ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { wonkyu } Every Night Stand

    ลำดับตอนที่ #20 : CHAPTER XIX.

    • อัปเดตล่าสุด 15 มิ.ย. 56


    CHAPTER XIX
    หมดเวลาแล้วเธอคงต้องไป...

     

                กระเป๋าใบเดียวกับวันแรกที่หิ้วเข้ามาถูกแพ็คอัดจนตุงแน่นไปหมดตามวิสัยของกระเป๋าเดินทางที่ขากลับมักจะหนักกว่าขามาเสมอ ซีวอนใช้อุ้งมือใหญ่ตบซ้ายทีขวาทีเพื่อให้เสื้อผ้าอัดแน่นเข้าไปแล้วรีบรูดซิปปิดช่องเสียให้เรียบร้อย

     

                “ของเยอะหว่ะ...” เขาปาดเหงื่อตรงขมับที่เริ่มไหลย้อยลงมาเพราะเหนื่อยอยู่นานกับการช่วยผู้อาศัยตัวผอมเก็บของลงที่เดิม ร่างสูงทิ้งกายลงนั่งแหกขาอ้าซ่าอยู่ที่พื้นห้องนอนหลังจากที่สามารถดึงซิปรัดรอบรางของมันได้เรียบร้อย เขาเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของกระเป๋าเดินทางที่อยู่ในสภาพโชกเหงื่อไม่ต่างกันค่อยๆทิ้งตัวลงมาเบื้องหน้าแล้วยกผ้าขนหนูในมือมาซับเหงื่อที่ข้างขมับของเขาออกไป

     

                “ขอบคุณนะครับ...” คยูฮยอนพูดสั้นๆก่อนจะฉีกยิ้มที่ไม่ได้ให้ความรู้สึกหวานเหมือนที่เคยเห็นมาก่อนเลยสักนิด ก็คงไม้แตกต่างอะไรกันกับเขาเท่าไหร่นักหรอก เพียงแต่เขาเลือกที่จะไม่ยิ้มออกมาเลยสักนิดเพราะไม่อยากเหนื่อยเสแสร้งไปทั้งที่ภายในใจมันตีบตันไปหมด

     

                ไถกายสูงกำยำไปพิงกับขอบเตียงที่กลับมาโล่งโจ้งจนรู้สึกผิดหูผิดตาไปโดยไม่ลืมจะรั้งเอวบางให้ขยับแนบตามมาด้วย คยูฮยอนเอนแผ่นหลังของตัวเองลงซบกับอกกว้างที่กระเพื่อมขึ้นลงตามจังหวะการหายใจ ใช้ดวงตากลมกวาดมองไปรอบห้องที่เขาอาศัยที่ซุกหัวนอนมาร่วมเดือนอย่างอาลัยอาวรณ์

     

                ไม่ได้อาวรณ์สถานที่หรอกนะ... แต่อาวรณ์กับเจ้าของแผ่นอกเบื้องหลังนี่นั่นแหละ

     

                ดวงตากลมสะดุดเข้ากับโต๊ะเขียนหนังสือของซีวอนที่มุมห้องซึ่งยังมีแมคบุ๊คโปรจอใหญ่ตั้งค้างเอาไว้บนนั้น ปกติที่โต๊ะจะมีแต่กระถางแคคตัสวางเรียงประดับอยู่กับไม้กลองเท่านั้น แต่วันนี้มันมีกรอบรูปสองสามอันเพิ่มขึ้นมาและถ้าเขามองไม่ผิดหล่ะก็มันเป็นรูปการแสดงละครเวทีของเขาเองนั่นแหละ

     

                “ฮยองเอารูปผมไปตั้งโต๊ะเหรอ?” ทำใจกล้าถามออกไปทั้งที่ลึกๆแล้วเขินหน้าแทบไหม้ตอนเอ่ยทัก ซีวอนตะแคงหน้าหันมองไปตามนิ้วของเขาที่ชี้ตรงไปยังโต๊ะก่อนจะส่งเสียงหัวเราะออกมาแล้ววางปลายคางไว้บนบ่าแคบ

     

                “อืม... เอากลับไปสิ ให้เลือกหนึ่งอัน”

     

                “ให้จริงเหรอ?”

