คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Coagulation V ,end
{ Coagulation }
เริ่มต้นด้วยความว่างเปล่า
และจบลงอย่างว่างเปล่าเช่นกัน
ดวงตาของเขาพร่ามัว ถ้าเชื่อหมอมันก็คงเป็นเพราะระบบสมองของเขาถูกทำลาย ถ้าเชื่อตัวเอง คิมจงอินก็จะตอบอย่างเต็มปากเต็มคำว่ามันคือสัญญาณจากสวรรค์ที่บอกว่าเขาเดินเข้าใกล้ปากประตูเต็มทนแล้ว...อ่า ไม่สิ.... เขาไม่รู้ว่าหลังบานประตูนั้นมันจะเป็นสวรรค์อย่างที่คาดหวังเอาไว้หรือเปล่า นั่นหล่ะที่คิมจงอินกำลังเป็นกังวลหล่ะ
ความเงียบภายในห้องพักผู้ป่วยไม่อึดอัดเท่าการที่ร่างสูงใหญ่ของใครบางคนซึ่งมักเอ่ยเสียงพูดชื่อของเขาตลอดเวลา บัดนี้นอนนิ่งเงียบสนิท พยอนแบคยอนเม้มริมฝีปากของตัวเอง ทอดมองเรือนกายในชุดผู้ป่วยสีฟ้าอ่อนที่แน่นิ่งราวคนไม่มีสติ กระนั้นดวงตาที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นของจงอินก็ยังคงจับจ้องไปบนเพดานห้องสีขาว แรงกระพริบเล็กน้อยกับแพรขนตาซึ่งขยับเขยื้อนไปมาบอกให้แบคยอนได้รู้ว่าผู้ป่วยสาหัสบนเตียงยังมีลมหายใจอยู่
“กัมจงอ่า....” แบคยอนรู้สึกอึดอัดเกินกว่าจะนั่งเงียบ สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจวางฝ่ามือของตัวเองลงบนหลังมือเย็นเฉียบของอีกคนแล้วบีบมันเบาๆเจ้าของชื่อเรียกกัมจงกลอกดวงตาปรือปรอยของตัวเองมามองทางเขาก่อนจะคลี่ยิ้มเหมือนเช่นเคย รอยยิ้มที่ผู้ป่วยเห็นไม่ชัดเพราะมันถูกเครื่องช่วยหายใจขวางกั้นเอาไว้
“...” สามวันแล้วที่คิมจงอินทำได้เพียงแค่ใช้สายตาแทนการสื่อสาร เสียงแหบพร่าที่มีอยู่ในลำคอนั้นฟังแทบไม่ได้ศัพท์ แบคยอนจึงไม่ขอให้ผู้ป่วยสาหัสเปล่งเสียงออกมาด้วยความยากลำบากแม้อยากจะได้ยินมันแทบบ้า.... อุ้งมืออุ่นพยายามพลิกมากุมฝ่ามือของผู้มาเยือนเอาไว้แต่นั่นก็เกินความสามารถของคิมจงอินที่กำลังสูญเสียการควบคุมร่างกายไปทีละส่วนอย่างรวดเร็ว
“ผมขอโทษ... ผมไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้” แม้น้ำเสียงจะราบเรียบเหมือนพูดคุยปกติ แต่ที่ดวงตาของพยอนแบคยอนก็เต็มไปด้วยหยาดน้ำที่คิมจงอินไม่อยากเห็น ร่างหนาส่งเสียงครางอือในลำคอ ปฏิเสธการไหลลงมาของเม็ดน้ำจากดวงตากลมใสที่เขารักนักรักหนา หากแต่มันก็ไม่สามารถหยุดรั้งความเสียใจของพยอนแบคยอนไว้ได้
“อื่อ...อื่อ...”
“ฮยองไม่น่าทำแบบนี้เลย...ฮึก... ฮยองหน่ะ ไม่น่าเลยครับ” คิ้วของจงอินขมวดเข้าหากันเมื่อน้ำเย็นจากดวงตาหยดลงบนเสื้อผู้ป่วยของเขา มันควรจะให้ความรู้สึกเย็นแต่เพราะสูญเสียการรับรู้เกือบครบทั้ง 5 อย่าง เขาจึงไม่รู้สึกแปลกแปร่งอะไรนอกเสียจากอาการปวดในอกที่มันเป็นทุกครั้งเมื่อเห็นน้ำตาของพยอนแบคยอน
“...” ร่างเล็กของผู้มาเยือนไม่ได้รับเสียงตอบกลับมาและเขาก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าเสียงทุ้มของคิมจงอินที่เขาพยายามผลักไสเมื่อก่อนนั้นมีค่ามากแค่ไหนก็เวลานั้น
“ผมขอโทษ... ที่ผมรักฮยองไปมากกว่าพี่ชายคนนึงไม่ได้...ฮึก...” เสียงสะอื้นคร่ำครวญออกมาจากริมฝีปากบางอันแห้งผาดจนแทบไม่เหลือสีเลือด แบคยอนก้มหน้าตัวเองลงไปใกล้กับร่างผอมแกนของผู้ป่วย กระซิบบอกสิ่งที่เขาอยากจะอธิบายให้อีกคนเข้าใจมาโดยตลอด แม้รู้ว่าวันนี้มันคงเป็นวันที่ช้าไปสักนิด
“อือ...”
