คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : { Al dolilea }
{ Al dolilea}
อากาศเย็นทำให้คริสจามตลอดทางกลับบ้าน พาหนะขี้ก้างหมุนล้อไปตามทางฟุตบาทเดิมๆ ที่เปลี่ยนไปคงเป็นอากาศหนาวเย็นชวนให้ยกมือขึ้นถูกปลายจมูก
ท้องฟ้าช่วงหัวค่ำดูดึงดูดมากกว่ายามที่มันส่องแสงแรงกล้าในยามเช้า หรือไม่ก็มืดสนิทจนมองแทบไม่เห็นเมฆในเวลาเกือบเที่ยงคืน เซฮุนคิดว่าฟ้าสีเทามีสเน่ห์บางอย่างของมันภายใต้ความคลุมเครือที่เห็น เขารู้สึกเหมือนมันมีถ้อยคำบางอย่างที่คนหลังผืนฟ้าอยากส่งบอกและได้แต่หวังว่ามนุษย์ปุถุชนอย่างเขาจะเข้าใจได้ในสักวัน
ลมเย็นพัดเอื่อยเฉียดผิวแก้มทำให้รู้สึกหนาวจนเปลอกระชับอ้อมแขนกอดเอวผอมของคริสมากขึ้นไปอีก กลิ่นหอมอ่อนๆที่ตรึงติดอยู่บนผิวเนื้อนวลปลิวลู่มากับลม ปะทะชนปลายจมูกของเซฮุนโดยที่เจ้าตัวเองก็ไม่ทันรู้
เขาหลงรักกลิ่นหอมอ่อนๆนี้มากเกินกว่าจะผละใบหน้าออกมา
เสียงโซ่ฝืดทำให้ความเงียบทลายลงไปได้เป็นระยะ หากแต่ก็ยังคงปราศจากบทสนทนาระหว่างเขาทั้งสอง คริสหมกตัวเองอยู่กับความพยายามประคองจักรยานไปตามลู่ทางที่ถูกที่ควรของมัน ฝ่ายเซฮุนก็ดื่มด่ำกับบรรยากาศพลบค่ำซึ่งไม่ได้มีโอกาสมาสัมผัสมากนัก
ลมเย็นพัดปะทะเข้ามาอีกระลอก กลิ่นหอมอ่อนๆของคริสชนเข้าที่ปลายจมูกของโอเซฮุนที่กำลังคิดว่า หากสักวันหนึ่งกลิ่นอ่อนนี้หายไปเขาจะทำอย่างไร
จะตามหาเฉกเช่นคนเสียสติหรือไม่
จะยอมรับได้ไหมว่าเขาเป็นคนพรากมันไปเอง
เซฮุนไม่รู้คำตอบและเขาก็ไม่อยากตอบมันเลยจริงๆ
“จะซื้ออะไรไหมครับ?” แสงไฟสีเหลืองากซุปเปอร์มาเก็ตข้างทางและคำถามของคริสทำให้เซฮุนรู้สึกตัว นักวิทยาศาสตร์หนุ่มเบนหน้ามองอาคารทรงโดมขนาดใหญ่ที่จอดตัวอยู่ริมทาง เซฮุนขบคิดไปถึงตู้เย็นที่บ้านว่ามีส่วนไหนของมันที่ว่างเปล่าบ้างหรือไม่
“เข้าไปดูก่อนไหมหล่ะ เรายังมีเวลาอีกใช่ไหม"
“เรามีเวลาอีกเยอะแยะเลยครับ" คริสส่งยิ้มบางไปให้คนที่นั่งเกาะเอวอยู่เบื้องหลัง เขารู้ดีว่าคนงานเยอะอย่างโอเซฮุนมักกังวลเกี่ยวกับเวลาอยู่ตลอด ความเป็นนักวิทยาศาสตร์ของศูนย์ทดลองทำให้หมอต้องแบกกองงานมากมายไว้บนหลังและอุทิศทุกวินาทีเพื่อสะสางมันอย่างไม่น่าจำเป็น
แต่คริสก็ไม่สามารถทำอะไรไปได้มากกว่าการเหลือบมองใบหน้าหม่นแสงของโอเซฮุน
บางทีเขาอยากพรากงานออกมาจากของเซฮุนบ้าง... ได้สักวินาทีก็ยังดี
เราเข้ามายืนอยู่ท่ามกลางซุปเปอร์มาเก็ตพร้อมกับตะกร้าคล้องอยู่ในมือ พาตัวเองตรงไปยังแผนกเนื้อสัตว์แช่แข็งราคาสูงลิบลิ่ว คนธรรมดาไม่สามารถซื้อมานั่งกินได้อย่างสบายใจ เรามักกินเนื้อเมื่อมีโอกาสพิเศษมากกว่า พืชหากินได้ง่ายมากกว่าเนื้อแต่การเคี้่ยวผักใบสีเขียวก็ไม่เคยเป็นสิ่งโปรดปรานของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยไหนแล้วหล่ะ
“ลองไก่ไหม... ครั้งที่แล้วเรากินเป็ดไปแล้วนี่นา" คนตัวสูงที่มีตะกร้าคล้องขอแขนปาดสายตามองเซฮุนที่กำลังจับแพ็คเนื้อสองแพ็คขึ้นมา ใบหน้าเรียวหวานอ่อนกว่าวัยแย้มยิ้มยามที่นำเสนอเนื้อไก่ให้เขาเลือก คริสรู้สึกว่าเซฮุนต้องการคนดูแล
“ครับ" เขาพยักหน้าตกลงทั้งที่ยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าไก่คืออะไร เขารู้แค่ว่าได้กินเป็ดไปแล้วครั้งนึงเมื่อหลายวันก่อน
“อกไก่นี่ของโปรดเลยหล่ะ" เซฮุนพึมพัมพร้อมวางถาดเนื้ออกไก่ใส่ลงไปในตะกร้าแล้วออกเดินต่อไปเบื้องหน้า ในขณะที่ใครอีกคนกำลังจดจำบางอย่าง
หมอชอบกินอกไก่
คริสเผลอหลุดหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อเขาคิดว่าบางทีเขาอาจจะเปิดฟาร์มไก่
หรือถ้าง่ายกว่านั้นเซฮุนควรจะเปลี่ยนมาชอบกินอกของเขาแทน...