     

                “อืม” พออีกคนเอ่ยคำอนุญาตคยูฮยอนก็ยันตัวเองลุกขึ้นเพื่อเดินตรงไปยังโต๊ะทันที ดวงตากลมมองไล่ภายถ่ายทั้งสามรูปอย่างละเอียดถี่ถ้วน ฝีมือการบันทึกภาพของซีวอนอยู่ในขั้นที่เรียกว่าสุดยอด ทั้งมุม ทั้งแสง ทั้งสี ทุกอย่างลงตัวกันไปหมดจนเขาไม่คิดว่าตัวเองจะออกมาดูดีขนาดนี้

     

                “ผมเอารูปนี้นะ” เลือกหยิบรูปของตัวเองขณะที่มีสีหน้าบิดเบ้จากการกลิ้งหลุนออกมาจากหลังเวที จำได้ดีว่าตอนนั้นเอาแต่ชะเง้อคอมองหาใครก็ไม่รู้จนโดนพี่โบอาถีบส่งออกมาได้สมบทบาทเลยหล่ะ

     

                “ไอ้รูปตอนหน้าตาดีๆก็ไม่เอาไป...”

     

                “ก็ผมอยากให้ฮยองจำผมแบบหล่อๆไงครับ... เก็บรูปนี้ไว้ผมก็เสียภาพพจน์หมดสิ” เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าคนตัวสูงที่ยังไม่ยอมลุกขึ้นมาจากพื้นเสียที คยูฮยอนค้อมตัวลงสอดกรอบรูปในมือใส่ลงไปในช่องเล็กของกระเป๋าแล้วเหลือบไปมองร่างสูงโปร่งที่ทอดสายตามองมาในทุกอิริยาบถจนเขาเริ่มรู้สึกขัดเขินขึ้นมา

     

                ซีวอนดันหลังของตัวเองขึ้นมาจากปลายเตียงเมื่อเห็นว่าอีกคนหันมามองเขาแล้วหลบตาไป ร่างสูงยืนขึ้นก่อนจะขยับตัวไปซ้อนกายอยู่เบื้องหลังของคยูฮยอน คว้าลำคอเล็กของอีกคนเอาไว้ด้วยฝ่ามือใหญ่เพียงข้างเดียวเพื่อโน้มใบหน้าหวานนั้นให้ขยับเข้ามาใกล้เขา

     

                แต่จากที่คิดว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายแนบจูบลงไปกลับกลายเป็นคยูฮยอนที่เคลื่อนใบหน้าเข้ามาแล้วเอาริมฝีปากสีกุหลาบของตัวเองนาบลงมาบนกลีบปากของเขาแทน ดวงตากลมโตคู่นั้นปิดลงโดยอัตโนมัติต่างจากดวงตาของเขาที่ยังคงเปิดค้างเอาไว้อยู่ในช่วงแรก แล้วก็ต้องปรือปิดลงอย่างเชื่องช้าเมื่อไอ้เด็กงั่งฮยอนเริ่มจะหายงั่งจนสามารถขบริมฝีปากของเขาให้เผยอออกมาได้

     

                แม้จะทำการเบิกทางเอาไว้เรียบร้อยแต่โจวคยูฮยอนกลับกลายเป็นฝ่ายรอให้เรียวลิ้นร้อนสอดเข้ามาหาตัวเองก่อน คนตัวเล็กใช้ปลายลิ้นแตะเล็มเลียเบาๆจนผิวเนื้อนุ่มเงาไปด้วยคราบน้ำใสแล้วค่อยๆเชื้อเชิญปลายลิ้นร้อนนั้นให้ขยับเข้ามาในโพรงปากของตัวเองด้วยการแนบริมฝีปากลงปิดสนิททุกช่องทาง

     

                แขนเรียวยกขึ้นโอบลำคอแกร่งเอาไว้แล้วใช้ปลายนิ้วลูบวนไปบนลายสักที่พาดคร่อมอยู่ ไม่ต่างอะไรจากปลายลิ้นของตัวเองที่ถูกเกี่ยวไล้ให้วนไปวนมา ฉกรัดอยู่กับร่างสูงในโพรงปากแขนแกร่งของซีวอนสอดเข้ามารับเอวผอมบางเอาไว้เพื่อประคองไม่ให้อีกคนร่วงหล่นลงมาแต่ก็ยังคงรุกรานอย่างหนักหน่วงจนมีเสียงครางเครือเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินเป็นระยะ

     

                “อือ...อืมมม...” ร่างสูงผละออกมาแล้วย้ำลายเซ็นของตัวเองอีกครั้งที่มุมริมฝีปากบางหนักๆ คราบน้ำใสที่ยืดเชื่อมกลีบปากของทั้งสองเอาไว้มันทำให้ซีวอนอดไม่ได้ที่จะแนบจูบลงไปอีกครั้งแต่เป็นเพียงการกดจูบลงเบาๆเท่านั้น ไม่มีการขยับแทรกสอดเข้าไปด้านในแต่อย่างใด

     

    ~ กริ๊งงงงง กริ๊งงงงงง...

