คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : A worthwhile soul
Super Junior / Siwon x Kyuhyun / G / 6112 WORDS
พ่อมักถามผมเรื่องแต่งงานเสมอเวลาเจอหน้ากัน นั่นอาจเป็นเพราะอายุที่เกยเลขสามมาได้สามปีแล้วของเขา อย่างไรก็ตาม คำตอบก็มักทำให้พ่อเบ้หน้าแล้วเปลี่ยนเรื่องคุยเสมอเมื่อเขายืนยันว่าจะยังไม่เปลี่ยนแปลงความคิดของตัวเองเหมือนเช่นเคย
ปีนี้เองก็เช่นกัน พ่อถามเรื่องเดิมบนโต๊ะอาหารของมื้อเช้าแรกหลังซุปฟักทองกับขนมปังฝรั่งเศสถูกยกมาเสิร์ฟโดยแม่บ้านคนใหม่ที่เขาไม่คุ้นตา หลังหล่อนเดินหายเข้าไปในห้องครัวพ่อเริ่มพูดเรื่องชีวิตคู่ระหว่างตัวเองกับแม่อีกครั้งแล้ววกเข้าสู่คำถามเดิม
“เมื่อไหร่จะแต่งงาน...” พ่อคงรู้อยู่แล้วว่าคำตอบเป็นอย่างไร พ่อจึงตักซุปเข้าปากไปทันทีอย่างไม่นึกใส่ใจ
“...”
“...”
“คงเร็วๆนี้มั้งครับ" เขาอมยิ้มกับคำตอบของตัวเองที่แตกต่างออกไปจากทุกครั้ง แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นการระเบิดหัวเราะเมื่อเห็นพ่อสำลักซุปฟักทองข้น ไอโขลกจนตัวโยน ต้องรีบคว้าเอาแก้วน้ำขึ้นมาดื่มแทบไม่ทัน
“ว่าอะไรนะ?”
“ก็คิดว่าจะแต่งเร็วๆนี้หน่ะครับ"
“เฮ้ย... พูดจริงเหรอวะ?”
“ชเวซีวอนไม่พูดโกหก... พ่อลืมหรือไง" เกิดห้วงอากาศขึ้นระหว่างเขากับพ่อในช่วงเวลาสั้นๆก่อนความเงียบจะแปรเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะร่วนของเราที่ดังขึ้นมาพร้อมกัน มือกร้านของพ่อเอื้อมข้ามโต๊ะอาหารมาตบปุลงบนไหล่ของผมทั้งรอยยิ้ม
พ่อมักพูดเสมอว่าชีวิตแต่งงานคือชีวิตที่สวยงามแม้จะหย่ากับแม่มาได้สิบแปดปีเต็มแล้ว
ผมเคยคิดว่ามันเป็นเรื่องโกหก กระทั่งได้มาพบเขา... โจวคยูฮยอน
คนที่ทำให้ผมไม่คิดว่าการรักใครสักคนเป็นเรื่องงี่เง่าอีกต่อไป
- - -
A Worthwhile Soul
ใครจะไปคิดได้ว่าทุนเรียนฟรีของมหาวิทยาลัยชื่อดังติดอันดับโลกจากประเทศเกาหลีใต้จะส่งเขามาเลี้ยงกุ้งเลี้ยงปลาที่ประเทศเวียดนาม ทั้งที่ชเวซีวอนจำได้แม่นยำว่าตอนเขียนขอทุนหน่ะ เขาระบุปลายทางเป็นประเทศนอร์เวย์ ระบุไว้ใน Study Plan อย่างชัดเจนว่าต้องการไปศึกษายังฟาร์มปลาแซลม่อน แต่ตอนนี้เขากลับมายืนเลี้ยงกุ้งอยู่ ณ ปากแม่น้ำโขงประเทศเสียดนามเสียอย่างนั้น
ผับผ่าสิ ปลาแซลม่อนกับกุ้งแชบ๊วยเป็นอะไรที่ไม่น่าอ่านพลาดเลยนะ
แต่ก็เอาเถอะปราบใดที่มันคือทุนเรียนฟรี ทำวิจัยจบแล้วได้แผ่นปริญญาโทเหมือนกัน ซีวอนก็ไม่เห็นว่าตัวเองจะต้องไปโวยวายเปลืองน้ำลายหรือปฎิเสธมัน ยิ่งไปกว่านั้น บิดาบังเกิดเกล้าของเขายังเห็นดีเห็นงามและแสดงการสนับสนุนเต็มที่ด้วยการพาไปซื้อกระเป๋าเดินทางใบใหม่ตั้งแต่วันประกาศผลทุนด้วยซ้ำ
ปลายทางของเขาคือหมู่บ้านชาวประมงนอกเมืองโฮจิมินห์อันแสนวุ่นวาย เวลาทั้งหมดคือแปดเดือน และเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกอย่างจะเสร็จตามระยะเวลากำหนดหรืออาจเร็วกว่า ขออย่าให้คนบนฟ้าซ้ำเติมด้วยการยืดระยะเวลาให้เขาอีกเลย... แค่วันแรกที่มาถึงเขาก็คิดถึงเกาหลีจนใกล้บ้าแล้ว
ปัญหาแรกของเขาคือเรื่องภาษา แม้จะอบรมมาเป็นอย่างดีตามคอร์สที่กำหนดมาให้ครบทุกชั่วโมงไม่เคยขาดหล่น แต่พอเอาเข้าจริงมันกลับไม่ใช่แบบนั้น ภาษาเวียดนามเป็นอะไรที่ฟังยากอย่างสุดซึ้ง วรรณยุกต์ก็เยอะจนเกร็งคอไม่ถูก แล้วพอมาเจอเข้ากับตัวจริงๆ ชาวบ้านผู้กุมข้อมูลเอาไว้ก็ดันเป็นคุณยายแก่ๆ ฟันหลอเกือบจะหมดปาก พูดอะไรแทบจับใจความไม่ได้ครั้นจะให้แกเขียนแกก็ทำหน้างง...
