ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { wonkyu } Winter's Killer

    ลำดับตอนที่ #5 : .winter's killer {forth}

    • อัปเดตล่าสุด 5 ก.พ. 55


            
     
    - forth


    สิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากก้อนหิน คือความรู้สึก
    สิ่งที่ทำให้มนุษย์แตกต่างกัน คือ ความคิด

     

                “ถ้านายต้องฆ่าใครซักคนนายจะทำยังไงวะฮยอกแจ...”

                “หืม ? นายพูดอะไรอย่างนั้นหน่ะซังอุน ?” ดวงตาหวานช้อนขึ้นมองใบหน้าคมเข้มของเพื่อนสนิทที่วันนี้ไม่รู้ว่าถูกลมอะไรหอบมาให้ออกมานอกห้องได้แล้วมาอยู่ที่ร้านกาแฟชื่อดังกับเขา ฮยอกแจเบ้หน้าเมื่อเห็นว่าร่างสูงใหญ่มีท่าทางจริงจังกับคำถามเมื่อครู่มากเกินไปเสียจนแววตานั้นไม่สะท้อนภาพของเขาเลยแม้แต่น้อย... ฮยอกแจไม่ชอบเลยจริง ๆ เวลาต้องมาเป็นส่วนเกินของซีวอน

                “ฉันแค่ถามหน่า...” ของเหลวร้อนสีน้ำตาลอ่อนไหลลงมาจ่อที่ริมฝีปากหยัก กล่นหอมกรุ่นของมันช่างน่าลุ่มหลงหากแต่พิษที่ซ่อนอยู่ภายในนั้นช่างยากจะทำความเข้าใจเสียเหลือเกิน ซีวอนเพ่งพินิจสายตาลงไปมองกาแฟมอคค่าในแก้วพร้อมกับสูดกลิ่นหอมที่เริ่มจางของมันเข้าปอดเพื่อเติมพลังให้กับตัวเอง... อย่างน้อยมันก็พอจะแทนมาโบโลที่เขาชอบสูบเมื่อยามทุกข์ใจได้ไม่มากก็น้อย

                “ไม่ฆ่าหรอก... ฉันทำอะไรแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาดหล่ะ...”

                “เหรอ ?...”

                “ซังอุนอา... อย่าพูดแบบนั้นสิ เหมือนนายอยากจะให้ฉันไปฆ่าใครเลย...” ฮยอกแจค้อนสายตาไปมองใบหน้าคมที่ยังคงจมอยู่กับแก้วกาแฟ ท่าทางที่ระแวดระวังกับน้ำเสียงที่เบาลงไปมากทำให้ร่างสูงอดระบายยิ้มออกมาไม่ได้เมื่อเพื่อนร่างเล็กของตนเองทำที่ทำท่าหวาดกลัวคำถามจากเขาอย่างสุด ๆ... เขาเลยจำใจต้องเอื้อมแขนออกไปขยี้กลุ่มผมนุ่มสีน้ำตาลอ่อนนั้นเพื่อคลายความกังวล

                “ก็แค่ถามดูหน่า...”

                “ก็ซังอุนทำหน้าตาจริงจังนี่นา... ใครจะไปรู้หล่ะ ?... เออนี่ ! ว่าจะถามอยู่ นายหายไปไหนมาตั้งสี่วันหน่ะ ?” เพราะเหลือบไปเห็นปฏิทินจึงพอจะนึกได้ว่าซังอุนไม่มาหาเขาที่ศูนย์เลี้ยงเด็กตั้งสี่วัน แถมไม่มีการโทรมาบอกอีกด้วยว่าจะไม่เข้ามา ทำให้เขากินไม่ค่อยได้นอนไม่หลับเพราะกลัวว่าเพื่อนสนิทตัวโตจะโดนประทุษร้ายเหมือนครั้งก่อน ๆ อีก

                “อ่อ... เราไปขึ้นงานที่ต่างจังหวัดมาแล้วลืมเอามือถือไป” ระบายรอยยิ้มเจื่อนออกมาพร้อมกับแวตาที่เต็มไปด้วยคำขอโทษ ดวงตาคมสบมองไปยังอีกฝ่ายที่ตอนนี้ได้แต่พองลมที่แก้มราวกับโดนขัดใจ หากให้เดาซีวอนคิดว่าฮยอกแจคงไม่พอใจที่เขาโหมงานหนักมากเกินไปเหมือนเช่นเคยนั่นแหละ เพราะคนตัวบางไม่เคยสักครั้งที่จะจับผิดคำโกหกของเขาได้

