ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { wonkyu } SUMMER KILLER.

    ลำดับตอนที่ #4 : { three summer }

    • อัปเดตล่าสุด 28 พ.ค. 55


            


    Three.

    ทุกสิ่งบนโลกนี้
    เกิดขึ้นด้วยเหตุและผล

     

                “ของขนเสร็จหมดเรียบร้อยแล้วครับ...” เสียงซ่าที่ดังผ่านวอสื่อสารรายงานสถานการณ์ของความชุลมุนวุ่นวายเบื้องล่างซึ่งเป็นไปในทางที่ดีทำให้ซีวอนอดโล่งใจไม่ได้ ร่างสูงกรอกเสียงตอบรับสั้นๆแทนการรับรู้กลับไปก่อนจะชันตัวขึ้นจากเก้าอี้หนังเพื่อตรงไปยังคนที่กำลังคีย์ข้อมูลบางอย่างใส่ลงไปในตาราง

     

                “สตีเว่นโทรมาหรือเปล่า”

     

                “ยังเลย... แต่ผมว่าคงไม่พ้นคืนนี้หรอก ของดีขนาดนั้น มีเหรอเขาจะไม่เอา” คยูฮยอนโปรยยิ้มให้กับคนที่ยังคงตีสีหน้านิ่งสนิท ซีวอนรู้ข้อนั้นดีอยู่แล้วว่านักธุรกิจชาวต่างชาติร่างใหญ่คงไม่ปล่อยให้กำไรจำนวนมากเหล่านั้นหลุดมือไป การให้คำตอบช้าจนเขากระวนกระวายนั้นเป็นเพียงแค่การเล่นตัวที่เอามาลองภูมิเขาเท่านั้น หากแต่ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ ต่อให้เป็นคนระดับชเวซีวอนเองก็อดหวั่นใจไม่ได้

     

                “อื้ม...”

     

                “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ... ถ้าเขาไม่ยื่นมือเข้ามา เราก็ยังพอจะวางสองรอบได้อย่างสบายๆ ยังมีทางหนีทีไล่อีกมากนะครับ...” อ้อมกอดจากคนที่เพิ่งละมือออกจากแป้นพิมพ์ทำให้ความตึงเครียดในสมองผ่อนคลายลงบ้าง ซีวอนใช้ฝ่ามือของตัวเองไล้ไปบนกลุ่มผมสีน้ำตาลเรียบของคนในอ้อมอก เสใบหน้าไปจูบที่ขมับเนียนนุ่มนั้นเบาๆเหมือนที่มักจะชอบทำอยู่เป็นประจำตั้งแต่เจอกันเมื่อปีสองปีก่อน... คยูฮยอนก็ทำให้เขาผ่อนคลายได้เสมอนั่นแหละ

     

                บรรยากาศในห้องถูกความเงียบเข้าปกคลุมเมื่อร่างของคยูฮยอนถูกอุ้มขึ้นไปบนโต๊ะ ขาเรียวยกขึ้นเกี่ยวรอบเอวแกร่งของนักค้ามนุษย์รายใหญ่ที่ว่ากันว่ากุมอำนาจในโลกมืดไว้กว่าครึ่งราวกับต้องการแสดงความเหนือกว่าของตนเองที่สามารถบังคับควบคุมให้คนที่ใครๆก็ต้องยอมมาสยบอยู่ภายใต้อำนาจของเขาเท่านั้น คยูฮยอนปรายดวงตากลมขึ้นยั่วยวนอีกฝ่ายพร้อมกับสอดแขนเรียวของตัวเองขึ้นไว้ที่ลำคอแกร่ง

     

                “เราเหลืออีกกี่นาทีนะ...”

     

                “หนึ่งชั่วโมงครึ่งครับ... อื้อ~” เสียงครางอย่างพึงพอใจหลังจากให้คำตอบเกิดจากริมฝีปากหยักซึ่งกำลังไต่ไปตามลำคอของเขา คยูฮยอนเอียงเชิดใบหน้าขึ้นพร้อมกันกับที่นิ้วมือพยายามกลัดกระดุมเสื้อเชิ้ตของร่างตรงหน้าให้หลุดออกจากรังเหมือนเช่นสติของซีวอนที่ตอนนี้หลุดออกไปอยู่บนสรรพางค์ขาวผ่องซึ่งหลบซ่อนอยู่ภายใต้อาภรณ์ชั้นดีเสียแล้ว

     