เราเดินวนไปเรื่อยเปื่อย ลืมเรื่องเข็มสั้นเข็มยาวและพรุ่งนี้เช้าที่กำลังเคลื่อนใกล้เข้ามา ขนมสองสามถุงถูกจับโยนลงไป ตามต่อด้วยน้ำผลไม้และเครื่องปรุงอีกสองสามชนิด เซฮุนส่งเสียงถกเถียงเมื่อเห็นว่าคริสพยายามจะจับฟักทองของโปรดของเขาออกไปจากตะกร้าและมันก็น่าขำที่ใบหน้าของเขายังคงเปื้อนรอยยิ้มได้อยู่
“ฟักทองเต็มไปหมดแล้ว"
“เดี๋ยวฉันก็กินหมดเองแหละหน่า...” คำตอบดังกล่าวทำเอาแคชเชียร์สาวถึงกับหลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ คริสขมวดคิ้วเข้าหากันแต่ก็ยอมรับของทั้งหมดมาถือเอาไว้ในมือขณะรอเซฮุนจ่ายเงิน
ตะกร้าหน้ารถจักรยานไม่ว่าง... มันบรรจุด้วยฟักทองลูกโต คับแน่นจนแทบปริแตก
ใบหน้าของเซฮุนและคริสไม่ว่าง... ต่างฝ่ายต่างถูกแต้มเติมด้วยรอยยิ้ม
- - -
เซฮุนลากขาที่ถูกหุ้มห่อเอาไว้ด้วยกางเกงนอนผ้ายืดตัวบางออกมายังห้องครัว เขาอ้าปากหาววอดใหญ่อย่างไม่สบอารมณ์เพราะเสียงนาฬิกาปลุก วันนี้เป็นวันจันทร์และเขาต้องไปทำงานที่ศูนย์วิจัย ทุกอย่างจะดีกว่านี้หากฝนไม่ตก
เม็ดฝนส่งเสียงเปาะแปะ อากาศเย็นลงจนคนเพิ่งตื่นต้องยกมือขึ้นมาถูกันระหว่างเดินตามกลิ่นอาหารไปที่ห้องครัว ที่ซึ่งแผ่นหลังกว้างของใครบางคนกำลังขยับไปมาอยู่หน้าเตา
“ทำไรอ่า...” เสียงพร่าของเซฮุนอาจช่วยทำให้คริสสะดุ้งแต่สาเหตุหลักเป็นเพราะอ้อมแขนที่เอื้อมมาโอบรัดรอบเอวของเขามากกว่า พ่อครัวจำเป็นยกหะหลิวขึ้นจากกระทะที่มีหอมหัวใหญ่เจียวส่งกลิ่นหอมไปทั่วเพื่อก้มลงมอบจูบรับอรุณให้กับคุณหมอจอมง้องแง้งที่ยื่นหน้าเข้ามาอย่างมีความหมาย
เซฮุนยิ้มกว้างเมื่อได้รับสิ่งที่ตัวเองต้องการ
“คาโบนาร่าครับ"
“หอมมากเลย...”
“ก็ผมใส่ฟักทอง... ไปอาบน้ำสิครับ แล้วค่อยมากิน" มันเป็นคำแนะนำที่เซฮุนขอเรียกมันว่าคำสั่ง เขายอมคลายอ้อมกอดจากเอวบางของอีกคนเพื่อตรงไปหาน้ำดื่มสักแก้วแล้วตรงเข้าห้องน้ำไป
โอเซฮุนดูดีเสมอในชุดสีขาว กราวน์ตัวโคร่งที่คลุมร่างผอมบางทำให้คุณหมอดูตัวใหญ่ขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ คาโบนาร่าหมดจานแล้วแต่โอเซฮุนกลับอิดออดที่จะเดินออกจากบ้าน เขาเอนหัวซบลงกับไหล่ของพ่อครัวที่กำลังเขี่ยเบค่อนในจานให้จำนวนของมันสมดุลกับเส้นสปาเก็ตตี้
ท่าทางเหมือนลกแมวทำให้คริสตะแคงหน้าเมียงมองคุณหมอ ดวงตาของเซฮุนมีแรงดึงดูดบางอย่างที่เขาปฏิเสธไม่ได้เลยสักครั้งเมื่อถูกช้อนตามอง เจ้าของไหล่ก้มหน้าต่ำลงมา กดสันจมูกเข้าที่ขมับของอีกคนด้วยความเคยชิน
“ครับ?”
