คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : { two summer }
Two.
มือของเราอาจมีกลิ่นคาวเลือด
แม้ไม่เคยได้สัมผัสเลือดสักหยด
ไม่ใช่ช่วงบ่ายอภิรมย์นักสำหรับการได้มานั่งไขว้ห้างทิ้งลมหายไปไปพลางๆในร้านกาแฟ ท่ามกลางอากาศอบอ้าวที่แทบจะทำให้เขาคุ้มคลั่งได้เพราะความระอุบนพื้นผิวโลก ซีวอนดูดกาแฟปั่นขึ้นมาจากแก้วพลาสติกฆ่าเวลาการรอคอยที่ยังไม่มีจุดสิ้นสุดว่าอยู่ตรงไหน
เขาพลิกนาฬิกาข้อมือขึ้นมองเป็นรอบทีหกแล้วตั้งแต่เหยียบย่างเข้ามาในร้านกาแฟชื่อดังแห่งนี้ โชคดีนักที่ดวงตาคมทั้งสองข้างถูกพาดทับเอาไว้ด้วยกรอบแว่นกันแดดสีดำ ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมามิได้สบเข้ากับแววตาซึ่งเริ่มสะท้อนความเคืองโกรธออกมา... ในการทำธุรกิจ การผิดนัดเป็นเรื่องน่าเกลียดอย่างมหันต์และตอนนี้ก็ผ่านมาเกือบชั่วโมงนับจากเวลานัดที่คุยกันเอาไว้ เขายังคงไม่เห็นเงาหัวของคุณสตีเว่นเลยด้วยซ้ำ
“ถ้าอีก 15 นาทียีงไม่มีใครมา ก็เอารถมารับได้เลย” น้ำเสียงทุ้มกรอกลงไปในเครื่องมือสื่อสารเคลือบโลหะของตัวเอง ซีวอนวางโทรศัพท์มือถือลงขนานกับโต๊ะกระจกด้านหน้า เขาเหลือบมองนาฬิกาที่ชี้บอกเวลาบ่ายสามโมงเย็นแล้วพรูลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ระบายความโมโหที่คุกรุ่นอยู่ในอก
อันที่จริงตอนนี้เขาควรจะได้ขลุกตัวอยู่ในครัวกับโจวคยูฮยอนตามแผนที่วางเอาไว้ ตักตวงผลประโยชน์จากเรือนร่างเย้ายวนนั่นสักเล็กน้อยเพื่อแก้ไขวันธรรมดาอันแสนจืดชืดให้มีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง ทุกอย่างจะลงตัวกว่านี้ถ้าไม่ติดว่าเขาได้รับโทรศัพท์เข้ามาเมื่อตอนสิบเอ็ดโมงว่าคุณสตีเว่นขอเลื่อนนัดเป็นบ่ายสองโมงแทน แผนการที่มีในหัวจึงถูกพับเก็บไปอย่างไม่มีข้อแม้ โชคดีที่พระเจ้าไม่ลำเอียงมากนักเพราะคยูฮยอนเองก็จำต้องลุกออกจากเตียงกว้างเพื่อไปรับสินค้าที่ท่าเรือเช่นกัน
“คุณซีวอนใช่หรือเปล่าครับ”
“ใช่ครับ” เสียงทักทายด้วยสำเนียงแปร่งทำให้ซีวอนต้องรีบเสใบหน้ากลับไปมอง เขาพบชายชาวต่างชาติรูปร่างใหญ่ในชุดลำลองธรรมดาถือแก้วไวท์ช็อกโกแลตเฟรปเป้เอาไว้ในมือ ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลทอดมองมาทางเขาอย่างอารมณ์เย็น ซึ่งมันทำให้เขาต้องรีบปรับเปลี่ยนแววตาหลังกรอบแว่นก่อนจะดึงเรย์แบนด์ออกมาเหน็บไว้ที่ปกเสื้อของตนเอง
