ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { wonkyu } SUMMER KILLER.

    ลำดับตอนที่ #2 : { one summer }

    • อัปเดตล่าสุด 17 เม.ย. 55


           

    One.

    ความสุขของมนุษย์
    ไฉนช่างผาดโผนยิ่งนัก...


    Ctrl + A 

                “อ๊ะ.. อ๊า... ซีวอน...” เสียงหวานปานน้ำผึ้งฤดูร้อนร้องครางระงมไม่ได้ศัพท์เรียกชื่อของผู้ชายที่ซ้อนกายอยู่ด้านหลัง แผ่นอกกำยำที่กระเพื่อมขึ้นลงบ่งบอกการหายใจเข้าออกเสียดสีกับแผ่นหลังนวลเนียน ขาวเปล่งประดุจน้ำนมของแม่โคพันธุ์ดี ฆานวิญญาณสัมผัสถึงกลิ่นสบู่ที่สกัดจากพฤษชาติราคาแพงที่เจ้าของร่างในอ้อมกอดมักใช้มันไล้ร่างกายเหมือนที่ฝ่ามือร้อนกำลังลากลิ้มชิมรสเรือนกายอันหอมหวานของคนในอ้อมอก

     

                “ครับ...”

     

                “ร เร็ว.. เร็วอีก...” ร่างอรชรผู้ไม่รู้จักความกรากอายในห้วงกามอารมณ์ร้องขอจังหวะการขยับกายของอีกฝ่ายที่หนักหน่วงขึ้น แม้ร่างบอบบางจะสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่แทรกซึมไปทั่วทั่งสรรพางค์แต่ไฟราคะนั้นโหมกระหน่ำมาไกลเกินปล่อยให้มันมอดดับไปด้วยแรงเพียงลมเป่า... ฝูงเพลิงโชติช่วงชัชวาลต้องผงาดง้ำแผดเผาเสียให้เต็มกำลังก่อนจึงจะยอมผ่อนปรนปล่อยให้เบาบางลงแล้วดับไป

     

                ชายหนุ่มผู้ถูกร้องขอกระตุกรอยยิ้มเหยียดที่มุมริมฝีปาก ฝ่ามือกร้านด้วยผ่านการทำงานมาหลายรูปแบบประคับประคองสะโพกกลมกลึงที่เล็กเกินกว่าที่ชายทั่วไปพึงมีเอาไว้ด้วยความถนุถนอม บีบคลึงเนื้อนวลในฝ่ามือไปมาเพื่อบรรเทาความปวดร้าวตามเรือนร่างให้ทุเลาลงก่อนที่สะโพกหนาจะเร่งเรื่องทำงานอย่างหนักตามคำขอร้องซึ่งท้ายที่สุดก็เปลี่ยนเป็นเสียงครางเครือและริมฝีปากที่เผยอรอให้เขาสอดแทรกทูตรักเข้าไปชอนไชด้านใน

     

                เสียงริมฝีปากที่ดูดึงคลึงเคล้าด้วยเมามันในเพศรสดังคล้อยไปตามลมหนาวของเครื่องปรับอากาศที่ขณะนี้เสื่อมสมรรถภาพไปชั่วครู่เพราะมิอาจต้านทานต่อไฟราคะที่ก่อตัวขึ้นในห้องนอนอันกว้างขวางแห่งนี้ได้ ยิ่งทูตรักแทรกตัวเข้าไปได้ลึกมากแค่ไหน กายด้านล่างก็ยิ่งกระทั้นกระแทกได้รุนแรงมากเท่านั้น แล้วยิ่งแก่นกายได้เดินทางเข้าไปลึกแสนลึก ผนังเนื้อก็ต่างระดมพลออกมาตอดรัดผู้บุกรุกกันเป็นพัลวัน

     

                “อ่ะ...อื้อออออ !” ความเปียกชื้นที่พุ่งเข้ามาจนล้นปริ่มไหลย้อยลงไปบนเรียวขาขาวเกิดขึ้นทั้ง ๆ ที่เจ้าของโพรงสีกุหลาบยังไม่ทันได้ถอนริมฝีปากจากชายร่างใหญ่ที่ซ้อนกายอยู่ด้านหลัง ฝ่ามือเล็กจิกแน่นลงบนบ่าแทนเสียงครางเครืออย่างสุขสมที่โดนดูดกลืนอยู่ด้วยเจ้าของบ่านั่น ครั้นเมื่อเพลิงราคะมอดดับลงไปตามวาระของมัน ริมฝีปากที่แนบชิดกันอยู่จึงผละออกมาเพื่อให้ต่างฝ่ายต่างได้กอบโกยอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด

     

                “ซีวอน... เอาออกก่อนนะ”

     

                “เอาออกหรือเอาต่อดีหล่ะ ?”

     

                “อ่า... ผมไม่ไหวแล้วจริง ๆนะ” เลือกใช้น้ำเสียงที่แผ่วลงเพื่อหวังออดอ้อนร่างสูงใหญ่ที่ซ้อนกายอยู่เบื้องหลัง เจ้าของเรือนกายที่เพิ่งผ่านเพลิงแห่งสมรภูมิรักรู้ดีว่าเพียงน้ำเสียงนุ่มละมุนนั้นมิอาจทำให้ความเอาแต่ใจของผู้ชายที่ชื่อชเวซีวอนมอดหายไปได้ จึงพยายามพลิกใบหน้าหันกลับไปส่งสายตาออดอ้อนคล้ายลูกแมวเชื่องที่ภักดีต่อเจ้านายพร้อมด้วยการกุมฝ่ามือของอีกฝ่ายไว้หลวม ๆ

     

                “...”