“ฮยอง... ผมไม่ได้รักอี้ฟานหรอกนะครับ... ผมแค่คิดว่าถ้าผมทำแบบนั้น ฮยองจะได้ตัดใจจากผมซะ...ฮึก... เซฮุน..เขารักฮยองมากนะครับ...ฮึก... เซฮุนไม่ผิดเลย เขาก็แค่ทำตามที่ผมบอก... ผมตกลงกับเขาว่าถ้าเขาทำให้ฮยองรักได้ ผม...ฮึก...ผมจะเลิกกับฮยองเพื่อให้เขาได้คบกับฮยอง... เซฮุนหน่ะฮึก... เซฮุนหน่ะ... จะเจ็บปวดมากนะครับ ถ้าฮยองจากไปแบบนี้...ฮืออ... ฮยองอย่าทำแบบนี้สิครับฮึก... อย่าตายเพื่อคนเลวๆอย่างผมเลยนะครับฮยอง”
“...”
“อย่ารัก..ฮึก... อย่ารัก พยอนแบคยอน..คนที่ไม่เหลือหัวใจอีกแล้วเลยนะครับ”
- - -
ฝนตกในฤดูหนาว... หยาดน้ำเม็ดน้อยกระหน่ำโปรยลงมาจากฟากฟ้า และลมหนักหน่วงก็พัดพามันสาดเข้ามายังระเบียงที่เต็มไปด้วยกระถางต้นไม้น้อยใหญ่ เสียงฟ้าร้องดังครืนก้องไปทั่ว สายฟ้าที่สาดแสงลงมาก็กระพริบอยู่เช่นนั้นหลายครั้งจนกลายเป็นบรรยากาศอึมครึม
คริสใช้ดวงตาทั้งสองข้างจ้องมองไปยังร่างที่นั่งอยู่ตรงปลายเตียง เขาเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อนึกถึงคำขอของอีกคนที่ยังสะท้อนไปมาอยู่ในหัว... ในขณะที่เซฮุนก็จ้องมองมาด้วยสายเปี่ยมคำร้องขอ บ่งบอกได้ชัดเจนว่าร่างผอมยังคงต้องการคำตอบอยู่
“...”
“...”
“... ทำไมนายถึงอยากรู้หล่ะ?” ฝ่ามือใหญ่หยิบผ้าเช็ดตัวที่พาดอยู่บนบ่าขึ้นมาขยี้หัวสองสามครั้ง แต่เขาก็ต้องหยุดเมื่อฝ่ามือบางๆของอีกคนที่เอื้อมมารั้งผ้าขนหนูผืนใหญ่ออกไปจากบ่ากว้างเสียก่อน
อี้ฟานทิ้งตัวลงตรงที่ว่างด้านข้าง ร่างสูงเบนตัวเองเข้าไปประจันหน้ากับร่างผอมที่นั่งรออยู่ก่อนแล้ว และเมื่อต้องจ้องหน้าจ้องตากันโดยตรงแบบนี้ก็เท่ากับว่าทางหนีทีไล่ที่เขามีอยู่นั้นจบลง.... ร่างสูงตระหนักได้ว่ามันคงหมดการยื้อเวลาของเขาแล้วจริงๆ
“เพราะผมไม่เคยรู้อะไรเลย... แม้แต่ว่าผมชนะหรือแพ้เกมส์นั้นกันแน่....” เซฮุนรั้งผ้าผืนใหญ่ขึ้นไปไว้บนกลุ่มผมของอีกคนแล้วค่อยๆขยี้มันเบาๆ ปลายนิ้วจงใจกดย้ำลงที่ขมับเพราะเขารู้ดีว่าการคาดคั้นให้รุ่นพี่ตัวสูงตอบคำถามเหล่านั้นมันคงจะกดดันอย่างมาก อย่างไรก็ตาม โอเซฮุนก็สาบานว่าเขาจะทำใจให้กว้างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อรับในสิ่งที่ตัวเองจะต้องฟังต่อไปให้ได้และไม่เป็นบ้าไปเสียก่อน...