“ต้องขอโทษจริงๆที่มาช้า... เราเจอปัญหาในการเดินทางเล็กน้อยต้องขออภัยด้วย”
“ไม่เป็นไรครับ มาช้ายังดีกว่าไม่มา... เชิญนั่งก่อน” แขนแกร่งผายมือเชื้อเชิญให้คู่ค้าได้นั่งพักลงบนโซฟาก่อนที่พวกเขาจะเริ่มเข้าสู่บทสนทนาที่ตระเตรียมกันเอาไว้ ความโมโหเมื่อครู่ถูกดับลงอย่างง่ายดายเมื่อชายร่างใหญหย่อนตัวลงบนเก้าอี้โซฟาตัวใหญ่ ร่างสูงขยับแก้วกาแฟของตัวเองมาทางด้านซ้ายมือเพื่อให้อีกฝ่ายได้วางเครื่องดื่มของตนเองลง ซีวอนอาศัยจังหวะนั้นสับสวิชต์ของเครื่องบันทึกเสียงขนาดจิ๋วที่ติดอยู่ตรงบั้นเอวของเขาเพื่อเตรียมการจัดเก็บบทสนทนาเอาไว้
“คุณมาคนเดียวเหรอครับ”
“ใช่ครับ ผมไม่อยากให้เป็นที่สงสัยมา คุณเองก็เช่นกันนี่ครับ?”
“ครับ เราเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลา” ซีวอนรีบตัดบทสนทนายืดเยื้อนั้นลงเสียตั้งแต่มันยังไม่ได้เริ่มต้น ฝ่ามือหนาดึงแผ่นกระดาษสีขาวออกมาจากซองดำขนาดใหญ่ที่วางอยู่ข้างกายแล้วยื่นมันไปให้ชายชาวต่างชาติถือเป็นการเริ่มต้นการสนทนาด้วยเอกสารที่จะช่วยปรับความเข้าใจของทั้งคู่ให้ตรงกันเสียตั้งแต่เนิ่นๆ
“นี่คืออะไรครับ?”
“ตารางการของเรือที่จะเข้ามาชายฝั่ง ตรงที่ไฮไลท์สีเหลือคือลำที่มีสินค้าของเรา แล้วก็ตารางด้านล่างจะเป็นเรือขาออก... ไฮไลต์สีเขียวคือลำที่จะส่งสินค้าออกไป” ร่างสูงจ่อปลายปากกาโลหะของตัวเองลงบนแผ่นกระดาษเพื่อชี้ให้อีกฝ่ายได้เห็นข้อมูลอย่างชัดเจน สตีเว่นพลิกแผ่นกระดาษไปอีกด้านหลังจากที่กวาดสายตามองจนหมดแผ่น ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลนั้นกลอกขึ้นมองซีวอนแทนการเอ่ยถามถึงตารางอีกตารางที่อยู่ด้านหลังบนแผ่นกระดาษ
“แล้วนี่...”
“อันนี้เป็นสินค้าล็อตพิเศษ... รอบเดินเรือจะมีไม่มากนัก ราคาสูง แต่ผมรับประกันได้ว่ากำไรที่เราได้คงจะเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ” ซีวอนกรีดรอยยิ้มขึ้นที่มุมปากเมื่อจินตนาการถึงเม็ดเงินมหาศาลจากสินค้าล็อตใหม่ที่กำลังจะเข้ามา ถ้าหากทุกอย่างเป็นไปได้อย่างราบรื่นโดยไม่มีอะไรติดขัดเขาจะได้กำไรถึงหลักหมื่นล้านวอน หรือต่อให้มีใครเข้ามาขัดขวาง วงจรอุบาทว์นี้ก็ยังมอบกำไรให้เขาไม่ต่ำกว่าร้อยล้านวอนอยู่ดี...
“กำไรเกินร้อยเปอร์เซ็นต์อย่างนั้นรึ?”