ยายบอกว่าอยู่มาตั้งแต่สงครามโลก หนังสือไม่เคยเรียนเลยสักตัว
เหอะ... ทีเรื่องอะไรที่มันไม่เกี่ยวกับงานวิจัยเสือกฟังออกชัดถ้อยชัดคำเชียวหล่ะ
เดือนแรกในหมู่บ้านชาวประมงเป็นไปอย่างโคตรทุลักทุเล หวิดจะหอบผ้าหอบผ่อนหนีอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังดีที่พอมีสติรู้ตัวอยู่บ้างเลยไม้ทำอะไรวู่วามให้มันบั่นทอนชื่อเสียง (ซึ่งตอนนี้ก็แทบไม่เหลือแล้วหล่ะ หลังโดนคดีเมาแล้วขับรถชนหมาของยามหน้าคอนโดตายเมื่อสองปีก่อน) นี่ก็เลยยังยืนหัวโด่โปรยอาหารให้กุ้งอยู่แบบนี้ไงหล่ะ
ชีวิในช่วงครึ่งแรกของเดือนที่สองยังคงผ่านไปแบบลุ่มๆดอนๆ กินได้บ้างไม่ได้บ้างแต่ก็เกิดความผูกพันกับคนในหมู่บ้าน เริ่มซึมซับภาษาเวียดนามแบบบ้านนอกเข้ามาบ้างจนฟังพูดสื่อสารได้รู้เรื่องมากขึ้น กระนั้นช่วงเวลาเบื่อๆก็ยังผุดโผล่ขึ้นมาให้คอยรู้สึกเป็นระยะ แต่พอแก้ไขได้บ้างจากการออกไปก๊งเบียร์กับพวกวัยรุ่นในหมู่บ้าน
อย่างน้อยเบียร์ราคาถูกก็พอช่วยรั้งเขาไว้ได้มากแหละนะ
แต่จุดเปลี่ยนของเขามันเกิดขึ้นในช่วงปลายของเดือนที่สอง หลังจากมีข่าวบอกมาว่าข้างบ้านพักของผมจะมีอาสาสมัครจากโครงการแลกเปลี่ยนมาพัก วันนั้นทั้งผมและคุณตาคุณยายอีกสี่ห้าคนเลยมาช่วยกันเก็บกวาดห้องร้าวงให้เป็นห้องใหม่ พวกเราพยายามอย่างยิ่งหาสิ่งอำนวยความสะดวกครบคันมาจัดวางไว้ให้เท่าที่เราจะจัดหากันมาได้
คุณตาคุณยายต่างดีใจกันใหญ่ที่ไม่ต้องปล่อยให้ผมนอนคนเดียวอีกต่อไป และแน่นอนว่าผมเองก็โคตรจะดีใจ เพราะสืบรู้มาบ้างว่ามีคนเกาหลีหนึ่งคนที่มาเข้าร่วมโครงการนี้ ผมก็หวังว่าเขาจะไม่ได้แย่มากแบบที่เข้าถึงยากหรือไม่ก็มีรสนิยมประหลาดเสียจนรับไม่ได้...
ซึ่งในวันที่เราได้เจอกัน... ผมก็รับรู้ได้แล้วว่าบุญที่สั่งสมมาทั้งชีวิตมันมีประโยชน์
เขาชื่อโจวคยูฮยอน เป็นลูกชายของอาจารย์สอนภาษาจีนในมหาวิทยาลัย นั่นเป็นเหตุผลที่เขามากับเพื่อนสนิทซึ่งเป็นชาวจีนชื่อว่าลู่หาน เราเข้ากันได้ดีตั้งแต่เห็นหน้า อาการโฮมซิคของผมดูเหมือนจะได้รับการเยียวยาจนแทบหายขาดในขณะที่ความกังวลของเขาก็ลดลงเป็นเท่าตัว
คยูฮยอนตั้งใจมาที่นี่โดยเฉพาะ เนื่องจากเขากำลังเรียนเกี่ยวกับประเทศเวียดนามและสนใจเรื่องของวัฒนธรรมเป็นอย่างยิ่ง แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อรู้ว่าเพื่อนอาสาสมัครอีกหกคนเป็นชาวตะวันตกทั้งหมด (ไม่รวมลู่หาน) เจ้าตัวก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเพราะเกรงว่าจะเข้ากับเพื่อนไม่ได้
“โอ้... นั่นนับว่านายยังโชคดีนะ”
“ทำไมเหรอครับ?”
“ฉันเขียนในใบสมัครว่าฟาร์มปลาแซลม่อรนในนอร์เวย์แต่ดันได้เป็นบ่อเลี้ยงกุ้งของประเทศเวียดนาม ฉันเป็นต่อนายเรื่องความเต็มใจหนึ่งเรื่องแล้วหล่ะ...”