“นายอยากให้พี่เล่าตั้งแต่ตรงไหนหล่ะ...”
“ตั้งแต่ทำไมพี่แบคยอนถึงเลือกผมครับ...”
“...”
“...”
“...เพราะนายรักจงอินฮยองไง...” เสียงทุ้มกล่าวออกมาอย่างแผ่วเบา “มีคนบอกว่านายชอบจงอินฮยองมาก ฮยองก็ไม่รู้ว่าพยอนมันไปรู้ได้ยังไง แต่นั่นเป็นเหตุผลเพียงข้อเดียวที่มันลือกนาย...”
“เพราะอะไรเหรอครับ... พี่แบคยอนต้องการอะไร...”
“แบคยอนไม่ได้รักจงอินหรอกนะ ที่จริงมันคบกับจงอินเพราะความสงสารมากกว่า แต่มันก็เพิ่งจะได้รู้ว่านั้นเป็นความคิดที่ผิด... แล้วด้วยความหวังดี มันก็เลยคิดว่าตัวเองควรจะหาใครสักคนที่รักจงอินแทนตัวเอง ซึ่งคนๆ นั้นก็คือนาย”
“...”
“พยอนแบคยอนคิดเองเออเองอยู่ฝ่ายเดียวว่านายจะแก้ทุกอย่างได้...”
‘เล่นเกมส์กันมั๊ยเซฮุน...’
‘ครับ ?’
‘นายแอบชอบคิมจงอินอยู่ไม่ใช่เหรอ.... เล่นกับฮยองสักเกมส์ ดีไม่ดีความรักของนายอาจจะสมหวังก็ได้นะ’
‘หมายความว่าไงครับ?’
‘ก็ถ้านายทำให้จงอินรักนายได้.. ฮยองก็จะเลิกกับจงอิน’
‘…’
‘คิมจงอินก็จะเป็นของนายไงโอเซฮุน...’
‘...’
‘...พี่ชื่อแบคยอน มันก็เกมส์สนุกๆหน่าเซฮุน มันจะจริงจังก็ต่อเมื่อนายชนะเท่านั้นแหละ’
‘…’
‘เอาเป็นว่า ถ้านายตกลง.... ก็โทรมาหาพี่แล้วกัน’
‘…’
‘เดี๋ยวครับ !’
‘…’
‘ผมตกลงครับ ! เกมส์เริ่มเมื่อไหร่ รบกวนบอกผมด้วยนะครับ...’
“พี่ประหลาดใจนะ ตอนที่นายตอบตกลง.... ประหลาดใจมากจริงๆ”
“ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนั้น... ผมรักจงอินฮยองมาก และผมคิดว่าทุกโอกาสที่ผ่านเข้ามาผมควรคว้าเอาไว้” มือบางลดผ้าขนหนูลงมาจากกลุ่มผมของอีกคน ใบหน้าเรียวหวานก้มลงจนชิดอก
“...”
“ผมไม่เชื่อหรอกว่าพี่แบคยอนจะทำอย่างที่พูด แต่มันก็ไม่สำคัญเท่าการที่ผมจะได้เข้าใกล้จงอินฮยองมากขึ้น... ผมหวังแค่นั้น” เจ้าของร่างบางเปล่งคำตอบออกมาด้วยน้ำเสียงเบาหวิว เซฮุนเม้มริมฝีปากหลังจบประโยคเมื่อได้รู้ว่าการตัดสินใจของเขามันพลาดมาตั้งแต่วันนั้น และถ้าเขาไม่ตอบตกลงไป คิมจงอินอาจจะไม่ต้องตาย
“ไม่มีใครรู้หรอกว่ามันจะเป็นแบบนั้น” แขนแกร่งเอื้อมไปคว้าร่างของอีกคนเข้ามาไว้ใกล้ตัว คริสใช้แขนทั้งสองข้างกอดร่างผอมเอาไว้พร้อมกับลูบเบาๆไปบนแผ่นหลังแคบ
“ถ้าผมไม่ตกลง...”
“ไม่หรอกเซฮุน... จงอินไม่มีทางรักนายอยู่แล้ว นั่นคือสิ่งที่แบคยอนไม่รู้... นายหน่ะไม่ผิดเลยสักนิดเดียว” นิ้วโป้งปาดที่ใต้ตาเพื่อซับหยาดน้ำที่ไหลลงมาเป็นทางยาวออกไป “มันคือความจริงที่นายควรรู้ แต่ไม่มีใครกล้าบอก... ฮยองต่างหากที่ผิด ทั้งที่ฮยองรักนายมานานแล้วแต่ฮยองก็ไม่กล้าบอกให้นายรู้...”