                ร่างบอบบางถูกโน้มลงให้แผ่นหลังแนบชิดลงไปกับโต๊ะกระจก ดวงตากลมยังคงฉายแววซุกซนในขณะที่ฝ่ามือเริ้มจะลูบไล้ไปบนแผ่นผิวสีแทน ซีวอนฉวยคว้าข้อมือที่กำลังทำการรุกรานเขาเกินควรขึ้นมามอบจุมพิตหอมหวาน ปลายลิ้นร้อนชอนไชไปตามร่องนิ้ว ละเลียดชิมเนื้อหวานด้วยความรักความหวงที่เขามอบให้ผู้ชายตรงหน้าไปหมดหัวใจ

     

                “นายเหมือนนางฟ้าเลยคยูฮยอน... นายต้องมีเวทย์มนต์แน่ๆ ผมถึงได้รักนายขนาดนี้”

     

                “ฮะๆ... ผมก็รักซีวอนเหมือนกันนะครับ” ผู้ที่เป็นเหมือนนางฟ้าเอ่ยตอบกลับไปโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดหน้าคิดหลัง แววตาซุกซนเมื่อครู่ถูกผ่อนลงให้เหลือเพียงดวงตากลมหวานที่กำลังสบมองการกระทำของอีกฝ่ายที่ชวนให้ปรางแก้มทั้งสองข้างเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีแดงดุจกลีบกุหลาบ...

     

                “นายครับ...เอ่อ... คุณสตีเว่นขอเข้าพบ” เสียงเรียกจากบานประตูทำให้สองร่างที่นัวเนียกันอยู่บนโต๊ะต้องรีบผุดลุกผุดนั่งขึ้นมา คยูฮยอนใช้แขนทั้งสองข้างยันร่างของตัวเองขึ้นแล้วรีบกลัดกระดุมเสื้อเชิ้ตของซีวอนเข้าไปให้เรียบร้อยในขณะที่ร่างสูงเองก็จัดการจัดเสื้อยับยู่ของคนตรงหน้าให้เข้าที่เข้ทางมากขึ้น

     

                “ให้เข้ามาสิ”

     

                “ครับ” สิ้นคำสั่ง ลูกน้องร่างโปร่งก็เดินหายออกไปจากบานประตูทิ้งให้คนสองคนได้แต่มองหน้าอมยิ้มให้กับการกระทำของตัวเองก่อนที่คยูฮยอนจะรีบเก็บเอกสารสำคัญบนโต๊ะลงในลิ้นชักแล้วเบี่ยงตัวออกไปเตรียมเครื่องดื่มสำหรับต้อยรับคู่ค้าคนพิเศษ ฝ่ายซีวอนเองก็ขยับตัวไปจัดเตรียมโซฟา ที่นั่ง และคำพูดที่จะใช้กับผู้มาเยือนดังกล่าว

     

                “ต้องขอโทษที่ผมเลือกเดินทางมาแทนการโทรหาคุณ เห็นทีจะเป็นการรบกวนคุณซะมาก” ร่างสูงของชาวต่างชาติเอ่ยคำทักทายยาวเหยียดหลังจากที่ถูกนำพาเข้ามายังห้องทำงานกว้างขวางของคู่ค้า สตีเว่นทื้งร่างของตัวเองลงบนโซฟานุ่มตามมือที่ผายเชื้อเชิญให้เขานั่งลงก่อนจะวางเอกสารในมือลงบนโต๊ะที่เมื่อครู่เจ้าของห้องเพิ่งจะใช้มันวางอย่างอื่นนอกจากแผ่นกระดาษ

     

                “ไม่หรอกครับ คุณมาที่นี่ก็ดีเหมือนกัน จะได้เห็นงานของเราด้วย”

     

                “สวัสดีครับ...” คยูฮยอนที่เพิ่งจะเข้ามาพร้อมกับแก้วน้ำเย็นสามแก้วเอ่ยทักทายคู่ค้าที่เงยหน้าขึ้นมาตามเสียงของเขา ชายมีอายุกรีดรอยยิ้มขึ้นเมื่อได้เห็นหน้าของเขา รอยยิ้มที่ชวนให้ขนลุกเพียงแค่ต้องมองมัน

     

                “คุณคือคยูฮยอนสินะ”

     

                “ครับ... ผมเอง”

     

                “ที่ผ่านมาได้ยินแต่เสียง ในที่สุดก็ได้เจอกันเสียที” ฝ่ามือหน้าของชาวต่างชาติยื่นตรงไปด้านหน้าเป็นการทักทายในแบบของฝั่งตะวันตกซึ่งคยูฮยอนเองก็มิได้ปฏิเสธที่จะเอื้อมือของตนเองออกไปบ้าง หากแต่ก็เป็นเพียงแค่การสัมผัสในเวลาสองสามวินาทีเท่านั้น ร่างบางก็รีบชักมือออกมาด้วยเรี่ยวแรงมหาศาลที่ตนเองตั้งใจใช้มันเพื่อหลีกเลี่ยงผัสสะอันยืดเยื้อ

