คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Eccentric Prophet (40)
ต่อให้ทำดีสักแค่ไหน
มิคาเอลก็ยังคงเป็นคนที่พระเจ้าลืมอยู่ดี
( 0 ) 09/2015
“พี่บ้าหรืออะไร?!” เสียงอู้อี้ขึ้นจมูกนั่นดังก้องไปทั่วห้องสี่เหลี่ยมอันคับแคบที่ไม่ว่าจะมองไปทางใดก็ปรากฎให้เห็นแต่โมเดลเครื่องยนต์มากมาย ลายเส้นพวกนั้นทำให้เขาลายจนรู้สึกวิงเวียนไปหมด ยิ่งผนวกเข้ากับกลิ่นประหลาดของฝนหน้าร้อนยิ่งชวนให้คลื่นเหียนเวียนไส้เข้าไปใหญ่
“เปล่า" มันเป็นการฝืนร่างกายที่ไม่น่าเอาอย่างเลยสักนิด แต่นั่นเป็นสิ่งเดียวกระมังที่เขาจะทำให้คิมจงอินได้ในเวลานี้เพื่อตอบแทนเวลาที่เจ้านั่นสละมาใช้ดูแลผู้บาดเจ็บปางตายอย่างเขา
“ทำตัวให้มันเหมือนคนอื่นหน่อยได้ไหมเล่า... บ้าชะมัด แล้วแบบนี้จะเริ่มจากตรงไหนวะ..” เด็กจมูกทู่สบถเรียงติดเป็นประโยคยาวไม่น่าฟัง กระนั้นเขาก็ยังหัวเราะออกมาได้อยู่ดีแม้ว่าความเจ็บจะริ้วแล่นไปตามกระดูกซี่โครงทั้งสิบสองคู่จนครบ เพราะอย่างนี้หล่ะมั้ง คิมจงอินถึงมักกร่นด่าว่าเขาเป็นคนบ้าอยู่เสมอ
ทั้งที่เราเองก็ไม่ได้ต่างกัน
“แค่ก..แค่ก...”
“แบบนี้มันต้องโรงพยาบาลแล้ว" ก้อนผ้าเนื้อปุ่นร่วงปุลงมาบนอกกว้างของเขาซึ่งขณะนี้มันประดับด้วยรอยฟกช้ำหลายจุดจ้ำ ฝ่ามือหยาบกร้ายปราศจากความนุ่มละมุนแหวกกระดุมเสื้อเชิ๊ตที่มันไม่อยู่ในรังออกจนแบะติดข้างลำตัว น้องชายผิวเข้มของเขาจิ๊ปากอย่างขัดใจก่อนจะจับเสื้อของเขาปิดกลับเข้ามาแล้วเปลี่ยนเป็นประคองร่างของเขาเอาไว้
“...แค่ก แค่ก...”
“ผมไม่ล้อเล่น พี่ต้องไปโรงพยาบาล" เสียงเข้มกล่าวอย่างจริงจังเกินกว่าที่คนป่วยอย่างเขาจะต้านทานได้ กุญแจรถข้างเอวถูกปลดออกไปโดยปราศจากความแนบเนียน คิมจงอินกำมันเอาไว้แน่นพอๆกับที่พยายามยึดแขนของเขาไปพาดบนไหล่ตัวเองแล้วพาเดินออกมานอกห้อง
ความเย็นแบบระอุพัดมากระแทกกับข้างแก้มซึ่งปริเป็นรอยแผลยาวจนถึงปลายคางให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเดินไปปากทางนรก กว่าจะถึงรถเรี่ยวแรงที่สั่งสมเอาไว้ทั้งหมดก็สิ้นสุดลงตรงนั้น รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นก้อนหินหนักไร้ค่าที่กำลังถูกทิ้งให้ร่วงลงมาจากปากเหวแล้วกลิ้งหลุ่นไร้ทิศทางไปสู่ที่ใดสักแห่งซึ่งไม่อยู่ในจินตนาการ
“ช่วยทำตัวเหมือนคนตายยากทีเถอะน่ะ!!” เสื้อโค้ทกลิ่นอับถูกวางลงมาคลุมอยู่เหนือแผ่นอกของเขาก่อนเจ้าของของมันจะเดินอ้อมไปยังฝั่งคนขับแล้วสตาร์ทเครื่องยนต์ คิมจงอินที่กำลังหัวเสียเอื้อมไปปรับอุณหภูมิของแอร์เพิ่มขึ้นก่อนจะหันมาสำรวจความเรียบร้อยของเขาอีกที
“แค่ก...แค่ก...แค่กก"
“พี่ควรจะเลิกบ้า...เลิกบ้าซะที"
“..แค่ก...แค่ก...”