“...”
“ปล่อยให้นายเข้าใจไปอย่างนั้นมาตลอด”
‘นายก็เห็นว่าเซฮุนไม่มีทางชนะ...’
‘อย่าโง่หน่าอี้ฟาน... เดี๋ยวจงอินก็รักเซฮุนเองหล่ะหน่า นายหน่ะอยู่เฉยๆไปเถอะ’
‘อย่าลอกตัวเองได้ไหมแบคยอน มึงก็เห็นอยู่ว่าจงอินหน่ะเขาให้เซฮุนเป็นน้องชายเท่านั้น... ไอ้ที่นายทำอยู่หน่ะ มันทำร้ายทั้งสองคนเลยนะ ทั้งจงอินทั้งเซฮุน’
‘มันก็ไม่ได้มีใครเดือดร้อนนี่’
‘มี!’
‘ใคร ?!’
‘กูนี่ไง !’ อู๋อี้ฟานมองคนตรงหน้าด้วยสายตาเข้มตึงดุดันจนแบคยอนต้องกลั้นคำพูดของตัวเองเอาไว้ในลำคอ
‘…’
‘กูรักเซฮุน... พอไหมกับการที่กูเดือดร้อนแทนหัวใจของตัวเอง’
“นานแค่ไหนเหรอครับ ที่ฮยองรักผม...” ดวงตากลมมองช้อนขึ้นมายังใบหน้าคมคายที่ก้มลงมองเขาเช่นกัน เซฮุนพลิกตัวเองกลับแล้วใช้แผ่นหลังของตัวเองพิงลงไปกับอกกว้างของคริส มือบางจับฝ่ามือทั้งสองข้างของคนที่นั่งเป็นพนักพิงให้กับเขามาวางไขว้กันตรงหน้าท้องระหว่างรอคำตอบ
“ก่อนที่นายจะเล่นเกมส์นี้ซะอีก...”
“...ผม...”
“...”
“ผมเข้าใจมาตลอดว่าฮยองรักพี่แบคยอน..”
“...”
“ในห้องพละวันนั้น... ผมไปกับจงอินฮยอง มันเป็นเหตุผลที่ผมเรียกฮยองว่าเหยื่อของพี่แบคยอน” เสียงหวานเอ่ยออกมาเบาๆและหางประโยคของมันก็แผ่วลงไปอีก...ภาพในห้องพละ ผู้ชายตัวสูงคนหนึ่งกับรุ่นพี่หน้าหวานที่เคยขอให้เขามาเล่นเกมส์ ภาพนั้นไม่เคยไหลเข้ามาในสมองของเขานับตั้งแต่วันนั้น แต่ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ มันกลับกลายเป็นเหตุผลหนึ่งในการวางตัวของโอเซฮุน
เสียงของคริสที่เรียกชื่อแบคยอนพร่าๆทำให้โอเซฮุนมีน้ำตาได้อย่างง่ายดายเมื่อตกอยู่ในอ้อมแขนแกร่ง และบางครั้งในเช้าวันใหม่ เขาก็ไม่รู้จะวางตัวอย่างไรเมื่อเห็นใบหน้าคมสันของคริสหลับพริ้มทั้งที่เกยท่อนแขนของตัวเองเอาไว้บนร่างเปลือยเปล่าของเขา... โอเซฮุนไม่อยากเป็นตัวแทน และเขาไม่วางใจกับคำว่ารักของคริสเสียทีก็เพราะภาพนั้น
มันจึงค่อนข้างทรมาน... เมื่อรู้ว่าความรักในอกของเขา มันมีไว้เพื่ออู๋อี้ฟาน... หัวใจของเขา กำลังวิ่งไปหาอี้ฟานในทุกครั้งที่มันมีโอกาส
“อ่า... ที่จริงฮยองอาจจะเป็นเหยื่อของแบคยอนจริงๆก็ได้...”
“...”
“โดนหลอกด้วยยา... ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อบีบให้คิมจงอินเลิกรักแบคยอนเสียที นั่นก็เป็นเหยื่อได้เหมือนกัน” ปลายคางเกยเอาไว้บนบ่าแคบ ดวงตาคมคายหลับพริ้มลงเมื่อได้กลิ่นหอมจางๆของสบู่ที่ติดอยู่ตรงซอกคอ อย่างไรก็ตามอู๋อี้ฟานคงต้องกลั้นใจเอาไว้ก่อนเพื่อจัดการข้อสงสัยค้างคาร้อยแปดพันเก้าในหัวของเซฮุนออกไปเสียก่อน
“...”