                “อ่า... ขึ้นงานบ่อย ๆ นายต้องดูแลมืออย่าให้แตกนะ” ปรายสายตาของตัวเองมามองสันมือหยาบกร้านของเพื่อนสนิทที่ตนเองสันนิษฐานเอาว่ามันคงจะวางท้าวอยู่กับแป้นหมุนเซรามิกทั้งวันทั้งคืนเหมือนเช่นเมื่อก่อนตอนที่ยังต้องอยู่ร่วมห้องกัน จะว่าไปก็อดนึกถึงเสียงแป้นหมุนที่สะเทือนใบหูของเขาทุกเช้าไม่ได้ ตั้งแต่แยกออกมาอยู่เพียงลำพังเพื่อความปลอดภัยของตนเองแล้ว ฮยอกแจก็แทบไม่ได้มีโอกาสได้ฟังเสียงฟันเฟืองเหล็กฝืด ๆ นั่นอีกเลย

                คร้าบ... คุณแม่...”

                “หนอยย อย่ามาเรียกเราแบบนั้นสิ”

                “นายดูแลเราเหมือนคนเป็นแม่จริง ๆ นะ... เอาเถอะ เราต้องกลับแล้วหล่ะฮยอก อย่าลืมนะ ดูแลตัวเองดี ๆ มีอะไรรีบโทรบอกเราก่อนเลยรู้ไหม ?”

                “อื้ม ไม่ต้องห่วงหรอก นายก็ดูแลตัวเองดี ๆ ด้วยหล่ะ อย่าทำงานให้มันหนักมาก ทาครีมสมุนไพรที่เราซื้อไปให้ด้วยนะ” ร่างสูงพยักหน้ารับก่อนจะยันตัวขึ้นยืนเหยียดเพื่อจัดการสะพายกระเป๋าใบเก่าของตนเองเข้าที่บ่า แล้วจึงคว้าแก้วกาแฟที่วางอยู่ของตนเองขึ้นติดมือมาด้วย ร่างบางคลี่ยิ้มให้กับอีกฝ่ายก่อนจะโผเข้าหาร่างสูงของเพื่อสนิทอย่างรวดเร็ว เจ้าของอ้อมแขนแกร่งจึงลูบมือลงบนกลุ่มผมสีน้ำตาลอย่างที่เคยทำ

                “มาหาเราอีกนะ...”

                “อื้ม... จะมาหา” รอยยิ้มกว้างกวาดขึ้นบนใบหน้าหล่อคมก่อนที่จะเดินออกจากร้านกาแฟไป ฮยอกแจคว้าเอาแก้วน้ำของตนเองขึ้นมาบ้างก่อนจะเดินออกมาจากร้านเพื่อแยกไปอีกทาง กลับไปยังสถานเลี้ยงเด็กที่ตนเองทำงานอยู่โดยมิวายหันหลังกลับไปมองร่างสูงใหญ่ของเพื่อนสนิทที่ค่อย ๆ จมหายเข้าไปท่ามกลางหมู่ฝูงชนในช่วงสายของวันเสาร์

    ครั้นเมื่อพบว่าร่างสูงนั้นหลุดออกไปจากกรอบสายตาเสียแล้ว ร่างบางจึงหมุนปลายเท้าตรงเข้าเส้นทางเดิมของตนเองบาง ลมหายใจพ่นพรูออกมาเพื่อกำจัดความอัดอั้นตันใจที่ไม่รู้ว่ามากจากไหนออกไปเสีย ดวงตาเรียวจรดมองรองเท้าคัชชูของตนเองที่ก้าวไปตามทางอย่างเหม่อลอย จนลืมสังเกตไปว่าเบื้องหน้ามีชายร่างสูงโปร่งคนหนึ่งยืนขวางจังหวะฝ่าเท้าของเขาอยู่

              “อ๊ะ.. ขอโทษครับ...”

