คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Recover
ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว
ถ้าหากมันเป็นความรัก มันก็คือความรัก
คำว่าจะพามาดูอะไรของจงอินเมื่อตอนเช้าเป็นสาเหตุให้พวกเขามาอยู่ที่บ้านหลังหนึ่งบริเวณท้ายซอย รั้วไม้สั้นสีน้ำตาลผุพังและมีรอยปลวกกินเช่นเดียวกันกับตัวบ้านซึ่งถูกเถาวัลย์ต้นเล็กต้นน้อยชอนไชไปทั้งหลัง ตอไม้สิ้นชีวิตกองพาดอยู่ข้างรั้ว ทำตัวคล้ายกับยามที่คอยป้องกันสถานที่แห่งนี้จากคนแปลกหน้าซึ่งในขณะนี้ได้ทำการปีนข้ามมันเข้ามาเสียแล้ว
เซฮุนลืมเรื่องปีนป่ายไปตั้งแต่เขาอยู่มัธยมปลาย ในเมืองหลวงไม่มีต้นไม้ให้ปีนมากนัก ต้นส้มที่พ่อปลูกเอาไว้จึงเป็นเหมือนเครื่องเล่นธรรมชาติเดียวของเขา แต่หลังตกลงมาจากกิ่งหนาของมันแล้วกลิ้งโค่โล่เข้าไปในพุ่มกุหลาบ เขาก็ลืมวิธีการปีนขึ้นที่สูงไปหมด
เว้นเสียแต่ตอนนี้จงอินกำลังจับมือของเขาเอาไว้และสอนให้ยกขาด้วยการพูดบอกไม่หยุด เอามือหนาทั้งสองข้างประคองไม่ห่างยิ่งกว่าหน่วยรักษาความปลอดภัยของเชื้อพระวงศ์ที่เขาเห็นในโทรทัศน์ คิมจงอินเอาแต่บอกให้ระวังๆทั้งที่ขาของตัวเองก็สะดุดนั่นนี่อยู่บ่อยครั้งซึ่งมันทำให้เซฮุนเผลอหัวเราะออกมาเบาๆขณะจำกุมมือของอีกคนเอาไว้แน่น
เราเดินผ่านต้นหญ้ารกเข้ามาภายในบ้านร้าง ความจริงมันไม่เหมือนบ้านที่ถูกทิ้งเพราะด้านในยังมีมีผนัง ทุกอย่างเป็นเพียงพื้นที่โล่งกว้าง ไร้ฝาผนัง ไร้เครื่องประดับตกแต่ง จะมีเพียงช่องหน้าต่างซึ่งถูกบุด้วยกรอบไม้สีน้ำตาลอ่อนเตรียมสำหรับการติดบานพับเท่านั้น
ฝ่าเท้าของเซฮุนสัมผัสได้ถึงความเย็นเมื่อเขาลองทำตามจงอินที่สลัดรองเท้าแตะออกจากเท้าทั้งสองข้างแล้วย่ำเหยียบไปบนพื้นปูน มันสะอาดเกินกว่าที่ควรจะเป็น เซฮุนจึงเลิกคิ้วขึ้นมองคนที่พาเขามา
“ฉันมาบ่อย”
“...”