“นายควรต้องรู้แล้วหล่ะเซฮุน..”
“ครับ ?”
“จงอินฮยองของนายหน่ะ... พยายามฆ่าตัวตายเพราะฉากที่แบคยอนกับฉันจัดขึ้นมา... เพราะภาพในห้องพละวันนั้น จงอินก็เลยปฏิเสธการรักษาจากหมอและหนีออกไปจนอาการทรุดหนัก”
“...”
“ไม่ใช่เพราะนายเลยเซฮุน"
“...”
“ฮยองขอโทษ ถ้ามันจะทำร้ายจิตใจนายสักนิด.... แต่คิมจงอินหน่ะ รักแบคยอนมากกว่านายหลายร้อยเท่าเลยหล่ะเซฮุน”
“...”
“ในขณะที่นายเป็นโลกทั้งใบของฮยอง... แบคยอนก็เป็นโลกของจงอินฮยองเหมือนกัน” เซฮุนไม่รู้สึกถึงสัมผัสรอบเอวของเขา เรือนกายบอบบางชาวาบเมื่อพบความจริงที่แสนจะเจ็บปวด ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาคงเป็นได้แค่น้องชายของจงอินจริงๆและน่าชังเหลือเกินที่เขาเอาแต่คิดไปเองว่าตัวเองเป็นผู้ชนะเกมส์นี้
“จริงเหรอครับ...” แต่มันก็ช่างน่าประหลาดที่เขายังควานหาเสียงในลำคอของตัวเองเจอทั้งที่มันไม่ควรเป็นเช่นนั้น หัวใจของเขาสั่นคลอนแต่มันก็ไม่ได้สั่นมากจนเกินจะควบคุม และในเวลาไม่ช้าเขาก็รู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนที่ต้นคอกับอ้อมกอดที่คล้องรอบเอวบางเอาไว้อีกครั้ง เขาไม่ได้แหลกสลายอย่างที่คิด...
“...”
“ผมแพ้เกมส์นั้นจริงเหรอครับ” มุมริมฝีปากยกเป็นรอยยิ้มจางๆขึ้นมา หัวใจที่เต้นอยู่ในอกข้างซ้ายแสดงตัวตนด้วยจังหวะที่รัวขึ้นเมื่ออู๋อี้ฟานกดริมฝีปากลงที่ข้างขมับ อ้อมแขนที่รัดแน่นขึ้นทำให้รอยยิ้มนั้นกว้างกว่าเดิม ก่อนที่น้ำตาจะหยดลงมาบนผิวเนื้อเนียนแต่มันก็ไม่ใช่ความเศร้า
ทั้งทีก่อนหน้านี้อยากชนะแทบตาย
แต่พออยู่ในอ้อมกอดของอู๋อี้ฟาน ความพ่ายแพ้ช่างสวยงาม...
“คุณครับ!!” เสียงหวานตะโกนกลับไป แต่ผู้ชายตัวสูงที่เก็บพวงกุญแจนั้นมาให้เขาก็ไม่ได้ผินใบหน้ากลับมามองอย่างที่ควรจะเป็น ถึงอย่างไรก็ตาม โอเซฮุนก็เห็นว่าแผ่นหลังกว้างนั้นหยุดชะงักลงท่ามกลางสายฝนที่ทำให้ม่านตาของเขาพร่ามัว
“ขอบคุณจริงๆนะครับ” เสียงป้องปากผ่านสายฝนกระทบเข้ามาในโสตประสาทของคริสพียงเบาบาง เขาหันกลับไปมองร่างบางที่ยังคงยืนอยู่ริมถนนด้วยรอยยิ้มที่ถูกบดบังไปด้วยน้ำฝนก่อนจะโบกมือให้เป็นเชิงว่าไม่เป็นไร...