     

                “มาแล้วมั้ง...” เจ้าของห้องพูดออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบที่เฉยชาจนเกินปกติ ปลายนิ้วโป้งเกลี่ยเช็ดน้ำลายที่ติดอยู่ตรงมุมปากของอีกคนออกแล้วเป็นฝ่ายผละเดินออกไปยังประตูห้องสูทที่มีเสียงกริ่งดังลอดเข้ามาให้ได้ยิน ขายาวของเขาก้าวช้าลงจนรู้สึกได้เพราะกว่าจะไปถึงบานประตู คนด้านนอกก็กดกริ่งย้ำอีกครั้งหนึ่งให้ได้ยิน

     

                ลูกบิดกระชากออกอย่างเชื่องช้า แลดูถนอมมือที่สุดตั้งแต่เข้ามาอยู่ที่นี่ และคนที่ยืนอยู่เบื้องหลังประตูก็ทำให้เขาจำใจต้องยกยิ้มจอมปลอมแสดงความยินดีออกไปทั้งที่ตอนนี้ระบบหัวใจของเขามันพังครืนลงมาไม่เป็นท่า

     

                “ทำไมมึงทำหน้าตาคิดถึงกูขนาดนั้นนะ...” เพื่อนสนิทที่มักจะตีโพยตีพายอะไรเอาเองอยู่เสมอ (นิสัยเหมือนวันแรกที่จอกันไม่มีผิด) โผเข้ากอดเขาเสียเต็มรักประหนึ่งเห็นภาพหลอนทงเฮบนหน้าเขา คิบอมตบลงบนแผ่นหลังกว้างที่มีเพียงเสื้อกล้ามคลุมทับอยู่สองสามครั้งแล้วผละออกมาเพราะเห็นน้องชายของตัวเองยืนอยู่เบื้องหลัง

     

                “คยูฮยอนอา!

     

                “ครับ...”

     

                “I miss you so muchhhhhhhhh~” กระแดะพูดภาษาอังกกฤษใส่น้องตัเวเองที่ยืนหน้าเอ๋ออยู่เบื้องหลังแล้ววิ่งเข้าไปสวมกอดจนอีกคนตัวลอยขึ้นมาจากพื้น ซีวอนหัวเราะเบาๆกับภาพตรงหน้าเพื่อรักษาบรรยากาศไว้แล้วค่อยหันไปทักทายทงเฮที่ยืนเก้ๆกังๆอยู่นอกห้องเพราะความไม่คุ้นชิน

     

                “ผมก็คิดถึงฮยองนะครับ....”

     

                “แดกข้าวไหม?”

     

                “ไม่หล่ะหว่ะ... ต้องรีบกลับไปเคลียร์กับที่บ้านนิดหน่อย” คิบอมหันมาขยิบตาให้เขาแล้วโอบน้องชายของตัวเองเอาไว้ในอ้อมแขน สาบานได้ว่าเขาพยายามแล้วที่จะจ้องมองหน้าเพื่อนสนิทตลอดชีวิตของเขา แต่ดวงตาเจ้ากรรมกลับเอาแต่เหลือบมองคยูฮยอนที่ยืนก้มหน้าคล้ายจะร้องไห้ไม่ยอมวาง

     

                “อ่อ...”

     

                “คยูหิวป่ะ?”

     

                “มะ...ไม่อ่ะครับ...”

     

                “งั้นกลับเลยนะ...” คำถามนั้นทำให้ร่างบางชะงักกึกพลางสบถโทษตัวเองในใจที่ดันตัดทอนเวลาอันมีค่าของตัวเองให้หดน้อยถอยลงไปอีก ใบหน้าหวานช้อนขึ้นมองพี่ชายสลับกับเพื่อนพี่ชายที่ยืนปั้นหน้าขรึมอยู่ด้านข้างแล้วก็ต้องตัดสินใจยืนยันคำพูดเดิมออกไป

     

                “ครับ... เดี๋ยวผมเข้าไปยกกระเป๋าในห้องก่อน”

     

                “อาฮะ...”

     

                “เดี๋ยวกูช่วยแล้วกัน” ซีวอนเสนอมตัวแล้วเดินตามหลังคนตัวผอมตรงไปยังห้องนอนที่เปิดประตูค้างเอาไว้

     

                ร่างสูงค้อมตัวลงหยิบกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ขึ้นมาถือไว้โดยให้คยูฮยอนหิ้วถุงของสัพเพเหระไปแทนเพื่อจะได้ไม่ลำบากลำบนเท่าไหร่ คยูฮยอนเหลือบมองพี่ชายตัวสูงที่ยังคงทำหน้านิ่งเหมือนกับทุกวัน เพียงแต่สัมผัสได้ว่าวันนี้มีรังสีบางอย่างที่ทำให้เจ้าตัวดูน่าเกรงขามหนักกว่าเดิมขึ้นไปอีกจนเขายังรู้สึกร้อนวูบวาบเวลาต้องอยู่ใกล้

     