“รู้จักที่กบด้านไหมหล่ะ?” จงอินพูดขำๆแต่ก็แสดงสีหน้าจริงจังออกมาในคราเดียวกันตอนที่กำลังย่อตัวลงนั่งเหยียดขากับพื้นปูนเปล่และแน่นอนว่าเซฮุนก็ทำตามเช่นกัน
“คุณพูดเหมือนเป็นเด็กอายุสิบสาม” คำจิกกัดนั้นนำพามาซึ่งบทลงโทษที่โอเซฮุนต้องรับมัน ร่างบางถูกลากเข้าไปในอ้อมแขนแกร่งก้อนที่ปรางแก้มนวลจะโดนกดซ้ำไปซ้ำมาให้เกิดเสียงฟอดแฟด
โอเซฮุนไม่รู้สึกว่ามันเป็นบทลงโทษเลยสักนิด
แต่เป็นการแสดงความรู้สึกเขินอายในแบบของจงอินมากกว่า
เสียงหัวเราะดังลั่นไปทั่วทั้งห้องกว้าง สงบลงเมื่อโอเซฮุนยกมือขึ้นจับประคองข้างแก้มสากของอีกคนแล้วจูบตรงปลายจมูกโด่งของคนตรงหน้าที่เขายืมตักมารองแทนเบาะนั่ง รอยยิ้มของจงอินไม่ได้สวยงามมากแต่มันจริงใจเกินกว่าที่เซฮุนจะกล้าละสายตาออกมา ยิ้มที่ไม่เหมือนยิ้มของคนในบ้านเขา ยิ้มที่แทนทุกความรู้สึกของจงอิน และขณะเดียวกันยิ้มนั้นกลายเป็นโลกทั้งใบของเขาในระยะเวลาอันแสนสั้น
“ผมชอบให้คุณยิ้ม” ร่างบางเอ่ยบอกขึ้นมาด้วยเสียงที่เบาและสงบลงก่อนจะแนบริมฝีปากลงบนกลีบปากหนาอีกครั้งเพื่อยืนยันคำพูดของตัวเองว่ามันไม่ใช่เรื่องโกหก
“ฉันเองก็ชอบยิ้มนายเหมือนกัน”
“...”
“อยากถ่ายรูปเก็บไว้ไหม?” คำถามนั้นชวนให้เซฮุนรู้สึกสงสัยว่าทำไมจงอินต้องพูดออกมาทั้งรอยยิ้มคับปาก แต่แล้วเขาก็ได้รับเฉลยด้วยวัตถุมีน้ำหนักบนฝ่ามือซึ่งเจ้าของคำถามวางมันลงมาให้ มือเล็กอยากจะละออกมาขยี้ตาตัวเองเสียสักครั้งเพื่อความแน่ใจว่าไม่ได้ตาฝาดไป แต่น้ำหนักและความเย็นเฉียบจากก้อนโลหะในมือก็มากพอจะเป็นเครื่องยืนยันแล้ว
มันคือกล้องฟิล์มรุ่นเก่ายี่ห้อดังที่เซฮุนรู้จักดี
“คุณ...”
“สมัยที่ฉันเรียนมหาลัยเคยต้องไปค่ายที่ต่างจังหวัดหลายวัน... ฉันไม่ได้เอาสมุดไปสักเล่มและที่นั่นก็ไม่มีกระดาษสึกแผ่น” จงอินเล่าพลางจับมือเรียวยาวให้กุมตัวกล้องเอาไว้ “มันเหมือนจะขาดใจตาย...ว่างเมื่อไหร่ก็ต้องหยิบเอากิ่งไม้ลากไปตามดิน มันทำให้ฉันได้รู้ว่าเวลาที่เรารักจะทำอะไรมากๆ ถ้าวันนึงไม่ได้ทำมันขึ้นมา ก็เหมือนจะตายทั้งเป็น”
“คุณเลยซื้อมันมาเหรอ...”
“มันเป็นกล้องสมัยที่ฉันเรียนถ่ายภาพหน่ะ ลองใส่ฟิล์มแล้วเมื่อคืนมันยังใช้ได้อยู่”
“อ่า...”
