คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : field 04
04
เราจดจำความโหดร้าย
ในเมื่อผู้สร้างมันช่างอ่อนหวาน
ตะกร้าสานใบโตที่หน้าบ้ายทำให้ซีวอนนึกสงสัยว่าทำไมคยูฮยอนต้องแบกกับข้าวมากมายเพื่อไปทำพิธีมิซซาที่โบสถ์ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรออกไปเพราะท่าทางวุ่นวายของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองไม่ควรเข้าไปยุ่มย่ามอะไรด้วยนัก
"คุณซีวอนจะไปด้วยกันจริงๆใช่ไหมครับ!"
"อืม ไปสิ แค่นี้พระเจ้าก็เกลียดฉันจะแย่แล้ว" ประโยคหลังร่างสูงบ่นพึมพัมกับตัวเองเพียงเบาๆก่อนจะคว้าเอากุญแจรถบรรทุกที่แขวนเอาไว้มาถือ เตรียมตัวทำหน้าที่เป็นสารถีในวันนี้ ทว่าก็ต้องชะงักมือเมื่อได้ยินคำถามของเด็กตาฟ้าที่ยืนหิ้วตะกร้าตามหลังมาไม่ห่าง
"คุณซีวอนจะขับรถเหรอครับ"
"อาฮะ"
“คุณซีวอนรู้ทางไปโบสถ์ด้วยเหรอครับ?”
“..." คำถามนั้นทำให้เขาต้องรู้สึกพ่ายแพ้ต่อความตั้งใจของตัวเองโดยสมบูรณ์แบบ
จริงสินะ... เขายังไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าที่นี่มีโบสถ์
สุดท้ายกุญแจกับตะกร้าจึงสลับตำแหน่งกัน อดีตนักดนตรีจัดการคว้าตะกร้ามาถือไว้เสียเองแล้วยื่นกุญแจส่งให้ร่างผอมบาง แม้ว่าคยูฮยอนจะค่อนข้างงุนงงกับการเปลีี่ยนใจกระทันหันของอีกฝ่ายแต่ก็ยังคงส่งยิ้มมาให้และเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อตามหลังให้ทัน
"ผมขับรถแข็งหน่า ไม่ต้องห่วงหรอก"เด็กน่อยหันมาบอกเขาทั้งรอยยิ้มที่เปื้อนเปรอะเต็มหน้าและไม่รู้ทำไมซีวอนคิดว่สคยูฮยอนถึงดูเหมือนเด็กที่ใกล้จะร้องไห้มากกว่า เหมือนว่าลึกๆในดวงตาสีฟ้าคู่นั้นต้องการให้เขาคิดอะไรสักอย่างออก
เพราะแววตานั้นทำให้ร่างสูงตระหนักได้ว่าเขาหลงลืมอะไรในชีวิตไปหลายอย่าง แม้แต่ทางกลับบ้าน ทางไปฟาร์ม หรือชื่อของป้าแม่บ้านที่ชวนเขาไปจ่ายตลาดในเมืองบ่อยครั้ง อาจลืมมากจนทำให้รู้สึกว่าเรื่องราวในหัวขาดหาย ขณะเดียวกันเรื่องราวเหล่านั้นก็เหมือนกับหมอกจางๆในวันฟ้าหลัว เหมือนว่าการไม่มีมันเหล่านั้นคือเรื่องปกติในชีวิตของเขาอีกแล้ว
หลังยานพาหนะออกวิ่งไปบนท้องถนน ดวงตาคมมองฝุ่นที่คลุ้งกลบทางลูกรังจนแทบมองไม่เห็นต้นไม้ข้างทาง เพ่งมองบ้านหลังเล็กกำลังจางหายไปจากกรอบสายตาและถูกปกคลุมด้วยกลุ่มควัน... ทุกอย่างเลือนรางเหมือนกับที่เขาไม่เคยรู้อะไร
ทุกวันนี้ได้แต่รู้เพียงว่าตัวเองจำทางกลับบ้านไม่ได้และต้องการจะจำมันให้ได้อีกครั้ง
- - -
ไม่ว่าจะมุมไหนของโลก โบสถ์เป็นสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยความสงบเสมอ มันจึงกลายเป็นที่พักใจของซีวอนทุกครั้งเมื่อมีเรื่องไม่สบายใจ ไม่ว่าเขาจะไปไกลแค่ไหน อาคารสูงที่ตกแต่งด้วยสถาปัตยกรรมจากศรัทธาจึงกลายเป็นสถานที่ที่กินเวลาของเขาไปมากมาย
พิธีมิซซาจบลงท่ามกลางรอยยิ้มของผู้เข้าร่วมที่มีไม่ถึง 20 คน ส่วนมากเป็นคนที่อยู่ในวัยร่วงโรย กระนั้นกลับไม่ได้ทำให้รู้สึกหดหู่แต่อย่างใดเพราะหลังจากบทสวดจบลง เหล่าผุู้สูงวัยต่างก็จับจูงกันเดินออกมา
ครั้งหนึ่งตอนไปโบสถ์ในโซลเขาเคยอยากแต่งงานเพราะภาพคุณลุงช่วยประคองคุณป้าตัวเล็กจากที่นั่งและมันซาบซึ้งมากขึ้นเมื่อพบว่าคุณป้ามีขาเพียงขางเดียว
"หง่ะ"
"..."