พอผมบอกเขาแบบนั้นคยูฮยอนก็เอาแต่หัวเราะจนน้ำตาไหล ท้องแข็งไปหมด แม้แต่ผมที่นั่งมองเขาขำยังเผลอระเบิดหัวเราะตามโดยไร้เหตุผล เย็นวันนั้นเราก็เลยนั่งกินข้าวด้วยกันและพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวจนดึก ลำบากลู่หานต้องมาตามให้แยกย้ายกันไปเข้านอน
มันเป็นคืนแรกที่ผมหลับไปโดยไม่นึกถึงการนับถอยหลังวันกลับบ้าน
เราสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆในเวลาอันสั้นอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่ผมแก่กว่าเขาถึง 5 ปี แต่เรากลับเข้าใจกันได้ทุกอย่างโดยแทบไม่มีความกังวลเรื่องช่องว่างระหว่างอายุ ในขณะที่เขาปรึกษาผมได้แทบทุกเรื่อง ผมเองก็พูดคุยกับเขาได้ทุกเรื่อง นอกจากนั้นคยูฮยอนยังกลายเป็นลูกมือช่วยเป็นล่ามให้ผมเก็บข้อมูลวิจัยได้มากขึ้นจนได้ข้อมูลเกือบครบทุกประเด็นตามหัวข้อที่ลิสท์เอาไว้
มีสิ่งหนึ่งที่เราชอบทำด้วยกันในวันหยุดคือการเดินตลาดกลางคืนวันเสาร์ซึ่งต้องปั่นจักรยานออกจากหมู่บ้านไปประมาณสองกิโลเมตรเพื่อเข้าเขตที่เจริญกว่า เรามีนัดกันตอนสี่โมงเย็นของวันเสาร์เสมอ คยูฮยอนจะสะพายกระเป๋าใบเล็กมากับตัวในชุดลำลองสบายๆ ส่วนผมจะสวมกางเกงเลกับเสื้อยืด ถือรายการของที่คุณยายคุณตาฝากซื้อเหน็บเอาไว้ที่ขอบเชือกผูกกางเกง เข็นจักรยานออกมาจนเลยเขตบ่อกุ้งแล้วก็เริ่มปั่นไปตามถนนขรุขระ
“วันนี้ตอนไปสอนหนังสือเด็กผมเห็นพี่ลงบ่อก้งด้วย” คยูฮยอนมักเป็นฝ่ายชวนคุยเสมอตั้งแต่ขึ้นคร่อมเบาะหลังของจักรยาน ในขณะที่ผมมักเป็นฝ่ายตอบคำถามมากกว่า
“อ่อ... ลงไปวัดสภาพน้ำหน่ะ”
“เก่งจัง กุ้งไม่ตอดพี่บ้างเหรอ?”
“ตอดสิ! คันยิบๆเลย แต่ก็นะ...เพื่องานวิจัยต้องยอมทุกอย่างแหละ ทำอะไรไม่ได้มากนอกจากไหลตามน้ำ”
“ถ้าผมได้เรียนปริญญาโทนะ จะทุ่มให้เหมือนพี่เลยเชื่อสิ...” มันเหมือนคำสัญญาพิลึก ผมจึงได้แต่หัวเราะเบาๆออกไป ตอบรับความตั้งใจของคยูฮยอนที่ดูเหมือนอยากจะลองมาลงบ่อกุ้งกับผมน่าดู
บทสนทนาของเราดำเนินต่อไปจนกระทั่งถึงงาน ผมผูกจักรยานไว้กับต้นไม้และเริ่มเดินไปตามท้องถนน นั่งกินเฝอกันข้างทาง พอลุกเดินได้สักพักก็จัดขนมหวานเย็นหนืดๆไปอีกคนละถ้วย ก่อนจะปิดท้ายด้วยการนั่งดูหนังกลางแปลงที่ฉายอยู่ริมรั้วไม้เก่าๆ คยูฮยอนมักจะเป็นคนที่ฟังเรื่องราวออกเสมอ ในขณะที่ผมฟังอะไรไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ แต่จับใจความเอาจากสีหน้าพร่าๆเบลอๆบนจอนั่น
วันนี้หนังที่มาฉายเป็นหนังฝรั่งรุ่นเก่าคร่ำครึ เป็นเรื่องในทุ่งหญ้า มีคาวบอย มีบ้านกระท่อม และมีบรรยากาศแบบชนบทซึ่งผมชอบ เนื้อเรื่องก็ยังคงเป็นพล็อตเดิมๆ ลูกสาวผู้ใหญ่บ้านหลงรักคาวบอยไม่มีหัวนอนปลายเท้า พากันหนีตามไปและจบลงอย่างน่าเศร้าที่พระเอกถูกยิงคากองฟางอย่างเงียบเชียบและนางเอกถูกจับคลุมถุงชนแต่งงานไป
ภาพสุดท้ายในจอคือพระเอกที่นอนแผ่อ้าซ่าอยู่กลางไร่ มีแกะส่งเสียงรองครวญครางให้กับการจากไปของจ่าฝูง
แต่ภาพในดวงตาของผมคือโจวคยูฮยอนที่กำลังยกมือขึ้นปาดน้ำตา
“นายร้องไห้กับพล็อตอมตะแบบนี้ด้วยเหรอ?” ผมแกล้งแหย่กระเซ้าเขาด้วยการชนไหล่ แน่นอน เขาเบ้หน้าและทำเหมือนจะปฏิเสธว่าตัวเองไม่ได้ซาบซึ้งอะไรกับภาพยนตร์เมื่อสักครู่เลย แต่ก็ไม่ทันแล้ว น้ำตาไหลมาให้เห็นหมดแล้วและดูเหมือนจะไหลมากขึ้นเสียด้วย
ผมเลยส่งทิชชู่ให้กับเขาและนั่งเงียบๆอยู่อย่างนั่นจนกระทั่งรอบข้างเราไม่มีใคร นั่งอยู่หอย่างนั้นแม้ทีมงานจะแบกเครื่องฉายหนังกลับไปแล้ว หรือแม้ว่าที่ตรงนั้นแทบไม่เหลือแสงไฟให้ใครมองเห็นเรา
“ผมไม่ชอบการจากลา...” คยูฮยอนยังคงเป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาแม่ในสถานการณ์อึดอัดเช่นนี้ “ผมเสียพี่ชายไปโดยที่ไม่ได้บอกอะไรกับเขาสักคำ มันแย่มาก...ตอนนั้นผมแทบจะเป็นบ้า”
“...”