“มันไม่มีอะไรจำเป็นหรอก มันมีอีกตั้งล้านวิธีบนโลกนี้ที่จะลืมเรื่องนั้น จะเรื่องพี่คยูฮยอนหรือเรื่องอะไรก็ตามนั่นหน่ะ!"
“นายไม่รู้...แค่ก...ไม่รู้"
“พี่ต่างหากที่ไม่รู้"
“...”
“เขาเสียใจอยู่ตลอด...นั่นคือสิ่งที่พี่ไม่รู้"
รถยนต์เคลื่อนตัวออกจากลานกว้างด้วยความเร็วในระดับต้องห้าม ชเวซีวอนนอนแผ่กายอยู่กับเบาะหนัง ปล่อยให้ลมแอร์พัดปะทะใบหน้าของเขา ศิโรราบให้กับความอุ่นและกลิ่นอับของเสื้อโค้มบนอกของตนเองอย่างเลี่ยงไม่ได้
ดวงตาปรอบปรือเหลือบมองไปยังคอนโซลของรถซึ่งมีรูปใบหนึ่งวางคว่ำอยู่ หลังจากพ้นลูกระนาดที่สาม แผ่นกระดาษอาร์ตมันนั่นร่วงหล่นลงมาอยู่ที่หน้าขาของเขา มันพลิกหงายขึ้นเผยให้เห็นรอยยิ้มและดวงตากลมสุกใสของคนในภาพ
โจวคยูฮยอนทำไมช่างเป็นมนุษย์ผู้โชคดีเสียเหลือเกิน ได้รับทุกสิ่งทุกอย่างที่ปราถนา แม้ว่าความจริงภายใต้ใบหน้าอันแสนบริสุทธิ์นั้นจะเต็มไปด้วยบาปบ่วงอันข้นขลัก
แล้วเขาก็สงสัยเหลือเกินว่ากับมนุษย์ผู้เถรตรงอย่างเขา พระเจ้าเลือกให้ชเวซีวอนคนนี้เป็นอะไร
ลูซิเฟอร์ หรื มิคาเอล
x x x x x
( 1 ) 04/2015
คนเราจะหลงทางได้บ่อยแค่ไหนกัน...
จะมีคนหลงทุกวันเหมือนกับเขาหรือเปล่า
ห้องทำงานของเขาค่อนข้างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว อย่างแรกคือตรอกแคบซึ่งรับบทบาทเป็นทางเข้ามาตั้งแต่เรารู้จักกัน มันมักจะเต็มไปด้วยลูกแมวจรจัดที่หลังๆมานี้เขาทำตัวเป็นเจ้าของมันไปโดยปริยาย เมื่อสัตว์ตัวน้อยออกไปทำตัวเรี่ยราดที่ไหน เขากลายเป็นผู้ปกครองที่ต้องคอยรองรับคำติเตียนของผู้เสียหายร่ำไป ซึ่งนอกจากการยืนก้มหัวเอ่ยคำขอโทษซ้ำไปซ้ำแล้วซีวอนก็ไม่คิดว่าตัวเองจะทำอะไรได้ดีไปกว่านั้นอีก
