีวันได้รับการปล่อยตัวออกมาอีก

     

    บางทีเซฮุนอาจจะเป็นกองกำลังโลกล่างที่หนังสือกล่าวเอาไว้ เซฮุนอาจจะเป็นหนึ่งในคนสำคัญ พวกผู้ปกครองถึงได้ต้องการตัวกันมากนัก ถึงกระนั้นมันก็ยังไม่ใช่เหตุผลที่ดีพอสำหรับการตั้งค่าหัวสูงเป็นประวัติกาลตั้งแต่โลกบนเคยมีมา จงอินเชื่อว่ามันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่นอน

     

    เวรนายเหรอคืนนี้?”

     

    คระ ครับ!” จงอินดีดตัวเองขึ้นมาจากเก้าอี้ ทิ้งหนังสือในมือวางบนโต๊ะก่อนจะรีบหันหน้ากลับไปมองเจ้าของเสียงเรียก ลมหายใจของเขากระตุกไม่ใช่เพราะว่าเห็นคริสยืนอยู่ตรงนั้น แต่เป็นเพราะบนเสื้อกาวน์สีขาวปรากฏคราบแดงฉานเปรอะเป็นวงกว้าง ไม่ได้เละเทะมากแต่ก็ชวนให้นึกไปถึงภาพความฝันที่ตามหลอกหลอนอยู่เป็นนิตย์

     

    นั่งไปเถอะ ฉันมาตรวจงานข้างล่าง เห็นไฟเปิดอยู่เลยแวะขึ้นมาร่างสูงขยับก้าวเข้ามาใกล้กับโต๊ะทำงาน ดวงตาคมปรายมองหน้าจอคอมพิวเตอร์ตรงหน้าอย่างสนอกสนใจ เช็คเข้ากี่หน่วยแล้วล่ะ?”

     

    ขาดอีก 5 หน่วยครับ มีคำสั่งออกไปบาเรียน 6 กับ 18 ตรงนั้นค่อนข้างไกล อาจจะต้องรออีกสักพัก

     

    คืนนี้อีกยาวสินะคริสว่ายิ้มๆ คราวนี้เป้าหมายปลายสายตาหยุดลงที่หนังสือแบบเรียนเล่มบางที่วางคว่ำเอาไว้แทน ยังต้องอ่านอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ?”

     

    อ้อ ลูกของจงแดลืมเอาไว้เมื่อเย็นครับ ผมไม่มีอะไรทำเลยเอามานั่งอ่านระหว่างรอจงอินตอบคำถามเสียงนิ่งทั้งที่ใจร่วงไปถึงตาตุ่มตอนที่คริสหยิบมันขึ้นมาอ่านแล้วพบว่ามันเป็นหน้าที่เกี่ยวกับศาสตราจารย์จางอี้ชิงพอดี

     

    หัวหน้าฝ่ายซ่อมบำรุงคิดว่าที่ชานยอลพูดคงมีส่วนถูก แววตาของคริสขณะกวาดมองตัวอักษรพวกนั้นแตกต่างไปจากที่เคยใช้มองตัวอักษรหรือหน้าของเขา มันดูมีความหมาย เหมือนกับกำลังจ้องมองใครหรืออะไรที่สำคัญกับชีวิตเหลือเกิน แล้วทั้งหมดนั่นก็หายไปเมื่อนายแพทย์หนุ่มพลิกกระดาษเปลี่ยนไปอีกหน้าที่อธิบายเรื่องโลกล่างเอาไว้

     

    นายว่ามันเป็นไงล่ะ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามขึ้นมาพร้อมกับที่หย่อนตัวลงนั่งบนโต๊ะด้วยท่าทางแสนสบาย เป็นกันเอง

     

    คนโดนถามไม่ตอบทันที สายตาของจงอินเหลือบขึ้นมองใบหน้าของแพทย์ประจำตัวที่จ้องมองมาทางตนระหว่างรอคำตอบ หนังสือในมือมือหนาพลิกหันกลับมาให้เห็นหน้าที่อีกฝ่ายเปิดค้างเอาไว้

     

    โลกล่าง...  

     

    ไม่รู้สิครับ...จงอินเลือกบอกปัด ผมยังอ่านไม่ถึงตรงนั้นเลยเขาเลือกโกหกออกไปเพื่อเลี่ยงไม่ต้องคิดหาคำตอบสำหรับเรื่องที่ตัวเองเลือกเปิดอ่านเป็นอันดับแรกตั้งแต่ได้หนังสือเล่มนี้มา

     

    อ่าวเหรอ...

     

    “...”

     

    ฉันว่ามันค่อนข้างจะเกินจริงไปสักหน่อยคริสทำปากคว่ำแล้วพลิกหน้ากระดาษไปอีกครั้ง ที่ไหนก็น่าจะเกิดสงครามได้ทั้งนั้น แล้วมันก็จะหยุดได้เมื่อพวกเขารู้แล้วว่าไม่มีประโยชน์จะเกลียดกัน แต่นั่นน่ะเรื่องยาก เพราะเวลาเราเกลียดแค้นใครสักคนเราก็จะตาบอด ไม่รู้ผิดรู้ถูกแล้วก็ลืมคิดไปว่าที่ทำอยู่ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง

     

    “...”