“ครับ... เกาหลีเหนือ ตุรกี เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แค่ฟังแหล่งก็เห็นอนาคตแล้ว ว่าไหมครับ”
“จริงของคุณ พวกนี้กำลังเป็นที่ต้องการของตลาด...”
“ใช่ แล้วที่สำคัญก็คือตอนนี้สินค้าของเราทั้งหมดถูกจองเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เอาเป็นว่า ผมจะทิ้งเอกสารไว้ให้คุณดูแล้วกัน ถ้าสนใจก็ติดต่อผมมานะครับ” ร่างสูงยื่นซองเอกสารสีน้ำตาลให้กับผู้ชายร่างสูงซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้า อันที่จริงให้ไปก็เท่านั้น ถ้าหากประเมินจากสภาพการณ์ตอนนี้แล้ว ยังไงเสียสตีเว่นก็ไม่มีทางปล่อยเม็ดเงินให้มันหลุดพ้นมือของตัวเองไปแน่
“ขอเวลาผมอ่านก่อน แล้วผมจะบอกคุณอีกที” เครื่องดื่มสีน้ำตาลรสขมถูกยกขึ้นแตะริมฝีปาก ซีวอนใช้หางตาทอดมองอีกฝ่ายในเวลาเพียงแค่มือคว้าของ ร่างสูงยันตัวขึ้นโค้งเป็นการกล่าวคำอำลาให้กับคู่ค้ารายใหญ่ของเขา... แม้ว่าจะเป็นการเสียมารยาทที่ต้องทิ้งคู่ค้าไว้เพียงลำพังแต่น่าเสียดายเหลือเกินที่วันนี้ ของล็อตเก่าจะมาขึ้นที่ท่าเรือพอดีและการให้คยูฮยอนไปที่นั่นแต่เพียงลำพังมันเสี่ยงเกินกว่าที่เขาจะยอมรับได้
“เคลื่อนย้ายให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฉันแอบได้ยินมาว่าพวกตำรวจกำลังซุ่มดูเราอยู่...”
“ครับ” เสียงขานรับจากกลุ่มคนร่วมสิบชีวิตดังขึ้นก่อนที่แต่ละคนจะแยกย้ายกันไปประจำตามจุดต่างๆบนโป๊ะเรือที่โคลงเคลง โดยมีดวงตากลมหวานภายใต้กรอบแว่นกันแดดราคาแพงคอยสอดส่องมองอยู่จากห้องทำงานชั้นสอง มือบางกำกระบอกปืนคู่ใจเอาไว้แน่นคอยแจกกระสุนเหล็กเผื่อคนที่คิดตุกติก
เรือสินค้าลำใหญ่เข้ามาเทียบท่าภายในเวลาไม่กี่นาทีเท่านั้นหลังจากที่ทุกคนเข้าประจำที่กันเสร็จเรียบร้อย แล้วเมื่อสะพานถูกทอดลงมายังฝั่งมือซ้ายและขวาของซีวอนก็เดินเข้าไปตรวจเช็คความเรียบร้อยของสินค้าด้วยตัวเองเหมือนอย่างที่ทำเป็นปกติ
“เป็นไงครับ คนดี ~” อ้อมแขนที่เกี่ยวเข้ามาโอบรอบเอวทำให้คยูฮยอนเผลอผละกายออกด้วยความตกใจ ปืนในมือถูกยกขึ้นมาในระดับใบหน้าของผู้มาเยือนภายในเวลาเพียงเสี้ยววินาที แต่เมื่อเห็นว่าเป็นใครประบอกปืนจึงลดลงมาอยู่ข้างกายเหมือนเดิม พร้อมกับสาวเท้าเข้าไปกอดคนขี้แกล้งเสียจนเต็มอ้อมแขน
“ผมตกใจหมดเลยครับ...” ปลายจมูกโด่งรั้นถูกับแผงอกกว้างที่ยังมีกลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟติดอยู่ด้วยท่าทีออดอ้อน ร่างสูงกว่าถอดแว่นกันแดดของตัวเองออกแล้วก้มลงจูบที่กลางหน้าผากของอีกคนพร้อมกับดันร่างของคนในอ้อมกอดให้ออกไปยืนที่ระเบียงด้วยกันเหมือนเดิม
“คิบอม กับ ทงเฮว่าไงบ้างครับ?”