"เหน็บกินขา... คุณซีวอนรอแป้บนึงนะครับ" เจ้าเด็กตาฟ้าเงยหน้าขึ้นมามองเขาทั้งรอยยิ้มแหย มือก็รีบจับนวดไปตามช่วงขาขิงตัวเองพลางเบ้หน้าไปด้วยความปวด
คนที่โดนขอให้รอจึงย่อตัวลงตรงหน้าแล้วเอามือกร้าน (ที่ทั้งด้านทั้งหนา) จับบีบนวดบนเรียวขาเล็ก ซีวอนเพิ่งตระหนักได้ว่าความหนาบนเรืิอนกายของคยูฮยอนเป็นเพียงแค่เนื้อผ้าเท่านี้น เนื้อจริงของเจ้าเด็กตาฟ้ามีไม่พออุ้งมือเขาเสียด้วยซ้ำ
"เอ่อ.. ไม่ต้องนวดให้ผมก็ได้นะครับ เดี๋ยวผมนวดเองดีกว่า" ฝ่ามือเล็กยกขึ้นห้ามแต่ก็ไม่สำเร็จ ซีวินยังคงกดจับไปตามน่องเรียวเช่นเดิม
ร่างสูงไม่ได้ตอบ เถียง ห้าม ดุ หรือเอ่ยปฏิเสธ เขายังคงลงน้ำหนักสม่ำเสมอจนรู้สึกว่าอาการที่ขาของคยฺูยอนคงทุเลาลงไปมากแล้วจึงลองจับยกขึ้นยกลงดูว่ายังชาอยู่หรือไม่
"ขอบคุณมากนะครับคุณซีวอน.."
"ช่างเถอะ... แล้วนายเอาตะกร้ามาให้คระ--”
"มาร์คาสสสสสสสสสสส~" ซีวอนยังถามไม่ทันจบประโยค เสียงเล็กของใครบางคนดังขึ้นจากด้านหน้าประตูโบสถ์พร้อมกับเสียงวิ่งตึกตักที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนสุดท้ายมันกลายเป็นกอดหนักแน่นดึงรวบเอาร่างของมาร์คัสเข้าไปไว้จนชิดตัว
เบื้องหน้าของเขาผู้ชายตาใสในเสื้อยืดสีขาวตัวโคร่ง รอยยิ้มเล็กๆบนเรียวปากสีชมพูประกอบเข้ากับสันจมูกเล็กที่รั้นสูงขึ้นมาได้อย่างลงตัวจนซีวอนรู้สึกอยากเอื้อมมือไปบีบมันเสียสักทีหนึ่งให้หายหมั่นเขี้ยว
“มาร์คัสหายไปนานมากเลยยยย"
“อ๋า เราไม่ว่างเลยทงเฮ ปีนี้ดอกคัทเตอร์เยอะมาก" คยูฮยอนเอ่ยบอกทั้งที่ใช้แขนทั้งสองข้างรัดอีกคนเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
“หง่า มาร์คัสรักคัทเตอร์มากกว่าเราแล้วเหรอ?”
“ทงเฮก็พูดไป เราฝากเซฮุนมาดูแล้วนะ เซฮุนน่ะ...น่ารักใช่ไหมหล่ะ?”