“ฝนตก...”
“ครับ?”
“ขี้เกียจไปทำงาน" ดวงตาคมปรายลงมองคนขี้เกียจที่เกาะเกี่ยวแขนของเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ซ้ำยังเอาหน้าไถไปมากับต้นแขนเพื่อออดอ้อน คริสไม่รู้วิธีการรับมือกับท่าทางแบบนี้ เขาหวังว่าจะเรียนรู้มันได้ในสักวันแต่วันนั้นก็ยังไม่มาถึงสักที
หรือไม่ เขาเองนั่นแหละที่ไม่จริงจังจะหามัน
“อ่า ไม่ดีเลยครับ มีคนมากมายรอหมออยู่นะ" เซฮุนชะงักกับประโยคดังกล่าว คำว่าคนมากมายรอเขาอยู่มันฟังดูโหวงเหวงเพราะเขาไม่ได้หวังให้ใครมารอเขา มันน่าสมเพชที่คนเหล่านั้นกำลังนั่งรอความตายของคนอีกกลุ่ม สิ่งที่ผู้คุ้มครองเรียกว่าความสำเร็จ แต่เขาสมเพชตัวเองมากกว่าที่ยอมเดินตามเกมส์ของคนพวกนั้นจนเรื่องเลยเถิดได้ไกลขนาดนี้
มีประดิษฐกรรมทางความคิดหลายชุดที่รอคอยวันปลดปล่อย มนุษย์ในบาเรียแห่งนี้ทำได้สารพัดล้านแปด ยิ่งถ้าหากพ่วงด้วยตำแหน่งนักวิทยาศาสตร์แล้ว มือทั้งสองข้างก็แทบจะกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจ คำพูดจากปากของพวกเขาเทียบเท่าได้เหมือนรัฐมนตรี กล่าวอะไรไปใครก็เชื่อ ทำอะไรไปใครก็สนับสนุน เมื่อก่อน เซฮุนคิดว่ามันดีและง่าย...แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าแท้จริงมันคือการครอบงำ
เขาสามารถสร้างมนุษย์ได้ด้วยมือข้างขวาและในขณะเดียวกันก็อาจใช้มือข้างซ้ายฆ่าใครสักคนได้
เขารู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลตอนเหลือบมองใบหน้าเปื้อนยิ้มของคริส ถ้าหากสักวันคริสรู้ว่าการทำงานของเขามีค่าเท่ากับการพยายามกำจัดเจ้าตัวให้มีประโยชน์สูงสุดคริสจะยังอยากให้เขาออกไปทำงานหรือไม่
แต่เซฮุนมั่นใจว่าเขาไปอยากไปทำงานเพราะเขาไม่อยากทำมัน...
ไม่ใช่เพราะเขาไม่อาจฆ่าหัวใจที่ตัวเองสร้างขึ้นมาแต่เพราะเขาไม่สามารถทำร้ายคนที่กุมหัวใจของเขาเอาไว้มากไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
“หมอครับ...”
“...”
“หมอ...”
“ห๊ะ?!”
“มีอะไรหรือเปล่าครับ" เสียงทุ้มกังวาลเอ่ยถามออกมาพร้อมแววตาเป็นห่วงเป็นใย เซฮุนส่ายหน้าปฏิเสธทันที ฉีกยิ้มกลบเกลื่อนความกังวลที่กัดกินลึกเข้าไปถึงก้านหัวใจของตัวเองโดยไม่ให้อีกฝ่ายรับรู้
“ไม่หรอก ฉันง่วง"
“งั้นผมไปส่งไหมครับ?”
“...ไม่เป็นไรหรอก นายเตรียมตัวเถอะ นัดชานยอลเอาไว้ตอนสิบโมงไม่ใช่หรือไง?” ใบหน้าหวานเบือนไปทางปฏิธินที่แขวนอยู่เหนือผนัง วงกลมสีแดงแผ่ล้อมวันที่สิบหกกันยายนเอาไว้พร้อมกับคำอธิบายสั้นๆด้วยลายมือขยุกขยิกเป็นภาษาอังกฤษ คริสพยักหน้ารับความจริงข้อนั้นแต่สายตาก็ยังคงเต็มไปด้วยความเป็นห่วงที่ปิดไม่มิดอยู่ดี
“แต่หมอ...”