     

    Blue World เองก็ใช่ว่าไม่เคยผิด การปลีกตัวแยกออกมาแล้วตัดขาดกันไป เป็นทางออกจริงแต่ก็ช่วยได้แค่ระยะเดียวเท่านั้นแบบเรียนเล่มเล็กถูกวางลงกลับไปที่โต๊ะเหมือนเดิม ใบหน้าคมคร้ามได้สัดส่วนของนายแพทย์หนุ่มหันกลับมามองจ้องคนไข้ในความดูแลอีกครั้ง และคราวนี้แววตานั้นแอบแฝงไปด้วยแววประกายที่จงอินไม่เข้าใจ แต่มันก็ดันเป็นแบบนี้ไปซะแล้วน่ะสิ บางทีสิ่งที่ดีที่สุดอาจจะเป็นแค่เดินไปตามเกมส์แล้วก็เอาชีวิตตัวเองให้รอดก็พอ

     

    จงอินมั่นใจว่าเขาไม่เห็นด้วยกับคำพูดนั้น แต่ต้องเก็บมันเอาไว้ในปาก อดกลั้นไม่ให้เผลอลั่นโพล่งออกไปให้อะไรมันยุ่งยากขึ้นไปอีก

     

    อาจจะฟังดูไม่ดีสักหน่อย แต่ถ้ามีใครสักคนที่ต้องหายไปเขาก็น่าจะต้องหายไปนั่นแหละ... Blue World เลือกแล้วว่าใครสมควรรอด ดังนั้นถ้าคนโลกล่างติดเชื้อ พวกเขาก็คงต้องติดเชื้อล่ะมั้ง

     

    “....”

     

    ส่วนนายก็คงต้องเฝ้าโดรนต่อไป ฉันเองก็ต้องเข้าเวรเหมือนกันคริสดีดตัวลงมายืนกับพื้นแล้วสะบัดเสื้อกาวน์ของตัวเองให้เข้าที่ ไว้เจอกันล่ะ คนไข้

     

    เอ่อ... หมอครับเสียงทุ้มเอ่ยรั้งแพทย์ประจำตัวที่กำลังจะขยับเท้าก้าวออกไปไว้ ผมขอถามอะไรสักหน่อยได้ไหมครับ?”

     

    อะไรล่ะ?”

     

    ที่ศาสตราจารย์จางโดนขัง... เพราะแค่นั้นจริงเหรอครับจงอินแทบลืมว่าตัวเองหายใจอยู่ตอนที่เขาเอ่ยคำถามนั้นออกไป มันเหมือนตายไปแล้วด้วยซ้ำตอนที่คริสหันหน้ากลับมามองเขาด้วยสายตาที่แปลกไปกว่าทุกครั้งก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มบางๆ

     

    ฉันจะไปรู้ได้ยังไงกันล่ะ

     

    เอ่อ...คือ...ผม ผมเคยได้ยินมาว่า หมอกับศาสตราจารย์...เคยสนิทกัน

     

    คริสเลิกคิ้วขึ้น พยักหน้าหงึกหงักกับคำบอกเล่าของช่างซ่อมโดรน คำว่าเคยได้ยินมันไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องจริงหรอกจงอินชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจ้องเจ้าของคำถามอีกครั้ง รอยยิ้มเหนือริมฝีปากหนาหายไปอย่างกับมันไม่เคยมีอยู่ก่อน จางอี้ชิงปฏิเสธการช่วยชีวิตมนุษย์...Blue World…คนหนึ่ง ออกไปจากห้องผ่าตัดแล้วไม่กลับเข้ามาอีก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่มนุษย์คนนั้นเกือบตายเพราะอี้ชิง...เพราะ เขาทรยศพวกเดียวกัน

     

    จงอินพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไร เขาเหลือบมองดวงตาของคริสแล้วก็หลบออกมาเมื่อพบแววที่ไม่เข้าใจในสายตาคู่นั้น

     

    เขาต้องอยู่ในนั้นเพราะเลือกทรยศ

     

    “...”

     

    ส่วนเราสองคนคงต้องแยกไปเข้าเวรสักทีคริสบ่ายหน้าไปทางประตูห้องแล้วส่งยิ้มให้กับคนตรงหน้า ไว้เจอกัน จงอิน

     

    ครับหมอริมฝีปากหยักฝืนประดิษฐ์ยิ้มขึ้นมาพร้อมด้วยการผงกหัวเบาๆ คริสเดินหายออกไปจากห้องควบคุม ไม่นานหลังจากนั้นโดรนลำหนึ่งก็บินกลับเข้ามาในเครื่องแสกน เขาไม่ได้ใส่ใจตรวจประวัติการเดินทางที่แห่ขึ้นมาเต็มหน้าจอไปหมดอีกแล้ว เพราะคำพูด คำตอบ อะไรก็ตามที่เอ่ยมาจากปากของคริสดังก้องอยู่ในหัวสมองราวกับลูกบอลที่เด้งไปเด้งมาในโรงยิม

     

    Blue World ไม่มีสิทธิ์เลือก Blue World ไม่มีสิทธิ์เลือก Blue World ไม่มีสิทธิ์เลือก...

     

    จงอินพูดมันซ้ำๆตามที่เซฮุนบอกว่ามันคือการภาวนา

     

    x x x x x

    เราได้พยายามจะให้เขาแหววแล้ว

    มันได้แค่นี้แหละ 555555555555555

    *In the all things of nature there is something of the marvelous.

    -- Aristotle (Parts of animals)*

     

    ขอพื้นที่ให้เขาได้แหววกันหน่อย


    #UMETKH

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×