     

     

     

     

     

    จงใช้สัญชาตญาณแห่งความเป็นมนุษย์แทนไฟฉาย
    แล้วใช้ความรู้สึกก้าวเดินไปตามทางนั้น

                รถโดยสารสีเหลืองอ่อนจอดลงที่ป้ายรถหน้าปากซอย บานประตูเลื่อนอัตโนมัตินั้นเปิดให้ร่างสูงได้ก้าวลงมาแตะบนพื้นถนนซึ่งถูกคลุมด้วยก้อนหิมะสีขาวจำนวนมาก ซีวอนสอดมือทั้งสองข้างของตนเองเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ทตัวโคร่งที่เขามักจะใส่เป็นประจำเมื่อออกมานอกบ้าน ลมหายใจที่พรูพ่นออกมาจากปลายจมูก ทิ้งร่องรอยเอาไว้เป็นกลุ่มควันจางที่แทบจะกลืนหายไปเมื่อเจอกับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมา

                แม้ว่าทางเดินกลับเข้าอพาร์ทเมนต์จะไม่ได้ไกลมาก แต่เขากลับเลือกใช้เวลาในการก้าวเดินให้มากกว่าปกติ ขาเรียวก้าวสลับไปมาสร้างรอยเท้าไปบนพื้นหิมะสีขาวโดยมิได้คิดจะมองย้อนกลับไปเลยว่ารอยเหล่านั้นจะบิดเบี้ยวเพียงใด วูบหนึ่งที่ลมหนาวเบาบางพัดเข้ามาปะทะใบหน้าของเขา... วูบนั้นเขาตัดสินใจหันหลังกลับไปมองรอยเท้าของตนเองที่ปรากฏอยู่

                อาจไม่มีอะไรดลใจให้คลี่รอยยิ้มออกมา แต่สายตาของเขามองเห็นผู้ชายตัวเล็กคุ้นตายืนอยู่ตรงปลายสุดที่รอยเท้าเริ่มต้นขึ้น... ตรงป้ายรถเมล์... เขารู้ดีว่าไม่ว่าเร็วหรือช้า ผู้ชายคนนั้นจะต้องตามหาเขาจนเจอ แต่เขาก็ไม้คิดว่าคนอย่างอี ทงเฮ จะลดตัวลงมาเดินสำรวจหาเขาด้วยตัวเองภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ตัดสินใจเดินทางออกมาจากที่กบดานของโจว คยูฮยอน

                “ชเว ซีวอน !” เสียงนั้นตะโกนเรียกอย่างดัง หากแต่ในระยะทางที่ทิ้งห่างมากขนาดนี้ เจ้าของนามนั้นรู้สึกว่ามันช่างเบาหวิวเสียเหลือเกิน เบามากจนเขาสามารถรับรู้ได้ว่าการที่ทงเฮเดินทางมาตามหาเขานั้นไม่ใช่เพราะต้องการตัวของเขาแต่อย่างใด... คนที่ทงเฮอยากเจอ คืออี ฮยอกแจ ต่างหาก

                รอยยิ้มที่ไม่รู้แน่ว่าไปขุดมาจากหลุมไหนกันคลี่ส่งกลับไปหาอีกฝ่ายซึ่งไม่มีทางเห็นมันได้ชัดเจนนักหรอก... เขากระชับมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ทอีกครั้งเมื่อรู้สึกว่าลมหนาวสามารถบุกรุกเข้ามากัดกินผิวเนื้อบริเวณฝ่ามือที่มีบาดแผลจากการขึ้นรูปภาชนะ ร่างสูงใหญ่หมุนตัวกลับมายังเส้นทางเดิมของตนเองแล้วก้าวเท้าต่อไปข้างหน้าราวกับมิได้รู้ทุกข์รู้ร้อนอะไร กลับกัน บนใบหน้าทรงสเน่ห์นั้นกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความดีใจ

    เขาประทับใจในตัวทงเฮ
    อย่างน้อยที่สุด ผู้ชายคนนี้ไม่เคยหยุดตามหาฮยอกแจเลย

                “ชเว ซีวอน !!” เสียงตะโกนนั้นใกล้เข้ามามากขึ้นกว่าเดิม หากแต่ร่างใหญ่กลับมิได้พยายามเร่งฝีเท้าของตนเองให้เร็วขึ้นเลย กระทั่งฝ่ามือเย็นยะเยือกกับแรงกระชากมหาศาลนั้นฉุดรั้งให้เขาต้องหันกลับไป ตอนนั้นนั่นแหละ... ที่เขาหยุดการก้าวเดินของตนเองเพื่อหันไปเผชิญหน้ากับคู่กรณีเก่า

                “...”