“คิบอมเช็คฝั่งซ้ายเสร็จแล้ว ตอนนี้เหลือทงเฮ กำลังดูห้องใต้ท้องเรืออยู่ครับ” ยื่นโทรศัพท์มือถือให้ร่างบางในอ้อมแขนดูข้อความที่ถูกส่งมา คยูฮยอนพยักหน้าด้วยความโล่งใจก่อนจะออกคำสั่งให้ลูกน้องตามเข้าไปสมทบกับคิบอมที่ฝั่งซ้ายมือก่อน
“ที่รักรู้แล้วใช่ไหมว่ารอบนี้เราต้องผ่านตำรวจไปก่อน”
“ ครับ... ผมให้พวกเซฮุนเคลียร์ทางไว้แล้ว รับรองว่าไม่มีพลาดครับ” ลำแขนแกร่งรั้งร่างบางเข้ามาไว้แนบอก เป็นจังหวะเดียวกับที่ทงเฮส่งข้อความเข้ามารายงานสภาพการณ์พิดี ซีวอนยื่นโทรศัพท์มือถือให้กับคนที่อยู่ในอ้อมแขนดูเพื่อให้คยูฮยอนส่งสัญญาณปล่อยคนที่เหลือตามเข้าไปหาทงเฮเพื่อเร่งจัดการกับ ของ ซึ่งยังคงรอการขนย้ายอยู่
“ซีวอนครับ เดี๋ยวผมไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ”
“ให้ผมช่วยไหม ฮะๆ”
“ทะลึ่ง” ร่างบางว่าก่อนจะฟาดแขนลงไปที่ไหล่ของอีกฝ่าย ลงโทษร่างสูงใหญ่ที่บังอาจมาใช้วาจาล่อแหลมในเวลาทำงาน แถมด้านหลังของเขาทั้งสองก็มีลูกน้องยืนเรียงกันอีกถึง 4 คนด้วยกัน ถึงจะรู้ว่ารักมากแค่ไหน แต่คยูฮยอนเองก็ยังคงมีความกระดากอายอยู่เช่นกัน
เมื่อร่างบางลับสายตาไป ร่างสูงใหญ่ก็เดินเข้าไปจนชิดติดริมระเบียง เขามองเหล่าลุกน้องที่แบ่งกันลำเลียงลังไม้ขนาดใหญ่เท่าตัวคนไปตามสายพานด้วยดวงตาที่ค่อนข้างเป็นกังวล ในลังไม้เหล่านั้นเขาเองไม่อาจรู้ได้เลยว่าผู้ที่ต้องหายใจรวยรินในนั้นเดินทางมาจากประเทศไหน อายุเท่าไหร่ แล้วมาได้อย่างไร บางครั้งการเฝ้ามองภาพเหล่านี้มันก็ชวนให้หดหู่จนรู้สึกว่าเงินที่โอนเข้าบัญชีไปนั้นไม่ได้คุ้มค่าอะไรเลย
ซีวอนรู้ดีว่ามันเป็นตราบาป
ที่จะติดตัวของเขาไปจนวันตาย
จุดหมายของการเดินทาง
ถูกกำหนดไว้ด้วยโชคชะตา
เสียงฝีเท้าหนักแน่นดังกังวานไปทั่วทางเดินเหล็กที่ทอดยาวไปจนถึงห้องขังเดี่ยวด้านในสุด ผู้คุมสามคนที่เดินล้อมหน้าล้อมหลังผู้มาเยือนร่างใหญ่ทำได้เพียงแค่ปรายตามองเมื่อบานประตูของห้องขังเปิดออก ชายร่างสูงโปร่งในชุดนักโทษนั่งหันหลังอยู่ภายในนั้นโดยไม่คิดจะหันหลังกลับไปมองยังบานประตูแม้แต่น้อย
“รอด้านนอก” เสียงทุ้มของผู้มาเยือนเอ่ยบอกผู้คุมซึ่งยืนซ้อนกันอยู่ด้านหลัง ฝ่าเท้าทั้งหกข้างก้าวถอยห่างออกไปสี่ถึงห้าก้าว หากแต่คำว่าด้านนอกของคิมยองอุนนั้นหมายถึงการผลักบานประตูห้องขังให้ปิดลงจนไม่มีใครสามารถมองลอดเข้ามาด้านในได้อีกเลยแม้แต่น้อย
“หวังว่านายคงตัดสินใจได้แล้ว”
“อืม...”