“ถ่ายสิ เอาหล่อๆนะ” จงอินจับมือของอีกคนขึ้นมาแล้วบังให้หน้ากล้องจ่อมายังใบหน้าของเขา คนถูกบังคับให้ขยับตามหลุดหัวเราะออกมาแต่ก็ส่องตาแมวมองคนตรงหน้าด้วยเลนส์ระยะ 50 มม. ที่ทำให้หน้าของจงอินขยายเต็มกล้อง เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกเมื่อจงอินขยับคิ้วโค้งขึ้นหนึ่งข้างแล้วจิกตาใส่หน้าเลนส์
“คุณมัน...” เสียงหวานสบถท่ามกลางการหัวเราะขบขันของอีกคน แต่สุดท้ายเซฮุนก็ผละตัวเองออกมายืนห่างในระยะที่กล้องสามารถเก็บภาพของจงอินได้อย่างพอดี นิ้วเรียวเลื่อนปรับค่าต่างๆให้เข้าที่เข้าทางอย่างคล่องแคล่วแล้วจึงกดชัตเตอร์ลั่นเสียฉับ
จงอินลุกขึ้นยืนทันทีที่เซฮุนลดกล้องลงจากดวงตา เขาคว้าข้อมือเรียวเล็กของอีกคนเอาไว้แล้วพาเดินต่อไปยังด้านหลังของบ้านซึ่งเป็นทางเดินหินศิลาแลง ต่อยาวออกไปด้านนอกอีกสองสามแผ่น ตรงหน้าก็เป็นเพียงกอหญ้ากอไม้ หากแต่เมื่อมองให้ไกลขึ้นไปเซฮุนก็พบว่าบ้านหลังนี้ไม่มีรั้วกั้น
เบื้องหน้าเป็นทุ่งหญ้าแห้งสีทองและมีแปลงดอกไม้ขนาดย่อมผุดอยู่สองสามแปลง จงอินเดินนำเขาออกไปอีกโดยไม่ได้พูดอะไร แต่ก็รู้กันว่าต้องก้าวต้องหยุดตรงไหน
“ฉันปลูกไว้ตั้งแต่ม.ปลาย ตอนนั้นเคยคิดด้วยว่าอยากเรียนเกษตร” เจ้าของแปลงดอกไม้ชี้ชวนให้เซฮุนดูผลงานของตัวเอง เซฮุนย่อตัวลงนั่งยองๆกับศิลาแลงก้อนใหญ่แล้วยกกล้องขึ้นจ่อกลีบดอกสีชมพูก่อนจะกดชัตเตอร์
ใบหน้าหวานเงยขึ้นมามองจงอินที่ก้มลงมองเขาเช่นกัน
เซฮุนคว้าฝ่ามือของอีกคนเอาไว้แล้วสอดนิ้วเข้าไปในร่องฝ่ามือ นิ้วของเขาคั่นกับนิ้วของจงอินพอดีขณะกุมกระชับกันเอาไว้ ทั้งสองเดินเข้าไปในทุ่งสีเหลืองทองจนจมหายไปกับยอดหญ้าสูงลิ่ว เซฮุนไม่หยุดถ่ายภาพเพราะมันเป็นอย่างที่จงอินบอก การไม่ได้แตะกล้องในรอบสองอาทิตย์ที่ผ่านมาทำให้เขารู้สึกเหมือนจะลงแดงตาย เมื่อได้จ่อมองผ่านเลนส์อีกครั้งเซฮุนจึงเอาแต่ทำแบบนั้นตลอดทาง
พวกเราหยุดกันที่เนินลูกเล็กที่มีตอไม้งอกขึ้นมา นั่งพักกันบนรั้วโดยแบ่งพื้นที่คับแคบกันคนละครึ่ง จงอินมองทุ่งสีทองตรงหน้า ปล่อยให้ลมพัดโกรกผิวหน้าของเขา ผ่านไปกระทบกับโอเซฮุนที่กำลังหมุนฟิล์มอย่างตั้งใจ
“ผมเริ่มถ่ายรูปตอนสิบหก” เซฮุนพูดขึ้นมาเมื่อเลขสิบหกปรากฏอยู่บนช่องระบุจำนวนภาพที่ด้านบน
“...”
“ตอนนั้นใช้กล้องฟิล์มของพ่อ แอบหยิบไปจากตู้แล้วก็เอาไปถ่าย โดนตีจนก้นลายเพราะพ่อหวงมันมาก” ริมฝีปากบางยังคงเล่าต่อไปแม้ว่าจงอินจะไม่ได้ขานรับหรือหันหน้ามาแต่เซฮุนเชื่อว่าอีกคนก็กำลังฟังอยู่
ถึงจงอินไม่ฟังเขาก็อยากจะเล่า
อยากจะบอกเรื่องราวของตัวเองให้อีกคนได้รู้บ้าง
“...”