“เราผูกพันกันมาก พ่อกับแม่ทำงานหนักพวกเราเลยต้องอยู่ด้วยกันเองเสมอ แทบจะเหมือนพี่กับผมตอนนี้... ไม่สิ... เหมือนกันเลยต่างหาก เหมือนทั้งหมดเลย”
“อ่า...”
“นี่เดือนที่หกของพี่แล้ว...”
“...”
“จริงๆนะ ผมหน่ะไม่อยากให้พี่ซีวอนกลับไป... ผมไม่อยากคิดถึงวันนั้น ไม่อยากให้งานวิจัยพี่จบ ผมไม่อยากกลับมาที่ห้องแล้วไม่เจอพี่นั่งพิมพ์งานอยู่ตรงระเบียง ผมไม่ชอบเลย...มันคงจะเจ็บปวน่าดูเหมือนกับที่นางเอกในเรื่องรู้สึก แต่ผมทำอะไรไม่ได้ ผมไม่มีอำนาจในการจะไปยืดให้ระยบะเวลาทุนของพี่ขยายออก ผมหดเวลาโครงการอาสาสมัครให้สั้นลงไม่ได้...ผมทำได้แค่รอเวลา...”
“...”
“แต่ถึงตอนนั้นเกาหลีอาจจะกว้างเกินไป โซลคงใหญ่กว่าที่เราจะเจอกันได้ ตอนนั้นพี่ก็คงจะมีชีวิตของพี่และผมก็ต้องมีปริญญาโทของผม...” คยูฮยอนคงไม่รู้ตัวเลยว่าคำพูดทั้งหมดพรั่งพรูออกมาพร้อมกับน้ำตา แม้ว่าเสียงไม่ได้สั่น ไหล่ไม่ได้ไหว แต่ม่านตากลมคู่นั้นก็พร่ามัวเกินกว่าจะมองเห็นอะไร และพร่าเกินไปจนซีวอนต้องคว้าอีกคนมากอดในอก
ความมืดไม่ได้เป็นอุปสรรค เขาคลำหาศีรษะของอีกคนเจอก่อนจะกดมันแนบลงมา ผิวเนื้อตรงกล้ามอกของเขาเย็นวาบเพราะเม็ดน้ำตาก้อนเล็กก้อนน้อย กระนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวล
“ทำไมจะหากันไม่เจอ...”
“...”
“รู้หรือเปล่า โซลกับโฮจิมินห์...” ซีวอนจิ้มนิ้วไปที่จมูกของตัวเองตอนพูดว่าโซล และเมื่อถึงคำว่าโฮจิมินห์เขาก็จิ้มไปที่ปลายจมูกของคยูยฮยอนก่อนจะโน้มหน้าต่ำลงไปจนดั้งจมูกของเราชนกัน “มันใกล้กันแค่นี้เอง...”
“ในแผนที่โลกเราห่างกันแค่คืบ ในท้องฟ้าเราห่างกันสี่ห้าชั่วโมง แต่ในความคิดของเรา...มันห่างกันแค่ลมหายใจกั้น” ซีวอนคิดว่ามันเสี่ยวแต่ก็ช่วยไม่ได้ที่เขารู้สึกแบบนั้นจริงๆ...
“...”