อย่างที่สองเห็นจะเป็นหน้าต่างที่เปิดมาแล้วสามารถมองเห็นส่วนเดียวกันของเพื่อนบ้านได้พอดิบพอดี เธอเป็นหญิงสาววัยสะพรั่งที่มีโลกส่วนตัวสูง ผมยาวของเธอถูกกัดและแต้มสีไม่ซ้ำในแต่ละเดือน รวมทั้งสไตล์การแต่งตัวเป็นเอกลักษณ์และรอยสักยิบย่อยทั้งในและนอกร่มผ้า พ่อแม่ไม่ค่อยชอบการกระทำของเธอเท่าไหร่เหมือนกับเขา แต่ช่วยไม่ได้ในเมื่อสะโพกของเธอโยกดีไม่เบาเวลาเราร่วมรักกัน
ส่วนเอกลักษณ์ชิ้นสุดท้าย ก็คงเป็นโต๊ะทำงานของเขาที่ไม่ว่าจะหัวปี กลางปี หรือท้ายปี มันก็ปกคลุมไปด้วยแผ่นกระดาษและงานกองพะเนิน ตักอักษรสี่ห้าภาษาพวกนั้นวางสุมกันอยู่อย่างกับตรงนี้เป็นห้องเก็บของในพิพิธภัณฑ์ บางวันก็สูง บางวันก็ต่ำ ซึ่งไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน-- หมายถึงทั้งหมดบนโต๊ะนั่น-- ในเมื่องานส่วนใหญ่ของเขาเป็นงานภาคสนาม
แผนที่บนข้างฝา มองไปมองมาก็เหมือนเป็นแค่รอยประดับ เด็กสาวพังค์สไตล์คนนั้นชอบถามเขาอยู่เสมอว่าหลงรักอะไรในเมืองโสโครกนี่ถึงได้เอาแผนที่มาทำเป็นวอลเปเปอร์ห้อง เขาไม่เคยตอบคำถามนั้นของเธอและหวังว่าเธอจะไม่ฉลาดพอจะมองออกว่ามีมนุษย์ไม่กี่ประเภทเท่านั้นที่รักแผนที่มากขนาดเอามาแขวนผนังห้อง
ไม่เป็นพวกอาจารย์ ก็ต้องเป็นนักภูมิศาสตร์ ไม่เป็นทหารก็คงเป็นนักฆ่า
เขาจัดอยู่ในหมวดหลังสุด... ปืนที่ซ่อนอยู่ใต้เตียงคงเป็นคำตอบได้ดีว่าชเวซีวอนเองก็ไม่เคยนึกรักเมืองโสโครกนี่เลย
x x x x x
เรื่องนางฟ้าผู้รักษาหัวใจของโจวอินซอง ผู้นำตระกูลโจวคนล่าสุดที่ครองตำแหน่งนานกว่าใครเพื่อนกลายเป็นเรื่องเครียดในวงสนทนาแคบๆของเราสามคน อีทงเฮ มือปืนชั้นหนึ่งของซุ้มพยักหน้ายืนยันว่ามันไม่ใช่นิทานก่อนนอนพร้อมยกบุหรี่มวนใหม่คาบไว้ที่ปาก จังหวะที่ไฟแช็คลนปลายก้านของมันให้มอดไหม้ ฮันเกิง มันสมองของกลุ่มก็เอ่ยถามในสิ่งที่เขาอยากรู้ออกมาพอดี
“แล้วมันเป็นใครวะ?”
“ไม่รู้?” ทงเฮยักไหล่ พ่นกลุ่มควันอึกแรกออกมาจากปาก “เห็นบอกเก็บได้ตอนมันไปคุ้มโกดังยาต่างจังหวัด”
“อ่าวแล้วคนที่ชื่อคยูฮยอนล่ะ?”