“แต่ผมก็ยังทำอย่างนั้น ยังไปหยิบมันออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าจนพ่ออ่อนใจและยอมให้ผมได้ใช้ พ่อสอนให้ผมล้างรูปแล้วเราก็กั้นห้องอัดภาพในห้องน้ำ ตอนนั้นผมโดนแม่บ่นแต่สุดท้ายคนที่ไปซื้อน้ำยากับกระดาษให้ก็เป็นแม่”
“ฮ่าๆ พวกเขาก็มักจะทำแบบนี้นั่นแหละ”
“อืม...พวกเขาบอกว่าถ้าผมชอบมากก็ควรจะจริงจังกับมัน ผมเลยเรียนในวิทยาลัยช่างศิลป์ด้านการถ่ายภาพโดยเฉพาะ”
“...”
“ผมเคยคิดว่าทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางแต่พอท่านทั้งสองจากไปพินัยกรรมก็บอกให้ผมเป็นคนรับมรดกทั้งมด หมายถึงตำแหน่งประธานบริษัทของพ่อ ทุกอย่าง...ทุกอย่างในบ้านหลังนั้นเป็นของผมโดยนิตินัยแต่ผมไม่เคยรู้สึกเลยว่าตัวเองได้รับมันมา”
“...”
“มีแต่คนบอกว่าผมได้เยอะเกินไป...แต่ผมกลับไม่รู้สึกว่าตัวเองได้อะไรเลยสักอย่าง” ดวงตาเรียวหลุบมองกล้องในมือง หมุนมันไปมาเหมือนที่พยายามจะหมุนท่อน้ำตาของตัวเองให้ไหลย้อนกลับไป “ผมเสียทุกอย่างไปแล้วต่างหาก...”
“...” มันเป็นอีกครั้งที่จงอินล้มเหลวต่อการเฟ้นหาคำปลอบโยนในลำคอของตัวเอง ซึ่งมันทำให้เขาต้องใช้อ้อมแขนทั้งสองข้างแทนการปลอบโยน เขาคิดมาเสมอว่าการเป็นคนสมองช้า คิดหาคำพูดอะไรไม่ค่อยออกจนต้องใช้การกระทำแทนคำอธิบายเป็นปมด้อยในชีวิจสามสิบสองปีของเขา จนกระทั่งมาเจอโอเซฮุนที่วิ่งโผเข้ามาจากเนินเขาวันนั้น ความคิดของเขาก็เปลี่ยนแปลงไป
จงอินรู้สึกว่าการกระทำของเขามีค่า
“อย่าร้องเลยเซฮุน อย่าร้องเลย...” การปลอบโยนของคิมจงอินลงเอยด้วยคำขอโง่เง่าที่ไม่มีเจ้าของเม็ดน้ำตาคนไหนสามารถทำตามได้ นิ้วโป้งพยายามเกลี่ยไปรอบดวงตาของโอเซฮุนให้เบาที่สุดเท่าที่มือกร้านหยาบจะเอื้ออำนวย เขาจ้องเข้าไปในดวงตาชื้นแฉะ ขมวดคิ้วมุ่นเมื่อนึกถึงอีกสองสามชั่วโมงข้างหน้าหลังจากเซฮุนไม่มีน้ำตาเหลือแล้วก็คงจะได้เปลือกตาบวมเป่งไปเป็นเครื่องตอกย้ำความจำว่าเพิ่งผ่านอะไรมา
จงอินไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้กล้าเอาริมฝีปากไปแนบกับเปลือกตาชื้นแฉะอันแสนบอบบางของอีกคนได้ แต่เขาก็ทำมันไปแล้วพร้อมกับการรวบเอาร่างทั้งร่างของโอเซฮุนเข้ามาจนชิดอก ปลายคางมนเกยกับกลุ่มผมนุ่มสีบลอนด์สว่าง หมุนวนเป็นวงกลมซ้ำไปซ้ำมาเหมือนกับฝ่ามือทั้งสองข้างที่ลูบวนไปทั่วแผ่นหลังของเซฮุน
จงอินไม่เข้าใจตัวเองเช่นกันว่าทำไมถึงต้องเป็นโอเซฮุน
ทำไมต้องเป็นโอเซฮุนที่ทำให้อิสระทั้งปวงของเขารวมอยู่ในอ้อมแขนคับแคบนี้ได้
- - -
“ไม่หลับไม่นอนเลยนะจงอิน...”