“ไม่เลย เซฮุนไม่น่ารักหรอก มาร์คัสน่ารักกว่าแล้วเราก็น่ารักมากที่สุด!" เจ้าเด็กน้อยเอ่ยฟ้องด้วยน้ำเสียงที่เหมือนคนละล่ำละลักกลัวไม่ได้พูด การระทำแบบนั้นช่างน่าเอ็นดูเสียจนซีวอนอยากจะเห็นใบทงเฮให้ใกล้ชิดขึ้น เขาขยับตัวเข้าไปให้เพราะอยากมองหน้าของเด็กชายให้ชัดขึ้นมากกว่าเดิมเท่านั้น แต่การขยับเท้าของเขาก็ทำให้คนในอ้อมแขนของคยูฮยอนสะดุ้งตัวและสั่นกลัว
“มาร์...มาร์คัส...นั่นใคร...” ทงเฮมุดหน้าลงกับบ่าของคยูฮยอนแต่นั่นก็ไม่ใช่วิธีที่ช่วยซ่อนอะไรได้เพราะบ่าแคบนั้นกำบังได้เพียงแค่คางเรียวเท่านั้น ครานี้ซีวอนหลุดขำ เขาก้าวเข้าไปใกล้มากขึ้นและโน้มหน้าต่ำลงมาจนเหมือนกับผู้ใหญ่ที่ต้องการแกล้งเด็ก
แต่เพียงเท่านั้นลีทงเฮก็อ้าปากกรีดร้องเสียงดังก้องไปทั่วอาคารหินอ่อน
“เขาคือคุณซีวอนทงเฮ....ทงเฮ ใจเย็นก่อน"
“ฮึก...ออก...ออกไป! ฮือออออ ออกไป!!!” มือเล็กยกขึ้นตะกุยตะกายไปบนแผ่นหลังของมาร์คัส ครานี้ทงเฮกดใบหน้าลงไปซุกกับแผ่นอกแล้วปล่อยน้ำตาลงเปรอะกับเสื้อของคยูฮยอนจนชุ่มแฉะ
ซีวอนจึงต้องยอมถอยเท้าออกมาแล้วเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของลูกตาสีฟ้าอย่างคนที่มีคำถาม คยูฮยอนตอบด้วยการพยักหน้าให้เขาออกห่างพลางยกมือขึ้นลูบหลังของทงเฮเป็นการปลอบโยนให้สงบลงแล้วค่อยๆโยกตัวไปมาอยู่อย่างนั้นกระทั่งเสียงสะอื้นค่อยๆเงียบลงไป
“คุณซีวอนเป็นคนดี... ทงเฮต้องไม่กลัวนะ"
“ฮึก...ฮึก...ฮืออออ...”
“ทงเฮรักเราใช่ไหม?”
“รัก..ฮึก...รักสิ"
“งั้นทงเฮก็ต้องรักคุณซีวอนด้วยเหมือนกันนะ" เสียงใสของเด็กน้อยยังคงเอ่ยอย่างต่อเนื่องเพื่อปลอบคนในอ้อมแขนให้สงบลง มันช่วยได้มากเมื่อคยูฮยอนเริ่มหยอดคำถามใส่ทงเฮ คนๆนั้นก็เหมือนจะลืมเรื่องของเขาไปเสียสนิท
“ฮึก...ทะ ทำ...ฮึก...ทำไม...”
“เรารักคุณซีวอน... ทงเฮก็ต้องรักคุณซีวอนด้วยนะ ถ้าทงเฮรักเราหน่ะ" ซีวอนอยากจะขำกับประโยคนั้นแต่เขาก็ขำไม่ออก เสียงในโบสถ์คงจะก้องกังวาลเกินไปจึงขับให้น้ำเสียงหวานของคยูฮยอนมีพลังขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาดซึ่งก็ช่วยไม่ได้เลยจริงๆที่เขาจะต้องหันกลับไปมองใบหน้าเรียวกับดวงตาสีฟ้าเด่นเป็นเอกลักษณ์
ไม่ว่ามันจะเป็นเพียงแค่คำปลอบโยนหรืออะไรสักอย่าง ไม่ว่าจะปรุงแต่งขึ้นมาหรือไม่ปรุงแต่งขึ้นมาแต่เมื่อคยูฮยอนพูดออกมาเช่นนั้น
มันช่วยไม่ได้สักนิดที่หัวใจของซีวอนเต้นแรงจริงๆ
หลังจากสงบนิ่งลงไปเยอะ ซีวอนก็ได้นั่งลงทำความรู้จักกับทงเฮอย่างจริงจังในสวนหลังโบสถ์ ที่ซึ่งปกคลุมไปด้วยต้นหญ้าสีเขียวและต้นไม้ขนาดใหญ่ ใบสีเหลืองอ่อนของมันปลิวว่อนไปตามสายลมของช่วงปลายฤดูหนาวจนคล้ายกับฉากในซีรี่ย์ที่เขาเคยดูสมัยเข้าโซลไปใหม่ๆ
“คุณซีวอนเล่นกีต้าร์ได้จริงอ่ะ?”
“ฮ่าๆ...ฉันเป็นนักกีต้าร์นะ เคยดังมากๆเลย"
“โหหหหหหหห คยูฮยอนนา นายอยู่กับคนดังเลยนะ!” ทงเฮฟาดมือลงบนอกของคยูฮยอนเสมือนเป็นการลงโทษที่เพื่อนตัวดีบังอาจได้ใกล้ชิดคนดังโดยไม่ปริปากบอกเขา ซึ่งมันก็ทำให้คนเจ็บเบ้หน้าออกมาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
ซีวอนมองภาพตรงหน้าทั้งรอยยิ้มที่แตกต่างออกไปจากทุกวัน มันเป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสได้ว่าตัวเองไม่ได้พยายามฝืนด้วยการยกมุมปากขึ้นแล้วบิดมันเล็กน้อยเพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติ เสียงทุ้มยังกลั้วหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อทงเฮเริ่มคันไม้คันมือ ทิ้งตัวลงไปทับคยูฮยอนจนกลิ้งไปบนพื้นหญ้า
“เอ... แต่ทำไมเหมือนผมเคยเห็นคุณซีวอนเลยน้า...”