                เหมือนเสียงหัวใจที่เต้นถี่กำลังนับถอยหลังวินาทีที่จะถือครองโอกาสในการพูดความรู้สึกของตัวเองออกไป แม้จะยังคงลังเลใจและกลัวแป้กแต่คยูฮยอนก็ไม่อยากให้มันผ่านไปแบบนี้ ถ้ามันเป็นจริงอย่างที่ฮงกิพูด ถ้าพี่ซีวอนชอบเขามันก็คงจะเป็นเรื่องดีที่ทำให้หัวใจบานได้เหมือนดอกทานตะวัน แต่ถ้าหากซีวอนไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นเขาก็แค่ห่อเหี่ยว หุบตูมลงไป แต่อย่างน้อยมันก็ไม่มีอะไรต้องค้างคาใจ

     

                แล้วจะทำยังไงหล่ะ... จะก้าวผ่านความกลัวพวกนั้นไปได้ยังไง จะง้างปากพูดออกไปยังไงในเมื่อเวลานี้มันคล้ายว่าจะสายเกินไปเสียแล้ว

     

                “เออ เดี๋ยวกูจะเอาของฝากไปให้มึงที่มอนะ...” แว่วเสียงพี่คิบอมพูดอะไรสักอย่างที่เขาจับใจความไม่ได้ออกมา แต่ตอนนั้นฝ่าเท้าของเขามันก็ก้าวห่างคนตัวสูงไปมากมายเสียแล้ว มือบางกำเข้าหากันจนแน่น เล็บจิกลงบนฝ่ามือของตัวเองเพื่อพยายามเค้นความกล้าหาญออกมาให้มากพอที่จะมีเสียงพูดออกไป

     

                “เออ ไม่เป็นไร”

     

                “ขอบใจมากที่ดูแลน้องกูให้นะ”

     

                “นิดหน่อยหน่ะ... โชคดีที่มึงปลอดภัย... ทงเฮอย่างอนมันบ่อยนะ เดี๋ยวมันจะตายไปซะก่อน” คยูฮยอนได้ยินเสียงพี่ซีวอนเอ่ยแซวกับเสียงหัวเราะจางๆที่ฟังดูฝืดฝืนพิกล เขาเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงที่ปัดดวงตาลงมามองเขาเช่นกัน พี่คิบอมที่มีกระเป๋าใบใหญ่ของเขาอยู่ในมือตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ก้าวขาออกห่างเหมือนต้องการให้เขาพูดอะไรสักอย่างกับเพื่อนของตัวเองที่ยืนอยู่ตรงนั้น

     

                คยูฮยอนสูดหายใจเฮือกใหญ่ ให้กำลังใจตัวเองด้วยประโยคสารพัดสารพันที่ชวนให้หน้าอกข้างซ้ายเต้นแรงจนกลัวว่าเนื้อจะปริแตก ผมอ้าแขนกว้างให้สมกับเวลาหนึ่งเดือนที่อยู่กับพี่เขาก่อนจะรัดมันเอาไว้ที่รอบเอวแล้วซุกลงไปกับอกกว้าง... รอจนกระทั่งพี่เขาก้มหน้าลงมาในระยะที่คิดว่าเสียงเบาหวิวของผมจะทำให้เราได้ยินกันเพียงแค่สองคน

     

                “ฮยองครับ...”

     

                “...”

     

                “ผมรักฮยองนะครับ... ผมรักฮยองนะ” เพิ่งข้าใจความรู้สึกของคนที่ชอบพูดว่าการกลั้นน้ำตามันยากยิ่งกว่าหยุดน้ำตาที่ไหลลงมา

     

                เขาตบหลังผมเบาๆสองสามครั้งแล้วลูบที่สีข้างของผม

     

                “อืม... ดูแลตัวเองหล่ะ...” รอยยิ้มของเขากว้างขึ้นและดูสดใสกว่าเมื่อตอนเช้า กระนั้นวงแขนกว้างก็คลายออกแล้วปล่อยให้ผมสอยเท้าถอยหลังไปจากพื้นที่ตรงนั้น เดินตามแผ่นหลังของพี่คิบอมที่ก้าวห่างออกไป

     

                ถึงเวลานี้ผมคงไม่ต้องกลั้นน้ำตาอีกแล้วหล่ะ...

                ฮงกิคงเดาผิด... พี่เขาไม่ได้ชอบผมเลยสักนิด...