“ฉันไม่เป็นไรหรอกหน่า ไม่ต้องห่วงนะ"
“ครับ"
“ไม่ขมวดคิ้วซี่~ นายควรจะยิ้มเพื่อส่งฉันไปทำงานนะ...” เป็นอีกครั้งที่เซฮุนวาดแขนโอบรัดเรือนกายสูงใหญ่ของคนตัวโตเอาไว้ ซุกใบหน้าของตัวเองเข้าหาอกกว้างคล้ายลูกแมวที่พยายามออดอ้อนเจ้าของ ซึ่งมันทำให้คริสยิ้มออกมาได้
“ครับ ไปทำงานเถอะ" ริมฝีปากของทั้งคู่แนบประทับกันอีกครั้งแทนคำบอกลาและคำสัญญาสำหรับมื้อเย็นของวันนี้ เซฮุนกางร่ม เดินตรงไปยังยานพาหนะรูปร่างประหลาดตาทว่าทันสมัยที่เรียกว่า คาร์บอล แล้วขึ้นไปนั่งในห้องโดยสารกลมๆก่อนที่มันจะเคลื่อนตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
คริสมองคาร์บอลของเซฮุนเคลื่อนหายไปจนลับสายตา เขาผ่อนลมหายใจออกมาอย่างยากลำบาก ยกมือขึ้นทุบเบาๆตรงอกข้างซ้าย
เมื่อไหร่ความเจ็บที่อกแบบนี้มันจะหายไปเสียที
- - -
เซฮุนเข้ามาถึงที่ทำงานทันเวลาและพบว่ามัการเรียกประชุมด่วน ผู้คนในศูนย์วิจัยวิ่งวุ่นยิ่งกว่าวันซ้อมหนีไฟหรือหนีน้ำเสียอีก มันช่วยไม่ได้ที่เขาจะต้องเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นทั้งที่ไม่รู้เหตุผลว่าทำไปเพื่ออะไร แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ การเดินเอื่อยๆแบบที่เขาชอบคงจะไม่ใช่เรื่องดีนัก
“พระเจ้า... ขอบคุณที่มึงมา" เสียงคุ้นเคยของเพื่อนร่วมงานคนสนิททำให้เซฮุนต้องรีบหันขวับไปข้างกาย โจวคยูฮยอนผูู้ไม่เคยผูกไทด์กำลังตวัดเอาเนคไทด์สีดำในมือม้วนให้เป็นก้อนกลมก่อนจะยัดใส่ลงไปในกระเป๋า คงจะโดนคนที่บ้านบังคับผูกมาอีกเหมือนเคย
“มีอะไรกันเหรอ"
“วันนี้รัฐมนตรีจะมาที่ศูนย์"
“ห๊า?”
“ไม่หาไม่เหออะไรแล้วเซฮุน เขาจะเข้ามาดูโครงการอะไหล่มนุษย์ของเรา"
“...”
“คุณฮีชอลเพิ่งจะเอาเอกสารเข้าไปที่ศูนย์ควบคุมมา เห็นบอกว่าอีกสิบหน้านาทีจะเดินทางมาถึงให้พวกเราเตรียมพร้อม แล้วนายรู้อะไรไหม... โครงการหลุมดำเชื่อมโลกของไอ้ซองมินบ้านั่นดันดูดเครื่องมือการแพทย์ของฝ่ายเสต็มเซลล์ไปโผล่ที่ไหนสักแห่งในยุคจูราสสิค นับว่าเราสองคนโชคดีมากที่ย้ายออกมาอยู่ไกลๆโครงงานของมัน... บ้าบอสิ้นดี"
“อ่า แล้วทำไงหล่ะ?”
“เขาก็เลยจะเชิญรัฐมนตรีมาตรวจโครงการปลูกถ่ายอวัยวะของเราแทนไง! เชื่อเขาเลย... คิมฮีชอลแม่งไม่เคยถามใครก่อนอ่ะ หมอนั่นนั่งโต๊ะเลขา ทำงานที่นี่ได้ยังไงวะ...” คยูฮยอนยังคงพร่ำบ่นสารพัดสารพันเกี่ยวกับคุณฮีชอลกระทั่งเราสองนเดินเข้าไปในห้องทำงาน ระบบแสกนอ่านของมูลของผมผ่านรอยนิ้วมือและดวงตาข้งขวาเหมือนเช่นทุกครั้ง บานประตูโครเมียมเปิดออกต้อนรับพวกเราเข้าไปด้านใน
พื้นที่ทำงานของผมห้อมล้อมไปด้วยตู้กระจกรักษาอุณหภูมิ สิ่งแรกที่ต้องทำคือการสวมเสื้อเข้าไปอีกชั้นและถุงมือชนิดพิเศษที่จะช่วยให้เราปลอดภัยจากแบคทีเรียและอากาศหนาว ผมปรี่เข้าไปดูเครื่องควบคุมอุณหภูมิเพื่อเช็คความเรียบร้อยว่ามันไม่ได้ผิดเพี้ยนไป ก่อนจะเหลือบตากวาดไล่ดูอวัยวะต่างๆทีี่อยู่ภายในนั้น
อะไหล่มนุษย์คือสิ่งที่ผมกำลังทำ สร้างมันจากการนำเซลล์มาเลี้ยงอย่างใจเย็นโดยอาศัยเค้าโครงของอวัยวะเดิมเท่าที่พอจะหาได้ มันเป็นโครงงานระยะยาวของผมและคยูฮยอน ตอนนี้ดำเนินก้าวไกลมาได้กว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นแล้ว เราอยู่ในช่วงการดูผลทดลองจึงไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าการเข้ามาเช็คอวัยวะในตู้พวกนี้และหาเคสทดลองเพื่อยืนยันว่าเราประสบความสำเร็จ
คยูฮยอนรื้อค้นแฟ้มเอกสารราวกับคนบ้า ดึงมันออกมาจากลิ้นชักแล้วเปิดกางเอาไว้บนโต๊ะทำงานของเขาเพื่อเตรียมตัวสำหรับการนำเสนอ ส่วนผมที่ไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรก็หย่อนตัวลงนั่งบนเตียงผ่าตัดที่ชวนให้นึกถึงใครบางคนที่เพิ่งจะจากกันมา
คนที่ทำคาโบนาร่าให้กินเมื่อเช้า...