“งั้นเหรอ...”
“อื้อ!” ทงเฮพยักหน้าหงึกหงักด้วยท่าทีแข็งขัน "ผมเคยเห็นคุณซี...อ๊ะ!! นั่นเซฮุนนี่นา~” แต่ยังไม่ทันได้ถามไถ่ให้ชัดเจน ความสนใจของเจ้าของคำถามก็ถูกเบนไปยังเด็กชายผิวขาวที่เดินเข็นจักรยานเข้ามาในรั้วพร้อมกระเป๋าเป้ใบโต
เซฮุนเดินตรงมาทางวงของเขาพร้อมกับประเป๋าเป้และคิมจงอิน ชายผิวดำที่พ่อบอกว่าเป็นมือขวา
“หยา! ทง....เอ่อ...ส สวัสดีครับพี่ซีวอน" เด็กหนุ่มเอ่ยทักทายพี่ชายของตัวเองด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ทั้งที่ใช้นามสกุลเดียวแต่เซฮุนกลับเกร็งจนปวดตัวไปหมดทุกครั้งเมื่อเจอสีหน้าถมึงมึงของซีวอนซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่หาต้นตอไม่ได้ เด็กหนุ่มไม่ได้กลัวซีวอนเหมือนกับที่กลัวตำนานเขาลูกที่สามที่ว่าถ้าเดินเข้าไปคนเดียวในฤดูหนาวจะไม่ได้กลับออกมาอีก ทั้งมันก็ไม่ใช่ความหวาดกลัวเหมือนที่เขาใจเสียเวลาโดนพ่อตำหนิ
ชเวซีวอนให้ความรู้สึกที่แตกต่าง
เหมือนพี่ชายคนนั้นอยู่คนละโลก... นับตั้งแต่ที่แม่จากไป เขาไม่เคยเห็นรอยยิ้มจริงใจบนริมฝีปากนั้นอีกเลย
“สวัสดีเซฮุน" มันเป็นคำทักทายเรียบๆที่ไม่ได้มีอะไรแต่เซฮุนก็รู้ดีว่ามันมีอะไรอยู่ในนั้น ร่างผอมโปร่งเลือกที่จะนั่งข้างลีทงเฮที่เริ่มปัดป่ายคว้าเอาสมุดการบ้านของเขาไปเปิดเล่น
“อันนี้คืออะไรอ่าาา"
“หยา! ทงเฮนั่นมันสมุดการบ้านของผมนะ!! เอาคืนมาเลย!!” ชเวเซฮุนร้องโวยวายและรีบคว้าปึกกระดาษของตัวเองมาถือเอาไว้ก่อนที่ทงเฮจะได้เริ่มลงมือบรรเลงฝีมือลงไปบนหน้ากระดาษสำหรับกรอกตัวโน๊ต "มาร์คัสฮยองงง ดูทงเฮสิ ดื๊อดื้อ~”
“อันนั้นเล่นไม่ได้หรอกนะทงเฮ... เซฮุนต้องเอาไปส่งอาจารย์"
“งั้นให้ทงเฮเป็นอาจารย์ของเซฮุนสิ! ทงเฮจะเป็นอาจารย์ของเซฮุน!!” คนที่อยากจะเป็นอาจารย์เริ่มร้องโวยวายขึ้นมาแล้วทำหน้าบู้บี้ พาเอาสมาชิกที่เหลือต่างปล่อยเสียงหัวเราะออกมาระลอกใหญ่ไม่เว้นแม้แต่ซีวอน
กระนั้นไม่กี่นาทีให้หลังร่างสูงก็ลุกขึ้นยืน ยกบุหรี่ขึ้นแทนการขอเวลา... ขายาวก้าวห่างออกไปจากพื้นที่ตรงนั้น ห่างจนมองเห็นคยูฮยอน เซฮุน ทงเฮ และจงอินเป็นเพียงแค่จุดเล็กๆในสายตา
เปลวไฟติดที่ปลายม้วนยาสูบและเผาไหม้จนมีควันสีเทาคละคลุ้ง ซีวอนยกมันขึ้นแตะกับริมฝีปากและเขาใช้เวลาอยู่นานกว่าจะสูบเอามวลควันเข้าไปกักไว้ในริมฝีปากก่อนจะพ่นออกมาบางส่วนให้มันปลิวไปตามสายลม
“คุณซีวอนคงติดบุหรี่เหมือนคุณกีโฮสินะครับ" เสียงเอ่ยทักจากเบื้องหลังทำเอาร่างสูงสะดุ้งวาบ ใบหน้าคมคร้ามหันไปด้านหลีงอย่างรวดเร็วและเมื่อพบว่าเจ้าของเสียงนั้นไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจาก คิมจงอิน เขาจึงคลี่ยิ้มจางๆออกมาแล้วยกมันขึ้นสูบต่อ
“บางทีเราก็ซึมซับอะไรมาโดยที่ไม่รู้ตัว...”