“อันนั้นคนโปรด” ทงเฮว่าต่อ “ลูกชายคนกลางๆ เห็นว่าอินซองอยากให้ครองตำแหน่งต่อไป แล้วก็เห็นว่ากันว่าถ้าไม่ใช่คนนี้ก็ไม่รู้แล้วว่าจะเป็นคนไหน”
“หมายความว่าไง?” ซีวอนเลิกคิ้วขึ้นด้วยความเคลือบแคลงสงสัย เขามองหน้าเพื่อนร่วมงานในตำแหน่งเพื่อนสนิทอย่างนึกใคร่รู้ และหวังว่าตัวเองจะได้คำตอบจากปากของคนที่แฝงตัวเข้าไปอยู่ในนั้นแล้วต้องให้เขาไปช่วยออกมาจนตกอยู่ในสภาพปางตายไปหลายอาทิตย์ “ที่บอกว่าไม่รู้แล้วว่าจะเป็นคนไหน”
“หมายความว่าตระกูโจวมันกากไง” ทว่าเป็นฮันเกิงที่ตอบคำถามนั้นโดยมีทงเฮเป็นฝ่ายสมทบ
“ฝั่งตะวันออกโกงแม่งเละเทะ ไหนจะเรื่อภายในหยุมหยิมอีกเป็นล้าน... ขนาดกูไม่เคยเรียนหนังสือสักตัว ปราดตาดูแว๊บเดียวก็รู้ว่าเดี๋ยวแม่งก็พัง” นักแม่นปืนเสริม และคราวนี้บดปลายมวนบุหรี่ให้ดับลงทั้งที่เพิ่งจุดติดขึ้นมาได้ไม่นาน เดาว่าอย่างอื่นคงติดมากกว่าถึงได้ยอมทำเช่นนั้น “คนที่จะขึ้นมานำตระกูลโจวได้แม่งต้องทั้งอึด ทั้งทน ทั้งเก่ง ไม่มีใครอยากขึ้นมาหรอก บัลลังก์เวรนั่นนั่งแล้วหัวจะขาดซะเปล่า สู้อยู่ขัดขาตอนรายทางดีกว่า เสี่ยงตายน้อยกว่า เงินเยอะกว่า แถมไม่ต้องนั่งเครียดห่าอะไรด้วย”
“…อ่า”
“แต่ก็อย่างว่าแหละ คนอย่างโจวคยูฮยอนรักตระกูลเสียสิ่งกว่าอะไร คนแบบนั้นไม่มีทางยอมปล่อยให้เรือของบรรพบุรุษล่มไปต่อหน้าต่อตาหรอก” ซีวอนพยักหน้า คิดตามคำบอกเล่าของเพื่อน พลางหวนนึกไปถึงเอกสารกองใหญ่ที่อยู่บนโต๊ะและรูปหน้าเรียวสวยที่ปรากฎอยู่ในซองกระดาษใบล่าสุดของเขา
“แต่ก็ได้ข่าวว่าโหดไม่เบานี่” ฮันเกิงเอ่ยถาม เบี่ยงความสนใจของทงเฮไปอีกครั้ง
“เออสิวะ...” ใบหน้าของนักแม่นปืนพยักพเยิดมาทางเขา “เข้าวงการมาก็เจอเลยงานแรก ถามไอ้ซีวอนดูสิว่าพ่อมันตายยังไง”
ซีวอนไม่ได้ให้คำตอบกับเพื่อนชาวจีน เขาคิดว่าคนสมองดีมีข้อมูลอย่างฮันเกิงคงไม่อยากฟังเรื่องที่ตัวเองรู้อยู่แล้วแน่นอน
ไฟสีส้มในคืนนั้นยังคงเป็นภาพติดตาเหมือนฝันร้ายที่ตามหลอกหลอน เด็กชายร่างสูงหยิ่งผยองในสายตาของคนอืนขดตัวไม่ต่างจากหอยโข่งโง่เง่าอยู่หลังศพของผู้เป็นพ่อ มันเป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนตัวเองพังทลายได้เหมือนกับคำเปรียบเปรย สิ่งเดียวที่เขาคว้าออกมาได้จากบ้านหลังนั้นคือคิมจงอิน เด็กนอกคอกที่พ่อเก็บมาเลี้ยงไว้เพื่อชุบให้เป็นนักฆ่า สำหรับเขาในเวลานั้นเจ้าเด็กนั่นเหมือนเพื่อนเล่นที่น่าสงสารแต่ในขณะเดียวกันทักษะการป้องกันตัวที่จงอินฝึกฝนมาเป็นอย่างดีก็จะไปพาเราไปตาย