เราเจอกันครั้งแรกที่นี่ ตอนนั้นเซฮุนไม่รู้จักและไม่เคยรู้จักผู้ชายที่นอนอยู่ตรงหน้ามาก่อนเลยในชีวิตยี่สิบสองปีของเขา เราไม่เคยพบกันมาก่อน ไม่รู้ว่าผู้ชายตัวสูงคนนี้อายุเท่าไหร่ สัญชาติอะไร บ้านอยู่ที่ไหน หรือแม้แต่ว่ามานอนอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร โอเซฮุนก็ไม่รู้และไม่เคยรู้
บางทีการพบกันของเราอาจเป็นเรื่องตลกร้ายน้ำตาซึม แต่กับโลกในปี 2017 (ปีที่เราเจอกัน) ก็คงไม้มีตลกร้ายได้เท่ากับเรื่องที่รัฐบาของกลุ่มประเทศ G6 เริ่มประชุมหารือกันเรื่องการสร้างบาเรียอย่างจริงจังและกำหนดตัวเองเป็นพระเจ้า มันน่าขันที่เราทำตัวคล้ายเด็กประถมสอง กำลังเล่นสร้างบ้านเมืองและคัดเลือกอัศวินผู้ยิ่งใหญ่เข้าพระราชวัง บางคนต้องยอมขี่ม้าแคระออกไปนอกเขตประตูหลักถูกพิพากษาว่าเป็นคนผิด แต่เราก็กำลังทำเช่นนั้นอยู่จริงๆ
ชีวิตของโอเซฮุน นักวิทยาศาสตร์แนวหน้าของเกาหลี(อดีตประเทศขนาดกลางที่มีอาหารชื่อดังว่ากิมจิและผมอยากบอกคุณว่ามันอร่อยมากจริงๆโดยเฉพาะในฤดูหนาว) ถูกตั้งเป้าหมายและปูทางมาไว้ตั้งแต่เด็กว่าต้องเติบโตมาอย่างมีศักยภาพ และมีเป้าหมายคือการเป็นนักวิทยาศาสตร์ พ่อของผม โอชุนฮง โด่งดังและมีชื่อเสียงจากการออกแบบบาเรียที่รัฐบาลหกประเทศกำลังหัวปั่นกับมันอยู่เพื่อปกป้องมนุษยชาติจากการทำลายล้างครั้งใหญ่ที่ถูกทำนายเอาไว้ว่ามันจะเกิดขึ้น ผนวกกับการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ที่ทำให้ฝรั่งเศสแทบจะล่มสลายไปกับการจ่ายเงินค่าชดใช้คนเกือบค่อนโลก แม้เหตุการณ์จบแต่กัมมันตรังสีเหล่านั้นยังคงตกค้างอยู่และบ่อนทำลายมนุษย์อย่างร้ายกาจ มีคนล้มตายเฉลี่ยวินาทีละหนึ่งร้อยสามสิบคนทั่วโลกและมนุษย์ก็ยังคงพยายามขัดขืนบทลงโทษของธรรมชาติ บาเรียของพ่อได้ถูกนำมาทดลองภายในระยะเวลาอันแสนสั้นและหลังจากนั้นมันถูกปรับปรุง กระทั่งช่วงกลางปี ท่ามกลางอากาศร้อนซึ่งเผาชาวอินเดียคนหนึ่งให้ตายทั้งเป็นริมแม่น้ำคงคา บาเรียก็แผ่ขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นโดมโค้งหากแต่มันมีพื้นที่จำกัด ไม่สามารถจุคนได้ทั้งโลกตามที่พ่อหวังไว้ เหล่าตัวแทน G6 ประกาศตนเป็นพระเจ้าคัดเลือกชีิวิตที่จะได้ดำเนินต่อกับชีวิตที่ต้องถูกทอดทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง เซฮุนเป็นหนึ่งในผู้ถูกเลือก เขาไม่รู้ว่าใครได้รับเลือกบ้าง มีวิธีการคัดสรรอย่างไร พระเจ้าที่ว่านั้นกำลังทำอะไร... สิ่งที่เขาคิดว่ารู้แน่ชัดคือ คริส ไม่ใช่ผู้ที่ถูกเลือก
เพราะคริสได้เข้ามาในบาเรียเมื่อตอนที่หมดลมหายใจแล้ว