“เขาจะรอนายตามนี้...” แผ่นกระดาษสีขาวขนาดเล็กถูกยื่นให้กับเจ้าของแผ่นหลังกว้าง ยองอุนจับมือกร้านของอีกคนขึ้นมาแล้วยัดมันลงไปในฝ่ามือนั้น เพื่อเป็นการบีบบังคับให้ร่างสูงเก็บมันไว้กับตัว
“คนที่ขนคนเป็นร้อยข้ามประเทศได้อย่างนาย คงจะจัดการกับแผ่นกระดาษอันเล็กนี้ได้ใช่ไหม ชเวซีวอน”
“เขารอผมจริงเหรอ?”
“ถ้ามันไม่จริงฉันจะไม่ถ่อมาที่ทำงานเก่าของตัวเองหรอก” ร่างหนาเอนตัวพิงกับกำแพงห้องขังที่เป็นโลหะแผ่นใหญ่ซึ่งสะท้อนภาพบูดเบี้ยวของร่างสูงโปร่งที่เอี้ยวตัวกลับมาหาเขา หนวดเคราทำให้ใบหน้าเกลี้ยงเกลาของซีวอนแลดูโทรมไปถนัดตาเมื่อเทียบกับรูปที่คยูฮยอนเอามาให้เขาไว้ใช้ดู ถึงกระนั้น โครงเดิมอย่างเช่นดวงตาเรียว กับสันจมูกโด่งสวยนั้นก็ยังคงทิ้งเอาไว้ให้รู้ว่าผู้ชายคนนี้คือ ชเวซีวอน เจ้าของธุรกิจค้ามนุษย์ที่เลื่องชื่อที่สุดในเกาหลีใต้
“...”
“เขารักนาย... นั่นคือสิ่งที่ฉันสัมผัสได้เวลาเราคุยกันเรื่องนาย”
“...”
“พรุ่งนี้ทุกอย่างจะดำเนินไปตามนั้น เรือประมงจะเข้าใกล้ที่นี่มากที่สุดตอนบ่ายสาม... ฉันบอกพวกเขาเอาไว้แล้วว่านายคือคนที่พลัดหลงกับฉัน... ฉันส่งนายได้แค่นั้น ส่วนที่เหลือนายจะเป็นคนกำหนดเองซีวอน” ยองอุนสบสายตาเข้ากับอีกฝ่ายที่ช้อนใบหน้าขึ้นมองเขา ร่างสูงขยับริมฝีปากเหมือนต้องการจะถามอะไรสักอย่างหากแต่เสียงเคาะบานประตูถี่รัวจากคนด้านนอกก็ทำให้ทุกอย่างต้องสิ้นสุดลง
“หัวหน้าผู้คุมคิมครับ ผู้คุมอีกำลังจะมาแล้ว”