     

                “นะครับ...”

     

                “ฮะ ๆ... โอเคครับคนดี ไม่ไหวก็ไม่ไหว...” เจ้าของธุรกิจพันล้านที่ใครต่อใครต่างขนานนามของเขาว่าเป็นบุคคลผู้สามารถซื้อแผ่นดินได้ค่อนโลกกดริมฝีปากหยักได้รูปอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเองลงบนขมับนุ่มของคนช่างเอาใจแล้วยอมถอนสะโพกของตนเองออกมาจากโพรงสีกุหลายแต่ยังไม่วายตวัดแขนแกร่งที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามโอบรอบเอวอีกฝ่ายเอาไหวหลวม ๆ

     

                “ขอบคุณครับ”

     

                “ผมรอเอาคืนพรุ่งนี้ต่างหาก...”

     

                “พรุ่งนี้คุณมีนัดกับคุณสตีเว่นตอนหกโมงครึ่งนะ... อย่าลืมสิ” คนความจำดีกัดปลายจมูกโด่งเป็นสันเบา ๆ เพื่อเรียกสติให้กับเจ้าของอ้อมแขนที่พักนี้มีทีท่าว่าจะเอาแต่ใจมากขึ้นกว่าเดิม ชเวซีวอนยู่ใบหน้าของตนเองเข้าหากันเมื่อนึกไปถึงผิวสีเหลืองขาวและผมทองหงอกของคุณสตีเว่น คู่ค้ารายใหญ่ของเขาซึ่งครั้งนี้อุตส่าห์ลงทุนเดินทางมาเยือนเกาหลีใต้ด้วยตนเองตามคำเชื้อเชิญของเขาซึ่งอันที่จริงเชิญไปตามมารยาทเท่านั้น... แน่นอนว่าชายแก่หัวงูมีเหตุผลของการเดินทางไกลคือได้ฉกฉวยผลประโยชน์จากเรือนร่างของโจวคยูฮยอนเท่านั้น

     

    แต่ก็คงทำได้เพียงยลด้วยสายตา...
    เพราะโจวคยูฮยอนจะอยู่ในอ้อมกอดของเขาเท่านั้น
    เหมือนเช่นที่เป็นอยู่ ณ ขณะนี้

     

                “นั่นสินะ”

     

                “ไม่เห็นต้องทำหน้าตาหน่ายโลกขนาดนั้นเลย...”

     

                “เขามาเพราะโจวคยูฮยอนไม่ได้มาเพราะชเวซีวอน ฟังจากเสียงตอนคุยโทรศัพท์สิ นกเขาคงจะตื่นมาทั้งรัง” คนขี้หวงรวบเอวบางเข้ามาไว้ให้แนบกายแล้วตามด้วยการกดริมฝีปากลงย้ำความเป็นเจ้าของที่ต้นคอขาว ฟันหน้าที่เรียงตัวเป็นซี่สวยขบกัดให้ผิวเนื้อเนียนเป็นรอยแดง ตีตราประทับเอาไว้เผื่อสำหรับวันพรุ่งนี้...

     

                “หวงผมเหรอครับ...”

     

                “หวงสิครับ... เมียผมน่ารักน่าฟัดน่ากินขนาดนี้”

     

                “ผมรักซีวอนนะครับ ~

     

                “อืม.. ผมก็รักคยูฮยอนเหมือนกัน... นอนกันดีกว่า นี่มันจะตีห้าแล้วนะเนี่ย”

     

                “ก็ซีวอนนั่นแหละ เยอะอ่ะ..” ขมวดคิ้วเมื่อเหลือบสายตาตามร่างสูงไปเห็นเข็มสั้นที่เคลื่อนไปอยู่เหนือเลขห้าเสียแล้ว ทั้งที่เอนกายลงนอนตั้งแต่ตอนเที่ยงคืนหลังจากที่เพิ่งไปเช็คของเช็คคนที่โกดังเสร็จ รีบกลับบ้านหวังว่าจะได้พักผ่อนได้เต็มอิ่มแต่ก็ปิดผนังตาได้แค่สองชั่วโมงกว่า ๆ เท่านั้นเพราะเมื่อซีวอนกลับมา หนุ่มร่างใหญ่ที่ไม่รู้ไปอดไปอยากมาจากไหนก็ปลดกางเกงนอนตัวบางของเขาแบบไม่พูดพร่ำทำเพลงแล้วจู่โจมหนักหน่วงจากปลายเท้าไล้ขึ้นเรื่อยมาจนได้บทจบแบบเมื่อครู่

     

                “ก็ผมคิดถึงนี่... ต้องไปเฝ้าบาร์ตั้งสองคืน ผมคิดถึงคยูฮยอนของผมนี่ครับ”

     

                “คราวหลังก็ส่งคนไปเฝ้าแทนสิครับ.. จะได้ไม่ต้องอดหลับอดนอนด้วย”

     

                “ไม่ได้หรอก... คยูก็รู้ว่าเดี๋ยวนี้ตำรวจเริ่มจะรู้มากเกินไปแล้ว... ผมยังไม่อยากทิ้งให้คยูเป็นหม้ายนะครับ”

     

                “อ่า... แต่ผมก็เป็นห่วงความปลอดภัยของซีวอนนะครับ”

     

                “ครับ ผมรู้... นอนเถอะเนอะ นี่มันดึกแล้ว วันนี้คยูก็เหนื่อยแล้วด้วย”

     