     

                “ครับ”

     

                “เรารีบคุยกันดีกว่า ดูเหมือนว่าจะมีเวลาอีกไม่มาก” คนที่หายไปจากบทสนทนารีบนำประเด็นหลักกลับขึ้นมาพูดอีกครั้งเมื่อเห็นว่าสตีเว่นดูสนอกสนใจในคยูฮยอนเป็นพิเศษ ซีวอนไม่ประทับใจนักที่จะเห็นดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลนั้นสะท้อนประกายมันวาวระยิบระยับเมื่อหันไปจ้องหน้าคยูฮยอน... แม้จะไม่เคยป่าวประกาศความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของเขาทั้งสองให้คู่ค้าคนไหนทราบ แต่ตามมารยาทแล้วคยูฮยอนถือเป็นคนของเขาที่ใครหน้าไหนก็ตามไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายหรือสัมผัสร่างบางด้วยสายตาเช่นนั้น

               

                “ครับ... โอเค ผมตกลงเซ็นสัญญากับคุณ แต่ต้องบอกคุณไว้ก่อน ผมมีเวลาอยู่ที่เกาหลีอีกแค่ 3 วันเท่านั้น ถ้าหากมันไม่เป็นไปตามแผนที่คุณวางเอาไว้ เกรงว่าผมจะต้องขอให้คุณจ่ายค่าเสียเวลาให้ผมด้วย”

     

                “เรื่องนั้นไม่มีปัญหา ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาผมยินดีจ่ายค่าเสียหายให้คุณทั้งหมด”

     

                “...” สตีเว่นคลี่รอยยิ้มพึงพอใจออกมาเมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายกล้าได้กล้าเสียมากกว่าที่เขาคิดไว้ ดวงตาสีน้ำทะเลลอบมองใบหน้าหวานของคยูฮยอนที่ก้มลงจัดเรียงเอกสารอย่างตั้งใจ ชาวต่างชาติร่างสูงใหญ่ดูจะสนใจฝ่ามือเรียวที่กำลังขยับแผ่นกระดาษไปมาเป็นพิเศษรวมไปถึงรอยแผลเป็นที่เขาดันสะดุดตาเข้าตรงบริเวณข้อมือด้วยเช่นกัน

     

                “คยู...”

     

                “คุณซีวอนครับ ขออนุญาต” สตีเว่นจำใจต้องเก็บข้อสงสัยของตัวเองเอาไว้เมื่อลูกน้องของซีวอนเปิดประตูโพล่งเข้ามาขัดบทสนทนาของเขาและเรียกสายตาของร่างบางตรงหน้าพอดี ร่างผอมบางในเสื้อยืดสีเทาธรรมดานั้นวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามายืนตัวตรงอยู่ข้างซีวอนราวกับมีเรื่องด่วนเรื่องสำคัญอะไรสักอย่างที่ถึงขั้นคอขาดบาดตาย

     

                “ว่ามาสิ”

     

                “ตอนนี้รถคันแรกออกไปแล้วครับ เป้าหมายคือกวังจู ส่วนคันที่สองคุณซีวอนจะให้ผมสั่งออกไปเลยไหมครับ”

     

                “เซฮุนติดต่อกลับมาหรือยัง”

     

                “ยังครับ” ผู้ตัดสินใจจิ๊ริมฝีปากขึ้นทันทีหลังจากที่ได้รับคำตอบนั้น ซีวอนจำใจต้องเอ่ยขอปลีกตัวออกมาจากวงสนทนาเพื่อเดินลงไปยังท่าเรือเพื่อเคลียร์ปัญหาที่เกิดขึ้นมาเสียก่อนแม้จะรู้สึกไม่เต็มใจนักที่ต้องทิ้งคยูฮยอนเอาไว้กับสตีเว่นสองต่อสอง... แต่งานก็คืองาน เขาก็คงทำได้แค่สั่งให้ลูกน้องอีกสามสี่คนเข้าไปยืนอยู่ในห้องเพื่อจับตามองพฤติกรรมของสตีเว่นด้วย

     

                “ต้องขอโทษแทนซีวอนด้วยจริงๆที่ปล่อยให้คุณนั่งรออยู่แบบนี้”

     

                “ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจดีว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้เสมอ”

     

                “แต่เรารับรองนะครับ ว่ามันจะไม่ส่งผลอะไรต่อสินค้าล็อตถัดไปที่คุณมาร่วมวางเงินกับเราแน่” ผู้เปิดบทสนทนายังคงรับประกับการทำงานของตัวเองด้วยคำพูดหนักแน่น คยูฮยอนไม่แน่ใจนักว่าตอนนี้ทัศนคติของสตีเว่นที่มีต่อการทำงานของเขาและซีวอนจะติดลบไปหรือเปล่าเพราะเหตุการวุ่นวายที่เกิดขึ้น ซึ่งเขาเองก็คงจะทำได้แค่ดึงความมั่นใจของชายชาวต่างชาติกลับมาด้วยคำพูดคำจาที่หนักแน่นมากกว่าปกติ

     

                “ผมเองก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น...”

