ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { wonkyu } Winter's Killer

    ลำดับตอนที่ #6 : .winter's killer {fifth}

    • อัปเดตล่าสุด 26 ก.พ. 55


             

       - fifth

               “หาตัวนายนี่ง่ายกว่าที่คิดไว้อีกนะ...” น้ำเสียงนั้นไม่เป็นมิตรเลย ฮยอกแจสัมผัสได้ แต่เขาก็ไม่อาจทำอะไรเพื่อขัดขืนพันธนาการเชือกเส้นใหญ่ที่มัดข้อมือทั้งสองข้างเอาไว้ได้ ดวงตาเรียวเหลือบขึ้นมองผู้มาใหม่ที่ก้าวเท้าออกมาจากความมืด ใบหน้านั้นคุ้นตามากเสียจนเขารู้สึกว่าสมองต้องทำงานอย่างหนักเพื่อขุดลงไปในความจำของตัวเอง

                “...”

                “ซีวอน... เอ๊ะ ?! ซังอุนจะว่ายังไง... หรือจะทงเฮดีหล่ะ ?” ผู้ชายคนนั้นทำให้เขาต้องเบิกตาขึ้นเมื่อได้ยินชื่ออันคุ้นเคยถึงสองชื่อในประโยคเดียว คยูฮยอนสาวเท้าก้าวเข้ามาใกล้เหยื่อของตัวเองอีกหนึ่งก้าว ย่อตัวลงจ้องใบหน้าขาวนั้นด้วยสายตาที่นิ่งเรียบ... เขาเกลียดอี ฮยอกแจ

                “นายคงยังไม่รู้สินะ ว่าเพื่อนนายทำอะไรไว้บ้าง”

                “...”

                “ซังอุนนั่นหน่ะ...”

                “เขาทำอะไร !” เสียงหวานตะหวาดกลับไปเมื่อได้ยินชื่อของเพื่อนตัวใหญ่ที่เพิ่งจะแยกจากกันมาเมื่อครู่หลุดออกมาจากริมฝีปากหยักที่กำลังคลี่รอยยิ้มอันตราย เขาพอจะนึกได้ว่าใบหน้าของคนตรงหน้าเขาก็คือคนที่เขาเจอที่โรงพยาบาลเมื่อนานมาแล้ว... คนที่ส่งสายตาไม่เป็นมิตรมาให้เขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเจอกัน

                “ขึ้นเสียงใส่... ใครเขาจะบอก”

                “ซังอุนทำไม ! นายทำอะไรเค้า !!” สติของฮยอกแจแทบขาดผึ่งเมื่อถูกจ้องมาด้วยแววตาของคยูฮยอน ดวงตาคู่นั้นมันช่างเหมือนฆาตรกร

                “อยากเจอเหรอ ? นายเพิ่งจะแยกกันมาไม่ใช่หรือไง...”

                “นายทำอะไรซังอุน บอกมาเดี๋ยวนี้นะ !!

                “ไว้ตอนเจอกัน นายก็ไปถามมันสิ... ว่าฉันทำอะไรมัน” วางมือลงบนกลุ่มผมนุ่มแล้วลุกขึ้นยืน ใบหน้าหวานสะบัดปฏิเสธฝ่ามือที่ละลาบละล้วงมาวางบนกลุ่มผมของเขาโดยที่เขาไม่เต็มใจ ร่างสูงกว่าเขาเดินจากออกไปพร้อมกับคนดูแลอีกสองสามคน ปล่อยให้เขานั่งนิ่งอยู่ท่ามกลางคนชุดดำจำนวนมากเหมือนเดิม... ที่ต่างออกไปก็คือความกระวนกระวายในหัวใจซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมหลายเท่า

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ฆาตรกรทิ้งร่องรอยไว้เสมอ

                   

    “เซรามิกหน่ะเหรอ ?”

              “ครับ มันเป็นงานศิลปะแบบหนึ่ง มีอะไรหรือเปล่าครับ ?”