     

     

    สำหรับพี่ซีวอนผมคงเป็นแค่คนที่เข้ามาแล้วผ่านไปเท่านั้นแหละ

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

                “กูไปห้องมึงได้ป่ะ?” แม้จะเป็นประโยคคำถามแต่เจ้าของเสียงก็สามารถทำให้มันกลายเป็นประโยคบังคับได้ด้วยสีหน้าหน่ายโลกอันแสดงชัดเจนออกมาผ่านใบหน้าคมคายของคนที่เงยหน้าขึ้นมองเขาซึ้งยืนค้ำหัวอยู่ คริสหันซ้ายหันขวาคล้ายไม่มั่นใจว่า มึง ในประโยคเมื่อสักครู่หมายถึงเขาหรือเปล่าก่อนจะย้อนคำถามด้วยการชี้ปลายนิ้วกลับมายังอกตัวเอง

     

                “ห้องกู?”

     

                “เออ ห้องมึง”

     

                “....เออ...ไปดูเพลงเลยแล้วกัน กูเพิ่งทำเสร็จเมื่อคืน” แม้จะยังงุนงงสงสัยกับพฤติกรรมแปลกๆของเพื่อนสนิทอยู่บ้างแต่เขาก็ไม่รู้จะทำยังไงดีในเมื่อท่าทางซังกะตายกับสีหน้าหน่ายโลกมันปรากฏอยู่บนหน้าของซีวอนมาได้สามวันแล้ว ไม่ต้องเดาให้มากความเท่าไหร่เพราะสามวันที่แล้วไอ้คิมคิบอมเพิ่งจะโทรเรียกให้เขาไปเอของฝากที่ห้องหอของมันซึ่งก็เพิ่งจะว่างไปเมื่อวานนี้

     

                คิบอมกลับมา คยูฮยอนก็กลับไป...

                ไอ้เพื่อปากหินปากเหล็กของเขาก็เลยกลายเป็นหมีหงอยอยู่นี่ไง

     

                แต่ก็เอาเถอะ อู๋อี้ฟานไม่ใช่คนชอบสักถามให้เป็นขี้ปากใครว่าแส่รู้หรอก เขาคว้ากระเป๋าเป้ที่วางทิ้งเอาไว้ขึ้นมาพาดบ่า ทำตัวไหลตามน้ำไปกับสถานการณ์อึมครึมตรงหน้าด้วยการก้าวขาขยับออกไปก่อนเป็นสัญญาณเรียกให้ซีวอนลุกเดินตามหลังมา

     

                เพราะวันนี้เป็นการสอบวิชาเลือกที่ทั้งกลุ่มมีแค่คริสกับซีวอนเท่านั้นที่ดันเลือกลงทะเบียนเรียนไอ้วิชาประวัติศาสตร์ศิลปะนี้ มันก็เป็นกลายเป็นโอกาสอันดีที่เพื่อนสนิทสองคนจะได้เดินกลับบ้านด้วยกันเพียงลำพัง นับเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมากเพราะตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยมา จะไปไหนมาไหนก็ต้องมีเพื่อนในกลุ่มคนอื่นพ่วงติดเป็นร่างแหไปสร้างเสียงรื่นเริงบันเทิงใจอยู่ตลอด

     

                แต่แทนที่จะได้ใช้เวลาร่วมกันด้วยบทสนทนาน่ารักๆเหมือนในละครซีรี่ส์ ตลอดทางเดินกลับมีเพียงความเงียบงัน บรรยากาศน่าอึดอัดและเสียงลมพัดปลิวใบไม้ให้หวิวไหว

     

     

                คริสเบือนหน้าไปมองเพื่อนซึ่งดูจะผิดปกติหนักเข้าไปทุกวัน รู้ทั้งรู้ว่าชเวซีวอนเป็นคนนิ่งๆและเย็นชาเสมอ แต่ต่อให้มันจะเย็นจะชามากเพียงใดก็ไม่เคยถึงขั้นทำสีหน้าหน่ายโลก เดินทอดน่องเตะฝุ่นสภาพเหมือนคนตกงานขนาดนี้... แล้วแทนที่มันจะแก้ปัญหาด้วยการไปเข้าผับเข้าบาร์ ลากผู้หญิงกลับมานอนที่ห้องสักคนสองคนกลายเป็นว่านั่งจิ้มเปียโนอยู่ที่ห้องตัวเอง ผู้หญิงที่ไอ้ยูชอนเสนอมาให้ก็ถูกไล่กลับไปอย่างไม่คิดจะชายตามองเลยสักนิด แถมวันนี้ยังขอมาที่ห้องเขาทั้งที่ปกติไม่ค่อยจะแวะเวียนอยากไปห้องใครสักเท่าไหร่หากไม่มีธุระจำเป็น

     

                หรือหิมะกำลังจะตกที่กรุงเทพวะ....

     

                “เฮ้ย  มึงเป็นไรไป?” รู้สึกขัดเขินไม่น้อยที่ต้องเอ่ยคำถามตรงตามความรู้สึกของตัวเองออกไปทุกกระเบียดนิ้วแต่สำหรับอี้ฟาน วิธีนี้คงดีที่สุดแล้วหล่ะ

     

                “...”