     

                “ครับ”

     

                “คุณคยูฮยอนครับ ผมขอถามอะไรคุณสักอย่างได้ไหม”

     

                “ได้สิครับ.. ถ้าผมตอบได้ผมก็จะตอบนะ”

     

                “ฮ่าๆ ไม่ยากหรอกครับ ผมแค่อยากรู้ว่าคุณคบกับคุณซีวอนมานานหรือยังหน่ะ”

     

                “อ่อ อาทิตย์หน้าก็จะครบปีครึ่งพอดีแล้วครับ...”

     

                “จริงรึ ? คุณสองคนดูเหมือนคู่รักข้าวใหม่ปลามัน ฮ่าๆ...” ดวงตาเรียวนั้นเบิกโพล่งขึ้นมาเมื่อได้รับคำตอบที่ผิดคาด เขาได้ยินชื่อเสียงของชเวซีวอนเรื่องความเป็นเสือผู้หญิงมามาก ในวงการมืดซีวอนเองก็มีชื่อเสียงกระฉ่อนด้านนี้อยู่ไม่ใช่น้อยจนอาจเรียกได้ว่าเป็นเครื่องหมายการค้าของเจ้าตัวเลยทีเดียว ไม่นึกว่าช่วงหลังที่เงียบหายไปจะเป็นเพราะคนตัวบางที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขา...

     

                “ไม่หรอกครับ...”

     

                “ผมว่าคุณเองก็รู้ตัวว่าทำให้คุณซีวอนหยุดได้... คุณนี่มีอะไรดีกันนะ” แววตาพินิจพิเคราะห์ที่แสร้างส่งมาหยอกล้อหยอกเอินคยูฮยอนทำให้เหล่าลูกน้องที่ยืนอยู่ด้านหลังต่างขยับฝีเท้าเข้ามาโดยที่เจ้าของคำพูดมิได้รู้ตัวอะไรเลย คยูฮยอนปรายสายตาดุขึ้นมองชายชุดดำสามสี่คนที่ซีวอนสั่งให้เข้ามาคุมเข้มก่อนจะหลุบดวงตาของตัวเองกลับมามองสตีเว่นที่ยังคงจับจ้องเขาอยู่

     

                “ผมเหรอครับ... ฮะ... ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน คุณน่าจะลองไปถามซีวอนดู

     

                “งั้นเหรอ... เอาเป็นว่าถ้าได้คำตอบแล้วผมจะมาบอกคุณละกัน”

     

                “แล้วผมจะรอนะครับ ฮ่าๆ”

     

                “จะไม่พยายามทำให้เก้อนะครับ”

     

                “ฮะๆ... อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะครับคุณสตีเว่น คุณพูดภาษาเกาหลีเก่งขนาดนี้ไม่ทราบว่าคุณมาอยู่ที่นี่กี่ปีแล้วเหรอครับ ?” คยูฮยอนเอ่ยคำถามขึ้นใหม่เพื่อพยายามบ่ายเบี่ยงบทสนทนาที่มีแต่จะกัดกินตัวเขาออกไป ขืนปล่อยให้สตีเว่นตั้งคำถามทำนองนั้นใส่เขามีหวังลูกน้องของซีวอนที่ยืนอยู่ด้านหลังคงจะได้ลงไม้ลงมือให้สมค่าจ้างเป็นแน่

     

                “ผมเรียนด้านภาษามาหน่ะครับแล้วก็เคยมาทำงานที่เกาหลีสมัยยังหนุ่มๆหน่ะครับ... ตอนนั้นมาอยู่ที่นี้ได้สักสี่ห้าปีเห็นจะได้”

     

                “งานอะไรคุณพอจะบอกได้ไหมครับ ?”