“อ่าวแม่...” คนโดนเรียกสะดุ้งตกใจจนดินสอแทบจะร่วงหล่นลงจากมือ จงอินจึงวางมันลงตรงกลางสันสมุดเล่มใหญ่ที่พาดบนหน้าตักของเขาแล้วขยับตัวไปจนชิดกับพนักโซฟาเพื่อเว้นที่ให้แม่ของเขาที่กำลังเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง
“ไม่หลับไม่นอนหืม?”
“วาดรูปอยู่ แม่หล่ะ...ดึกป่านนี้แล้วทำไมไม่นอนอีก”
“คิดอะไรเพลินๆหน่ะ” อินนาตอบลูกชายของเธอขณะเอนตัวลงพิงกับพนักนุ่มของโซฟาให้ตัวเองนั่งได้สบายขึ้น เธอเหลือบมองจงอินที่เริ่มจับดินสอขึ้นแล้ววาดรูปต่ออีกครั้ง แล้วก็ต้องยิ้มออกมาเมื่อเห็นภาพที่อยู่บนหน้ากระดาษนั้น “ชอบเหรอจงอิน...”
“ครับ?”
“ชอบเหรอ ที่วาดอยู่หน่ะ”
“...อ้อ...ฮะๆ” คนโดนถามไม่ได้ตอบอะไร เขาเพียงแค่หัวเราะเบาๆ ยกสันมือที่เปื้อนคราบแกรไฟต์ของตัวเองขึ้นมาเพื่อพินิจดูภาพวาดเส้นแบบไม่ละเอียดมากของตัวเองแล้วเหลือบไปมองรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนจากแม่ที่ยังคงรอคำตอบอยู่ “ก็...ชอบสิครับ ผมชอบวาดรูป”
“ไม่...แม่หมายถึงเซฮุนคนนั้น ลูกชอบเขาเหรอ”
“...”
“หืม?”
“แม่จำมาจากละครหรือเปล่าเนี่ย?” พอโดนยิงคำถามเข้าตรงๆ จงอินก็เริ่มวางตัวไม่ถูก เขาเกาจมูก เกาท้ายทอย พยายามจรดมือลงไปวาดภาพตรงหน้าให้เสร็จแต่มันก็ไม่ใช่อารมณ์แบบเดิมเสียแล้ว หนุ่มวัยสามสิบสองอย่างเขากลับกลายเป็นเด็กอายุสิบห้าที่เพิ่งจะหัดชอบคนอื่นเป็น
“ไม่มีนางเอกชื่อเซฮุนหรอก เชื่อแม่สิ”
“โถ่...แม่...”
“แม่ก็แค่ถามแก...ถ้าชอบเขาหน่ะ ก็น่าจะทำอะไรสักอย่างจริงไหม?” อินนาเลิกคิ้วขึ้นท้าทายลูกชายของเธอที่ยังคงทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนด้วยการพยายามจ้องมองแต่บนสมุดภาพ “ฉันก็ไม่อยากให้ลูกชายผิดผีไปลักลูกใครเขามา...”
“แม่...มันไม่เหมือนกัน”
“ยังไงหล่ะหืม?”
“คือ...ที่ผมบอกแม่ว่าเราบังเอิญเจอกัน มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ...” สุดท้ายจงอินก็ยอมปิดสมุดลงแต่ก็มิวายเอาดินสอกั้นหน้าไว้ไม่ให้ถูกปิดไป “ผมเพิ่งเจอเขา วันนั้น... เขาวิ่งมาแล้วก็มีคนไล่ยิงแบบ...ปั้ง ปั้ง เหมือนในละครเลย เซฮุนร้องไห้ฟูมฟายบอกให้ผมพาเขาไปด้วย พอผมบอกว่าจะมาบ้าน...ก็เลยพามา...”