คริสก้าวออกมาจากตรงนั้นอย่างยากลำบาก
และเขาหวังว่าสักวัน จะไม่ต้องก้าวห่างออกมาขนาดนี้
- - -
โอเซฮุนไม่มีเช้าที่สดใสมานานมากแล้ว หากนับประมาณก็คงราวๆ 4-5 ปี... หรือถ้าจะพูดกันตามตรงก็ตั้งแต่คิมจงอินจากไปนั่นแหละ... เรือนกายผอมบางเหยียดยืดไปตามความยาวเพื่อคลายความเมื่อยล้าออกจากตัวก่อนจะตะแคงหันไปหาพื้นที่ว่างด้านข้างซึ่งมีใครบางคนนอนหลับพริ้มอยู่ในห้วงนิทรา
ใบหน้าของคริสยามหลับมักทำให้เขาหลงใหลอยู่เสมอ เขาก้มหน้าลงชิดจนได้กลิ่นสบู่อ่อนๆจากเรือนกายสูงใหญ่ กระทั่งปลายจมูกรั้นของเขาชนเข้ากับสันจมูกโด่ง เซฮุนก็ไม่ลังเลที่จะปลุกคนตัวโตให้ตื่นขึ้นจากความฝันด้วยการมอบจุมพิตเบาๆลงบนกลีบเนื้อหยักสวยได้รูป
เปลือกตาพรือกระพริบปริบเมื่อสัมผัสหวานละมุนแตะลงบนริมฝีปาก อี้ฟานมอบรอยยิ้มให้อีกคนก่อนที่เปลือกตาจะเปิดออกจนสุดเสียอีก และในยามเช้าที่มีใบหน้าหวานของคนที่เขารักแสนรักปรากฎขึ้นเป็นสิ่งแรกมันก็ช่วยให้เขาอยากจะลืมตามองโลกวันใหม่ด้วยหัวใจที่ชุ่มชื้นขึ้นมามากโข
“กี่โมงแล้วหน่ะ...”
“เจ็ดโมงครึ่ง”
“อื้อ ~ นอนต่อเถอะ” เสียงทุ้มครางบิดขี้เกียจอย่างน่ารักก่อนจะคว้าเอาเอวของอีกคนเข้ามาไว้ในอ้อมแขนแล้วซุกใบหน้าของตัวเองเข้ากับอกแคบๆของอีกคน ฟังเสียงหัวใจที่ดังก้องไปมาอยู่ในอกข้างซ้ายราวกับมันเป็นเพลงกล่อมให้หลับฝันดี... มันไม่ได้ต่างอะไรกันเท่าไหร่หรอก การได้รู้ว่าโอเซฮุนยังอยู่บนโลกนี้ ในอ้อมกอดของเขานั่นก็คือฝันดีหนึ่งเช่นกัน
“ไม่เอา...”
“หืม...”
“ผมคิดถึงฮยอง...”
“ฮะๆ... อะไรกัน ก็นอนด้วยกันไง”
“ผมไม่อยากหลับตา ผมอยากเห็นหน้าฮยองตลอดหนิครับ” คนตัวผอมที่ช่างเอาแต่ใจได้อย่างน่ารักน่าชังมองลงมายังใบหน้าคมคาย ตอนนั้นเองที่คริสไม่รู้ว่าเขาจะหุบยิ้มลงมาได้อย่างไรในเมื่อเด็กน้อยในอ้อมแขนกำลังใช้มือที่มองไม่เห็นง้างมันออกเสียจนสุดแก้ม
“อ่า...”
“...”
“ก็เป็นแบบนี้สินะ พี่ถึงไม่เคยรักนายได้น้อยลงเสียที”
“ไม่เอานะครับ อย่าพยายามรักผมน้อยลงอีก...”
“...”
“เพราะผมรักฮยองมากแล้วจริงๆ” เพิ่งจะได้รู้ว่าการทำตามความรู้สึกของตัวเองมันทำให้มีความสุขแค่ไหน โอเซฮุนคว้าร่างของอีกคนเอาไว้ด้วยอ้อมกอดของตัวเอง มันคือสิ่งที่เขาอยากจะรู้สึกมานานแสนนาน การได้รู้ว่ามีใครอีกคนที่รักเขาได้มากมายเหลือเกินกำลังขับให้ร่างกายเบาหวิวของเขาล่องลอยไปในอากาศ อู๋อี้ฟานทำให้เขารู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์
“จริงเหรอ...”
“ครับ... ผมสัญญา ว่าสักวัน จะรักฮยองให้ได้มากกว่าที่ฮยองรักผม” เขายิ้มให้กับเจ้าของร่างใหญ่พร้อมคำสัญญาที่เปล่งออกมาอย่างหนักแน่น ใบหน้าของอี้ฟานที่ไม่มีภาพซ้อนของจงอิน ความรู้สึกที่กรองออกมาจากหัวใจชัดเจนยิ่งกว่าสิ่งใด... ความจริงอะไรนั่นบางทีเขาคิดว่าตัวเองไม่ควรจะรู้อะไรไปมากกว่านั้นอีกแล้ว เพราะปลายทางของมันคือการได้รักอู๋อี้ฟาน
ผู้ชายที่ใช้ทั้งหัวใจรักเขามาตลอดอย่างไม่ลังเล...