“ฉันขยายเวลาทุนไม่ได้ นายหดเวลาเป็นอาสาสมัครไม่ได้ แต่ที่เราทำได้คือคิดถึงกัน” ความคิดถึงของเขาทดแทนด้วยริมฝีปากที่แตะลงไปบนกลีบปากนุ่มสีชมพู หยั่งเชิงก่อนหนึ่งทีแล้วค่อยเอาจริงเอาจังในครั้งที่สองโดยเม้มเบาๆเพื่อให้อีกคนเผยอปากออก ความมืดทำให้เรามองไม่เห็นกันว่าหน้าแดงมากแค่ไหนแต่ความเงียบทำให้เสียงหัวใจของเราชัดเจนไปทั้งใบหู
ผมโน้มหน้าลงไปเบียดเขา หน้าผากของเราชิดกัน ลมหายใจของเราหลอมรวมกันในช่องว่างขนาดพอให้มดเดินพอดี ซึ่งมันตอกย้ำว่าเราอยู่ใกล้กันมากแค่ไหนในเวลานี้และยังหมายถึงในวันพรุ่งนี้ ในเดือนหน้า หรือแม้แต่อีกหนึ่งปีข้างหน้าก็ตาม
“แม้แต่ตอนที่เราอยู่ในโซล...พี่ก็ยังเป็นของนาย และนายก็ต้องเป็นของพี่คนเดียวนะ โจวคยูฮยอน”
คยูฮยอนพยักหน้ารับกระแทกอกของผม เราจูบกันอีกครั้งก่อนตัดสินใจปั่นจักรยานกลับหมู่บ้าน ขากลับไม่ได้มีเสีงพูดคุยอะไรมากมาย มีก็แค่แขนเรียวที่สอดเข้ามาข้างเอวกับใบหน้าที่ซุกลงมาบนแผ่นหลังกว้างขณะปะทะลมเย็นในเวลาสองทุ่ม
หลังจากวันนั้นเรายิ่งสนิทกันเข้าไปใหญ่ ตัวติดกันตลอดคล้ายว่าจะใช้อีกสองเดือนของผมให้คุ้มค่า เก็บเกี่ยวทุกเสี้ยวเวลาด้วยกันเหมือนเวลาที่เรากวาดกุ้งให้หมดบ่อเพื่อส่งขาย รายงานของผมคืบหน้าไปมากส่วนคยูฮยอนก็เริ่มชินกับที่นี่และในขณะเดียวกันก็สามรถเข้ากับเพื่อนชาวตะวันตกของเขาได้
“ขี่จักรยานเป็นแต่ขับมอร์เตอร์ไซค์ไม่เป็นเนี่ยนะ”
“มันยากกว่าไม่ใช่หรือไง”
“ไม่หรอก เดี๋ยวผมสอนๆ” ผมไม่คิดว่าคยูฮยอนจะเอาจริงเอาจังกับการสอนขี่มอเตอร์ไซค์แต่เย็นวันนั้นเราก็ไปส่งเสียงโหวกเหวกกันอยู่ทาชายหมู่บ้าน เมื่อผมถูกส่งให้บิดเดี่ยวบนหลังเบาะดำโดยมีเขาคอยวิ่งตาม มันลำบากมากตอนทรงตัวให้อยู่บนเครื่องยนต์ก้างๆแต่มีน้ำหนักนั่น แต่พอฝึกไปสักพักก็เริ่มจัดการตัวเองได้เข้าที่เข้าทางมากขึ้น
ตอนกลับมาเกาหลีใหม่ๆ เวลาที่คิดถึงเขาผมมักจะขโมยมอเตอร์ไซค์ของพ่อออกไปบิดเสมอ
เรื่องยากตอนกลับมาถึงเกาหลีคือการที่ผมหยุดคิดถึงเขาไม่ได้ แม้ว่าหนึ่งอาทิตย์สุดท้ายเราใช้มันด้วยกันตลอด ผมปลีกตัวออกจากงานไปที่โรงเรียนและสอนเด็กๆกับเขา ทุกเย็นเราออกมานั่งคุยกันที่ริมระเบียงและเข้านอนด้วยกันในห้องของผม ทุกอย่างของเราขับเคลื่อนไปพร้อมกันจนแทบแยกไม่ออกว่าใครเป็นใครแต่มันก็ไม่เคยพอ
เขาไม่ร้องไห้ตอนไปส่งผมที่สนามบิน เราจูบกันหนึ่งครั้ง กอดนานสามนาที แล้วโบกมือลากัน ทันทีที่ผมเหยียบสนามบินอินชอน สิ่งแรกที่ผมทำคือโทรไปหาเขาและเราคุยกันเพียงแค่สิบนาทีเท่านั้นเพราะเขาติดงาน... แต่มันก็เป็นแบบนี้ทุกวัน เราใช้เวลาสิบนาทีคุยกันและวางสาย จากนั้นก็ใช้เวลาอีกยี่สิบสามชั่วโมงห้าสิบนาทีในการคิดถึงกัน
ผมส่งงานวิจัยและได้รับเกียรตินิยมสมกับที่พาตัวเองไปตะลุยบ่อกุ้งในเวียดนาม ปีแรกผมเข้าทำงานในบริษัทของพ่อและน่าเศร้าที่มันไม่ใช่ตัวตนของผมเลยสักนิด จึงขอย้ายตัวเองไปยังเครือข่ายที่ปูซาน ตอนนั้นผมก็ยังติดต่อกับเขาอยู่ คยูฮยอนกลับมาที่โซลและสอบเข้าเรียนต่อปริญญาโทด้านสังคมศาสตร์ เราพยายามหาทางพบกันแต่ผมไม่สามารถทิ้งงานที่ปูซานกลับไปได้เลย
“พี่ๆ...เปิดประตูหน่อยสิ” เสียงซ่าๆจากปลายสายโทรศัพท์ทำให้ซีวอนที่กำลังงัวเงียดันตัวเองขึ้นมาจากเตียง เขานึกอยากสบถใส่ปลายสายที่ไม่ปรากฏเบอร์โทรนี่เหลือเกินตอนเงยหน้าขึ้นไปมองนาฬิกาซึ่งระบุเวลาตีสอง
“หือ?”
“เปิดประตูเร็ว ผมหนาวอ่ะ”
“อ่อได้ๆ” ก็ยังงงอยู่ดีว่าเป็นใคร แต่คำว่าผมหนาวทำให้เขารู้สึกว่าคนๆนั้นคงกำลังหนาวมากจริงๆเพราะดูเหมือนเสียงจะสั่นด้วย... กระนั้นพอไปหยุดอยู่หน้าลูกบิดซีวอนก็สะดุ้งตัวขึ้นมา บ้าเหรอ.... นี่เขากำลังจะเปิดประตูให้ใครวะ
“...”
“นั่นใครวะ?”