     

                “พวกแปลเอกสารหน่ะครับ แปลให้ตั้งแต่กรมตำรวจไปจนถึงพวกพ่อค้าข้ามชาติ... ตอนนั้นผมถังแตกเลยลองมาเสี่ยงดวงที่นี่ดูหน่ะ ต้องขอบคุณจริงๆที่ทำให้ไม่ผิดหวัง” สตีเว่นให้คำตอบเสียละเอียดครบถ้วนพร้อมกับปาดสายตากลับไปที่ข้อมือของคยูฮยอนเพื่อจับจ้องรอยแผลเป็นนั่นอีกครั้ง เขาอาศัยช่วงจังหวะที่ร่างบางขุดหาคำถามใหม่ขึ้นมาในหารพิจารณาลักษณะของแผลเป็นอย่างละเอียดอีกครั้ง

     

                “งานของคุณคงต้องติดต่อสื่อสารกับคนเยอะมาก คุณถึงได้เชี่ยวชาญขนาดนี้”

     

                “ครับ... ผมคลุกคลีกับคนหลายระดับ ตั้งแต่ตำรวจยันโจร... จนผมเองก็พอจะแยกออกได้บ้างว่าพวกไหนเป็นพวกไหน” ดวงตาสีน้ำทะเลละออกมาจากข้อมือบางที่พลิกกลับไปอีกทางเพื่อจรดมองใบหน้าของคยูฮยอนแทน ร่างบางเจ้าของคำถามเงยหน้าขึ้นสบดวงตาที่ทอดมองมาทางตนเองอย่างฉงนสงสัย.. แต่มันก็เป็นเพียงแค่วิธีกำบังความกังวลใจที่จะส่งผ่านดวงตาออกไปก็เท่านั้น

     

                “การจะเข้าไปทำงานกับคนพวกนั้นได้เป็นเรื่องยากมาก คุณคงจะเก่งมากทีเดียว”

     

                “เพราะผมมีประสบการณ์เยอะมากกว่า ผมคิดว่างั้นนะ” ร่างสูงใหญ่ทิ้งตัวลงกับโซฟาเพื่อผ่อนคลายการขดเกร็งของร่างกายหลังจากจบประโยค เป็นจังหวะเดียวกับที่บานประตูถูกผลักออกอีกครั้งและซีวอนก็ก้าวเท้าเข้ามานั่งข้างคยูฮยอนอีกครา ใบหน้าคมคายนั้นดูดีขึ้นมากกว่าตอนที่ออกไปทำให้อีกสองคนที่นั่งล้อมอยู่พอจะเดาได้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่นั้นจบลงแบบไหน

     

                “ด้านล่างเรียบร้อยแล้ว ต้องขอโทษที่เสียมารยาทจริงๆ”

     

                “ไม่เป็นไรหรอกครับคุณซีวอน อันที่จริงผมเองก็ถึงเวลาต้องกลับแล้ว... พรุ่งนี้ผมจะส่งคนเข้าไปที่ชินยองตั้งแต่เช้า...”

     

                “ขอบคุณที่ไว้ใจพวกเรา... หวังว่าคราวหน้าเราคงได้ร่วมงานกันอีก”

     

                “ครับ... โชคดี” ร่างสูงใหญ่ยันตัวขึ้นจากโซฟา กระชับเสื้อคลุมเข้าแนบกายอีกครั้งก่อนจะยื่นมือออกมาตรงหน้าเพื่อแสดงความร่วมมือให้กับทั้งชเวซีวอนและโจวคยูฮยอน ขายาวในกางเกงแสล็กสีเทาก้าวยาวออกไปยังบานประตูด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง

     

                “ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงใช่ไหม...”

     

                “ไม่มีครับ... เซฮุนประสานงานเรียบร้อยแล้ว”

     

                “งั้นผมเรียกฮอให้เลยนะครับ” ซีวอนพยักหน้าแทนคำตอบในขณะที่แขนของเขาก็เอื้อมไปเกี่ยวรั้งเอวบางของอีกคนให้เข้ามาใกล้จนคยูฮยอนต้องยอมทิ้งตัวลงบนหน้าตักกว้างของคนช่างเอาแต่ใจที่ตอนนี้มัวแต่พรมจูบไปจนทั่วหัวไหล่ของเขา...