- - -
พยอนแบคยอนวางช่อดอกไม้แห้งลงบนหลุมศพของคนที่เขาเคยทำร้ายเอาไว้อย่างไม่น่าให้อภัย ร่างผอมเล็กย่อตัวลงนั่งเบื้อหน้าแผ่นหินที่สลักคำว่าคิมจงอินเอาไว้... ดอกหญ้าสีทองที่จงอินคยบอกว่ามันอบอุ่นเพราะได้รับไอร้อนของแสงอาทิตย์ไหวปลิวเล็กน้อยเมื่อลมหนาวพัดเข้ามา มือเล็กปัดเศษหิมะที่บดป้ายชื่อเอาไว้ออกไปเพื่อให้ตัวเองได้มองเห็นคำว่า คิมจงอิน อีกครั้ง
“กัมจงอ่า...”
“...”
“คิดถึงนะ... คิดถึงมากจริงๆ” เขายกมือขึ้นปาดน้ำตาที่หน่วงคลออยู่ใต้เบ้าตาของตัวเอง ฝ่ามือบางสัมผัสกับป้ายหินเย็นเฉียบ และพยอนแบคยอนก็โน้มตัวลงไปกดจูบเบาๆตรงมุมของมันอย่างไม่ลังเล
“....”
“...เซฮุนมีความสุขแล้วนะกัมจงนิม... ฉัน...ก็...ใช้บาปของตัวเองได้นิดนึงแล้วนะ”
“...”
“ก็เหลือแต่กัมจงนั่นแหละ มีความสุขหรือยัง”
“...”
“อย่าห่วงฉันเลยนะ หัวใจของฉันหน่ะ ปาร์คชานยอลจะรักษามันได้ดี... ถึงเขาจะบิดพลิ้วไปบ้าง แต่ไว้ใจเขาเถอะนะ”
“...”
“นี่จงอิน... หรือฉันควรจะตามนายไปดีหล่ะ ฉันเจ็บจัง...” เสียงหวานอันแสนอ่อนล้ากระซิบแผ่วเบากับป้ายหิน แบคยอนเพิ่งเข้าใจว่าการพยายามฝืนยิ้มมันทำให้เหื่อยล้าได้มากมายเหลือเกิน จนกระทั่งตอนนี้เขาก็ไม่รู้สึกอยากจะฝืนอะไรอีกต่อไปแล้ว มือบางหยิบคัตเตอร์ที่พกเอาไว้ในกางเกงขึ้นมาแล้วจ่อคมมันไว้ที่ข้อมือของตัวเอง เขายิ้มออกมาจางๆให้กับป้ายชื่อคิมจงอิน จินตนาการถึงสีแดงที่จะหยาดลงมาตัดกับกองหิมะสีขาว
“...”
“ฉันจะทนได้อีกนานไหมจงอิน จะทนภาพของชานยอลกับลู่หานได้อีกนานแค่ไหนกันนะ...” ร่างเล็กออกแรงกดคมมีดลงบนผิวเนื้อของตัวเอง หยาดเลือดสีแดงหยดลงมาและในชั่วขณะนั้น ลมหนักหน่วงก็พัดผ่านร่างของเขา... ร่างสูงโปร่งของคิมจงอินพาดเป็นเงาอยู่เบื้องหลังโดยมีน้ำตาของพยอนแบคยอนหยาดหยดลงบนผืนเงาสีดำนั้น
“ฮึก... จงอินอ่า...”
“อย่าโง่หน่าพยอน"
“...”
“อย่าตายเพราะความรักสิ... มันไม่ใช่ทุกอย่างซะหน่อย” แบคยอนไม่ได้คิดว่าตัวเองหูแว่ว แต่เขาเชื่อว่านั่นคือเสียงของคิมจงอิน เสียงทุ้มนั้นฉุดสติเขากลับมา คมคัตเตอร์ถูกดึงออกจากบาดแผล ใบหน้าหวานหันไปมองเบื้องหลัง ที่ที่ร่างของใครบางคนยืนอยู่เบื้องหน้าแสงแดด ร่างใหญ่ที่เขาอยากจะกอดเอาไว้ปรากฏขึ้นเลือนรางตรงนั้น
“จงอิน...”
“ถ้านายทำแบบนั้น นายก็ทำร้ายฮยองอีกนะรู้ไหม”
“...”
“อย่าโง่เลยแบคยอน...”