              “เปล่าหรอก... แค่รู้สึกว่ามันสวยดี” เสียงทุ้มเอ่ยตอบคำถามกลับไปโดยที่มือยังคงกอดอยู่ตรงหน้าอก คยูฮยอนทอดสายตามองช่างปั้นเซรามิกด้วยดวงตาที่ดูสนุกสนนาและตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลาท่ามกลางการดูแลของผู้ดูแลตัวโตคนสนิท แม้จะไม่ใช่คนที่สันทัดในด้านงานศิลปะหรือมีความสนนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับงานทำนองนี้ แต่การได้ยืนมองก้อนดินธรรมดาเปลี่ยนรูปร่างไปอย่างอิสระทำให้คยูฮยอนรู้สึกว่าเขาพบความสุขเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างเลือนรางในตัวเอง

              “พี่ครับพี่ครับ... พี่ชายเขาฝากมาให้”

              “ขอบใจนะครับ” ดินก้อนเล็กที่ถูกดัดเป็นรูปทรงถูกส่งผ่านเด็กน้อยตัวเล็กมาให้ร่างบางอย่างเบามือ คยูฮยอนคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อยตามมารยาทแล้วมองชิ้นงานอันจิ๋วด้วยรอยยิ้มหวาน เขามองกลับไปหาชายร่างสูงที่ยังคงขมักเขม้นกับการเปลี่ยนก้อนดินนั้นด้วยสายตาขอบคุณแต่สิ่งที่ได้รับกลับมานั้น เป็นเพียงรอยยิ้มเย็นยะเยือกที่ทำให้หัวใจของเขากระตุกวูบอีกครั้ง

              “...” ความคุ้นเคยปรากฏขึ้นภายในหัวสมองของเขา หากแต่มันช่างเป็นความทรงจำที่พร่ามัวเหลือเกิน เหมือนจะเคยเห็นรอยยิ้มนี้จากที่ใดสักแห่ง แต่ถ้าจะให้ระบุ ก็มิอาจบอกได้ว่ามันเป็นรอยยิ้มที่ดีหรือไม่

              “คุณคยูฮยอนครับ รถมาแล้วหล่ะ...”

              “อ่อ... อื้ม” ตัดสินใจทิ้งสายตาของตนเองออกมาจากชายร่างสูงซึ่งมีแววตาดุดันราวนกเหยี่ยวออกจากความคิด เขาหันหลังกลับขึ้นไปเพื่อขึ้นรถคันหรูที่จอดอยู่ไม่ไกลมากนัก แต่จำเป็นต้องเดินอ้อมเวทีแสดงผลงานศิลปะของชายนิรนามคนนั้นอยู่ดี

              “ดูแลมันให้ดี... เหมือนกับที่เมื่อคุณต้องการบีบมันให้แหลกคามือ” เสียงกระซิบนั่นทำให้เขาต้องหันกลับไปมองศิลปินร่างสูงจากเบื้องหลัง... แม้ไม่ได้สบตา แต่คยูฮยอนกลับสัมผัสได้ว่าคำพูดนั้นคือความเย็นชาอันอ่อนละมุน

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                “อื้ออออออออ !” เสียงร้องดังลอดผ่านผนังห้องออกมา ตามมาด้วยแรงกระแทกมหาศาลที่ปะทะเข้ากับบานประตูขนาดใหญ่ ชองยุนโฮเบนสายตาไปมองที่บานประตูของห้องเก็บของแล้วสลับมองมันเข้ากับใบหน้าของซีวอนซึ่งมีสีหน้าที่บ่งบอกได้ชัดเจนว่าไม่พอใจในการปรากฏของเสียงนั้น

                “ใคร ?”

                “อีทงเฮ...”

                “...” ไม่มีคำตอบจากร่างใหญ่กว่า ชอง ยุนโฮตกใจ นั่นคือสิ่งที่ซีวอนรับรู้ได้จากแววตาและท่าทางที่ดูสงบลงกว่าเมื่อครู่เยอะ ฝ่ามือหน้ากร้านผละออกมาจากคอเสื้อของเขาแล้วทิ้งลงข้างตัวอย่างเบาที่สุด ดวงตาเรียวคู่นั้นหรี่ลงมองเขาราวกับต้องการจับผิด