     

                “...”

     

                “...เปล่าหรอก” ไอ้คนตัวโตสอดมือเข้ากระเป๋ากางเกงของตัวเองก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาจางๆเหมือนอยากจะทำให้เขาสบายใจ (ซึ่งแม่งไม่ช่วยเถอะ อย่ามาฟอร์มจัดกับกูเลย)

     

    “แค่เจ็บหน้าอก... นิดหน่อย”

     

                หลังประโยคคำตอบนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาจนกระทั่งถึงหน้าประตูห้องที่ถูกปิดเอาไว้อย่างดี คริสถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะผลักประตูออกเมื่อกุญแจถูกปลดล็อด เจ้าของห้องเป็นฝ่ายเดินนำเข้าไปด้านในก่อนเพื่อคลำหาสวิชต์ไฟให้ห้องสว่าง ตามต่อมาด้วยเสียงปิดประตูของผู้ชายตัวเองสูงที่กำลังเจ็บหน้าอกอยู่ บรรยากาศภายในห้องพักคืบคลานเข้าใกล้คำว่าป่าช้าหนักเข้าไปทุกที

     

                “คิบอมกลับมาแล้วหนิ?”

     

                “อืม” เสียดสีไอ้คนปากแข็งที่เอนตัวลงแผ่กายบนเตียงนอนผืนใหญ่อย่างไม่นึกเกรงใจเจ้าของห้องที่ยังไม่ได้ปลดกระเป๋าออกจากบ่าเลยด้วยซ้ำ กระนั้นคริสก็ไม่เก็บนิสัยเสียเล็กๆน้อยๆของเพื่อนมาใส่ใจเท่าใดนัก ร่างโปร่งปลดกระเป๋าสะพายของตัวเองลงวางข้างคีย์บอร์ดที่เพิ่งจะหยิบออกมาจากตู้เก็บเมื่อวาน

     

                “You and I… Two of a mind this loves’s…  one of a kind” นิ้วเรียวเป็นเอกลักษณ์กดบรรเลงลงบนแป้นคีย์สีขาวผ่อง แม้ว่าเสียงร้องของคริสจะไม่ได้มีพลังมากมายจนให้ความรู้สึกเพราะเสนาะหูเท่ากับยูชอนแต่มันก็ยังคงเป็นเสียงทุ้มละมุนที่ทำให้คนฟังเคลิ้มตามไปได้อยู่ดี

     

                เนื้อเพลงที่ถูกเขียนขึ้นมาอย่างจงใจให้ใช้ได้เฉพาะกับจังหวะเชื่องช้าก็ถูกทำให้ช้าได้สมใจอยากจริงๆนั่นแหละ ซีวอนได้ยินเสียงร้องเหล่านั้นชัดเจนทุกคำทุกตัวอักษรที่เขาเขียนลงไปและมันก็ทำให้ภาพของใครคนหนึ่งตีซ้อนเข้ามาในหัวสมองได้อย่างไม่ยากเย็นเท่าไหร่

     

                ก็ไม่น่าแปลก.... เขาเขียนเพลงนี้เพื่อนคนๆนั้นนี่

                จะให้เป็นหน้าคนอื่นได้ยังไง... จะไม่ใช่โจวคยูฮยอนได้อย่างไรกัน

     

                “กูรักคยูฮยอนหว่ะ...” เมื่อดนตรีถูกเฟดให้เบาลงไปตามท่วงทำนองที่มันถูกกำหนด เสียงทุ้มต่ำของคนที่ปวดอกจนขยับตัวไม่ได้ก็ดังฝ่าความเงียบของห้องขึ้นมา และก็คงไม่ต้องเดาให้มากมายว่าสีหน้าคมคายนั้นฉายแววความเจ็บปวดออกมาชัดเจนมากเพียงใดเพราะทันทีที่คริสเบือนหน้าไปมองเขาก็ต้องเบนสายตาหลบหนีไปเพราะไม่อยากเห็นสีหน้าแบบนั้นเลยสักนิด

     

                “ก็แล้วทำไมไม่บอกไปหล่ะ”

     

                “กูกลัว...”

     

                “กลัว? ทีตอนไปปล้ำเขาหล่ะไม่กลัวโดนแจ้งความจับ เก่งแต่เรื่องผิดกฎหมายนะมึงนี่”

     

                “มันไม่เหมือนกัน...”

     

                “...ยังไงวะ? มึงก็แค่รักแล้วมึงจะต้องคิดอะไรให้สมองบานอีกวะ?”