                “ไปกับฉัน...” น้ำเสียงนั้นถูกกดลงต่ำกว่าเดิม ในมือของทงเฮมีมีดพกเล่มเล็กซึ่งตอนนี้จี้อยู่ที่บริเวณเอวของเขาเรียบร้อย ดวงตาคู่นั้นจ้องมองใบหน้าคมของเขาราวกับต้องการกินเลือดกินเนื้อ เสียงหอบหายใจที่ดังแทรกเสียงลมทำให้เขารู้ว่าทงเฮคงเหนื่อยมากกับการย่ำฝ่าหิมะตามเขามา และด้วยความหวังดีที่จะให้คนตัวเล็กกว่าได้พักผ่อนลมหายใจ ปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางจึงกดลงที่ตนคอของอีกฝ่ายที่บอดการป้องกัน กดย้ำปลายนิ้วของตนเองครั้งที่หนึ่ง... และสอง จากนั้น อี ทงเฮก็กลายเป็นเพียงแค่รูปปั้นที่ไม่สามารถทำอะไรเขาได้อีกต่อไปมีดพกหล่นลงบนพื้นหิมะสีชาว

                “นายจะได้พัก หลังจากที่วิ่งตามฉันมานานไง อี ทงเฮ...” เขาจับร่างเล็กกว่านั้นพาดเอาไว้ที่หัวไหล่แล้วจึงย่อตัวลงก้มเก็บแสตนเลสมีคม... ขายาวก้าวต่อไปยังจุดหมายของตนเอง

     

     

     

     

     

     

     

     

                “ก่อนไปเขาบอกหรือเปล่าว่าไปไหน...”

                “ไม่ได้บอกครับ... แค่บอกว่าจะไปตามหาตัว ชเว ซีวอน”

                “อืม... ออกไปก่อน แล้วก็ตาม 342 มาด้วย”

                “ครับ” ชายร่างสูงโค้งให้กับร่างบางที่ทิ้งตัวอยู่บนเก้าอี้ทำงานสีเทา แผ่นหลังบางพิงลงกับพนักเก้าอี้เพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าของร่างกายออกไปเสีย ดวงตากลมภายใต้กรอบแว่นสีใสกวาดมองไปที่ลายมือขยุกขยิกของตนเองที่ปรากฏอยู่ คิ้วหนาสีเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยใครรู้บางอย่าง แต่ก็ยังไม่ทันได้ทำอะไร เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นรบกวนเขาเสียก่อน

                “เข้ามา...” เจ้าของหมายเลข 342 เปิดบานประตูแล้วก้าวเข้ามาภายในห้องทำงานขนาดใหญ่ที่ตนเองคุ้นเคยดี ผู้มาเยือนในชุดลำลองแปลกตาโค้งให้กับบอสของตนเองก่อนจะก้าวเท้าเข้ามาใกล้กับโต๊ะไม้สักมากขึ้น 342 เช่นกัน... ดวงตากลมจ้องมองโครงหน้าเรียวนั้นอย่างพินิจพิเคราะห์ ค้นหาบทเปิดการสนทนาอย่างใจเย็น

                “อี ทงเฮหายตัวไป...”

                “...”

                “คงจะโดนคู่กรณีเล่นงาน...”

                “ครับ...”

                “เรื่องที่นายจะได้ยินต่อไปนี้ ฉันขอให้เก็บไว้เป็นความลับ...” ร่างบางเหลือบมองไปที่บานประตูด้านหลังเพื่อเช็คความเรียบร้อยว่ามันถูกปิดสนิทแล้วหรือไม แขนเรียวผายมือให้ผู้ชายตัวสูงใหญ่ได้นั่งลงบนเก้าอี้ที่ถูกตระเตรียมเอาไว้ ซึ่งชายคนดังกล่าวก็ยอมทำตามโดยไร้ข้อกังขา บทสนทนาเปิดขึ้นพร้อมกับที่ดวงตากลมโตจ้องเขม็งเข้าไปภายในลูกตาของอีกฝ่ายเพื่อจ้องจับผิด

                “ครับ ผมจะเก็บเป็นความลับ”