                “กลับไป... ก่อนที่ความลับจะรั่วไปถึงหูบอส” เสียงกระซิบแผ่วเบาเอ่ยออกมาจากปากของซีวอน น้ำเสียงอ่อนละมุนนั้นทำหน้าที่ขู่บังคับความโกรธของยุนโฮได้อย่างดีเลิศ ร่างสูงใหญ่พยักหน้าสองสามครั้งด้วยแววตาคาดโทษก่อนจะหันหลังเพื่อก้าวออกไปจากห้อง

                “มันไม่จบแค่นี้แน่ ๆ ชเว ซีวอน...” ไม่มีน้ำเสียงใดเอ่ยมาจากปากของยุนโฮ ประโยคเมื่อครู่เป็นเพียงแค่การขยับปากออกมาเท่านั้น... ทงเฮเป็นพวกเดียวกับคยูฮยอนยุนโฮรู้เรื่องนี้ดี และมันจะเป็นเรื่องไม่ดีแน่ถ้าผู้ชายคนนั้นรู้ว่าเขามาทำอะไรที่นี่

                ซีวอนใช้สายตาส่งผู้ที่มาเยือนด้วยอารมณ์โกรธแล้วจากไปด้วยความตกใจจนกระทั่งบานประตูห้องปิดลง ขายาวก้าวตรงไปอย่างฉับไวเพื่อลงล็อคบานประตูนั้นแล้วจึงรีบหันกลับไปยังห้องเก็บของเพื่อจัดการกับบุคคลที่โวยวายอยู่ด้านในนั้น

                “ตื่นแล้วเหรอ...” เพียงแค่บานประตูเปิดออก ทงเฮผู้ดื้อรั้นก็ดูจะนิ่งลงไปในทันที ร่างที่ถูกมัดติดเอาไว้กับซากของแป้นหมุนขนาดใหญ่จ้องมองมาทางเขาด้วยดวงตาวาวโรจน์ ซีวอนสัมผัสได้ถึงความโกรธแค้นที่ถูกส่งผ่านมายังเขาแต่มันก็มิได้ทำให้ต้องหวั่นเกรงอะไรมากมายนักหรอก ตอนนี้อีทงเฮคนเก่งก็แค่ลูกแมวมอมแมมที่เพิ่งจะรู้ฤทธิ์ว่ากรงเล็บของตนเองมันก็ย้อนกลับไปข่วนตัวเองได้เช่นกัน

                ซีวอนเดินตรงเข้าไปหาร่างนั้นแล้วปลดผ้าที่พันอยู่รอบริมฝีปากของร่างเล็กกว่าออกมา ทงเฮทำทีทำท่าเหมือนจะตะโกนด่าเขาเสียให้เต็มที่แต่ก็ต้องหยุดลูกคำที่จ่ออยู่ตรงลำคอเสียก่อนเมื่อเครื่องมือสื่อสารของตนเองที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของซีวอนสั่นไหวและเปล่งแสงไฟออกมา

    ฮยอกแจอยู่กับกู... มึงอยากเจอหรือเปล่า

                หน้าจอโทรศัพท์หันกลับไปให้คนที่ถือไพ่ด้อยกว่าอ่าน... แม้ซีวอนจะตกใจไม่น้อยกับข้อความนั้น แต่เขาก็สามารถซ่อนอาการได้ดีกว่าทงเฮเป็นไหน ๆ เครื่องมือสื่อสารถูกวางลงบนพื้นอย่างเชื่องช้า แล้วร่างสูงจึงนั่งขัดสมาธิลงตรงหน้าคนที่ตอนนี้เหมือนจะควบคุมตัวเองไม่ได้

                “คยูฮยอนจะใช้ฮยอกแจล่อนายออกมา !

                “แล้ว ?” ซีวอนเอื้อมแขนของตนเองพาดศีรษะทงเฮขึ้นไปเพื่อคว้าเอามวนบุหรี่ซึ่งวางอยู่เหนือฐานแป้นหมุนของตนเอง ไฟแช็คถูกล้วงออกมาจากกระเป๋าเสื้อโค้ทตัวหนา จุดให้ม้วนกระดาษห่อสารเสพติดมีไฟลุกขึ้น รอกระทั่งมันค่อย ๆ มอดแล้วจึงได้สูดกลิ่นหอมเย้ายวนกับกลุ่มควันสีเทาลงไปในลำคอ... อย่างน้อยมันก็ช่วยดับความตึงเรียดของเขาที่ก่อตัวขึ้นมาได้ซักพัก

                “ฮยอกแจเจ็บตัวแน่ ! ถ้านายไม่ไป !!