“ตายจริง...”
“ตอนแรกผมคิดว่าเขาน่ารำคาญ...แม่ก็รู้ผมไม่ชอบผูกมัดกับอะไรทั้งสิ้น แต่ไม่อยากเชื่อเลย เขาไม่เหมือนอย่างที่ผมคิดไว้สักนิด เขาไม่เหมือนคนอื่น เซฮุนหน่ะ...บอกไม่ถูกเลย...ผมรู้สึกเหมือนได้อยู่ใกล้เตาผิงเวลาอยู่ใกล้เขา ความรู้สึกมันเหมือนอบอุ่นตลอดเวลาทั้งๆที่เขาก็ไม่ได้ทำอะไร”
“...”
“ตอนเห็นเขาร้องไห้ผมคิดแค่ว่าจะทำยังไงให้เขายิ้มดีหล่ะ ต้องใส่ชุดแบบโจ๊คเกอร์ไหม หรือต้องเล่นมุกอะไร ให้ตายสิแม่... ลูกแม่กากมาก...ทำตัวเหมือนวัยขบเผาะที่เพิ่งหัดเต๊าะสาว...”
“ฮ่าๆๆๆๆ เจ้าหมีโง่ของแม่”
“โถ่แม่อย่าขำดิ...ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆนะ” จงอินโอบคนข้างกายเอาไว้ในอ้อมแขนแล้วซุกหัวลงกับไหล่ของเธอเหมือนที่ทำเป็นประจำเมื่อเขารู้สึกไขว้เขวหรือสับสนและเขาก็ได้รับสัมผัสอันแสนอบอุ่นจากฝ่ามือของแม่ไล้ไปกับศีรษะเป็นคำปลอบโยนเบาๆ
“เวลาหมีมันอยากได้น้ำผึ้งมันก็ต้องดึงรังลงมาใช่ไหมหล่ะจงอิน... ผึ้งต่อยมันก็สู้ทั้งๆที่ไม่รู้เหมือนกันว่าในรวงจะมีน้ำผึ้งเยอะคุ้มกับที่โดนเหล็กในหรือเปล่า”
“...อื้อ”
“ถ้าลูกสับสนก็ลองเข้าใกล้กว่านี้สิ อย่าปฏิเสธ อย่ากลัว ไม่ว่าจะเป็นยังไงถ้าลูกคิดว่าใช่เขาก็ต้องใช่อยู่แล้วหล่ะ...”
“...”
“เจ้าหมีโง่หน่ะ ใช้เป็นฉายาก็พอแล้วหน่า อย่าโง่จริงสิคิมจงอินของแม่”
“แล้ว...ถ้าผมจะลอง...เอ่อ...จีบเซฮุน...แม่ว่าไง...”