                “อื้ม.. ครับ” กู๊ดไนท์คิสที่เกือบจะเป็นมอร์นิ่งคิสไปด้วยถือเป็นผัสสะล้ำลึกสุดท้ายของวันก่อนที่ต่างฝ่ายต่างจะซุกตัวเข้าหากันเพื่อแยกโลกของแต่ละคนออกมา ซีวอนปิดเปลือกตาไปด้วยความเหนื่อยล้าหลังจากที่พักผ่อนไม่เต็มอิ่มมาถึงสองคืนติดต่อ เสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอตามมาในไม่ช้าบ่งบอกได้ว่าเจ้าของอ้อมแขนที่แม้เข้าสู่ห่วงนิทราแต่ก็ยังคงก่ายกอดคนรักเอาไว้แนบแน่นนั่นหวงร่างบางในอ้อมแขนมากแค่ไหน... ซึ่งมันก็ทำให้คยูฮยอนอดคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้

     

                แต่เมื่อหวนนึกไปถึงคำพูดเมื่อครู่ที่เจ้าของอ้อมแขนกล่าว คยูฮยอนก็พบว่าเปลือกตาของเขามันปิดไม่ลงเสียดื้อ ๆ จะไม่ให้ถูกจับตามองได้อย่างไรในเมื่อสองสามวันก่อน ‘ของในสต็อกได้รับการปล่อยไป 1 คน และ ของ ชิ้นนั้นคงจะกลายไปเป็นเบาะแสสำคัญสำหรับเหล่าตำรวจที่กำลังตามจับตามองนักธุรกิจแสนล้านอย่างชเวซีวอนอยู่ คำว่าตำรวจรู้มากเกินไปแล้วหากแปลให้เข้าใจง่ายขึ้นก็คงจะหมายถึงความปลอดภัยของทั้งเขาและซีวอนที่ลดน้อยลงไปสินะ...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เมื่อหันหลังกลับไป
    ฉันเห็นรอยเท้าของตัวเองยาวเป็นทาง

     

                “ขอบคุณครับพี่...” ตะโกนบอกเจ้าของเรือประมงลำใหญ่พร้อมส่งรอยยิ้มให้กับชายหนุ่มผิวแทน แน่นอนว่าเขาได้รับรอยยิ้มกลับมาเช่นกันแต่ก็หยุดค้างอยู่ได้ไม่นาน ขายาวก็ต้องก้าวลงจากเรือเพื่อสัมผัสผืนแผ่นดินใหญ่ที่ไม่ได้เหยียบมาร่วมเดือน ความร้อนระอุของเม็ดทรายที่โรยตัวอยู่ทั่วชายหาดทำให้บาดแผลพุพองนั้นสร้างความเจ็บปวดทรมาทรกรรมให้กับร่างสูงใหญ่กำยำที่แม้จะแข็งแรงแค่ไหนแต่ก็คงต้องสิโรราบให้กับธรรมชาติของร่างกายอยู่ดี

     

                เสียงพูดคุยของผู้คนที่รายล้อมอยู่รอบตัวกลายกลับเป็นซุ่มเสียงที่ชายหนุ่มหวาดระแวง แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่ยกมือขึ้นป้องมิให้คนรอบข้างได้เห็นใบหน้าของเขาถนัดตา ซ้ำร้าย... กางเกงผ้าหลุดรุ่ยกับเสื้อคอกลมขาดวิ่นนั่นก็ทำให้เขากลายเป็นจุดสนใจได้โดยไม่ต้องทำอะไร

     

                “พ่อหนุ่ม...”

     

                “เฮือก !” สะดุ้งเสียจนตัวโดยเมื่อถูกฝ่ามือของใครบางคนสะกิดเข้าที่บ่ากว้าง ชเวซีวอนกำลังรวบรวมสติทั้งหมดที่มีอยู่เพื่อวางแผนในระยะเวลาอันสั้นและเมื่อเห็นสูตรสำเร็จของแผนการแล้ว เขาจึงถอนลมหายใจออกมาเพื่อสร้างความผ่อนคลายแก่ตนเองก่อนจะหันหน้ากลับไปเผชิญกับเจ้าของฝ่ามือซึ่งท้ายที่สุดแล้วเป็นเพียงชาวประมงวัยร่วงโรยคนหนึ่งเท่านั้น

     

                “หลงทางมารึ มอมแมมเชียว”

     

                “ผม... เรือที่ผมนั่งไปมันคว่ำกลางทะเล โชคดีที่ชาวประมงกลุ่มนั้นเขามาเจอเลยเพิ่งได้ขึ้นฝั่งมาหน่ะครับ”

     

                “พระเจ้าคุ้มครอง... แล้วพ่อหนุ่มจะไปไหนรึ ?” ผิดหรือเปล่าถ้าหากชเวซีวอนจะรู้สึกไม่ไว้ใจชายแก่คนนี้สักเท่าไหร่ หากแต่เขาเองก็จนปัญญาที่จะหาทางไปยังที่นัดหมายได้ด้วยตนเองเสียแล้ว ดังนั้นการลองเสี่ยงดูก็มิน่าใช่เรื่องเสียหายอะไร... คนแก่อายุปูนนี้ ถ้าหากไม่มีอาวุธร้ายแรงก็คงไม่เหนือบากกว่าแรงของเขาหรอกกระมัง

     

                “ไปโซลครับ... เอ่อ ไปสนามบิน”

     

                “เดี๋ยวจะมีคนเอาของไปส่งในโซล พ่อหนุ่มก็ติดรถไปกับเขาสิ” ชายแก้ชี้ไปทางลานโล่งกว้างที่มีรถกระบะจอดเรียงอยู่เต็มไปหมด ซีวอนมองตามปลายนิ้วนั้นไปด้วยแววตาที่แทบไม่หลงเหลือความมั่นใจเอาไว้เลยแม้สักหน่อยแต่ก็พยักหน้าให้กับชายแก่เพื่อแสดงความเข้าใจของตนเองออกมา... ชาวประมงหนุ่มยิ้มขำกับท่าทางที่แลดูเก้กังนั้นก่อนจะคว้าข้อแขนของซีวอนเอาไว้ในมือแล้วพาเดินไปยังรถกระบะ

     

                “โจวมี่ !