                “ฉันจะตามหาทงเฮด้วยตัวเอง... เพราะคนที่ลักพาตัวเขาไปอาจจะเป็นคนที่ฆ่าพ่อของฉัน ระหว่างนี้นายต้องจัดการกับควอน จียงให้สำเร็จแล้วตามมาสมทบกับฉันอีกที” รูปถ่ายเก่าถูกหยิบออกมาจากลิ้นชักและเป็นรูปเพียงแผ่นเดียวเท่านั้นที่ไม่มีแฟ้มประวัติปรากฏ... นิ้วเรียวพลิกรูปภาพดังกล่าวกลับไปให้ผู้ชายที่นั่งอยู่อีกฝั่งมองเห็นได้อย่างชัดเจนถึงชายตัวสูงใหญ่กับภาชนะดินเผาที่อยู่ในมือสองสามใบ... และตักอักษรที่เขียนเอาไว้เด่นชัดว่า ชเว ซีวอนก็ปรากฏอยู่บนนั้น

                “นายเข้าใจใช่ไหม... ชอง ยุนโฮ...”

                “ครับ...”

                “ทำงานส่วนของนายสำเร็จเมื่อไหร่... ก็รีบกลับมา ฉันไว้ใจนาย...”

                “ครับ คุณคยูฮยอน... ผมรับทราบ” ดวงตาเรียวนั้นฉายแววมาดมั่นเสียจนคยูฮยอนต้องคลี่ยิ้มออกมา ร่างบางตบลงบนบ่ากว้างของ 342 ด้วยความพอใจ กระนั้นร่างสูงก็มิได้นั่งอยู่ให้เสียเวลา ยุนโฮลุกขึ้นจากเก้าอี้นั่งแล้วเดินตรงไปยังบานประตูเพื่อก้าวเดินออกไปจากห้องทำงานนั้นโดยที่สายตายังคงจับจ้องกลับมาที่โต๊ะทำงานของผู้เป็นหัวหน้าไม่คลาดสายตา...

     

     

     

     

    ถ้าใจของเจ้าซื่อตรงดุจร่างที่นอนยาวเหยียดอยู่ตอนนี้ เจ้าคงไม่ต้องพบจุดจบในวันนี้”
                                                                                                     ชาดก – ปูกับงู

                ชองยุนโฮกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าตนเองมิใช่ผู้ชายอารมณ์ร้อน เขาเย็นยะเยือก นิ่ง และสงบกว่าควอน จียงหรือชเว ซีวอนเป็นไหน มิเช่นนั้นคงมิอาจสามารถกลั้นวาจาไม่พูดกับใครเลยมาได้นานร่วม 10 ปีเช่นนี้ หากแต่ตอนนี้... มันกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสียแล้ว ร่างสูงใหญ่กำลังต้องการพื้นที่ว่างสำหรับบรรจุเสียงร้องคร่ำครวญของตนเอง

                ขาเรียวก้าวตรงเข้ามาในอพาร์ทเมนต์ที่เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนเขาเพิ่งจะเดินออกไปหลังจากบอกความลับสำคัญให้กับเจ้าของห้อง เสียงแป้นหมุนที่ดังออกมาเป็นสัญญาณบ่งบอกที่ดีว่าชอง ยุนโฮมิได้มาเก้อแน่ในกาลนี้ ฝ่ามือใหญ่ผลักบานประตูที่ไม่ได้ล็อคออกด้วยแรงมหาศาล... ครั้นเมื่อบานประตูถูกผลักออกไป เขาก้าวตรงไปยังคู่กรณีที่กำลังจัดการงานศิลปะของตนเองแล้วผลักแขนแกร่งนั้นออกจากแป้นหมุนทันที

                “ควอน ซังอุน ไอ้คนทรยศ !” เสียงทุ้มต่ำที่เจ้าของห้องไม่เคยได้ยินได้ฟังกล่าวออกมาอย่างยากลำบาก ซีวอนมองใบหน้าเกรี้ยวกราดกับดวงตาวาวโรจน์ของชอง ยุนโอที่กำลังจดจ้องมาทางเขาด้วยความตกใจ หากแต่เจ้าตัวก็สามารถสงบสติอารมณ์ได้เร็วกว่าที่คิด ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าเหยียดลงไปแตะแป้นเพื่อหยุดการหมุนของมัน... เขากวาดเอาแจกันที่ถูกรบกวนจนบิดไม่เป็นทรงลงมาจากแป้นแล้วหันหลังกลับมาเผชิญหน้ากับชอง ยุนโฮแทน

                “พี่พูดแล้ว...”