ตามเอกสาร(ที่ผ่านเครื่องคัดกรองความจริงมาแล้ว)ระบุว่าร่างไร้ลมหายใจของคริสถูกพบอยู่ห่างออกไปนอกเขตบาเรียประมาณ 5 กิโลเมตร เขาเสียชีวิตเพราะได้รับสารเคมีเกินจำนวน ส่งผลให้ระบบการทำงานของอวัยวะภายในล้มเหลวทั้งหมด... ร่างไร้วิญญาณนี้เป็นเคสของผม โอเซฮุนนักศึกษาวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ได้รับความไว้วางใจจากรัฐบาลตามนโยบายเร่งผลิตนักวิทยาศาสตร์ หน้าที่ของผมไม่ใช่การรักษาเขาเพราะเราไม่ต้องการมนุษย์เพิ่มอีกแล้ว... เราต้องอะไหล่มนุษย์
ผมประสบความสำเร็จจากการโคลนนิ่งอวัยวะเป็นชิ้นส่วนเมื่อหลายปีก่อน มันถูกทำเป็นวิทยานิพนธ์จบปริญญาของผม อวัยวะเหล่านั้นทำงานและใช้ได้จริง เหมือนอะไหล่รถยนต์ แต่ผมไม่สามารถทำให้มันเติบโอย่างยั่งยืนได้ ผมจึงต้องการร่างไร้วิญญาณของใครสักคนเพื่อปลูกถ่ายมันลงไป ให้ก้อนอวัยวะเหล่านั้นได้ลองทำงานตามประสิทธิภาพของมัน จากนั้นจึงค่อยผ่าตัดเปลี่ยนเข้าสู่ร่างของมนุษย์จริง
ในห้องนี้ไม่ได้มีแต่ร่างของคริสเท่านั้น มีคนอื่นอีกมากมายก่ายกอง ผมทำงานท่ามกลางกองศพ หย่อนอวัยวะชิ้นใหม่ใส่ลงไปในร่างของพวกเขาที่ส่วนมากเสียชีวิตเพราะสารเคมีทั้งนั้น ผมมีนักทดลองคู่คิดคือโจวคยูฮยอน เขาเป็นเพื่อนของผมตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม เราจมอยู่กับโครงการนี้กว่าแปดเดือน จนย่างเข้าสู่ปี 2018 มีสองร้อยชีวิตแบบสมบูรณ์บ้างไม่สมบูรณ์บ้างเกิดขึ้นในศูนย์วิจัย
ผมเขียนสรุปงานและส่งมันให้กับรัฐบาล...ไม่สิ.... ตอนนี้ผมต้องเรียกคนพวกนั้นว่าผู้คุ้มครองตามนโยบายของเขา... สองร้อยชีิวิตที่ผมกับคยูฮยอนสร้างถูกจำแนกออกเป็นสองกลุ่มตามแบบเดิม...แบบของพระเจ้า คือมีชีวิตที่จะได้อยู่รอด กับชีวิตที่ต้องสิ้นสุดลงเพราะร่างกายของเขาไม่แข็งแรงมากพอ
มนุษย์โคลนหมายเลข 784 ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มพิการและไม่ควรค่าแก่การสูบอาหารในบาเรีย เขามีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ แต่ผลวิจัยระบุว่าสมองและหัวใจของ 784 แข็งแกร่งและทรงพลังมากที่สุดในบรรดามนุษย์โคลนทั้งหมด ยีนส์ที่นำมาตัดแต่งเป็นเขาสกัดจากเหล่านักวิทยาศาสตร์เลื่องชื่อและทหารผู้แกร่งกล้า ทั้งหมดทั้งมวลนั่นผนวกกับสัญญาที่ผมกระหืดกระหอบออกจากบ้านมาเซ็นให้ทำให้ 784 ได้อยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงทุกวันนี้
ผมจำบ่ายวันนั้นได้ดี หลังโจวคยูฮยอนโทรมาบอกเรื่องคำตัดสินจากผู้คุ้มครองผมก็วิ่งปรี่เข้าไปที่ศูนย์ด้วยสภาพกระเซอะกระเซิงเกินบรรยาย กางเกงนอนลายหมีถูกคลุมอย่างลวกๆไว้ด้วยเสื้อกราวน์สีขาว มือของผมถือแฟ้มประวัติของ 784 เอาไว้หลังจากที่หลับคาเล่มไปเมื่อคืน ผมได้รู้ว่าเขาชื่อ อู๋อี้ฟาน เป็นนักเขียนที่โจมตีการกระทำของเหล่าผู้คุ้มครอง โจมตีระบบคัดสรรนั้นอย่างหนักผ่านงานเขียน เขามีคำถามเดียวกันกับผมคือ บุคคลเหล่านั้นใช้กฎเกณฑ์อะไรมาสถาปนาตนเป็นพระเจ้าเลือกคนเข้าบาเรีย