     

                “เตรียมฮอให้ด้วยนะครับ อีกสิบนาทีผมกับซีวอนจะลงไป” เสียงหวานกรอกลงไปในเครื่องมือสื่อสารแล้วกดตัดสายทันทีหลังจากที่ปลายสายตอบรับทราบเรียบร้อย มือบางสอดโทรศัพท์เครื่องบางลงในกระเป๋ากางเกงก่อนจะตวัดดวงตาขึ้นมองร่างสูงที่จ้องมองใบหน้าของเขาอยู่ด้วยสายตาที่ค่อนข้างเป็นไปในทางผิดหวัง

     

                “สิบนาทีจะไปทำอะไรทันได้ยังไงกัน นางฟ้าของผมทำไมใจร้ายแบบนี้นะ”

     

                “ก็ไม่อยากให้ทำเลยบอกว่าสิบนาทีไง ฮ่าๆ.. อ๋า...ซีวอนอ่า ผมจั๊กจี๊~” ปลายจมูกโด่วงก้มลงฟัดที่ซอกคอขาวแล้วขบกัดเบาๆเพื่อเป็นการลงโทษร่างบนหน้าตัก เสียงหัวเราะคิกคักทำให้ร่างสูงที่เพิ่งจะหลุดพ้นออกมาจากความเครียดได้สักพักเริ่มมีรอยยิ้มอีกครั้ง เช่นเดียวกับโจวคยูฮยอนที่สามารถดึงตัวเองออกมาจากความกังวลใจในประโยคของสตีเว่นเมื่อครู่ได้

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     





















     

    บางความเสี่ยง คุ้มค่า ที่จะเสี่ยง

     

                “เข้าไปสิ” คำบอกของผู้คุมทำให้นักโทษหนุ่มต้องตวัดดวงตาขึ้นมองใบหน้าคมเข้มอย่างพินิจพิเคราะห์ด้วยความหวาดระแวง หากแต่เขาก็เก่งนักเรื่องซ่อนความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้ภายใต้ใบหน้านิ่งสนิทที่ส่งเพียงแววตาไม่เป็นมิตรออกมา

     

                “...” ซีวอนไม่ตอบรับ ไม่พูดไม่จา เขาเพียงแค่มองเสี้ยวใบหน้าของผู้คุมที่ตอนนั้สาละวนอยู่กับลูกกุญแจในมือของตัวเอง ร่างสูงสาวเท้าไปที่กลางห้องซึ่งเป็นเตียงเหล็กธรรมดา ดีกว่าเดิมหน่อยตรงที่มีฟูกนอนเพิ่มขึ้นมาให้ คงจะทำให้อาการปวดระบมหลังนั้นดีขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อยหล่ะ

     

                “เอ้า... มีคนฝากมาให้ เงียบไว้หล่ะ” ซองจดหมายยับย่นถูกส่งให้กับผู้ที่เพิ่งจะหย่อนตัวลงนั่งได้ไม่นานนัก ซีวอนเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นว่าผู้คุมคนดังกล่าวยังคงจ้องมองมาทางเขาเหมือนมีคำถาม ร่างสูงไม่ค่อยอยากจะสนทนาอะไรเท่าใดนักจึงใช้สายตาทั้งสองข้างของตัวเองบีบคั้นให้คนสอดรู้สอดเห็นต้องละสายตาออกไปเองบ้าง

     

                “...”

     

                “กูไม่แอบดูหรอก ไม่ต้องมองขนาดนั้นก็ได้” ร่างโปร่งบ่นพึมพัมกับตัวเองเมื่อเห็นว่านักโทษค้ามนุษย์ตวัดดวงตาที่ฉายแววไม่พอใจขึ้นมามอง เขาสาวเท้าออกไปที่บานประตูก่อนจะจัดการปิดล็อคมันให้เรียบร้อยแล้วทิ้งให้ภายในห้องนั้นมีเพียงแค่ชเวซีวอนกับซองจดหมายแต่เพียงลำพัง

     

                เมื่อเห็นว่าบานประตูปิดลงไปแล้วร่างสูงก็ไม่รอช้าที่จะฉีกซองจดหมายสีน้ำตาลออกมาเพื่ออ่านเนื้อความภายใน มือหยาบกร้านรีบคลี่กระดาษถนอมสายตาสีเหลือออกมาอย่างรีบร้อน... เขาแค่กำลังคาดหวังว่ามันจะมาจากโจวคยูฮยอนก็เท่านั้น

     

    ฉันกำลังจะพานายไปเที่ยว... ขอแค่นายยอมเดินไปตามทางเดียวกับฉัน


    พระเจ้าได้พาเจ้ามายังสถานที่ซึ่งปราศจากผู้คนเพื่อให้เจ้าได้ทบทวนอย่างละเอียดลออ
    ถึงการกระทำของตัวเจ้าในเวลาต่อจากนี้ไป
    เจ้าโดนพรากจากนางฟ้าของเจ้าเพื่อเดินทางสู่ขุมนรกที่ไม่มีทางออก
    ขุมนรกนั้นมีทางออกถ้าหากเจ้าคิดได้และยอมร่วมมือกับพระเจ้า
    เดินตามคำบอกของพระเจ้าเสีย... เปลี่ยนความคิดของเจ้าเสียใหม่
    นางฟ้าไม่มีทางทรยศ ต่อให้ใครคนนั้นเป็นซาตาน นางฟ้าก็จะไม่โกหก
    ...นางฟ้าอยากอยู่กับเจ้าไปตลอดชีวิต...