“ฉันจะรีบไป” ยองอุนตะโกนตอบกลับไปในทันทีเพื่อคลายความกังวลของเหล่าผู้คุมที่ไม่มียศมีตำแหน่งมากนัก ร่างหนาปัดฝุ่นที่เลอะไปตามร่างกายออกแล้วพลิกตัวกลับไปยังบานประตูเพื่อเตรียมตัวจะก้าวออกไป หากแต่เขาก็เลือกจะหยุดฝ่าเท้าเอาไว้สักพักเมื่อนึกได้ว่าซีวอนมีเรื่องคาใจอยู่เมื่อครู่
“นายจะถามอะไรหรือเปล่า”
“ผม... ไม่มีอะไรแล้ว” ก้อนคำถามถูกปล่อยให้ตกเป็นข้อสงสัยต่อไป ซีวอนรู้ดีว่าสิ่งที่เขาจะถามต่อไปนั้นเป็นเพียงเรื่องไร้สาระเกินไปในเวลาคอขาดบาดตายเช่นนี้ อีกอย่างชื่อที่เขาอยากจะเอ่ยออกมาก็สุ่มเสี่ยงมากเหลือเกินที่จะทำให้เจ้าของชื่อต้องตกอยู่ในอันตรายเช่นเดียวกับที่เขาเคยเผชิญ
“เขาสบายดี... เขารอนายอยู่ ถ้านายอยากรู้เรื่องนั้นนะ.... โชคดีหล่ะ”
“ขอบคุณครับ” ร่างสูงกล่าวก่อนที่อีกคนจะแทรกตัวออกมาจากบานประตู ร่างสูงโปร่งหันหลังกลับไปนั่งในท่าเดิมของเขา มือหนาคลี่แผ่นกระดาษนั้นออกมาเพื่อเปิดดูเนื้อความที่อยู่ภายในนั้น ลายมืออันเคยคุ้นของคนที่เขาคิดถึงมากที่สุดปรากฏอยู่บนนั้น และเขาทำได้เพียงแค่ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยมันเหมือนที่เคยเกลี่ยลงตรงข้างแก้มใสอย่างทนุถนอม
ไปสก็อตแลนด์กับฉัน เราจะไปด้วยกัน
ฉันจะไปหานายวันที่ 15 เม.ย. สนามบินอินชอน
- คยูฮยอน
“นักโทษคุมขังพิเศษชเวซีวอนหายไปเมื่อตอนสิบโมงครับ”
“อะไรนะ!”
“ที่ข้อเท้าของเขามีบาดแผลใหญ่เหวอะหวะ ผมก็เลยขึ้นมาเอากล่องยา แต่พอเปิดประตูเข้าไปเขาก็หายไปแล้ว ลูกกรงหน้าต่างก็หลุดออกไป คิดว่าคงจะออกไปตามนั้นครับ...”
“สะเพร่าที่สุด! เรียกกองกำลังทุกหน่วยออกลาดตระเวนให้ทั่วเกาะ มันไม่มีทางหนีไปไหนได้ไกล”
“รับทราบครับผม!”