ไฟสีส้มที่ลุกฮือภายใต้คำสั่งของโจวคยูฮยอนอาจจะมอดไปแล้วในคืนนั้น แต่อีกดวงในอกเขามันยังไม่เคยดับลงได้เลยสักวินาที
x x x x x
ปลายสุดของความเป็นชายหายเข้าไปในช่องทางชื้นฉ่ำ ใบหน้าคมคร้ามซุกลงกับเนินอกนูนสวยซุกไซ้จนได้ยินเสียงสูดหายใจดังเป็นระลอกตามจังหวะที่เสือกกายเข้าไปด้านใน มือหนาฟ่อนเฟ้นไปตามสะโพกกลม ลากผ่านรอยสักเนื้อเพลงร็อคของวงดนตรีจากเมืองผู้ดีที่เลื้อยไปเกี่ยวอยู่กับปีกผีเสื้อทางด้านหลัง เธอโยกตัวไปตามจังหวะที่เขากำหนดให้เหมือนนักเรียนจับปากกาจดไปตามคำบอกของครูโดยไม่มีผิดเพี้ยนเลยสักคำเดียว
“อ๊า... ข้างนอก... ข้างนอกนะพี่!” เธอเอ่ยเตือนเมื่อรู้สึกได้ว่าด้านในคับพอง เสียงสูงเรียกสติของเขาให้ถอนกายออกมาได้ทัน มือหนารูดแก่นกายที่ไถไปตามกลีบเนื้อนูนฉ่ำก่อนปลายสุดของอารมณ์จะหลั่งออกมาเปรอะเปื้อนไปกับจิวสีเงินเหนือหลุมสะดือสวย
เธอหัวเราะเบาๆแล้วใช้มือถูไปตามส่วนกลางลำตัวอย่างเย้ายั่ว หากเป็นปกติซีวอนอาจจะก้มลงไปใช้ปากหยอกเย้าต่ออีกสักรอบ แต่ทว่าเขาไม่มีเวลามากพอในคืนนี้
“ไว้คราวหน้าแล้วกัน” เขาผลัด ยืดตัวขึ้นมาจากผืนเตียงแล้วก้าวเก็บเสื้อผ้าแต่ละชิ้นของตัวเองและของเธอขึ้นมา “ฝากให้อาหารแมวหน่อยสิ” ถือวิสาสะโยนห่ออาหารสำเร็จรูปหนักสามกิโลพ่วงไปกับชั้นในของเธอด้วย
“คราวนี้ไปนานเหรอ?” เธอดีดตัวขึ้นมาจากผืนเตียงมองเขาด้วยแววตาสงสัยปนเย้ายั่วขณะสวมชั้นในเข้าไปกับเรียวขา ซีวอนเหลือบมองแผนที่บนผนักห้องก่อนหันมาพยักหน้าตอบเธอเพียงครั้งเดียว
“คงนาน”
“เหงาแย่นะ...” เธอพึมพำ “อย่ามาลงที่หนูอีกละกัน คราวก่อนเดินแทบไม่เป็น”
“หึ... ” คำพูดอวดดีเช่นนั้นทำให้เขาอดเดินไปผลักหัวของเธอไม่ได้ โชคดีที่เขาเป็นแค่พี่ชายข้างบ้านของเด็กแก่แดดนี่ หากต้องเป็นพ่อแม่คงจะเปลืองอย่าหม่องนวดขมับไปหลายโหล
“อะไร หนูพูดจริงหรอก” เสื้อยืดหลวมโพรกสวมปิดบนเรือนกายผอมบางก่อนที่เด็กสาวจะดีดตัวขึ้นโดยมีอาหารแมวกอดแนบอก ปลายเท้าเรียวเขย่งขึ้นหอมแก้มเขาอย่างออดอ้อน “ขับรถดีๆนะพี่ เดี๋ยวหนูแหวกขารอ”
“ระวังจะไม่ได้หุบ” ซีวอนฟาดลงไปบนก้นงอนนุ่มแล้วปล่อยให้เธอเดินเตาะแตะออกไปจากห้อง ไม่นานสักเท่าไหร่แม่ของเธอก็เอ็ดตะโรเสียงดังขึ้นมาให้เขาได้ยิน นั่นเป็นสัญญาณบอกว่าเธอถึงบ้านปลอดภัย
เขาก้มลงสวมรองเท้าให้เรียบร้อยก่อนจะหยิบปืนออกมาจากใต้เตียง กระบอกสีดำเงาสะท้อนเข้ากับแสงสว่างจากโคมไฟดวงเล็กเหนือโต๊ะทำงานซึ่งเอกสารถูกกวาดทิ้งไปหมดจนเกลี้ยง เหลือก็เพียงแต่โครงไม้สักที่มันมีรอยกระสุนบากบิ่นสองสามจุด