     

    เจ้ารู้แน่ว่าข้าหมายถึงอะไร...
    แล้วจะมีผู้คุมมารับคำตอบ.


     

                ความหวังของเขาเหมือนจะถูกกัดกร่อนออกไปมากกว่าครึ่งเมื่อจดหมายไม่ได้ระบุที่ไปที่มาเลย เว้นเสียแต่คำว่าจะมารอรับคำตอบ... ซีวอพลิกแผ่นกระดาษไปมาอีกครั้ง ไม่ใช่ลายมือที่เขาคุ้นชิน ไม่มีที่ไปที่มาระบุไว้อย่างแน่ชัด และไม่มีอะไรที่พอจะบ่งบอกได้เลยว่าจดหมายฉบับนี้มาจากไหน

     

                เค้าตวัดสายตากลับไปที่ประโยคล่างสุดอีกครั้ง... เจ้ารู้แน่ว่าข้าหมายถึงอะไร... ตัวอักษรประโยคนั้นเรียกร้องให้เขาตวัดสายตากลับขึ้นไปมองเนื้อความด้านบนอีกครั้ง ดวงตาคมเข้มหลับลงแล้วพยายามนึกถึงสิ่งที่ตัวเองเห็นจากข้อความเหล่านั้น ซึ่งมันหมายความว่าชเวซีวอนต้องใช้สมองอย่างมากเพื่อที่จะไตร่ตรองถึงความนัยที่แฝงอยู่... และนั่นคงเป็นเหตุผลที่เขาได้รับการย้ายเข้ามาอยู่ในห้องขังเดี่ยวอันเงียบสงัดแห่งนี้

               

                ท่ามกลางความมืดมิดที่ถูกสร้างขั้นโดยผนังเปลือกตากับข้อความที่ถูกร่ายวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็นภาพจินตนาการอยู่ในสมอง... ซีวอนเค้นเอาสิ่งที่เขาพอจะเข้าใจออกมาแต่มันก็ช่างเลือนรางยิ่งนัก เขาไม่มีทางรู้เลยด้วยซ้ำว่าอะไรถูกอะไรผิด... เนื้อความต้องการสื่ออะไรเขาจะไปถามใครได้ ก็เอาแต่คิดไปเองว่าขุมนรกคงจะเป็นคุกแห่งนี้ สถานที่เงียบสงัดก็คงจะเป็นห้องขังเดี่ยว แล้วนางฟ้าหล่ะ...

     

    นางฟ้าในนี้จะใช่นางฟ้าเดียวกับเขาหรือเปล่า
    นางฟ้าที่ชื่อว่า โจว คยูฮยอน

     

     

     





     

     

     

                “ส่งแค่ตรงนี้ก็พอ...”

     

                “ผมรบกวนฮยองด้วยจริงๆ” เสียงหวานกล่าวขึ้นเมื่อเห็นว่าคนข้างๆมีสีหน้าตรึงเครียด คิมยองอุนเสใบหน้ากลับมามองเขาพร้อมกับยิ้มออกมาเสียจนตาหยีเหมือนจะบอกว่าไม่มีอะไรหรอก แต่คยูฮยอนก็อดกังวลใจไม่ได้อยู่ดีที่จะต้องรบกวนพี่ชายคนนี้ให้ทำอะไรสุ่มเสี่ยง

     

                “เอาหน่า... มาถึงขั้นนี้แล้ว ฮยองรู้ว่านายรักเขามาก”

     

                “โชคดีเหลือเกินที่พี่เข้าใจผม...”

     

                “จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจมันก็อีกเรื่อง ฮยองก็ได้แต่หวังว่าหลังจากนี้ ความรักของพวกนายมันจะเปลี่ยนอะไรให้ดีขึ้นได้บ้างเท่านั้นแหละ” ฝ่ามืออุ่นที่ซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกงยกขึ้นมาลูบลงบนกลุ่มผมของน้องชายที่ยังคงจับพวงมาลัยเอาไว้แน่น คยูฮยอนก้มหน้าลงหลบสายตาที่สอดมองมาทางเขาแล้วรีบพยักหน้าถี่ระรัวเพื่อรับปากในคำขอนั้น

     

                “แน่นอนครับ มันต้องเปลี่ยน”

     