“แบคยอน!!” ซุ่มเสียงที่เขาได้ยินมันตะโกนเรียกชื่ออยู่ในหัวของเขามาตลอดดังมาจากด้านหลัง ปาร์คชานยอลกับกีตาร์ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางเหนื่อยหอบ ร่างโปร่งจ้องมองมาทางเขาพร้อมกับย่อตัวลงหอบหายใจแฮ่กๆ ก่อนจะรีบเดินเข้ามาหาเขา... ทะลุผ่านภาพเลือนรางของคิมจงอินเข้ามา
“ชะ..ชาน...ชานยอล
“ทำบ้าอะไรหน่ะ!” เสียงทุ้มตะโกนโวยวายเมื่อเห็นเลือดที่ข้อมือของเขากับคัตเตอร์ที่ตกอยู่ ปาร์คชานยอลใช้สายตาที่พร่าด้วยม่านน้ำตากดลงมองเขาซึ่งนั่งนิ่งแทบไร้ความรู้สึก
“...”
“นายทำบ้าอะไรแบคยอน มีอะไรบอกฉันสิ... อย่าทำแบบนี้สิ!!” เสียงนั้นตะหวาดกึกก้อง ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะถูกฉุดเข้าไปไว้ในอ้อมแขน พยอนแบคยอนตกอยู่ในอ้อมกอดที่เขาไม่คิดขัดขืน ฟังเสียงสะอื้นออกมาจากริมฝีปากของชานยอลและลมหายใจที่มีควัน
“...”
“...แบคยอน..อย่าทำแบบนี้นะ... ฉันรักพยอนมากนะ อย่าทำแบบนี้” ร่างเล็กไม่รู้ว่ารอยยิ้มของตัวเองคลี่ออกมาตอนไหน แต่พอเขาเงยหน้าขึ้นไป ใบหน้าของจงอินก็กำลังเปื้อนยิ้มอยู่ด้วยเช่นกัน ฝ่ามือใหญ่ของคนตัวสูงที่ยืนค้ำหัวเขาอยู่ลูบเบาๆบนกลุ่มผม เป็นลมเอื่อยๆที่พัดมาก่อนที่จงอินจะหายไปกับก้อนหิมะสีขาวพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
“ชยอลอ่า...”
“ฉันขอโทษนะแบค ฮึก...ฉันขอโทษนะ ฉันรักแบคยอนมากจริงๆ นะ อย่าพยายามทำแบบนี้” ชานยอลปาดคราบเลือดที่ข้อมือของเขาอย่างใจร้อน ด้วยใบหน้าเป็นกังวล ในขณะที่แบคยอนได้แต่คลี่ยิ้มออกมาแล้วโอบกอดอีกคนไว้แน่น
“ฉันรู้แล้วชานยอล... ฉันรู้แล้ว... ฉันก็รักชยอล”
- - -
“หาทางเจอหรือเปล่าอัศวิน...”
“นายว่ายังไงหล่ะ” คริสเงยหน้ามองเพื่อนที่เพิ่งจะหย่อนตัวลงมาด้านข้างเขา พยอนแบคยอนกับใบหน้าเปื้อนยิ้ม ยิ้มที่เขาคิดว่าตัวเองไม่เคยเห็นมันมานานมากแล้วปรากฏอยู่บนเสี้ยวหน้าหวานละมุนนั่น
“...เจอสิ” ร่างเล็กพยักหน้าไปทางคนตัวผอมที่กำลังเดินเข้ามาหาเขาพร้อมกับหนังสือกองโต โอเซฮุนยิ้มให้เห็นมาแต่ไกล และนั่นก็เป็นเหตุผลให้คริสลุกออกจากม้านั่งได้อย่างง่ายดาย
“ไม่เจอหรอก”
“...”
“โอเซฮุนไม่ได้ลืมคิมจงอิน” เขาคว้ากระเป๋าของตัวเองขึ้นมาสะพายแล้วก้มลงมองหน้าของเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ “เขาแค่เปลี่ยนมารักฉัน... แล้วเก็บคิมจงอินเข้ากล่องความทรงจำก็เท่านั้นเอง ถือว่าสำเร็จหรือเปล่า?” เสียงทุ้มว่าเปนคำถามแต่กลับไม่รอฟังคำจอบ เขาเดินห่างออกไปจากม้านั่ง ตรงไปยังคนรักของตัวเองที่หยุดฝ่าเท้าทั้งสองข้างเพื่อให้เขาเดินไปหา
“นั่นแหละอี้ฟาน.... ปลายทางมันก็ที่เดียวกันนั่นแหละ” แบคยอนกระซิบเบาๆกับตัวเองแล้วยิ้มออกมา มองภาพของคนสองคนที่เขารู้จักกอดกันท่ามกลางอากาศเหน็บหนาว แล้วเดินกุมมือกันไว้พร้อมกับรอยยิ้มที่เขาหวังว่ามันจะอยู่อย่างนั้นตลอดไป
THE END
stroberi ★
ความคิดเห็น