     

                “ครับลุง...”

     

                “เอาพ่อหนุ่มคนนี้ติดรถไปหน่อยสิ เค้าจะเข้าเมือง !

     

                “... ครับลุง เอ่อ... ขึ้นมาเลยครับ กำลังจะออกพอดี” สำเนียงภาษาเกาหลีที่ไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ทำให้ซีวอนขมวดคิ้วเข้าหากันมากขึ้นกว่าเก่า แต่เพื่อไม่ให้เป็นที่ไม่เข้าหูเข้าตาเขาจึงตัดสินใจยิ้มให้กับชายที่ตัวสูงกว่าเขาอยู่สักหน่อยด้วยความเป็นมิตร... หากมองโลกในแง่ดีหมอนี่ก็คงไม่ค่อยเข้าใจภาษาเกาหลีด้วยหล่ะมั้ง

     

                “ครับ.. ขอบคุณมากครับคุณลุง”

     

                “ไปดีมาดีหล่ะ”

     

                “ครับ.. ขอบคุณอีกครั้งนะครับ”  อย่างน้อยชายแก่ก็ทำให้เขาพอจะวางใจลงไปได้บ้างว่ายังไม่มีใครคิดประสงค์ร้ายต่อเขา(ซึ่งมันอาจจะเป็นประสงค์ดีต่อคนอื่นก็เป็นได้) ร่างสูงใหญ่จึงค่อยก้าวเท้าเดินตามเจ้าของรถกระบะคันเก่าที่ชื่อว่าโจวมี่แล้วเข้าไปนั่งด้านในตามรอยยิ้มเชื้อเชิญที่อีกฝ่ายมอบให้

     

                ไม่นานเกินหายใจ เสียงติดเครื่องยนต์ก็ดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มของสารถีขนส่งอาหารทะเลที่ฉีกยิ้มกว้างให้กับเขา ซีวอนเพียงแค่พยักหน้าเป็นสัญลักษณ์แทนคำขอบคุณแล้วจึงเอนแผ่นหลังลงกับเบาะด้วยความเมื่อยล้า ชายร่างใหญ่เบนหน้าทอดสายตามองบรรยากาศข้างทางด้วยคร้านจะระแวดระวังตัวเสียแล้ว... เขาอยากพักผ่อนและปล่อยวาง สาบานได้ว่าต่อจากนี้เขาจะปล่อยวางให้มากขึ้น

     

              ข่าวด่วนวันนี้... ดิฉัน คิม แทยอนรายงานสดจากเกาะปิงจูค่ะ เมื่อเวลาประมาณตีห้าของวันนี้ได้เกิเหตุนักโทษค้ามนุษย์ชเว ซีวอนหลบหนีออกจากสถานที่กักกุมตัวของเกาะ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำ...ซื้ดดดดดด..... รูปพรรณ...ติ๊ด..ซื้ดดดดดดดดด ~’

     

                “เอาอีกแล้ว... พอมาแถบนี้ทีไรคลื่นไม้มีตลอด”

     

                “ฮะ ๆ แถวนี้ดูรกทึบนะครับ...”

     

                “ครับ แถวนี้เป็นป่ามาก่อน พอทำถนนแล้วก็ไม่ค่อยมีคนใช้เท่าไหร่” สารถีเอื้อมมือไปปิดวิทยุเพื่อปัดความรำคาญของเสี่ยงคลื่นซ่าที่ดังเป็นระยะจนไม่สามารถจับใจความของแก่นสารของสิ่งที่รายงานออกมาได้ แต่เนื้อความเมื่อครู่ก็ทำให้หนุ่มชายฝั่งนึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่รู้จักชื่อของคนที่ร่วมทางมากับเขาเลยหน่ะสิ

     

                “ว่าแต่คุณชื่ออะไรครับ ?” น้ำเสียงที่ต้องการจะสานมิตรภาพทำให้ซีวอนต้องละสายตาออกมาจากบานกระจกแก้ว เขาคลี่ยิ้มน้อย ๆ ที่มุมปากออกมาเพื่อพยายามกลบเกลื่อนสิ่งที่สมองกำลังประมวลผลให้ตอบออกไป..

     

                “มินกยองครับ ลี มินกยอง...”