คยูฮยอนมองผมเหมือนมองคนบ้าตอนที่ผมผลักประตูเหล็กบานหนา วิ่งฝ่าดงมนุษย์โคลนที่ตัวเองสร้างมากับมือเพื่อหยุดยืนอยู่ที่หน้าคนของผู้คุ้มครอง มือของผมเอื้อมคว้าเอาข้อแขนของ 784 เอาไว้แล้วดึงเขาไปอยู่ในฝั่งของคนที่จะได้อยู่รอด ชายวัยกลางคนคนนั้นมองผมด้วยสายตาประหลาดเพื่อขอเหตุผล ผมเป็นบ้าอีกครั้งเมื่อเงยหน้าเข้าสู่จอโทรภาพขนาดใหญ่ ประจันสายตาเข้ากับรัฐมนตรีแล้วประกาศดังก้องว่า
“784 เป็นโคลนนิ่งพิเศษ... เขาพิเศษไม่ได้พิการ เขาต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดเพราะเขาสมบูรณ์ที่สุด เราต้องให้เวลาร่างกายของเขามากกว่านี้... เพราะฉะนั้นให้ผมเป็นคนดูแลเขาเถอะครับ" รัฐมนตรีไม่ได้มีท่าทีอะไรหลังจากผมว่าจบ เขาก็แค่ลุกจากเก้าอี้เพื่อตรงมาที่ศูนย์ทันที เราเปิดห้องน้ำชาและนั่งคุยกันอยู่พักใหญ่ก่อนที่ผมจะเดินออกมาหา 784 พร้อมกับกระดาษใบหนึ่ง... มันคือข้อตกลงที่ผมต้องทำร่วมกับรัฐบาลเพื่อรักษาชีวิตของเขาไว้
“ฉันชื่อโอเซฮุน" ผมกล่าวด้วยเสียที่ดูดีขึ้นกว่าเมื่อครู่ตอนยกขาคร่อมพาดบนจักรยานแล้วตบที่เบาะเรียกให้เขาตามขึ้นมาซ้อน "ขึ้นมาสิ"
“...”
“ฉันจะเรียกนายว่าคริส...โอเคไหม?”
“คริส" เขาทวนซ้ำตอนขึ้นมาคร่อมอยู่บนเบาะ เราสบตากันนิ่ง
“อืม...คริส" ผมยิ้มบางๆเมื่อเห็นขาขยับปากไปมาเป็นคำว่าคริสราวกับจะย้ำชื่อนั้นเข้าไปในสมองก่อนจะเริ่มออกแรงถีบจักรยานให้เคลื่อนตัวไปตามทางที่ถูกจัดเอาไว้ให้ กลับไปยังบ้านที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปมากมาย
“คุณคยูฮยอน คุณเซฮุน... ท่านรัฐมนตรีกำลังเดินทางไปที่ตึกแล้วค่ะ" เสียงของฝ่ายประสานงานดังก้องทะลุลำโพงออกมา ผมมองหน้าคยูฮยอนที่สาละวนอยู่กับการเรียบเรียงเอกสาร ใบหน้าของเราไม่ได้แสดงความกังวลแต่ลึกๆแล้วเรารู้ดีว่ามันคือความกังวล ครั้งสุดท้ายที่ผมเจอเขาคือวันที่เรานั่งอยู่ในห้องน้ำชาและเซ็นสัญญานั่น... นี่ก็ผ่านมาเกือบสามปีแล้ว
ครืด...
“คุณคงยังจำวิธีการหายใจได้ใช่ไหม โจวคยูฮยอน โอเซฮุน...” ใบหน้าประดับแผลเป็นของเขาขยับมองเราพร้อมรอยยิ้มเยือกเย็นอันน่าขยะแขยง
“ครับ...”
ผมว่าเขาเหมือนเดิม... แม้แต่คำทักทายนั่น... ชเวซึงฮยอนก็ยังเป็นคนหยิ่งผยองเหมือนเดิม
เหมือนอย่างที่อู๋อี้ฟานบอกว่าเขาระเริงกับอำนาจและกวาดทำลายทุกอย่างรอบกาย... วันหนึ่งเขาจะรู้เองว่าจุดบนสุดที่เขายืนอยู่มันจะพังเข้าสักวัน
- - -
“เจ็บหน้าอกเหรอ...”
“ครับ"
“จริงอย่างที่ว่าแหละ มันไม่ดีมากๆเลย" ชานยอลเปรยเสียงเรียบในขณะที่ปาดพู่กันไปบนผืนผ้าใบตรงหน้า กลิ่นของสีน้ำมันไม่ได้หอมและติดจะทำร้ายจมูกกันเสียด้วยซ้ำ แต่คริสกลับหลงรักมันหัวปักหัวปำ ยิ่งเมื่อพบว่าตัวเองสามารถบังคับจัดการมันได้ดี เขายิ่งสนุกกับการรังสรรค์ผลงานมากกว่าเก่า
“...”
“บอกเซฮุนบ้างหรือยังหล่ะ?”