     

                “ถ้าวันนึงกูทำเด็กนั่นเสียใจแล้วทิ้งมันไป... มึงก็รู้ใช่ไหมหล่ะ กูเกลียดที่สุดตอนแม่ร้องไห้แต่กูกลับทำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง ถ้าเกิดวันนึงกูทำให้คยูฮยอนต้องร้องไห้กูก็คงเป็นไอ้ลูกหมาไร้น้ำยาที่ทำอะไรไม่ได้สักอย่างนั่นแหละ...”

     

                “...”

     

                “ตอนแรกกูก็ไม่มั่นใจว่ามันใช่รักหรือเปล่า แต่พอกูแน่ใจว่ากูรักกูก็กลัวไปหมด... เหอะ... กูมันอ่อนหัดกับเรื่องพวกนี้หว่ะ” ยกแขนขึ้นก่ายพาดไปบนดวงตาของตัวเองเพื่อให้ภาพที่เห็นเป็นเพียงสีดำสนิท ปกป้องตัวเองออกจากแสงสว่างด้านบนที่แยงลงมายังดวงตาชื้นน้ำของเขา

     

                การคิดถึงใครสักคนมันทำให้เสียน้ำตาได้มากมายจริงๆ

     

                “มึงไม่เห็นจะต้องกลัวอะไร”

     

                “...”

     

                “ถ้ามึงรักใครสักคน มึงจะไม่ทำให้เขาเสียน้ำตาหรอก...” คริสพูดเรียบๆแล้วกันหน้ากลับไปมองเพื่อนที่ยอมละมือออกมา ใช้ดวงตาคมคายของมันจ้องมองมาทางเขาคล้ายต้องการให้ทวนคำพูดประโยคนั้นซ้ำอีกครั้ง

     

                “...”

     

                “อย่าหาว่ากูน้ำเน่านะสัด.... แต่ใครหล่ะจะทำร้ายหัวใจตัวเองได้ลง...” คริสเว้นช่วงเพื่อกลืนก้อนน้ำลายในลำคอให้ไหลตกลงไป “หรือถ้ามึงเผลอทำให้หัวใจดวงนั้นต้องบาดเจ็บ มันก็มีแค่มึงนั่นแหละที่จะสมานแผลให้กับมัน”

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

                “คยู กินข้าว!” เสียงตะโกนโหวกเหวกของคิบอมสะกิดคนที่นั่งเหม่ออยู่หน้าหนังสือศิลปะมานานร่วมชั่วโมงให้สะดุ้งตัวออกมาจากภวังค์ความคิดที่ลอยละลิ่วปลิวว่อนไปไกลแสนไกล คยูฮยอนละใบหน้าออกมาจากบานหน้าต่างเพื่อหันกลับไปยังประตูห้องนอนของเขาที่ลงล็อคเอาไว้อย่างแน่นหนาเหมือนเคย

     

                ไม่ได้ก้าวออกไปนอกห้องตั้งแต่กลับเข้ามาหลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ เขาปล่อยให้สมองคิดเรื่องเดิมซ้ำๆ วกไปวนมาด้วยเวลากว่าค่อนวัน ใบหน้าของพี่ชายที่ชอบนุ่งผ้าน้อยชิ้น ลวนลามเขาด้วยวิธีการสารพัดสารพัน เอะอะโวยวายเสียงดังและเอาแต่ใจตัวเองเป็นที่ตั้งยังคงลอยอยู่ในความคิด(ถึง)ของเขาไม่มีจางไป

     

                ยิ่งนานวันมันยิ่งชัดเจน...

     

    ~ก๊อก ก๊อก ก็อก

     

                “คยู~ อออกมากินข้าวเร็ว” ในเมื่อส่งเสียงเรียกไปแล้วไม่มีการตอบรับ คิบอมจึงเดินมาที่หน้าประตูห้องเพื่อเคาะเรียกน้องชายตัวเองสองสามครั้ง กระนั้นเด็กน้อยผู้ไม้เคยจะขัดคำสั่งของใครก็ยังคงนั่งท้าวคางอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับลุกไปไหน

     

                “ผมยังไม่หิวเลยครับ” ตะโกนบอกปัดกลับไป อย่างน้อยก็ไม่ให้พี่ชายต้องว้าวุ่นใจนักแต่ถ้าจะให้ออกไปกินข้าวตามคำชวนเห็นทีจะไม่ไหวหรอก...

     

                สีหน้าของเขามันคงไม่ดีจนพี่คิบอมจับสังเกตได้

     

                “แต่นายต้องกินนะ เอาเข้าไปให้ไหม?” พี่ชายยังคงไม่ลดละความพยายามด้วยการไถ่ถามย้ำอีกครั้งซึ่งมันก็ทำให้คนตัวผอมรู้สึกลำบากใจไม่น้อยที่จะเอ่ยปฎิเสธซ้ำสอง คยูฮยอนยอมดันเก้าอี้ออกมาแล้วพาตัวเองเดินไปยังหน้าประตู เขาสูดหายใจเข้าปอดลึกๆเพื่อปรับสีหน้าให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ก่อนจะโผล่หัวออกไป

     

                “มีอะไรกินเหรอครับ?”