     

                “ครับ คุณมินกยองหลับไปก่อนก็ได้นะครับ... อีกซักสี่ห้าชั่วโมงกว่าจะถึงตัวเมือง เดี๋ยวพอเข้าโซลแล้วผมจะปลุก” เพราะสีหน้าที่แสนจะดูอ่อนล้าและน้ำเสียงผะแผ่วทำให้โจวมี่อดหวั่นใจมิได้ว่าชายหนุ่มที่หลงทางกลางทะเลอาจต้องการการพักผ่อนที่เพียงพอมากกว่านี้ก็เป็นได้ และเขาควรปล่อยให้ชายผู้ร่อนเร่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่เสียก่อน

     

                “ครับ... ผมต้องฝากคุณด้วยจริง ๆ”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                รู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีก็เลยเข้าโซลมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว โจวมี่ปลุกเขาตามที่สัญญาไว้ ซีวอนลืมตามองท้องฟ้าคล้อยบ่ายที่แปรเปลี่ยนเป็นห้วงนภาสีน้ำเงินเข้ม หากแต่กาลเวลาเหล่านี้มิได้มีผลต่อชายร่อนเร่อย่างเขาเท่าใดนัก

     

                “อ่า.. ดูเหมือนจะมืดแล้ว” น้ำเสียงแหบพร่าเปล่งออกมาจากลำคอที่แห้งผาดเมื่อได้ยลสีดำครึ้มของท้องฟ้า เจ้าของรถกระบะเก่ายื่นขวดน้ำเย็นในมือให้กับเขาฃหยิบยื่นความชุ่มฉ่ำให้แกผนังเนื้อในลำคอที่ไม่ได้รับน้ำเข้าไปเลยมาร่วมหกเกือบเจ็ดชั่วโมง

     

                “เขามีตั้งด่านตรวจนักโทษแหกคุกอะไรนี่แหละ ผมก็เลยอ้อมมาอีกทาง ไกลกว่าแต่รถไม่ติดดีครับ” โจวมี่เฉลยเหตุผลของการมาล่าช้ากว่าเวลาให้กับร่างสูงซึ่งผู้ฟังก็ได้แต่พยักหน้ารับรู้ด้วยสีหน้าเรียบเฉยตามเดิม กลบเกลื่อนความโล่งใจในอกที่เขามิอาจแสดงออกมาได้อย่างชัดเจนนัก

     

     ซีวอนเลือกหยุดบทสนทนาด้วยความเงียบงันแล้วทอดสายตามองสีสันของโซลในยามค่ำคืนที่เขามิได้ย่างกรายมาสร้างผัสสะเกือบหนึ่งเดือน... เกือบลืมไปแล้วว่ารถติดมันเป็นอย่างไร

     

                “คุณมินกยองจะไปไหนครับ”

     

                “คุณส่งผมแถว ๆ คังนัมก็ได้ครับ”

     

                “ครับ...”

     

                “ขอบคุณคุณมากจริง ๆ”

     

                “ไม่เป็นไรครับ ยังไงเราก็ต้องช่วยเหลือกัน” หนุ่มชายทะเลส่งยิ้มให้เขาจนตาหยี พอดีกับที่รถกระบะคันเก่าติดไฟแดงอยู่ ซีวอนอ้าปากเหมือนจะพูดอะไรออกไปต่อแต่เมื่อเห็นรถตำรวจที่แล่นไปมาบนท้องถนนคำพูดที่ตั้งใจจะเอ่ยก็ถูกกลืนลงคอไปโดยไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ

     

                “ผมว่า คุณส่งผมตรงแยกหน้าจะสะดวกกว่า...”

     

                “แต่...”

     

                “ผมเพิ่งนึกออก... ว่าตรงนั้นเป็นบ้านเพื่อนผมหน่ะครับ ขืนไปถึงคังนัม เดี๋ยวของสดของคุณจะเสียกันพอดี” พอเอาข้าวของที่อยู่ท้ายรถขึ้นมาเถียงโจวมี่แลดูจะมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย ตามต่อด้วยท่าทางเถียงไม่ออก สุดท้ายเมื่อไฟสีแดงสดเปลี่ยนไปเป็นไฟสีเขียว โจวมี่จำต้องหักรถเลี้ยวเข้าไปจอดริมถนนตามคำบอกของคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง

     

                “ขอบคุณคุณมากจริง ๆ แย่เหลือเกินที่ผมไม่มีอะไรตอบแทนคุณเลย”

     

                “ไม่เป็นไรครับ ขอให้คุณโชคดี...”

     

                “ครับ... ขอบคุณมาก” ชายร่างสูงกำยำเปิดบานประตูรถกระบะออกแล้วก้าวเท้าลงแตะฟุตบาทด้วยฝ่าเท้าเปลือยเปล่า เขาส่งยิ้มให้กับโจวมี่ก่อนจะปิดบานประตูลงไปแล้วเดินหายเข้าไปในตรอกเล็ก ๆ ที่เจ้าของรถกระบะพยายามจะมองตามหลัง แต่เพราะไม่มีแสงไฟจึงลำบากเหลือเกินที่จะมองว่าร่างนั้นปลอดภัยดีหรือเปล่า พลันเมื่อดวงตาโฉบเฉี่ยวมองกระจกที่สะท้อนข้าวของที่อยู่บนท้ายกระบะ โจวมี่จึงรู้สึกตัวได้ว่าเขาคงไม่มีเวลามาพะวงหน้าพะว้าหลังเกี่ยวกับผู้ชายร่อนเร่คนนั้นอีกต่อไปแล้ว เพราะของสดจะเน่าเอาเสียได้

     