บาดแผลที่ข้อเท้าซึ่งเกิดจากการบาดของเหล็กทำให้ซีวอนอ่อนแรงจะวิ่งต่อไป ยิ่งไม่ได้นอนมาทั้งคืน เขายิ่งล้าลงไปกว่าเดิมอีกเท่าตัว แต่ถึงอย่างนั้นร่างสูงก็ยังคงพยายามซอยเท้าให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อไปยังฝั่งทะเลด้านทิศเหนือซึ่งเขาพอจะรู้มาบ้างว่าเป็นเขตที่มีตำรวจทำงานอยู่น้อยที่สุด
เสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่งและกลิ่นคาวเค็มของน้ำทะเล ทำให้ร่างสูงคลี่ยิ้มออกมาเป็นยิ้มแรกในรอบหลายวัน แม้จะเห็นตำรวจอยู่สองสามคนวิ่งวุ่นไปมาแต่ซีวอนไม่ได้คิดว่ามันเป็นปัญหาใหญ่อะไรนัก... สถานการณ์คับขันมากกว่านี้เขาก็ผ่านมาแล้ว
ร่างสูงคลานต่ำลงตามพุ่มไม้เตี้ยเพื่อเข้าใกล้ที่ตั้งของกองลาดตระเวนให้มากขึ้น เสียงฝีเท้าที่วิ่งวนไปรอบกายทำให้เขาต้องประคองสติที่เหลือน้อยนิดของตัวเองไว้ให้ดีที่สุดเพื่อระแวดระวังว่าตำรวจพวกนั้นจะเข้าใกล้เขาเมื่อไหร่
หน่วยกองลาดตระเวนสามคนเหมือนจะได้รับสาสนบางอย่างผ่านวิทยุสื่อสาร คลื่นเสียงนั้นไม่ชัดเจนจนน่าพิสมัยแต่ซีวอนก็ได้ยินชื่อเขาอยู่ในนั้นและมันก็เป็นเพียงเสียงเดียวที่เขาฟังออก ร่างสูงอาศัยจังหวะที่ทั้งสามคนล้อมกันเป็นกลุ่มก้อนวิ่งออกมาจากพุ่มไม้ ท่อนเหล็กที่ได้มาจากบานหน้าต่างของคุกทุบอย่างแรงที่ตำรวจนายแรกและก่อนที่ทั้งสองนายจะได้ควักปืนขึ้นมา เขาก็เตะเม็ดทรายเข้าหน้าของทั้งสองคนอย่างรวดเร็วตามแผนที่วางเอาไว้ แล้วจัดการใช้ท่อนเหล็กนั้นตีซ้ำไปอย่างจังจนหมดสติ
เสียงหวอที่ดังขึ้นทำให้ทุกอย่างไม่ง่ายอย่างที่คิด ซีวอนได้ยินเสียงลั่นไกปืนดังไล่มากติดๆแต่นั่นก็คงเป็นตอนที่ร่างของเขากระโดดลงไปในน้ำทะเลเรียบร้อยแล้ว กระสุนปืนหลายนัดยิงไล่ตามหลังเขามา และหนทางแก้เพียงทางเดียวก็คือการถามตัวเองว่าชาติที่แล้วเขาทำบุญมามากพอหรือเปล่า...
เรือลาดตระเวนขับวนเข้ามาล้อมเขาเอาไว้ แผลที่ข้อเท้าเริ่มจะแผลงฤทธิ์เมื่อถูกน้ำเค็มกัดเซาะ ซีวอนซี้ดปากครั้งสุดท้ายก็จะกลั้นใจดำดิ่งลงไปใต้น้ำแล้วเปลื้องผ้าของตัวเองออกให้หมด ร่างสูงว่ายสะเปะสะปะไปเรื่อย พยายามดีดตัวออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้และหวังว่าทะเลเคว้งคว้างนี้จะไม่ทำให้เขาหมดลมหายใจตายไปเสียก่อน