                “ใช่ ! กูพูดกับมึง ไอ้ชั่วชเว ซีวอน !! มึงหลอกกูมาตลอดใช่ไหม !?” ด้วยแรงโทสะ ฝ่ามือกร้านอาวุธกระชากร่างใหญ่ของคนทรยศขึ้นมาด้วยแรงมหาศาลเสียจนซีวอนไม่สามารถตั้งหลักให้ตนเองได้ทัน ร่างสูงเหยียดฝ่ามือออกไปยึดข้อแขนของอีกนเอาไว้ เขาไม่หวังให้ตัวเองได้อธิบายในสิ่งที่ตนเองทำลงไป หากแต่แรงโทสะของยุนโฮในตอนนี้อาจจะฆ่าเขาเอาได้ง่าย ๆ

                “มันเป็นเหตุจำเป็น ผมบอกพวกคุณไม่ได้”

                “แล้วทำไมคยูฮยอนถึงรู้ !!” เสียงตะหวาดเกรี้ยวกราดของยุนโฮไม่ได้ทำให้เขาตกใจได้เท่าคำถามที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมา... ความรู้สึกเหมือนโดนตะปูตอกเข้าไปที่กลางหัวใจมันทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองช่างเป็นผู้ชายที่อ่อนแอเหลือเกิน มันทำให้เขาไม่สามารถแม้แต่จะกำข้อมือของยุนโฮเอาไว้เหมือนเดิมด้วยซ้ำ

                “นั่นสิ... ทำไมเขาถึงได้รู้ว่าผมไม่ใช่ซังอุน”

     

     

     

     

     

     

     

     

    คนที่เจอกันครั้งแรก
    มักสร้างความประทับใจมากกว่า
    คนที่เจอกันสองครั้ง

              “อย่าใช้แต่แรง... ใช้หัวใจกับวามรู้สึก ดึงมันขึ้นมา” ผ่านมาซักพักนึงแล้วของการยืนดูชายแปลกหน้าตัวสูงที่นั่งอยู่หน้าแป้นหมุนไม้ทำมือสีน้ำตาล รอบกายใหญ่นั้นเต็มไปด้วยเด็กกลุ่มหนึ่งที่ยืนมุงดูผู้ชายคนนั้นเปลี่ยนรูปทรงก้อนดินให้เป็นถ้วยชามรามไหและแจกันทรงประหลาดได้ราวกับเป็นมายากล... ซึ่งแวบแรกเขาเองในฐานะที่ลุกลีกับวิทยาศาสตร์มาตลอดก็แอบคิดว่ามันเป็นการเล่นกลของคนข้างถนนด้วยซ้ำ

              “ผมอยากได้ใบนี้ !” เสียงของเด็กชายตัวเล็กตะโกนขึ้นมาเมื่อชายคนดังกล่าวค่อย ๆ ใช้นิ้วบีบบริเวณข้อของดินที่ถูกขึ้นจนเป็นรูปออกมา ถ้วยใส่น้ำชาก้นแหลมถูกประคับประคองอย่างเบามืออยู่ในฝ่ามือกร้าน เด็ก ๆ ต่างเพ่งสายตาไปที่ผลงานซึ่งยังคงแฉะโคลนไคลอยู่ด้วยแววตาที่บ่งบอกถึงความยากได้ และถ้าให้เดานะ... คยูฮยอนขอเดาว่าผู้ชายคนนั้นจะต้องส่งมันให้กับเด็กเสียงดังคนนั้นแน่ ๆ

              “ใบนี้ไม่เหมาะกับนายหรอก...” ประโยคนั้นแลดูเหมือนจะเชือดเฉือนใจเด็กชายไม่น้อย แต่หลังจากที่ชายร่างใหญ่ในเสื้อกล้ามขาวตัวโคร่งกล่าวจบ เขาก็เตะฝ่าเท้าไปที่แป้นหมุนอีกครั้งเพื่อรังสรรค์ผลงานขึ้นมาอีกท่ามกลางสายตาฉงนสงสัยของเหล่าเด็กน้อย... รวมไปถึงเขาด้วยเช่นกันที่แอบตั้งคำถามเอาไว้ในใจว่าจะมีโอกาสได้เห็นก้อนดินแปลงร่างเป็นอะไร