                “ตายแล้วตายแล้ว....” รถกระบะคันเก่าเคลื่อนตัวออกไปจากริมฟุตบาทโดยที่เจ้าของพวงมาลัยมิได้สนใจภาพสเก็ตใบหน้าของอาชญากรร้ายที่หลบหนีออกจากคุกเลยแม้แต่น้อยว่ามันเหมือนกับคนที่เขาเพิ่งจะพามาส่งมากแค่ไหน...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                แม้จะอับแสงไฟและเต็มไปด้วยกรวดก้อน แต่ชเวซีวอน นักโทษค้ามนุษย์ก็ยังสามารถย่างกรายลึกเข้ามาจนถึงสถานที่ลับของเขาได้อย่างปลอดภัย ถือว่าเป็นโชคดีที่หลืบรูแห่งนี้มิได้ถูกตรวจค้นโดยตำรวจเนื่องจากไม่มีใครรู้ที่ซ่อนแห่งนี้ยกเว้นตัวเขาเท่านั้น ชายร่างสูงมุดตัวเข้าไปหลังลูกกรงเหล็กที่กั้นเอาไว้หละหลวม พยายามแทรกกายผ่านลวดหนามซึ่งทำหน้าที่กำบังพื้นที่ลับที่ถูกกั้นเอาไว้ด้วยแผ่นสังกะสีเขรอะอีกชั้น กระทั่งเข้ามาถึงด้านใน... เทียนสีเหลืองที่ล้มอยู่ถูกจุดด้วยไม้ขีดในกล่องซึ่งซ่อนอยู่เบื้องล่างกระถางต้นไม้

     

                แสงไฟริบหรี่อำนวยความสะดวกให้เขามองเห็นพื้นปูนซึ่งไม่สะอาดนักได้ถนัดตา กลิ่นเหม็นอับลอดเข้ามาแตะปลายจมูก หยอกล้อเสียจนรู้สึกเวียนหัวด้วยความหืนของมัน ร่างสูงพ่นพรูลมหายใจออกมาแล้วจึงเดินไปที่แผ่นสังกะสี ขยับมันออกเล็กน้อยเพื่อให้อากาศได้เข้ามาว่ายวนไล่จับกลิ่นอับภายในห้องหับคับแคบแห่งนี้บ้าง

     

                แท่งเทียนสีเหลืองถูกวางลงบนพื้นทับบนน้ำตาเทียนเพื่อให้สามารถทรงตัวอยู่ท่ามกลามความขรุขระได้ เสื้อยืดขาดวิ่นถูกถอดเขวี้ยงไปอยู่ที่มุมห้องเผยให้เห็นแผงอกชื้นเม็ดเหงื่อที่สะท้อนวิบวับเล่นกับแสงเทียน กางเกงยีนส์ซึ่งเป็นรูร่องช่องโหวไม่แพ้เสื้อถูกดันออกจากลำกายด้านล่างเหลือเพียงชั้นในตัวเดียว แขนแกร่งทั้งสองข้างจับมันสะบัดสองสามครั้งก่อนจะล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบเศษกระดาษที่ได้รับมาจากชายแปลกหน้า... เขาคลี่มันออกมาอีกครั้ง โชคร้ายเหลือเกินที่น้ำหมึกสีเข้มเจือจางลงไปจนเหลือเพียงตัวอักษรลาง ๆ ของลายมือที่เขาคุ้นเคยดี... ลายมือของโจวคยูฮยอน

     

    ....สนามบินอินชอน

     

                ข้อความที่จางลงไปบ่งบอกเพียงแค่สถานที่นัดพบ... เขาอ่านรายละเอียดก่อนหน้านั้นไม่ออกเพราะมันคงจะไหลรวมไปกับน้ำทะเลเมื่อตอนที่เขากระโดดออกมาจากเกาะปิงจู สถานที่คุมขังนักโทษที่ทำผิดร้ายแรงแห่งนั้น

     

                หากแต่มันก็ไม่หลงเหลือคุณค่าใดให้หวนรำลึกมากนัก... ร่างสูงเดินไปยังมุมห้องที่เป็นราวไม้ไผ่เก่า ๆ เสื้อผ้าที่ถูกแขวนเอาไว้อย่างเป็นระเบียบสองสามตัวถูกหยิบขึ้นมาสะบัดสองสามครั้ง กายกำยำขยับตัวก้าวเข้าไปที่ด้านหลังของห้องซึ่งถูกกั้นด้วยการก่อปูนให้เป็นอีกระดับ ท่ามกลางความมืดเขามองไม่เห็นหัวก๊อกชัดเจนนักจึงอาศัยการคลำมือไปเรื่อยกระทั่งเมื่อฝ่ามือของเขาสัมผัสเข้ากับทองแดงแท่งเนื้ออุ่นจึงออกแรงบิดเพื่อให้น้ำไหลงไปในถังพลาสติก

     

                กางเกงชั้นในร่นออกไปนอกพื้นที่ ชายหนุ่มตักน้ำขึ้นราดตัวเพื่อชำระคราบเหงื่อไคลและกลิ่นคาวสาบของท้องทะเลที่ติดกายมาด้วย... ป่านนี้โจวมี่จะรู้หรือยังว่าเขาคือนักโทษแหกคุก ป่านนี้ตำรวจจะวุ่นวายกับการตามหาตัวเขามากแค่ไหนแล้วต่อจากที่แห่งนี้เขาจะเดินทางไปยังสนามบินได้อย่างไร.... แล้วเจ้าของกระดาษโน้ตที่วางแผ่นอยู่บนพื้นนั่นหล่ะ... จะรอเขาอยู่ตรงที่นัดพบหรือเปล่า

     