                “แล้วไงหล่ะ ?”

                “นายมันไอ้คนสารเลว !!!! นั่นเพื่อนนายทั้งคนนะ !!!!

                “แล้วที่นายพยายามจะฆ่าคยูฮยอน ลูกพี่ลูกน้องของนาย...ผ่านควอน จียง.... นั่นไม่เรียกว่าสารเลวหรอกเหรอ อี ทงเฮ...” สายตานั้นเย็นเสียจนทงเฮรู้สึกหนาว ร่างโปร่งเบนดวงตาของตนเองหลบออกมา ไม่กล้าจ้องมองกลับไปยังคนที่ยืนค้ำร่างของเขาอยู่ ริมฝีปากหยักของจำเลยเม้มแน่นเพื่อกลั้นคำพูดของตนเองเอาไว้...

                “...”

                “แล้วถ้าวันนี้นายไม่เจอฉัน นายก็จะใช้ฮยอกแจ เหมือนที่คยูฮยอนกำลังทำอยู่ใช่ไหมหล่ะ?”

                “...”

                “ใจนายมันแคบเกินกว่าที่จะใส่ใครลงไปในนั้นแล้วหล่ะทงเฮ...” ซีวอนก้มลงแก้มัดที่ข้อมือของทงเฮออกอย่างใจเย็น แต่เมื่อเชือกหลุดเขาก็ยังใช้ฝ่ามือนั้นจับข้อมือของทงเฮเอาไว้ทั้งสองข้างเพื่อไม่ให้ร่างที่ถูกกักขังนั้นมีหนทางในการหนีรอด

                “นายจะทำอะไร”

                “ฉันคิดถึงโจวคยูฮยอนแล้วหล่ะ..”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ไม่ต้องบอกผมทั้งหมดก็ได้ ว่ารักผมเพราะอะไร
    ผมอยากรู้แค่วันนี้ คุณรักผมหรือเปล่า เท่านั้นเอง

     

                ซีวอนสะพายกระเป๋าเป้ของตนเองไว้บนบ่าในขณะที่ขายาวก็ก้าวอาดไปตามพื้นถนนที่ปกคลุมไปด้วยใบไม้ ลมหนาวพัดเฉียดผ่านร่างของเขาไปเรื่อยเปื่อย แต่บางครั้งมันก็หอบเอาใบไม้สีเหลืองที่หมดอายุขัยแล้วให้ลงมากองอยู่บนพื้นถนน...

              “ขอโทษนะครับ” เสียงนุ่มทุ้มจากด้านหลังทำให้ซีวอนต้องหยุดการเคลื่อนไหวของตนเองแล้วหันหลังกลับไปมองเจ้าของเสียงเรียกเมื่อครู่ เขาเหลือบมองใบหน้าหวานที่ดูเหมือนจะเหนื่อยหอบอยู่ใช่ย่อยกับการวิ่งตามหลังเขามา เม็ดเหงื่อใสยังชื้นแฉะอยู่ที่ข้างขมับนั้น

              “ครับ...”

              “ถ้าพี่จำได้ พี่เป็นคนให้ถ้วยดินปั้นกับผม... คือผม...”

              “อยากลองทำเหรอครับ ?”

              “อ่า...”

              “นายมีเวลาขนาดนั้นเลยเหรอ ?” ซีวอนพลิกตัวเองกลับไปมองอีกฝ่ายที่ยืนนิ่งอยู่ด้านหลังของเขา สูทนักศึกษาสีเข้มนั้นขับให้ร่างอรชรดูตัวเล็กลงกว่าเดิมและขาวผ่องราวกับถูกพ่นสีมา ซีวอนเอื้อมมือออกไปจัดปกเสื้อที่พับย่นเข้าไปของอีกฝ่ายแล้วค่อยเลิกสายตาขึ้นมาเอาคำตอบของคำถามที่เขาเพิ่งจะเอ่ยออกไปเมื่อครู่

              “ว่างครับ”

              “แน่ใจเหรอ...”