              “คุณคยูฮยอนครับ... รถมาแล้ว” เสียงเรียกจากการ์ดส่วนตัวที่ยืนอยู่ด้านหลังสะกิดเขาให้ละสายตาออกมาจากชายแปลกหน้าที่ยังคงขมักเขม้นอยู่กับการดันก้อนดินให้เป็นรูปร่าง คยูฮยอนพรูลมหายใจออกมาเล็กน้อยด้วยความเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้เห็นชิ้นงานถัดไปของผู้ชายคนดังกล่าว ถึงกระนั้นเขาก็มิอาจยืนอยู่ตรงนั้นได้ต่อไป เพราะว่ารถที่มารับเขาจอดเทียบอยู่ริมถนนและยังมียานพาหนะอีกหลายคันที่จะต้องใช้ถนนในการสัญจร ขาเรียวจึงจำใจก้าวผ่านฝูงชนไป

              กระนั้นคยูฮยอนก็มิวายเหลือบมองกลับไปด้วยหวังว่าผลงาชิ้นนั้นคงจะสำเร็จแล้ว หากแต่เขาก็มองอะไรไม่เห็นมากนักนอกจากแผ่นหลังกว้างที่มีรอยสักขยุกขยิกอ่านไม่ออกที่โผล่พ้นอยู่บนผิวเนื้อส่วนที่ไม่ได้ปกคลุมด้วยเนื้อผ้ากับเสี้ยวใบหน้าด้านข้างซึ่งดูคมสันผิดบุคลิก... ฉับพลันดวงตาคมดุจเหยี่ยวล่าเหยื่อนั้นจับจ้องมาทางเขาพร้อมกับรอยยิ้มกดตรงมุมปากที่ทำให้คยูฮยอนรู้สึกเหมือนฝันไป มันน่ากลัวมากแต่ในขณะเดียวกันก็ติดตราอยู่ในใจ

              “อ่า.. แย่จัง” เพราะเผลอเบนสายตาไปมองที่ร่างบางในชุดนักศึกษาเมื่อครู่ แจกันปลายแคบจึงผิดทรงไปโดยไม่ตั้งใจ แล้วร่างสูงก็ต้องหยุดแป้นเพื่อกดดินที่ตั้งรูปบิดเบี้ยวนั้นให้กลับลงไปรวมกันเป็นก้อนกลมเหมือนเดิมเพื่อเริ่มใหม่... เสียงโห่ร้องของเด็ก ๆ ทำให้รอยยิ้มที่ติดอยู่ตรงมุมปากของเขากว้างขึ้นออกไปอีกกระทั่งมีเสียงแค่นหัวเราะออกมาเบาบางเจือจางให้ได้ยิน...

              “พี่ซังอุน... ขึ้นใหม่เร็วๆ !” เสียงรบเร้าจากเด็ก ๆ ทำให้เขาสามารถเรียกสติกลับมายังแป้นหมุนได้อีกครั้ง ฝ่ามือใหญ่นั้นกวาดก้อนดินก้อนสุดท้ายบนแป้นของตนเองขึ้นมาแล้วแบ่งมันให้กับเด็ก ๆ คนละก้อนเล็ก ๆ ฝูงลิงตัวน้อยที่ได้รับดินมาถือเอาไว้ก็ได้แต่มองก้อนดินสีขาวในมือด้วยความงุนงงจนเกิดเป็นคำถามให้ได้สนทนากันเบา ๆ

              “ของแบบนี้... ถ้าอยากได้มันต้องลองเอง” คว้าเอาแป้นหมุนไม้ตัวหนักของตนเองขึ้นมาอุ้มไว้อย่างทะมัดทะแมง ขายาวก้าวฝ่าวงล้อมของเหล่าเด็กน้อยไปยังรถกระบะเก่าที่จอดอยู่ห่างออกไปตรงมุมถนนโดยไม่สนใจเสียงร้องทักท้วงของพวกเด็ก ๆ ที่บอกว่า เราไม่ได้มีเวทย์มนตร์เหมือนพี่นี่... แน่หล่ะ ก็ถ้าเขามีเวทย์มนตร์ ตอนนี้เด็กน้อยเหล่านี้คงไม่มีทางได้รู้จักเขาเป็นแน่

    __________Winter’s Killer__________

    สุดท้ายก็โผล่มาได้นิดเดียววว 5555555555
    ขอโทษมาก ๆ ที่ไม่ได้มาต่อสียนาน ติดสอบติดอะไรนิดหน่อย..
    ติดไปเสียทุกอย่าง ยกเว้น ติดมหาลัย
    T T
    #ดราม่า

    THE' FARRY
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×