“คงจะจริงแบบนั้นครับ"
“นายเองก็คงได้นิสัยทำหน้าเครียดมาจากตาแก่กีโฮเหมือนกัน" นักดนตรีหนุ่มชี้ไปบนหว่างคิ้วของตัวเองแล้วระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังเมื่อเห็นจงอินพยายามเอามือนวดซ้ำไปซ้ำมาเพื่อให้มันคลายออก เขาจำได้ว่าแม่มักเอานิ้วดันพื้นที่หว่างคิ้วของพ่อเป็นประจำเวลาแม่ไก่เป็นโรคตายยกคอกซึ่งวิธีนั้นเป็นเสมือนยาวิเศษ พ่อมักจะยิ้มออกเสมอก่อนจะรวบแม่เข้าไปกอดแน่น
“อ่า...”
“หน่าจงอิน... อย่าไปคิดมาก"
“คุณซีวอนไม่ใช่เหรอครับที่กำลังคิดมาก"
“หน้าฉันบอกแบบนั้นเหรอ?”
“...” จงอินไม่ได้ตอบ เขาเพียงแค่ยืนนิ่งแล้วสูดกลุ่มควันสีเทาเข้าไปบ้าง
“ฉันน่ะเหรอกำลังคิดอะไร...”
“ผมคิดว่าคุณเซฮุนเองก็คงอยากจะรู้จักพี่ชายคนโตของเขานะครับ" จงอินผินหน้าไปมองคนที่อยู่ในบทสนทนาซึ่งบัดนี้ลุกขึ้นวิ่งอยู่ในละแวกเดิม "ผมเป็นคนดูแลคุณเซฮุนตั้งแต่คุณซีวอนเข้าโซลไปและผมก็...”
“ฉันเองก็ไม่ได้อยากอคติหรอกจงอิน... นายก็รู้ใช่ไหมหล่ะว่าเรื่องแบบนี้มันทำใจได้ยาก"
“...”
“สำหรับพวกหมอวัวหมอความอย่างมินโฮก็คงเข้าใจได้ง่ายหน่อย ไอ้หมอวัวนั่นมันไม่ค่อยได้อยู่กับแม่เท่าไหร่แต่ฉันหน่ะใช้ครึ่งชีวิตกับแม่เชียวนะจงอิน...” ซีวอนยอมรับว่าเขาใจเย็นลงมากแล้วกับเรื่องนี้ หลังจากได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองอย่างจริงจังโดยปราศจากเสียงของใครต่อใคร ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะดีขึ้นมาบ้าง
“...”
“คำว่าลูกเมียน้อยหรืออะไรพรรค์นั้นมันไม่ได้มีผลกับฉันสักนิดหรอก ต่อให้เซฮุนเป็นลูกของแม่หรือเป็นเด็กที่พ่อเก็บมาเลี้ยงฉันก็รักเขาได้อย่างเต็มใจ...”
“...”
“...อย่างเต็มใจ...เต็มใจที่สุด ถ้าวันนี้แม่ยังอยู่กับฉัน" เขาพ่นควันออกมาอีกครั้งไม่ใช่เพราะอยากสูบ แต่มันเป็นเพราะซีวอนไม่ต้องการให้น้ำตาของตัวเองไหลออกมา เพื่อนร่วมวงของเขาที่ชื่อคริสมักบอกเสมอว่าสำหรับลูกชายทุกคน แม่เป็นเหมือนเจ้าหญิงผู้มีอิทธิพล ซีวอนคิดว่าหมอนั่นพูดถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ เขารักแม่มาก... มากจนบางครั้งไม่รู้สึกว่าต้องรักใครหรือตัวเองอีกแล้ว
และการที่แม่จากไปเพราะความเครียดเรื่องชู้สาวของพ่อมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้คนอย่างเขาทำใจได้เลย แม้ว่าโซลจะทำให้เขาใจเย็นลงแต่ก็ไม่ได้ช่วยลบเรื่องราวพวกนั้นออกไปได้สักนิด
“ฉันก็กำลังพยายามอยู่จงอิน...”