                แต่คนที่งานยุ่งตลอดเวลา(แม้กระทั่งตอนนี้ก็ด้วย)อย่างชเวซีวอนคงไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องราวเหล่านั้นให้มากความ ชายหนุ่มราดน้ำลงบนตัวอีกสองสามครั้งก่อนจะเช็ดตัวอย่างลวก ๆ ด้วยเสื้อผ้าชุดเก่า เขาสวมเสื้อยืดสีดำเข้มคอกว้างเข้าไปแทนที่และตามด้วยชั้นในตัวใหม่ก่อนจะทาบทับกายส่วนล้างด้วยกางเกงขาสั้นลายสก็อต แม้จะมีกลิ่นอับอ่วมมาเล็กน้อยแต่มันก็ไม่ใช่ปัญหาของเขาในเวลานี้มากเท่าไหร่... ดวงตาคมสอดมองเรือนร่างที่ถูกติดแปะด้วยอาภรณ์กลิ่นชื้นเพื่อสำรวจความเรียบร้อยของการแต่งกายว่าจะไม่มีส่วนไหนให้คนอื่นเก็บเอาไปหัวเราได้ลับหลัง เมื่อไม่พบข้อผิดพลาด ท่อนแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามจึงคว้าเอากุญแจรถและแว่นกันแดดที่วางอยู่คู่กันขึ้นมาเช็ดฝุ่น พร้อมกับสวมร้องเท้าอมฝุ่นซึ่งวางอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก

     

    โชคดีมากเหลือเกินที่ตำรวจไม่รู้ความลับของสถานที่แห่งนี้...

     

                แขนแกร่งกระตุกให้เทียนที่หลอมไปกว่าครึ่งหลุดออกมากพื้นปูนขรุขระ ร่างสูงใช้แขนข้างที่หนีบกุญแจเอาไว้เหน็บแว่นกันแดดเข้าที่คอเสื้อ ก้มลงหยิบแผ่นกระดาษโน้ตชื้นน้ำ แล้วจึงใช้แขนข้างเดียวกันผลักบานสังกะสีที่อยู่ด้านหลังถังน้ำให้ล้มลง เสียงหล่นโครมของมันถูกทำให้ทุเลาลงด้วยการประคองแบบขอไปทีที่ไม่ใส่ใจมากนัก... เปลวเทียนสีส้มแสดส่องสะท้อนเข้าไปด้านในเผยให้เห็นยานพาหนะสีดำที่จอดทิ้งร้างมานานแรมปี

     

                ขายาที่สาวเข้ามาใกล้เครื่องจักรสีดำเข้ม พาดคร่อมลงบนเบาะนุ่มบุหนังซึ่งสั่งทำพิเศษเอาไว้ ฝ่ามือปัดฝุ่นทีเกาะอยู่ตามส่วนประกอบชิ้นน้อยใหญ่ออกไปเพื่อคืนสภาพให้แก่ฮาเล่ย์คันงามที่ไม่ถูกปลุกขึ้นมานานแรมปี กุญแจที่เพิ่งจะถูกเสียบลงไปถูกบิดให้เครื่องยนต์ทำงานจนเกิดเสียงกึกก้องไปทั่วห้องหับคับแคบแห่งนี้

     

                ซีวอนประคับประคองยานพาหนะให้เดินลัดเลาะมาจนถึงหน้าบานประตูสังกะสีเมื่อครู่พร้อมกับเปลวเทียนที่อยู่ในฝ่ามือ บานประตูสังกะสีถูกดันออก ฮาเล่ย์สีดำคันโตถูกดันออกมาจนพบกับถนนยางมะตอย เสียงเร่งเครื่องสองสามครั้งดังขึ้นให้ผู้คนตื่นตระหนกเล่นตามด้วยการโยนแท่งเทียนเข้าไปในห้องอันคับแคบที่ต่อจากนี้คงไม่มีความจำเป็นกับเขาอีกต่อไปแล้ว

     

                เปลวเพลิงที่คละคลุ้งอยู่ด้านหลังไม่ได้ชวนให้ดวงตาคมซึ่งถูกซ่อนเอาไว้ใต้หมวกกันน็อคหันกลับไปสนใจใยดีสักเท่าไหร่ ฝ่ามือกร้านบิดคันเร่งสีดำซึ่งถูกหุ้มเอาไว้ด้วยหนังชั้นดีเพื่อเร่งความเร็วให้ไปถึงยังสถานีรถไฟโซลให้เร็วมากที่สุด...

     

     

                กงล้อหนาหมุนลิ่วไปบนท้องถนนที่ประดับไปด้วยแสงไฟ โชคดีที่ความจำเกี่ยวกับโซลยังไม่ถูกลบล้างไปจนหมดสิ้นทำให้เขาสามารถลัดเลาะมาตามเส้นทางลัดต่าง ๆ ได้จนถึงสถานีรถไฟโซล... มอเตอร์ไซค์คันงามถูกจอดไว้ที่หน้าร้านอาหารจานด่วนโดยที่เจ้าตัวไม่ลังเลที่จะหยิบกุญแจของมันคืนมาจากตัวถังด้วยแม้รู้ดีว่าคงจะไม่ได้ใช้มันอีกแล้วก็ตามที ขายาวก้าวฉับไปบนพื้นฟุตบาท เคลื่อนตัวเข้าสู่สถานีรถไฟโดยที่มีแว่นกันแดดคลุมใบหน้าเอาไว้อยู่

     

                จำนวนยามที่มากขึ้นทำให้หัวใจของซีวอนกระตุกตัวเร่งจังหวะการขยับด้วยตื่นกลัว หากแต่ใบหน้าคมก็ยังคงซ่อนความตระหนกนั้นเอาไว้ได้อย่างมิดชิดผ่านจังหวะการเดินรวดและมาดอันทรงภูมิจนไม่ตกเป็นที่ต้องสงสัยของหน่วยรักษาความปลอดภัยในบริเวณนั้น...