                “โอเค นายไปเตรียมตัวเถอะ ทางนี้เรียบร้อยดีแน่นอนถ้าเจ้าซีวอนมันเข้าใจว่าในจดหมายนั่นหมายถึงอะไรหน่ะ ให้เวลาถอดรหัสสามสี่วันก็คงน่าจะพอแหละนะ”

     

                “หวังว่าเขาจะยังให้ผมเป็นนางฟ้าของเขาอยู่...” ดวงตากลมที่หลุบลงอยู่แล้วพยายามเบนไปทางอื่นเมื่อนึกถึงใบหน้าคมคายของคนที่เขารักแสนรัก หนวดเคราคงจะขึ้นรุงรัง ร่างกายกำยำคงจะอ่อนล้าและอ่อนแรงลงไปมาก... ผิวสีแทนจะไหม้เกรียมเพราะแสงแดดหรือเปล่า แล้วหัวใจหล่ะ... หัวใจดวงนั้นจะเป็นยังไงบ้าง... คยูฮยอนไม่รู้อะไรเลยจริงๆ

     

                “ไม่เอาหน่า นายรอฟังข่าวจากชาวประมงก็พอ... ถ้าเขาไม่มานายก็บินไปเถอะ บินไปให้ไกลแล้วลืมเขาไปซะ ถ้าพี่ไม่ติดอะไรพี่ก็จะไปส่งนายที่สนามบิน...” ยองอุนปลดเข็มขัดนิรภัยออกแล้วยืดเส้ยยืดสายด้วยกันสะบัดแขนทั้งสองข้างไปมา เสียงเรือที่เข้าเทียบท่าเรียกให้เขาต้องเบนหน้าไปมองยังโป๊ะเรือซึ่งอยู่ไม่ห่างออกไปนัก

     

                “ครับ ผมขอบคุณฮยองมากจริงๆ”

     

                “โชคดีหล่ะ” อ้อมแขนแกร่งสวมกอดน้องชายเข้ามาแนบอกแล้วหอมที่ขมับทั้งสองข้างด้วยความรักความเอ็นดู ทั้งคู่ผละออกจากกันเมื่อเห็นว่ามีหน่วยสืบสวนพิเศษเดินลงมาจากโป๊ะเรือเรียบร้อยแล้ว... ร่างหนาเปิดบานประตูรถออกไปโดยไม่ลืมที่จะกล่าวลาน้องชายอีกครั้งก่อนจะเดินลงมาจากรถ

     

                “ขับรถดีๆ”

     

                “ครับ.. อ้อ ! ฮยอง อันนี้ให้ซีวอนนะครับ” โชคดีที่ยองอุนยังชะเง้อเข้ามาในรถอีกครั้ง คยูฮยอนจึงนึกได้ว่าตัวเองยังไม่ได้ให้กระดาษที่บอกจุดนัดพบแก่พี่ชาย แผ่นกระดาษถูกยัดลงไปในฝ่ามือหนาอย่างรวดเร็วซึ่งแน่นอนว่ายองอุนก็เก็บมันลงในกระเป๋าเสื้ออย่างรวดเร็วเช่นกัน เขายิ้มให้กับน้องชายก่อนจะเดินออกไปยังท่าเรือซึ่งกำลังรอต้อนรับเขาในฐานะผู้คุมเก่า...

     

                “สวัสดีครับ อดีตผู้คุมคิม”

     

                “อื้ม... เราไปกันได้เลยใช่ไหม”

     

                “ครับผ้ม ! นักโทษชเวซีวอนอยู่ในห้องขังเดี่ยวตามคำสั่งเรียบร้อยแล้วครับ...”

     

    __________ SUMMER KILLER__________

    เชื่อไหมว่านี่ครึ่งเรื่องแล้ว....

    ถ้าใครตามทัน ปมเริ่มคลายแล้วนิดนึงในตอนนี้ -..-
    รู้อะไรก็เงียบไว้นะจ๊ะ คึคึ -/-

     

    อยากบอกคนอ่านว่าเรื่องนี้บทพระนางเขาค่อนข้างดาร์คกันทั้งคู่
    เชื่อว่าคนอ่านหลายคนอ่านไปด้วยความเจ็บปวด...
    ดีแล้วค่ะ เพราะนั่นหมายความว่า เรายังมีศีลธรรมอยู่ในใจ

    อย่างน้อยเราก็รู้เนอะว่าสิ่งที่พระนางทำมันไม่ใช่เรื่องที่ดีและเป็นความผิด
    อย่าไปคิดค้ามนุษย์กันนะคะ
    ! -..-

     

    ปล. เดี๋ยวมาดิทคำผิดอีกรอบ

    THE★FARRY
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×