ใช่... ชเวซีวอนกำลังพยายามไม่จำว่าแม่ของเขากระโดดน้ำตายเพราะพ่ออุ้มชเวเซฮุนเข้าบ้าน แต่ช่วยไม่ได้ที่เขายังจำได้แม่นวันที่ลุงของเขางมร่างของแม่ขึ้นมาจากซอกหิน เธอสวมแหวนของพ่อเอาไว้และที่ข้อมือก็มีกำไลข้อเท้าของเขาคล้องอยู่ แม่ใส่เสื้อผ้าโปร่งสีโอรสหม่นกับกระโปรงยาวตัวโปรด... ผมของเธอยาวสลวยลงมาระอยู่ที่ไหล่ ภาพพวกนั้นเขาไม่เคยลืมไปได้เลย
จงอินมองลูกชายเจ้านายของตนที่ตอนนี้ไต่ขึ้นไปนั่งกับรั้วไม้ด้วยท่าทางทะมัดทะแมงก่อนจะหันกลับไปมองเซฮุนที่ตอนนี้เข้าไปฉุดมาร์คัสให้ลุกขึ้นตามมา
“ผมเอาใจช่วยนะครับคุณซีวอน"
“ขอบใจจงอิน... หวังว่ามันจะสำเร็จ... ฉันมีเวลาอีกมากมายสำหรับการกลับบ้านครั้งนี้" เจ้าของประโยคเองก็เบนหน้าไปยังวงเล็กๆที่มีโอเซฮุนกำลังวิ่งร่าด้วยท่าทางเบิกบานและมาร์คัสที่ถูกฉุดให้ลุกขึ้นวิ่ง โอเซฮุนคือปัญหาหนึ่งที่เขาต้องแก้และอีกหนึ่งปัญหาที่ยังคงค้างคาก็คือเจ้าของดวงตาสีฟ้า
ทำไมเขารู้สึกว่ามาร์คัสคนนั้นมีอิทธิพลอะไรบางอย่าง..
อิทธิพลที่ทำให้เขาต้องดับบุหรี่ลงตั้งแต่มันยังมอดไปไม่ถึงครึ่งมวน
- - -
ก่อนจะออกมาซีวอนเห็นว่าเจ้าเด็กตาฟ้ายื่นพวงกุญแจอะไรสักอย่างให้ลีทงเฮก่อนที่รายนั้นจะร้องไห้โหวกเหวกโวยวายยกใหญ่ถึงขั้นที่บาทหลวงประจำโบสถ์สองสามท่านต้องเข้ามาดึงร่างเล็กๆนั่นเอาไว้ ทงเฮปาพวงกุญแจในมือของตัวเองทิ้ง เฉียดใบหน้าของเขาไปเพียงนิดเดียวและหมอนั่นก็ดิ้นเร่าเหมือนจะตายให้ได้
เขาก็เลยก้มลงไปเก็บพวงกุญแจนั้นขึ้นมา มันเป็นทองเหลืองที่หล่อเป็นรูปปลาห้อยระย้าอยู่สองสามตัว จากนั้นจึงเริ่มคิดขึ้นมาได้ คำว่าทงเฮแปลว่าทะเลตะวันออก
มีจี้อันหนึ่งในพวงนั้นเป็นรูปพระอาทิตย์
“ทงเฮอ่า... เก็บไว้เถอะนะ" ขณะก้าวเข้าไปหาคยูฮยอนที่พยายามอย่างยิ่งในการยืนเก็บไม้เก็บมือไม่ยอมเอื้อมแขนออกไปกอดร่างของคนตรงหน้าทั้งที่ลูกปัดสีฟ้าคู่นั้นทอแววแห่งความห่วงหาไปแล้วกว่าครึ่ง
“ฮึก...ไม่! เราไม่เอา...ฮึก! ไม่เอาอะไรทั้งนั้น! ฮือออ...”
“ทงเฮ...”
“เราเกลียดทุกคน!!! เกลียดด!!! เกลียดหมดเลย ฮือออ.... คยูก็จะทิ้งเราเหมือนที่...ฮึก...เหมือนที่...โจวมี่....ทิ้งเรา...ฮือออ....”
“...ทงเฮอ่า...มันไม่ใช่แบบนั้นนะ" มาร์คัสเดินเข้าไปหา เอื้อมแขนคว้าจะกอดแต่ก็ต้องถอยออกมาเมื่อนึกได้ว่าถ้าเขาทำเช่นนั้นมันจะทำให้ทงเฮไม่สามารถอยู่คนเดียวได้
“ไม่จริง!! ขนาดคิบอม...ฮึก....คิบอมยังไล่เรา...ฮือออ....ไล่เราไปไกลๆ....” ร่างของทงเฮทรุดลงกับพื้นหญ้าพร้อมกับน้ำตามากมายจนซีวอนที่ตอนนี้ยืนซ้อนอยู่ด้านหลังของคยูฮยอนถึงกับต้องเบือนหน้าหนี มือใหญ่วางแหมะลงบนหัวของคยูฮยอนแล้วโยกไปโยกมาเมื่อเห็นว่าดวงตาสีฟ้ากำลังมีหยาดน้ำใสไหลคลอเต็มไปหมด
“ทำยังไงดี...”เสียงหวานเอ่ยถามขึ้นมาท่ามกลางความเงียบในห้องโดยสาร เป็นคำถามเดียวกันกับที่ถามเมื่อตอนยังอยู่ในโบสถ์ขณะยืนมองคุณพ่อทั้งสองพาทงเฮผู้หมดเรี่ยวแรงกลับเข้าไปในบ้าน ซีวอนเบือนหน้าออกมาจากทางลูกรังที่มีฝุ่นควันฟุ้งไปทั่ว เหลือบมองคยูฮยอนซึ่งเหม่อไปไกล
“หืม?”