ซองกระดาษจ่าชื่อ “โจวคยูฮยอน” ถูกฉีกทิ้งแล้วเผาด้วยไฟแช็คในกระเป๋ากางเกง ซีวอนขยี้ซากมอดไม้ของมันด้วยวิธีเดียวกับที่เขาขยี้บุหรี่ ดวงตาเหลือบมองไปทางระเบียงห้องของคู่นอนข้างบ้านอีกครั้ง นึกขอบคุณที่เธอยังเข้าใจว่าเขาเป็นคนขับรถบรรทุกส่งสินค้าของบริษัทนำเข้าธรรมดา
และวันนี้เขาจะไปส่งของนานกว่าทุกครั้งเท่านั้นเอง
x x 20% x x
( 2 ) 04/2015
โจวคยูฮยอนชอบภาพวาดศิลปะแต่เขาเกลียดแวนโกะห์
ห้องทำงานสีทึมของเขารายล้อมไปด้วยภาพวาดไม่จำกัดสไตล์ มีทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออก ตั้งแต่ที่อยู่บนกระดาษปาปิรุสไปจนถึงภายวาดสีน้ำมันบนผ้าใบ บางครั้งเป็นชิ้นงานสลักนูนต่ำ ทั้งหมดนั่นดูไม่เข้ากันแต่เมื่อมากองอยู่รวมกันก็ให้กลิ่นอายเหมือนพิพิธภัณ์ลูฟว์ที่มีอะไรมากมายมาถมกองอยู่รวมกันแต่ก็สง่างามไม่เคยเปลี่ยน
น้อยคนนักจะรู้ว่าเขาเรียนจบเอกประวัติศาสตร์ศิลปะ และต่อโททางด้านนี้ เหมือนกับที่แวนโกะห์ไม่เคยรู้ว่าผลงานของเขาถูกซื้อไปโดยน้องชายตัวเอง ทุกคนมักจะมองเห็นแต่ภาพของโจวคยูฮยอน ในคราบนักแม่นปืนมือหนึ่ง ลูกชายคนกลางผู้เถรตรงต่อระเบียบวินัยของตระกูลโจว คนโปรดของนายท่านอินซองที่ต้องรับตำแหน่งต่อจากพ่อของตัวเองในเร็ววันนี้ ซึ่งไม่ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ควรจะเป็นหรือไม่ คยูฮยอนก็ไม่เคยใส่ใจอะไรกับมันอยู่แล้ว
เขาไม่คาดหวังให้ใครมาหยั่งถึงส่วนลึกแท้จริงที่ซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้านิ่งงันนี่เท่าไหร่
ถึงจะเป็นรองนายใหญ่แห่งตระกูลโจวแต่ก็ใช่ว่าจะได้รับสิทธิพิเศษนั่งกินนอนกิน หายใจเปล่าประโยชน์ไปวันๆ คนที่อยู่ใต่ร่มของคฤหาสน์หลังนี้มีหน้าที่ของตัวเองทั้งนั้น คิมยองอุนเป็นหัวหน้าพ่อครัวเขาต้องทำอาหาร ปาร์คจองซูเป็นเลขาเขามีหน้าที่จัดการงานเอกสารและอาจได้จับอาวุธบ้างหากเกิดเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากล หรือลีฮยอกแจที่เป็นครูฟันดาบ เขามีหน้าที่นำนักเรียนอีกร้อยชีวิตกำก้านเหล็กมีคมให้แน่นแล้วก้าวไปในจังหวะเดียวกันเพื่อฟาดฟันเป้าหมาย แม้แต่โอเซฮุน ลูกชายเก็บเลี้ยงคนสุดท้องที่มีหน้าที่ปรนนิบัติบำเรอ ก็มีหน้าที่ของตัวเองบนเตียงหลังอาทิตย์ตกเพื่อสร้างความผ่อนคลาย
ซึ่งหน้าที่เหล่านี้นั่นแหละที่ทำให้เขาประหลาด ทุกคนรับผิดชอบเพียงหนึ่ง
ส่วนเขา สิบ ตั้งแต่ลูกกระจอกไล่สังหารไปจนถึนั่งบัลลังก์เซ็นเอกสารแทนพ่อที่ป่วยระยะสุดท้าย
แต่ก็นั่นแหละ...