“...” ไม่มีเสียงตอบกลับมา ยิ่งทำให้ซีวอนเป็นกังวลมากขึ้นแต่ก็ยังไม่กล้าบิดลูกบิดให้แง้มออก ใจหนึ่งเขาคิดว่าอาจจะเป็นพวกคนงานเมาๆไม่ได้สติ ไร้สาระที่มาเพื่อรบกวนการนอนของหัวหน้างานสุดเนี้ยบเท่านั้น และมันคงจะเสียเวลาน่าดูหากเขาแง้มประตูแล้วต้องต่อบทสนทนายืดยาดกับใครก็ตามซึ่งโดนบั่นทอนสติไปกว่าครึ่ง แต่ในขณะเดียวกันอีกใจหนึ่งของเขามันก็ลังเล... ถ้าหากคนหลังบานประตูนั่นไม่ได้เมาและต้องการความช่วยเหลือหล่ะ
สายโทรศัพท์ถูกตัดไปแล้ว ดวงตาคมจ้องมองหน้าจอซึ่งเป็นรูปทะเลที่เวียดนามของตัวเองอย่างลังเล เขาชั่งใจอยู่อีกไม่กี่นาทีแล้วตัดสินใจผลักบานประตูออกไป
การตัดสินใจของเขาไม่พลาดเลยจริงๆ
“เซอร์ไพรส์ไหม?”
“...”
“...”
“...”
“...ไม่เลยเหรอ?”
“...”
“ว้า...แย่จะ...” คนตรงหน้าเกาแก้มขาวเก้อๆเมื่อตัวเองโดนรวบเข้าไปกอดแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“...ไม่...เซอร์ไพรส์มากเลย” ซีวอนกระชับแขนเข้ากับเอวสอบเล็กๆมาขึ้น ก่อนจะยืนยันด้วยเสียงทุ้มอันแสนอู้อี้เพราะการกดจมูกลงกับซอกคอขาว “มากจริงๆนะ”
“ดีใจที่ได้เจอพี่นะครับ” ความดีใจฉายชัดด้วยรอยยิ้มหวานของเขาที่ทำให้ผมต้องก้มลงมองแล้วก็ตกหลุมพรางกดจูบลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าขณะอุ้มเขาเข้ามาในห้องแล้วกดให้ชิดเข้ากับกำแพง ผมเอาขาเขี่ยประตูปิดลงไปแบบไม่ใส่ใจนัก ลืมเรื่องโทรศัพท์ตีสอง ลืมแผนงานของพรุ่งนี้ที่มีคิวต้องลงไปสำรวจฟาร์มหอยเป่าฮื้อ ทิ้งทุกอย่างลงไปเหมือนกับที่ตัวเองกำลังทิ้งเสื้อผ้าอาภรณ์ไปกองอยู่บนพื้น
สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวสมองของผมคือชื่อโจวคยูฮยอน
โจวคยูฮยอนผู้มาพร้อมกับความคิดถึงอันอัดแน่นที่ทำให้ผมต้องอุ้มเขาไปยังเตียงนอน กระซิบบอกเขาว่าผมคิดถึงมากขนาดไหนและทำให้เขารู้เสียที
ว่าผมรักเขามากจนไม่อาจปล่อยห่างไปได้อีกแล้ว
คยูฮยอนสืบรู้ที่อยู่ของผมได้จากเว็บไซต์และการเที่ยวถามชาวบ้านไปตามประสา เขามาหาเพื่อจะบอกผมว่าอีกสองเดือนตัวเองจะได้รับปริญญาแล้วและอยากให้ผมไปร่วมแสดงความยินดีด้วยในงานนั้น แน่นอนว่าผมตอบตกลงทันทีหลังเขาพูดจบและทำการลางานล่วงหน้าทันทีตั้งแต่วันนั้น
งานรับปริญญาเป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอกับครอบครัวของเขา พ่อกับแม่ของคยูฮยอนมีอายุมากแล้วและอาจจะมากกว่าพ่อของผมเสียอีก พวกท่านค่อนข้างกังวลกับนิสัยของคยูฮยอนหลายเรื่องแต่ก็ยอมผล่อยให้เจ้าเด็กโข่งที่โตแต่ตัวได้ไปท่องโลกกว้างเสมอ พวกท่านใจดี โดยเฉพาะแม่ของคยูฮยอนที่ทั้งยิ้มเก่งและยังคงมีราศีจับอยู่ตลอดเวลา
หลังจากน้ั้นเราได้พบกันบ่อยขึ้น คยูฮยอนต่อปริญญาเอกและเป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัยในปูซาน สอนด้านประวัติศาสตร์อินโดจีนแบบที่เขาถนัด งานสอนหนักมากเพราะนักเรียนหลายคนชอบลงวิชาของเขาเนื่องจากความใจดีและสดใสร่าเริง ซึ่งจริงๆแล้วผมเข้าใจดีเพราะผมเองก็อยากจะลงวิชานั้นกับเขาเหมือนกัน
พ้นสามเดือนแรกของการเป็นอาจารย์ ช่วงกลางปิดภาคฤดูร้อนเราช่วยกันขนของ ย้ายห้องพักกันทั้งผมและเขา ผมตัดสินใจซื้อบ้านติดทะเลหนึ่งหลังที่เชื่อกับหาดและฟาร์มได้ ผมปฏิเสธเงินครึ่งหนึ่งของราคาบ้านที่เขาคะยั้นคะยอจะเอามาให้ให้ได้และสุดท้ายหลังจากที่ผมคิดว่าเรื่องนี้มันจบไปแล้ว เงินจำนวนนั้นก็ถูกฝากเข้ามาในบัญชีของผมจนได้
“ทำไมถึงดื้อนัก...”