“ทงเฮหน่ะ...”
“อยากเล่าอะไรไหมหล่ะ?” ซีวอนถามเสียงเข้มเหมือนอย่างปกติ เขาหันกลับไปสนใจถนนเบื้องหน้าและใช้ความเงียบเป็นหลักประกันว่า ตนเองพร้อมจะรับฟังทุกอย่าง
“...”
“...”
“ทงเฮเป็นเด็กที่โตมาในโบสถ์กับผมหน่ะครับ" คยูฮยอนกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะเริ่มสิ่งที่ตัวเองอยากพูดออกมา "แต่พอเขาโตได้หน่อย คุณยายที่ข้างบ้านของคิบอมก็รับทงเฮไปอยู่ด้วย... ไม่นานเท่าไหร่คุณยายคนนั้นก็เสียไป แม่ของคุณคิบอมก็เลยเป็นคนเลี้ยงทงเฮมา"
“...”
“ทงเฮวาดรูปเก่งมากจนใครๆก็ชื่นชมกันทั้งนั้น ขนาดคุณกีโฮยังเคยขอให้ทงเฮมาเสก็ตภาพแปะผนังห้องเลยครับ" ซีวอนนึกออกทันทีว่าภาพฝูงแกะในห้องทำงานของพ่อก็คงเป็นฝีมือของเจ้าเด็กน้อยคนนั้น
“อ่า...”
“เมื่อสามสี่ปีก่อนมีผู้ชายคนนึงมาที่บ้านของคุณคิบอม เป็นคนจากโซล เขามาขอซื้องานวาดของทงเฮแล้วหลังจากนั้นทั้งคู่ก็ติดต่อกัน เหมือนว่าจะชื่อโจวมี่หน่ะครับ" คยูฮยอนหยุดหายใจและใช้ความพยายามอย่างมากในการกลั่นกรองคำพูดของตัวเองออกมาให้ปกติที่สุด
แต่มันยากมากเมื่อเหตุการณ์วันนั้นปรากฎเข้ามาในหัว
“ความจริง นอกจากคิบอมแล้วทงเฮก็ไม่ค่อยชอบสุงสิงกับใครเท่าไหร่... เหตุผลที่ทงเฮต้องไปอยู่ที่โบสถ์เพราะเขาโดนพ่อเลี้ยงจับขังไว้ในห้อง...แล้ววันนึงก็โดนคนในวงเหล้าของพ่อเลี้ยงข่มขืน โชคดีที่มีคนไปเจอก่อนเลยยังไม่เป็นอะไรมาก แต่ทงเฮก็หวาดกลัวการเข้าใกล้คนอื่น"
“...” ซีวอนนิ่งเงียบแต่ลึกๆแล้วเขาสบถด่าคนพวกนั้นอยู่ในใจ
“แต่โจวมี่เป็นอีกคนที่ทงเฮไว้ใจ เขาพาทงเฮเข้าไปในโซล บอกว่าจะพาไปเรียนวาดรูป บ้านคุณคิบอมเห็นว่าไม่มีปัญหาอะไรก็เลยยอมปล่อยให้ไป...”
“...”
“ตอนนั้นคุณคิบอมโกรธมากเพราะอยู่กับทงเฮมาตั้งแต่เด็ก ก่อนทงเฮไปก็เลยเอาแต่ตะโกนไล่ตะโกนว่าทงเฮด้วยความน้อยใจ"
“เหอะๆ" ซีวอนรู้สึกเหมือนว่าประโยคนั้นเป็นมุขตลกฝืดๆอะไรสักอย่าง คิมคิบอมคงเป็นประเภทผู้ชายปากแข็งสินะ... และหมอนั่นก็คงไม่ต่างอะไรจากเขาเท่าไหร่
“สองสามปีแรกทงเฮแทบไม่ติดต่อกับใครที่บ้านคิมเพราะเขากลัวคุณคิบอมจะว่า ผมก็เลยได้คุยกับทงเฮเป็นระยะ แต่พอปีที่สี่มันก็เริ่มแปลกๆ ทงเฮไม่ค่อนติดต่อผมและบอกว่างานยุ่ง... ผมว่าก็คงจะยุ่งจริงๆเพราะผมเห็นเขาจากจอทีวี กับงานศิลปะมากมาย... และผมคิดเอาเองว่าเพื่อนผมคงจะมีความสุขมากที่โซล...”