แวนโกะห์ไม่เคยชอบที่ต้องตัดหูตัวเองเช่นกัน ทั้งหมดนั่นเกิดขึ้นเพราะความจำเป็น
x x x x x
เซฮุนเป็นน้องชายที่น่ารัก แววตาคู่นั้นใสซื่อและมองโลกเป็นเพียงผลส้มรสอร่อย ถึงมันจะเป็นวิถีที่ไม่ถูกต้องแต่คยูฮยอนก็ชอบมัน ยามที่น้องชายเล่าเรื่องชีวิตชนบทให้ฟัง หรือตอนที่เราคุยกันเรื่องงานศิลปะจากแต่ละมุมโลก มันเป็นช่วงเวลาที่เขาเพลิดเพลินมากที่สุดและคิดอยากจะต่อชั่วโมงยืดออกไปเรื่อยๆ
เขาคุยกับเซฮุนหลายเรื่อง ชีวิตทั่วไป หน้าที่การงาน ไปจนถึงความลับบางอย่างที่พยายามเล่าให้เหมือนกับมันเป็นเรื่องตลกปกติ และบางครั้งก็เผลอสารภาพบาป
มันน่าขันที่เขาคิดว่าตัวเองมีบาปทั้งที่ความจริงแล้ว ไอ้ที่ทำมาตลอดชีวิตนี่ก็ไม่มีอะไรที่พระเจ้าควรเมตตาเลยสักอย่าง
“ราวๆสิบห้าสิบหกมั้ง... พี่จำไม่ได้หรอก มันเป็นปีที่น่าเบื่อและไม่มีอะไรน่าจำเลย” เขาตอบคำถามของเซฮุนในระหว่างมื้อเย็นลำลองกลางสวนดอกไม้ คืนนี้พ่อไม่กลับบ้าน เซฮุนจึงมีเวลามาเดินเตร็ดเตร่ยามค่ำคืนและถกเถียงกับเขา มันเริ่มต้นจากความสงสัยเมื่อตอนเย็นที่น้องชายเห็นเขายืนรำดาบอยู่กับฮยอกแจอย่างคล่องแคล่วก่อนจะจบกระบวนท่าด้วยการชักปืนขึ้นสังหารสายสืบคนหนึ่งที่เร้นกายอยู่หลังต้นไม้
เซฮุนถามว่าเขาฆ่าคนครั้งแรกตั้งแต่เมื่อไหร่
เขาตอบตามความจริงแต่โกหกเรื่องที่ไม่มีอะไรน่าจดจำ เพราะโจวคยูฮยอนจำฉากนั้นมาจนถึงทุกวันนี้
มันเป็นคืนฝนพรำ คำสั่งแรกของเขาคือสังหารชเวกีโฮ ในฐานะมือปืนนั่นเป็นเรื่องธรรมดา แต่กับเด็กอายุสิบห้าสิบหก มันไม่มีอะไรที่เรียกว่าง่ายเลยสักนิด
อินซองเป็นคนโหดใจทมิฬอย่างที่ใครต่อใครว่า ไม่ใช่เพราะเขาฆ่าได้แม้กระทั่งเด็กทารก แต่เพราะเขาบังคับใหโจวคยูฮยอนมองทุกฉากการสังหารมาตั้งแต่ยังไม่รู้ใจความอะไร คยูฮยอนโตมากับกลิ่นคาวเลือด บางทีเขาอาจจะเติบใหญ่ได้บนกองกระดูกของรับร้อยนับพันศพที่พ่อสังหาร แต่ทั้งหมดนั่นก็เพียงเพื่อให้เขาปลอดภัยเพื่อรับตำแหน่งต่อ
แม้ปลายทางออกจะฟังทุเรศสักหน่อยแต่มันคือความจริงทีเขาต้องยอมรับมัน
ดังนั้น เขาจึงมีวัยสิบห้าที่เหมือนทหารหนุ่มแรกรุ่นในสงครามครูเสด ห้ำหั่นกับเหล่าศัตรูทุรกิจ รบพุ่งกันอย่างเงียบเชียบในโลกที่กฎหมายเข้าไม่ถึง ตระกูลชเวเป็นสนามแรกของการขึ้นนำเป็นแม่ทัพ ลูกมือทั้งหมดยี่สิบคนของเขาทยอยบุกเข้าไปในบ้านหลังนั้นก่อนจะเผาทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากลอง
คยูฮยอนไม่เคยมั่นใจเลยว่ามันเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่ทำให้เขาตั้งสติได้ในวันนั้น กระสุนสองนัดปักกลางอกของผู้นำตระกูลชเว สิ้นใจล้มลงในห้องทำงาน แสงสีส้มของเปลวเพลิงกับความร้อนลุกลามไปทั่ว สมุนทุกคนบอกให้เขารีบออกมาและโจวคยูฮยอนยอมทำตามแม้จะเห็นว่ามีแววตาของใครบางคนซ้อนอยู่เบื้องหลังพ่อของตัวเองด้วยความหวาดกลัว
สั่นระริกไม่ต่างอะไรจากหัวใจของเขาในเวลาเดียวกัน เพียงแต่อินซองไม่เคยอุทิศร่างตัวเองเป็นโล่ห์เหล็กกำบังให้กับลูกคนโปรดของตัวเองเยสักครั้ง
นั่นคงเป็นเรื่องเดียวกระมังที่เขาอิจฉาชเวซีวอน
x x x x x
วันหยุดของเขาถูกบรรจุเอาไว้ที่หอศิลปะ
โถงทางเดินที่ขดวนจนไปถึงด้านในสุดซึ่งใครต่อใครเชื่อว่าปลายทางนั้นจะเป็นชิ้นงานล้ำค่าราคาแพง อันเป็นที่หมายปองต้องตาของทุกคน ทว่าลึกสุดของทางเดินวนคดเคี้ยวเบี้ยวบิดนี้กลับเป็นภาพวาดของศิลปินที่เขาเกลียดชังมากที่สุด
ลายเส้นที่ประกอบขึ้นมาเป็นสาวท้องคู้กายร่ำไห้กับหัวเข่าไม่มีความสวยงาม แต่มันเป็นความเศร้าที่ทำให้นึกถึงแม่ทุกครั้งที่ยืนมอง แม่หายไปตอนเขาอายุได้ห้าขวบ ว่ากันว่าเธอหนีออกไป คนในบ้านตระกูลโจวสันนิษฐานสารพัดวิธีพิสดารขึ้นมาเพื่อคิดให้ออกว่าเธอพาตัวเองพ้นรั้วมหึมานั่นได้อย่างไร แต่ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน อินซองก็ไม่เคยออกตามหาเธอเลยสักครั้ง
มันทำให้เขาอดจินตนาการไม่ได้เลยว่าตอนที่มีคยูฮยอนอยู่ในท้อง กี่ครั้งที่แม่นั่งร้องไห้ท่านี้
“คงจริงที่คุณชอบงานศิลปะ” น้ำเสียงไม่คุ้นหูทำให้คยูฮยอนเอื้อมมือจับกระบอกปืนเอาไว้แน่น เขาพลิกตัวหันกลับไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับอาวุธอันตรายเล็งตรงไปกลางหน้าผากของอีกฝ่าย ทว่ามันยังไม่เร็วพอเมื่อเทียบกับคนที่แอบเข้ามาด้านหลัง
ภาพจากมุมล่างพร่าเบลอ ลูกน้องสองคนของเขาทรุดอยู่ตรงปากทางเข้า เจ้าของน้ำเสียงทุ้มกังวาลเมื่อครู่ย่อตัวลงมาใบหน้าคมคร้ามกับแววตาชวนจำขึ้นใจทำให้เขาเผลอผุดรอยยิ้มโง่เง่าเหนือริมฝีปาก
“โอ้...เคยได้ยินว่าคนโปรดไม่ค่อยยิ้มนะ”
“หึ... โกหก”
เขาแย้งคำกล่าวด้วยเรี่ยวแรงสุดท้าย รู้แน่ชัดว่ากระสุนยาสลบโง่ๆนี่จะไม่ทำให้ตายแต่จะทำให้อ่อนแรงจนสู้ไม่ได้ไปพักใหญ่
x x 40% x x
ครุคริ
Wings DEMON ❖
ความคิดเห็น