“บ้านหลังนึงไม่ใช่ถูกๆนะพี่”
“พี่รู้ แต่บ้านมันเป็นชื่อพี่นะ พี่ก็ต้องจ่ายสิ”
“ชื่อพี่แต่ผมก็ยืนหัวโด่อยู่ใต้หลังคานั่นทุกวันอ่ะ” เขายังคงเถียงแต่สิ่งที่บอกได้ว่าบรรยากาศมันเปลี่ยนไปคือการกอดอกฉับทำหน้าเบ้ ซึ่งบ่งบอกได้ชัดเจนว่าเขางอนมากทีเดียว ดังนั้นทันทีที่เรากลับถึงรั้วบ้านผมจึงหันไปคว้าเขาเอาไว้ก่อน
“...” การไม่พูดคือสัญญาณของอาการงอนที่ชัดเจนมากจริงๆ
“คยูฮยอนครับ...ที่พี่ไม่ยอมให้เราจ่ายหน่ะ ไม่ใช่ว่ามันเป็นบ้านของพี่คนเดียวนะครับ” น้ำเสียงจริงจังของซีวอนทำให้คนขี้งอนเริ่มจะฟังมากขึ้น โจวคยูฮยอนโตมากแล้ว อายุของเขาเข้าใกล้เลขสามเต็มทนจึงไม่มีเหตุผลที่จะมานั่งงอนแล้วไม่พูดคุยเสียให้รู้เรื่อง ทำตัวเป็นวัยรุ่นมัธยมปลาย รอให้ใครมางอ
“...”
“พี่ซื้อที่นี่เพราะพี่อยากให้เป็นของขวัญกับเรา ไม่ใช่แค่คยูฮยอนหรือพี่ แต่เป็นของเรา... บ้านคือสถานที่ที่พี่ให้ความสำคัญ ไม่ใช่แค่ตึกอาคารหรือที่พักพิง แต่มันหมายถึงครอบครัว หมายถึงที่ๆเราจะเอนตัวลงนอนแล้วทิ้งความกังวลออกไป หมายถึงที่ที่เราสองคนจะใช้เวลาในทุกเย็นร่วมกัน”
“...”
“และพี่ก็อยากจะให้พ่อแม่ของคยูฮยอนได้เห็นว่าผู้ชายคนนี้มีหลักฐานมั่นคง สามารถให้ความสุข ความสบายกับลูกชายของเขาได้ จะเป็นคนที่พร้อมรองรับลูกชายของพวกท่านเอาไว้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คยูฮยอนรู้ใช่ไหมครับ...” ซีวอนกุมมืออีกคนเอาไว้ข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างของเขาจับปลายคางเรียวให้ผินมามองจ้องตากัน “พี่รักคยูฮยอนมาก... ต่อจากนี้ชีวิตของพี่จะมีแค่เรา มีแค่คยูฮยอนเท่านั้น”
“...” ซีวอนไม่เคยพูดออกมาตรงๆว่าเขารักคนในอ้อมแขนมากแค่ไหน แต่วันนี้มันกลับหลุดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ ก้องกังวาลไปทั้งโสตประสาทของคนอายุน้อยกว่าที่ซ่อนน้ำตาแห่งความปิติเอาไว้ด้วยการหลุบสายตาลงมองมือทั้งสองข้างของคนสองคนที่กุมกันอยู่
“เข้าใจพี่นะครับคยูฮยอน เงินพวกนั้น...”
“ผมรู้ ผมเข้าใจแล้ว” คนตัวบางยมปริปากออกมาและคลายปมคิ้วของตัวเอง ใช้หลังฝ่ามือข้างที่ว่างเว้นจากสัมผัสอุ่นขึ้นมาซับหยาดน้ำตาเล็กๆออกไปก่อนจะจ้องใบหน้าของซีวอนกลับไปบ้าง “ผมเข้าใจความหวังดีของพี่ครับพี่ซีวอน แต่ผมเองก็อยากจะยืนยันกับคุณพ่อของพี่ด้วยเช่นกันว่าผมพร้อมจะประคองลูกชายของท่านในทุกวันต่อจากนี้ไป”
“...”
“ผมอาจจะไม่ได้มีเงินมากแต่การที่ผมจะจ่ายอีกครึ่งมันก็เหมือนการยืนยันว่าผมจะหารทุกอย่างกับพี่ จะบ้าน จะข้าว จะอาหาร จะความสุขหรือว่าความทุกข์ผมจะหารครึ่งกับพี่”
“...”