              “ค ครับ... มันต้องใช้เวลามากขนาดนั้นเลยเหรอครับ ?”

              “เปล่าหรอก... มันไม่ต้องใช้เวลาอะไรเลยหล่ะ...”

              “อ่าว...” คยูฮยอนเหวอไปกับคำตอบนั้นเล็กน้อย ดวงตากลมโตนั้นจ้องมองไปทางร่างสูงกว่าซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าของเขา คยูฮยอนสูดลมหายใจเข้าเพื่อเรียกความมั่นใจของตนเองขึ้นมาอีกครั้ง ได้ยินหลายคนบอกมาเหมือนกันว่าคนที่เป็นศิลปินก็มักจะพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง... ผู้ชายตัวสูงคนนี้อาจจะจัดอยู่ในกลุ่มคนประเภทนั้นหล่ะมั้ง

              “... ตามมาสิ” ผู้ชายเข้าใจยากก้าวเท้าเดินต่อไปตามทางของตัวเองโดยไม่ลืมที่จะเรียกลูกศิษย์ใหม่ของตนเองให้ตามหลังมาด้วย ซีวอนกระชับผ้าพันคอของตนเองเข้ามาปิดบังรอยยิ้มที่จงใจคลี่ออกมาเพื่อระบายความรู้สึกดีของตนเองไม่ให้ปลิวผ่านไปกับสายลม... เพราะเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าจะมีอีกกี่ครั้งกันที่จะได้ยิ้มออกมาอย่างจริงใจ

              คยูฮยอนมองแผ่นหลังกว้างของชายที่เขารู้สึกว่ามีไอเย็นฟุ้งกระจายออกมาตลอดในขณะที่สาวเท้าตามเขาไปโดยไม่คิดจะเอ่ยถามอะไร น่าแปลกที่ผู้ชายตรงหน้าเหมือนจะปรากฎอยู่ในเสี้ยวความทรงจำของเขามาตลอดเวลาแต่กลับไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความทรงจำชุดดีหรือร้าย... ใจหนึ่งก็รู้สึกหวาดกลัวและหนาวเย็น แต่อีกใจหนึ่งกลับรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก...

              “พี่ชื่ออะไรเหรอครับ ?”

              “...”

              “พี่ครับ ?”

                “ซีวอน.. ชเว ซีวอน”

                “ครับ... ผมโจว คยูฮยอน”

              “อื้ม.. รู้แล้วหล่ะ โจว คยูฮยอน” เสียงเย็นทวนชื่อของอีกคนให้ได้ยินแล้วฝ่าเท้าก็หยุดการก้าวเดินลงที่หน้าบานประตูซอมซ่อ แขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเอื้อมตรงออกไปข้างหน้าเพื่อผลักไม้กระดานเหล่านั้นออก เผยให้เห็นพื้นที่โล่งด้านในซึ่งมีแป้นหมุนวางประปรายอยู่สองสามจุด อุปกรณ์ชิ้นเล็กชิ้นน้อยแขวนอยู่ตรงฝาผนัง และรวมไปถึงฟูกนอนเก่า ๆ กับชั้นหนังสือที่ถูกจัดเอาไว้ตรงมุมในสุด

              ท่ามกลางความไม่คุ้นชินของผู้มาเยือน เจ้าของสถานที่ร่างใหญ่คว้าเอาผ้ากั้นเปื้อนผ้าใบสีดำที่อยู่บนกำแพงลงมาแล้วเดินอ้อมไปทางด้านหลังของร่างเล็ก ซีวอนรั้งกระเป๋าเป้ที่อีกคนสะพายมาออกไปวางไว้ที่พื้นข้างห้องในขณะที่เจ้าของเป้เงยหน้ามองดูการกระทำของเขา ขายาวก้าวกลับมาที่เดิม ด้านหลังร่างบางให้ก้าวไปข้างหน้าใกล้กับแป้นหมุน สวมสายคล้องคอของผ้ากันเปื้อนเข้าทางศีรษะกลมทุยนั้นก่อนจะเอื้อมมือต่ำลงมาสอดเข้าไปที่ข้างเองเพื่อดึงเชือกผูกที่ห้องอยู่มาทางด้านหลัง จัดการมัดผ้ากันเปื้อนผืนใหญ่ให้พอดีกับเรือนร่างอรชรนั้นด้วยท่าทางทนุถนอม