“...”
“แต่สุดท้ายโจวมี่ก็ติดต่อกลับมาหาผม"
“...”
“เขาบอกว่าทงเฮอยู่ที่บ้าน ตอนนั้นผมงงมาก... ผมไม่รู้จะทำอะไรเลยลองไปหาเขาที่บ้านของคุณคิบอมแต่ก็ไม่เจอ... ผมบอกคุณคิบอม เราเลยช่วยกันตามหา...” น้ำตาของคยูฮยอนไหลนองลงมาเคลือบข้างแก้มจนซีวอนต้องเอื้อมมือไปเช็ด เสียงหวานสั่นพร่าไม่ใช่เพราะทางลูกรังขรุขระแต่เป็นเพราะความขรุขระโสมมของโลกใบนี้ต่างหากที่ทำให้เด็กตาฟ้าสั่นไหว
“ทงเฮอยู่ในบ้าน... อยู่ในห้องที่พ่อเลี้ยงเคยขังเอาไว้...มีเลือดเต็มไปหมดเพราะเอาดินสอแทงตัวเอง”
“...”
“ที่ทำแบบนั้นเพราะเขาโดนข่มขืน"
“....”
“ผมเลยพาเขากลับไปที่โบสถ์แล้วพอตื่นมาก็เหมือนว่าเขาจะกลัวทุกอย่าง เราเลยเรียกหมอ...หมอบอกว่าทงเฮเสียทุกอย่างไปหมดแล้ว...”
“อ่า...” ซีวอนเข้าใจดีถึงคำว่าไม่เหลืออะไร เพราะจากที่เห็นและสัมผัสมาในวันนี้ก็พอจะบอกได้ว่าลีทงเฮสร้างเกราะขึ้นมาป้องกันตัวเองไว้แน่นหนา
“ทงเฮไม่ได้บ้านะครับ... แต่เขาไม่พร้อมจะยอมรับอะไรก็ตามบนโลกใบนี้อีกแล้ว" คยูฮยอนเงยหน้ามองซีวอนซึ่งบังคับรถให้เข้ามาจอดในบ้านได้พอดี
ดวงตาคมเข้มมองปาดไปบนใบหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตาเยอะแยะไปหมด โจวคยูฮยอนคงเสียใจมากจริงๆถึงได้ร้องไห้เยอะแยะขนาดนี้ มันคงเป็นเหมือนตอนที่เขาสูญเสียแม่ไป มันเจ็บปวดมากแน่ๆถ้าคนที่อยู่ด้วยกันมาตลอดกลับเปลี่ยนไปหรือหายไป หรือถ้าคนๆนั้นเจ็บเราก็คงเจ็บด้วยเหมือนกัน
“ผมอยากให้ทงเฮหาย...ต่อให้เขาพูดไม่รู้เรื่อง นิสัยเหมือนเด็ก แต่ขอแค่อย่าร้องไห้อีก...อย่าบอกว่าไม่มีใครรัก" มือบางยกขึ้นมาปิดบนหน้าของตัวเอง เสียงสะอื้นนั้นดังก้องไปทั่วรถโดยที่ซีวอนเองก็ทำอะไรต่อจากนั้นไม่ถูก
ร่างสูงพยายามคิดว่าตัวเองต้องทำอย่างไร...
และสิ่งที่เขาทำได้ดีก็คือการโอบคนตรงหน้าเขามาซุกกับอก กดจมูกกับปากลงบนกลุ่มผมนุ่ม
“ไม่มีอะไรแย่ตลอดไปหรอกคยูฮยอน" มือข้างหนึ่งของซีวอนละออกมาใช้นิ้วโป้งปาดเกลี่ยน้ำมูกน้ำตาออกจากใบหน้าขาว เขากดปลายคางของตัวเองเหนือหัวของฝ่าย โยกตัวเบาๆเหมือนกับที่แม่ชอบทำเมื่อสมัยเด็กที่เขาหกล้มจากการวิ่งเล่น
แม่จะบอกว่าไม่เป็นไรและให้ลุกขึ้นอีกครั้ง
เพราะตรงนี้ยังมีแม่อยู่
“ฉันอยู่กับนายตรงนี้... เราจะดูวันที่ทงเฮยิ้มกว้างที่สุดในชีวิตไปพร้อมกัน"
มันไม่ใช่คำสัญญา มันเป็นแค่คำปลอบโยน
แต่ซีวอนตั้งใจ... ว่าเขาจะทำแบบนั้นจริงๆ
- - -
#fieldwonkyu
04012016
ความคิดเห็น