“แม้แต่ชีวิตของผม... ความรักของผม ทุกอย่างต่อจากนี้” น้ำเสียงของคยูฮยอนมั่นคงกว่าครั้งไหนๆ เด็กน้อยผู้มักจะหวาดกลัวกับการเสี่ยงใช้แววตาเข้มแข็งและมั่นคงจองมองมาในดวงตาของผม ยืนยันว่าสิ่งที่เขาพูดมาไม่ใช่แค่การประชุมสร้างปราสาททรายของเด็กประถม แต่มันหมายถึงอนาคตต่อจากนี้ของเรา
“...ครับ...พี่เข้าใจ พี่เข้าใจ” ซีวอนพยักหน้ารับทั้งรอยยิ้ม แม้เรื่องเงินจำนวนมากนั่นจะยังคงไม่มีทางออกและไม่ได้ข้อสรุป ท่อนแขนกำยำสอดเข้าไปรัดรอบกายของอีกฝ่าย รวบร่างบางเข้ามาชิดกับแผ่นอกกว้างก่อนจะเลื่อนมือขึ้นไปลูบเส้นผมนุ่มนิ่มที่เคลื่อนมาซุกอยู่ตรงซอกคอของเขา
“ผมรักพี่นะครับ... ผมรักพี่...” เขาพูดอู้อี้ออกมาพร้อมกับลมหายใจที่รดอยู่บนต้นคอของผม เดาได้ว่าหน้าของคยูฮยอนคงแดงเหมือนสตรอเบอรี่สุกปลั่ง หลายครั้งที่ผมพยายามก้มลงไปมองแต่ก็ไม่สำเร็จเพราะถูกขัดขวางด้วยฝ่ามือที่จู่ๆก็ทรงพลังขึ้นมาเสียอย่างนั้น
เสียงหัวเราะหลุดออกมาท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดก่อนที่เราจะเดินเข้าบ้านไปด้วยกัน
แม้แต่ในเวลานี้ เงินจำนวนนั้นก็ยังไม่ถูกถอนออกไปไหน ผมคิดว่าพรุ่งนี้อาจจะไปถอนมันออกมา ผมคิดว่าบางทีผมกับเขาเราอาจจะไปเปิดบัญชีด้วยกันหลังพาเขามาพบพ่อที่ร้านอาหารโปรด หลังจากส่งแหวนในกล่องกำมะหยี่สีแดงนี่ให้กับเขา
หลังจากที่ผมจะเฉลยว่าเงินพวกนั้นจะถูกใช้สำหรับการจัดงานแต่งของเรา
“ยิ้มอะไรคนเดียวครับเนี่ย?” เสียงหวานปลุกผมจากห้วงความคิดต่างๆนานา ผมรีบซุกกล่องกำมะหยี่เอาไว้ที่ใต้ขา เงยหน้าขึ้นไปมอบรอยยิ้มให้กับอีกคนที่เปิดประตูรถออกและกำลังสอดตัวเข้ามา
คยูฮยอนโน้มหน้าเข้ามาหาสารถีสุดหล่อ มอบจูบสั้นๆที่ปลายคางซึ่งเริ่มมีไรหนวดสากก่อนจะวางหนังสือกองพะเนินไว้ที่เบาะหลัง แว่นสายตาถูกถอดไปวางไว้บนหน้าคอนโซลรถเมื่อปลายเท้าของซีวอนแตะคันเร่งอีกครั้งและกำลังเคลื่อนพาเรากลับไปยังบ้านหลังเล็กในโซล
“คิดถึงครับ แล้วไปห้องสมุดได้อะไรมาเยอะแยะเลยเนี่ย?”
“ข้อมูลตรวจงานเด็กอ่ะครับ ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะเยอะขนาดนี้เหมือนกัน... แล้วพี่หล่ะครับ ไปทานข้าวกับคุณพ่อมาเป็นยังไงบ้าง?”
“ก็ดีครับ... พ่อพี่ถามถึงเราด้วย พ่อบอกว่าอยากเจอหน้าแล้ว ได้ยินแต่เสียงบ่นในโทรศัพท์”
“บ่นอะไรกัน...ผมเปล่าเลยนะ”
“ฮ่าๆๆๆๆ เอาเถอะ พรุ่งนี้เที่ยงเคลียร์ตัวเองนะ จะพาไปหาพ่อ”
“ห๊า?”
“หาอะไรกันฮะ?” ซีวอนละมือข้างหนึ่งออกมาวางไว้กลางศีรษะกลมแล้วโยกเบาๆ “ตกใจอะไร พ่อพี่ไม่ดุหรอก...หรือเราไม่ว่าง?”
“ว่างครับๆ...ผมตื่นเต้นนี่ ไม่เคยเจอคุณพ่อพี่เลย” สีหน้าของคยูฮยอนดูเป็นกังวลขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เมื่อถึงแยกไฟแดงซีวอนจึงจับมือของอีกคนขึ้นมากุมเอาไว้แล้วจูบเบาๆที่หลังมือ
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ พรุ่งนี้จะเป็นวันที่ดีแน่ๆ”
เสียงทุ้มเอ่ยบอกออกไป หลุบดวงตาลงมองกล่องแหวนที่ถูกซ่อนเอาไว้ตรงขาของตัวเองแล้วคลี่ยิ้มออกมาบางๆ หัวใจของเขาเต้นระส่ำรัวเร็วเพียงแค่จินตนาการถึงตอนที่ตัวเองย่อเข่าลงกับพื้นเปล่าเพื่อยืนยันจะใช้ชีวิตที่เหลือกับคยูฮยอน
“อ่า ผมหวังว่ามันจะดีนะครับที่รัก” แก้มนุ่มซุกลงกับฝ่ามืออุ่นของอีกคน ปิดดวงตาซึ่งเหนื่อยล้าจากการฝ่าฟันตัวอักษรนับร้อยมาหลายชั่วโมงลง พลางคลี่รอยยิ้มบางๆออกมา
“ใช่ ต้องดีมากๆแน่เลยคยูฮยอนที่รักของพี่”
The end
สังหรณ์ใจว่าเรื่องมันน่าเบื่อ.....
แต่อย่าเพิ่งเบื่อเรานะ 555555555555555
สุขสันต์วันเกิดพี่ซีวอน
ขอให้ได้กลับมาซุกภรรยาเร็วๆ <3<3
ความคิดเห็น