              “นายอยากจะปั้นอะไรหล่ะ...”  เสียงกระซิบแผ่วเบา... ลอยอยู่ข้างใบหู โดยที่คยูฮยอนไม่ทันได้รู้ตัว ซีวอนก็ชิงกดปลายจมูกโด่งลงที่ข้างขมับเนียน...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เราไม่เห็นความดีอะไรของการพยาบาท
    นอกจากทำให้ตัวเราเองสบายใจ

     

    ตัวเราเอง... เพียงคนเดียว

     

                “ฉันรู้แล้ว...ยุนโฮ” ท่าทางกระวนกระวายของชองยุนโฮที่นั่งอยู่ตรงหน้าทำให้จียงรู้สึกถึงความรำคาญที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจ เขาทอดมองชื่อของตัวเองในสมุดที่ชองยุนโฮได้รับมาจากโจวคยูฮยอนไม่วางตา อย่างน้อยมันก็ช่วยทำให้ต่อมความอดทนของเขาไม่ขาดผึ่งในเร็วนาทีนี้

                “จียง...”

                “ตลกดีที่คนนิ่ง ๆ อย่างนายปอดแหกกับเรื่องแค่นี้...” มือบางยกมวนบุหรี่ที่จุดค้างไว้ขึ้นมาสูบ จียงเบนสายตาออกจากแผ่นกระดาษตรงหน้าเพื่อมองดูต้นไม้ที่อยู่รอบข้างตัวเองในสวนหย่อมขนาดเล็กของตนเอง สิ่งที่ทำให้เขามีความสุขท่ามกลางโลกที่ต้องแบกเอาไว้ทั้งใบ

                “นั่นชีวิตนายเลยนะ”

                “นายก็จัดการสิ...” ควันบุหรี่ที่ลอยว่อนอยู่บนอากาศบดบังไม่ให้ยุนโฮได้เห็นเสี้ยวรอยยิ้มที่ถูกยกขึ้นตรงมุมปากของร่างตรงหน้า การได้ยินเพียงน้ำเสียงนิ่งเรียบที่เอ่ยประโยคแปลก ๆ ออกมาไม่ทำให้เขาสามารถตีความได้เลยแม้แต่น้อย

                “สองคนนั้นหน่ะ... ตัดยังไงก็ไม่ขาดหรอก ต่อให้โดนฆ่าพ่อไป แต่คยูฮยอนเองก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมีชเวซีวอนอยู่บนโลกนี้ทำให้เขารู้สึกดี...”

                “ก็นั่นไม่ใช่เหรอที่น่าเป็นห่วง... เราให้ซีวอนมาฆ่าโจวอินซองนะ !

                “นั่นแหละประเด็น...” นิโคลตินแท่งถูกเหยียบด้วยรองเท้าทันทีเมื่อมันดิ่งลงสู่พื้นโลก จียงส่งสายตามองไปที่เพื่อนสนิทของตนเอง สายตาที่มองกันก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายสื่อถึงอะไร

    เคยมีคนกล่าวไว้ว่าจียงคือคนคิดส่วนยุนโฮคือคนทำ... แล้วชเวซีวอนผู้เป็นส่วนเกินนั่นก็คงไม่ได้มาช่วยเสริมสร้างความสมบูรณ์แบบใด ๆ ของพวกเขาหรอกนะ การมีกันอยู่แค่สองคนมันก็มากเกินพอแล้วหล่ะ

                “นี่มันก็หมดหน้าที่ของชเวซีวอนแล้ว...”

                “...”

                “ก็จัดการไปพร้อมๆกับคยูฮยอนเลยสิ... อยู่กับคนที่รักจนวินาทีสุดท้ายของลมหายใจเป็นเรื่องที่ใครๆก็ชอบไม่ใช่หรือไง....”

     

    __________Winter’s Killer_________

     

    มันจะจบแล้วอ่ะ... เฮ้ย !
    5555555555555555

    THE' FARRY
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×