“แม่จะไปว่าอะไรเล่า...” อินนาจับหัวลูกชายของเธอขึ้นมาเคาะเบาๆไปเสียทีให้กับความซึมกะทื่อแก้ไม่หาย “จงอินรักใครชอบใครแม่ก็รักก็ชอบหมดแหละหน่า...แม่รู้ว่าเจ้าหมีเลือกคนไม่ผิดหรอก”
เขานั่งคุยกับแม่จนดึกดื่นและตัดสินใจพาเธอไปส่งที่ห้องตอนเวลาย่างเข้าใกล้เที่ยงคืนก่อนจะพาตัวเองไปยังห้องนอนซึ่งป่านนี้ใครอีกคนคงกำลังจะหลับฝันหวานไปเรียบร้อยแล้ว เพราะทั้งวันที่ผ่านมาเขาพาโอเซฮุนเดินเป็นกิโลเพื่อไปนั่งร้องไห้อีกหลายนาทีเสร็จแล้วก็พาเดินกลับซึ่งมันถือเป็นกิจกรรมที่เปลืองพลังงานมากทีเดียว
จงอินเปิดประตูอย่างแผ่วเบาเพื่อไม่ให้รบกวนอีกคนที่ซุกร่างไว้ใต้ผ้าห่ม คงต้องขอบคุณเจ้าของฝีมือการเก็บห้องนั่นแหละที่ทำให้เจอทางเดินอันปลอดภัยไปจนถึงเตียง ปราศจากการชน การกระแทกกับสิ่งของชิ้นใดในห้อง
เซฮุนหลับอยู่ตามที่คาดไว้ ใบหน้าหวานตะแคงบนหมอนอันแสนนุ่มนิ่ม เปลือกตาปิดสนิทกับแพรขนตาเรียงสวยทำให้จงอินไม่อยากจะซุกตัวลงนอนด้วยซ้ำเพราะกลัวว่าจะเผลอไปทำลายความฝันของอีกคน ดังนั้นทุกท่วงท่าการขยับร่างพาตัวเองแทรกไปนอนข้างๆเป็นไปด้วยอาการเกร็งที่สุด
“อื่อ...คุณจงอิน...” ฝ่ามือหนาฟาดลงบนหน้าผาก ลงโทษตัวเองเบาๆเมื่อได้ยินเสียงเซฮุนเรียกชื่อเขา ครั้นพอลืมตาขึ้นมาถึงได้รู้ว่าเจ้าของเสียงเมื่อครู่เพียงแค่ละเมอพึมพัมออกมาขณะพลิกตัวเท่านั้นเพราะเซฮุนยังคงหลับตาอยู่
ร่างสูงสอดจึงค่อยๆสอดตัวเองเข้าไปในผ้าห่มที่กองขยุกหยุย คว้ามันมาคลี่ออกแล้วคลุมตัวเองในขณะที่เซฮุนยังคงขยับตัวหาองศาอันแสนเหมาะสมอยู่ จงอินจับผ้าขึ้นมาถึงปลายคางแล้วหลับตาลงเตรียมรับการพักผ่อน แต่ยังไม่ทันจะปิดเปลือกตาสนิทดี โอเซฮุนก็กลิ้งเอาหัวมาเกยอยู่กับบ่าของเขาเสียอย่างนั้น
“คุณจงอิน...” เสียงพร่าละเมอพึมพัมออกมา มือเรียวก็ปาดป่ายไปทั่วจนคว้าได้กลางอกของเขาพอดี เจ้าของชื่อคุณจงอินปรายตามองขำๆกับท่าทางเหมือนเด็กนอนละเมอแล้วตัดสินใจพลิกตัวตะแคงเข้าไปหาเซฮุนเสีย
ท่อนแขนของนักวาดรูปพาดไปจับช่วงเอวบางแสนบอบบางเอาไว้ ออกแรงรั้งให้ขยับเข้ามาใกล้ตัว กลิ่นแชมพูจากปลายเส้นผมเป็นสิ่งที่จุดประกายรอยยิ้มมุมปากของจงอินเพราะมันทำให้เขาตัดสินใจก้มลงไปสูดกลิ่นหอมละมุนนั้นจากขมับนุ่มของคนที่ยังคงหลับใหลอยู่ เซฮุนขมวดคิ้วเมื่อถูกรบกวนและยอมคลายผมออกตอนที่ริมฝีปากหนากดลงไปตรงกลางหว่างคิ้ว
“ขอบคุณนะครับ...คุณจงอิน...” ในใจของคิมจงอินหน่ะอยากจะหัวเราะให้ดังลั่นออกมากับคำละเมออันแสนน่ารักของคนในอ้อมแขน แต่เขาก็ต้องกลั้นทุกอย่างไว้แล้วเปลี่ยนเป็นการกอดรัดเจ้าของคำขอบคุณเข้ามาจนชิดอก เกยคางเอาไว้เหนือศีรษะหอมนุ่ม แล้วเห่กลอมด้วยความอบอุ่นที่เขาคิดว่าจะมอบให้แต่เพียงแค่โอเซฮุนคนเดียวเท่านั้น
- - -
เล่นน้ำหนุกกันป่าว~
ความคิดเห็น