เสื้อผ้าที่ลอยขึ้นมาเหมือนจะปั่นป่วนเหล่าตำรวจอยู่มากโข เรือลาดตระเวนที่มีอยู่เพียง 3 ลำจำต้องเลี้ยววกกลับเข้าฝั่งเมื่อไม่พบร่างของชเวซีวอนเลยแม้แต่น้อย ผู้คุมอีซองมินได้แต่ยืนกุมขมับอยู่ที่ชายฝั่งเมื่อเห็นความล้มเหลวของตัวเอง... เขาได้แต่สวดภาวนาให้ชเวซีวอนจมน้ำตายแล้วลอยขึ้นมาในอีกวอนสองวันนี้ หากแต่นั่นก็ไม่ใช่ทางออกเพราะนักโทษคนนี้ยังตายไม่ได้... ซีวอนกุมเบาะแสไว้มากเกินกว่าที่เขาจะสั่งให้ใครสุ่มสี่สุ่มห้าวิสามัญร่างนั้นเสีย
“พ่อหนุ่มๆๆๆๆ”
“แค่กๆๆ... แค่กๆ” น้ำเค็มจำนวนมากทะลักออกมาจากริมฝีปากบางเฉียบของคนที่อยู่ในสภาพเปลือยล่อนจ้อน ความร้อนของแผ่นไม้ทำให้แผ่นหลังกว้างชาวาบและแสบร้อน หากแต่มันก็เป็นเครื่องหมายยืนยันที่ดีว่าเขายังไม่ได้ตายไปไหนเหมือนดังเช่นที่คิดเอาไว้ก่อนจะหมดสติไป
“โอ้... พระเจ้าคุ้มครอง” เสียงบ่นพึมพำของชายแก่ทำให้เขาต้องเสใบหน้ากลับไปมอง ร่างของเขาถูกคลุมลวกๆด้วยผ้าขนหนูผืนใหญ่ กลิ่นคาวปลาคละคลุ้งนั้นชวนอ้วก หากแต่เรี่ยวแรงของเขาในตอนนี้มีไม่มากพอที่จะขับอาหารเช้าออกมาได้หรอก... ซีวอนจึงได้แต่ทิ้งตัวนอนทอดแน่นิ่งอยู่เช่นเดิมแล้วกดความรูสึกพะอืดพะอมนั้นลงไป
“ผม...อ่า...”
“เข้าไปพักด้านในก่อนสิ... แทวูหาเสื้อกับกางเกงมาหน่อย” ชายแก่ยิ้มจนตาหยีเมื่อเห็นว่าเขาพยายามจะยันตัวลุกขึ้นนั่งและมันประสบความสำเร็จ ซีวอนเอนแผ่นหลังกว้างของตัวเองพิงเข้ากับห้องไม้ เขาทอดสายตามองไปรอบกายซึ่งยังคงเป็นผืนน้ำสีเขียวครามเหมือนเช่นภาพสุดท้ายที่เขาเห็นก่อนจะหมดสติ
“คุณลุง..”
“ยองอุนฝากคุณเอาไว้ พอขึ้นฝั่งคุณก็ไปกับรถขนปลาซะ... พวกเขาจะขึ้นโซล” ซีวอนประหลาดใจเมื่อได้ยินชื่อของผู้คุมเก่าที่เขาเพิ่งจะเจอหน้าเมื่อวาน นี่อาจเป็นอีกวิธีหนึ่งของตำรวจในการซักไซ้ข้อมูลจากเขาเพิ่มเติมเพื่อสาวไปหาคนที่ใหญ่ยิ่งกว่าโดยอาศัยชื่อของคยูฮยอนและยองอุนมาอ้าง แต่ในขณะเดียวกัน นี่อาจะเป็นความจริง... ความจริงที่เขากับคยูฮยอนจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้งก็เป็นได้
ชายแก่ปล่อยให้เขาได้อยู่ตามลำพังด้วยการลุกจากไปโดยไม่กล่าวอะไรทั้งนั้น ร่างสูงถอดแหวนเงินเกลี้ยงของตัวเองออกมาแล้วหยิบแผ่นกระดาษที่ถูกเหน็บเอาไว้ด้านในขึ้นมาอีกครั้ง ข้อความเหลืออยู่เพียงแค่คำว่า สนามบินอินชอน ที่ดูเหมือนคนเขียนจะตั้งใจเขียนเป็นพิเศษ...
ถึงตอนนี้ชเวซีวอนไม้มีทางเลือกอะไรอีกแล้ว
เขามีเพียงสิ่งเดียวที่ห่วงก็คือ โจวคยูฮยอน
__________ SUMMER KILLER__________
เผลอแป้บๆฝนตกแล้ว - -
เรื่องนี้เพิ่งขึ้นได้สองตอน 55555555555
เหลืออีกตั้ง 5 ตอนแหนะจ้า -..-
ช่วงนี้วุ่นวายกับการรวมเล่มเลยไม่ค่อยได้อัพ
เล่มเสร็จเมื่อไหร่จะรีบมาปั่น
ความคิดเห็น