“ยังเลยครับ ช่วงนี้เหมือนหมอมีเรื่องเครียด ผมไม่อยากให้เขาต้องหนักใจ"
“ถ้านายเป็นอะไรขึ้นมา ไม่คิดว่าเขาจะหนักใจกว่าหรือไงหล่ะ" ศิลปินหนุ่มหยอดคำถามกลับไปเมื่อฝ่าเท้าของเขาถอยก้าวห่างออกมาจากภาพวาดเพื่อมองดูว่ามันเป็นไปตามอย่างที่เขาจินตนาการไว้แล้วหรือยัง
ปาร์คชานยอลเกือบจะเป็นผลงานการโคลนนิ่งแบบปลูกถ่ายชุดแรก ร่างของเขาเป็นเพียงนักศึกษาคนหนึ่งที่บอบช้ำจากการประท้วงต่อสู้กับเหล่าผู้คุ้มครอง เขาสลบไปและคิดว่าตัวเองตายไปแล้ว... โจวคยูฮยอนเองก็คงคิดว่าเขาตายไปแล้วเช่นกันเลยเก็บเขาเข้ามาในห้องทดลอง ระหว่างที่เสียงกุกกักดังสะท้านและคมมีดจ่ออยู่ที่หน้าท้อง เขาสะดุ้งเฮือกขึ้นมาจากฝันร้าย ปลายมีดบาดเข้าบริเวณสีข้างจนได้เลือดแต่ก็โชคดีที่ไม่โดนกรีดสด
อวัยวะของเขาถูกทำลายไปบางส่วนและโจวคยูฮยอนกับโอเซฮุนก็แอบช่วยเหลือเขาอย่างลับๆ เขาถือบัตรในฐานะร่างโคลนแต่ความจริงแล้วเขาคือมนุษย์ที่หลุดรอด... คยูฮยอนบอกว่าเขาโชคดีที่สะดุ้งขึ้นมาทันเวลา มิเช่นนั้นเจ้าตัวหล่ะไม่อยากคิดว่าการกรีดท้องมนุษย์จริงๆจะให้ความรู้สึกแบบไหน ชานยอลเองก็เห็นด้วยกับคยูฮยอนทั้งหมดนั้นแหละ
“ผม...”
“โลกเก่าของฉันมันแตกสลายเพราะมนุษย์ไม่รู้จักพูดทั้งที่มีปาก...”
“...”
“เชื่อฉันเถอะคริส บอกเซฮุนที่เป็นหมอน่าจะมีประโยชน์มากกว่ามาบอกฉันที่เป็นศิลปินนะ" ชานยอลพูดทั้งที่ดวงตาทั้งสองข้างเหลือบมองภาพวาดของคริส "ฉันแก้อาการปวดที่อกของนายไม่ได้แต่ฉันรู้ว่านายกำลังมีเรื่องคิดมาก" นิ้วเรียวยาวปาดลงบนก้อนสีน้ำมันที่จับตัวกันเพราะอีกคนไม่มีสติมากพอจะยั้งน้ำหนักมือ ชานยอลป้ายมันลงไปที่จานสีของมนุษย์โคลนแบบปลูกถ่ายตัวจริงซึ่งนั่งเม้มปากอยู่ตรงหน้าเขา
“...”
“นายเองก็กำลังว้าวุ่นเหมือนกัน... มีบางอย่างซ้อนขมวดจนเป็นปมในหัวใจของนาย"
“...ผม...”
“...”
“ผมคิดว่า...ผมกำลังทำผิด...”
“...” ชานยอลไม่พูด เขานั่งรอฟังประโยคถัดไปอย่างใจเย็น
“ผมคิดว่าผมทำตามที่อาจารย์บอกไม่ได้ มันยากเกินไป...”
“...”
“หัวใจของผมทำงานหนักทุกครั้งที่อยู่ใกล้หมอ... ผมคิดว่ามันไม่ใช่แต่ปมก็ปฏิเสธไม่ได้.. หัวใจของผมมันทำงานหนักจนผมปวดไปหมด ปวดเหมือนจะตาย...”
“...”
“ทำยังไงดีครับชานยอล... ผมไม่อยากอยู่ห่างจากหมอเลยสักวินาที...”
“อ่า...” ชานยอลพอจะรู้แล้วว่าทำไมคริสถึงเจ็บอก เขาอมยิ้มแต่ไม่พูดมันออกมา
“ทำยังไงดีครับ สมองของผมมันมีแต่หมอเต็มไปหมด" น้ำเสียงของคริสเบาหวิว ล่องลอย ไร้น้ำหนัก ดวงตากลมโตทั้งสองข้างมองตรงไปบนผืนผ้าใบขนาดใหญ่ซึ่งถ้าหากเราสอยเท้าก้าวถอยหลังออกมาจะพบว่ามันเป็นใบหน้ายามหลับใหลของผู้ชายคนหนึ่งที่ฝากฝันหวานเอาไว้ในอ้อมแขนของเขาอยู่ทุกค่ำคืน
- - -
เรื่องนี้มันจะหน่วงๆอ่ะนะ น่ารักแค่ตอนอยู่ด้วยกันสองคน มุ้งมิ้ง งุ้งงิ้ง -/-
ความคิดเห็น