     

                ท้ายที่สุดเขาก็สามารถหย่อนตัวลงบนเบาะรถได้อย่างปลอดภัย ชายร่างสูงก้มหน้าลงมองพื้น เตรียมพร้อมรับกับสภาพความแออัดของเหล่านักเดินทางที่ทยอยเรียงตัวกันเข้ามาด้านใน น่าประหลาดที่ไม่ถูกสงสัยโดยยามคนไหนแต่ก็ยังไม่สิ้นสุด... เพราะเวลาที่เขาต้องใช้บนรถไฟฟ้าแห่งนี้ก็ไม่ใช่น้อย มันมากพอที่จะทำให้ใครคนใดคนหนึ่งซึ่งมองแผ่นประกาศที่แปะใบหน้าของเขาไปทั่วกรุงโซลรับรู้ได้ว่าแท้จริงแล้ว ผู้ชายที่ใช้แว่นกันแดดเป็นที่กำบังคนนี้เป็นนักโทษ....

     

                รถไฟเคลื่อนตัวได้ไม่ด่วนสมชื่อ ซีวอนจึงต้องคอยผุดลุกผุดนั่ง ก้าวเดินไปตามส่วนต่าง ๆ เป็นระยะเพื่อกำบังความจำของมนุษย์ที่ยืนเบียดกันอยู่ภายในตู้เคลื่อนที่แห่งนี้ ระยะทางที่ยาวไกลเกือบสิบสถานีทำให้ร่างกายที่เหนื่อยล้าต้องตัดสินใจเอนลงไปพิงกับมุมสุดของพื้นโลหะที่เชื่อมสองโบกี้เอาไว้ เข้าก้มหน้าลงมองพื้นและนับถอยหลังให้กับสถานีสุดท้ายที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า

     

              “นั่นใช่นักโทษชเวซีวอนหรือเปล่าหน่ะ...”

              “ไหนๆ... หูย เขาเหมือนจริง ๆ ด้วย”

              “โทรแจ้งเลยดีไหม เธอจดเบอร์ไว้หรือเปล่า...”

              “ไม่เอาหรอก เกิดเขาไม่ใช่จะทำยังไง”

              “แต่ถ้าเค้าใช่หล่ะ ค่าหัวตั้งสิบสองล้านวอนเชียวนะเธอ....”

     

                เสียงซุบซิบของหญิงสาววัยร่วงโรยทำให้ตัวประเด็นที่พวกหล่อนกำลังพูดถึงอดคลี่รอยยิ้มออกมาประดับบนใบหน้าไม่ได้... แม้จะตื่นกลัวแค่ไหนว่าความกล้าที่แอบแฝงอยู่ของพวกเธออาจจะเอาชนะความขลาดเขลาในตอนนี้ได้อยู่หรือเปล่า แต่มันก็เป็นเรื่องน่าสนใจดีที่ได้รู้ว่าเขากลายเป็นผู้ชายที่มีค่าตัวแพงขนาดนั้นเพียงเวลาชั่วข้ามคืน

     

                กระนั้นโชคยังเข้าข้างที่รถไฟด่วนได้เดินทางมาสุดสายของมัน... สถานที่นัดพบที่ปรากฏอยู่บนกระดาษโน๊ตสีขาว... เขาเท้าที่ถูกสวมทับด้วยรองเท้าแตะลงบนพื้นลื่นซึ่งปูเรียบยาวไปเรื่อย แม้จะยังสงสัยอยู่บ้างว่าคนที่นัดเขาเอาไว้จะรู้ได้อย่างไรว่าเราจะพบกันตรงไหนแต่ซีวอนก็ไม่ลังเลที่จะก้าวเท้าไปตามทางเดินเพื่อตรงไปยังเก้าอี้นั่งรอผู้โดยสารของเกต F ตามความทรงจำลาง ๆ ที่ระบุชื่อประเทศปลายทางเอาไว้ในสมอง

     

                ชายหนุ่มหย่อนตัวลงลุงแก่ผมขาวซึ่งจดจ่อสายตาเสื่อมสมรรถภาพของตนอยู่กับหนังสือพิมพ์เล่มใหญ่ ท่าทางหยิ่งผยองนั่นทำให้ซีวอนมั่นใจเป็นอย่างมากว่านักธุรกิจอายุรุ่นราวราวพ่อของเขาคงไม่ยอมละสายตาออกมาจากตัวอักษรจิ๋วที่ถูกพิมพ์ด้วยหมึกคุณภาพต่ำเพื่อมองเขา ชายผู้แต่งตัวซอมซ่อมอซอเป็นแน่ กายกำยำจึงเลือกเอนลงพิงกันพนัก แขนแกร่งทั้งสองข้างยกขึ้นกอดอกของตัวเองเอาไว้ก่อนที่ดวงตาโฉบเฉี่ยวจะปิดลงเพื่อเข้าสู่การพักผ่อนอีกครั้ง

     

    ยังโชคดีอยู่มากที่เขาพอจะจำเนื้อความในแผ่นกระดาษ
    ซึ่งระบุปลายทางไว้ที่สก็อตแลนด์ได้อย่างแม่นยำ

     

    __________ SUMMER KILLER__________

    วิธีการอ่าน : อดีตสีฟ้าหม่น ที่เล่าเรื่องย้อนหลัง(ปัจจุบัน) สีขาว
    อดีตขึ้นก่อนเสมอนะคะ
    (:

    หวังว่าคงสนุกกันนะ.

    THE★FARRY
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×