     

                “รามยอนชีสสาหร่าย...”

     

                “ผมกินในห้องได้ไหมครับ... ยังอ่านหนังสือไม่เสร็จเลย”

     

                “อ่า งั้นมายกไปสิ” คิบอมสะบัดหน้าไปทางโต๊ะอาหารที่มีชามใบใหญ่วางอยู่สองใบ คยูฮยอนฉีกยิ้มอย่างน่ารักใช้ออดอ้อนพี่ชายของตัวเองแล้วรีบเดินไปคว้ารามยอนอุ้มเข้าไปในห้องของตัวเองอย่างว่องไว

     

                ประตูปิดลงเบาๆตามแบบของเด็กที่มือเท้าไม่หนัก คิบอมได้แต่มองตามน้องชายที่เขาสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไปมากหากแต่จะเรียกมาถามมันก็กระไรอยู่ไม่น้อย... เพราะคำถามของเขามันอาจทำให้น้องชายต้องกระอักกระอ่วนและมีเรื่องคิดหนักหัวไปมากกว่าที่เป็นอยู่

     

                และมันก็คงจะเป็นเขาที่กระอักกระอ่วนไม่น้อย ถึงจะเป็นเพียงแค่การเดาสุ่มมั่วซั่วไปตามคนมีจินตนาการก็เถอะนะ

     

                แต่ถ้าคยูฮยอนกับซีวอนมีซัมติงกันอย่างที่เขาเดาหล่ะก็.... มันไม่สนุกแน่หล่ะ

     

                ขณะที่พี่ชายกำลังหมกมุ่นอยู่ในความคิดของตัวเอง น้องชายที่หิ้วชามรามยอนมาไว้ในห้องกลับตั้งอาหารเย็นให้เย็นชืดสมชื่อหนักเข้าไปใหญ่ไว้ที่ข้างโต๊ะ มือบางตัดสินใจปิดหน้าหนังสือเล่มใหญ่ที่เปิดไว้ก็ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกว่าอ่านเข้าหัวเลยแม้แต่น้อย

     

                “ไม่น่าพูดออกไปเลย...” เสียงหวานพึมพำออกมาเบาๆพลางกัดขบริมฝีปากของตัวเองซ้ำไปซ้ำมา ถึงจะรู้สึกโล่งอกเหมือนอย่างที่ฮงกิเคยบอก แต่คำว่าอืมสั้นๆจากปากพี่ชายตัวสูงคนนั้นก็ทำให้คำสารภาพความรู้สึกของเขามันหมดความหมายไปในเวลาไม่กี่นาที ตอนนั้นรู้สึกเหมือนร่างจะสลายคาอกซีวอนไปแล้วด้วยซ้ำ ยากมากที่จะประคองทั้งขาไร้เรี่ยวแรงและความรู้สึกบุสลายไม่มีชิ้นดีให้เหลือรอดออกมา

     

                “ถ้าไม่พูด...คงมองหน้า...คงยังเจอหน้าได้...” เขากลัวจริงๆว่าถ้าเจอซีวอนอีกครั้งจะไม่สามารถมองใบหน้าคมคายนั้นได้อีกครั้ง เรื่องเข้าไปกอดอีกนรอบก็คงไม่ต้องพูดถึง เหมือนทุกอย่างพังลงหมดแล้ว... พังทลายไม่เป็นท่าเพราะความใจเร็วด่วนได้ของเขาที่พูดบอกความรู้สึกของตัวเองออกไป

     

                แล้วพอคิดแบบนี้ก็พาลจะทำให้ขอบตาร้อนผ่าว

                สามวันมานี่เขาร้องไห้จนใต้ตาเปื่อยแล้วนะ...

     

     

     

                เขาไม่อยากเสียใจ แต่ในเมื่อรักไปมากขนาดนั้น... จะให้ทำยังไงหล่ะ

                จะเลิกรักด้วยวิธีไหน คยูฮยอนยังมองไม่เห็นสักทางเลยจริงๆ

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    สั้นๆ ง่ายๆ เจ็บทั้งสองฝ่าย............... ฉะนั้นใครมีความรักก็ปากแข็งแต่พอประมาณนะจ๊ะ นี่ก็ใกล้จบเรื่องละเหลืออีกแค้ 2 ตอนเองอ่ะ.... อนิจจังจะจองบัตรคอนซะแล้ว นี่เพิ่งเกริ่นเรื่องรวมเล่มไปได้ไม่กี่วัน โถ่ถังกะละมังหม้อ T_T เอาเป็นว่าจะรวมหลังจองบัตรไปแล้วละกันนะ 

    © Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×