ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { wonkyu } Winter's Killer

    ลำดับตอนที่ #2 : .winter's killer {first}

    • อัปเดตล่าสุด 21 ธ.ค. 54


             


    -first

    ไม่มีใครอยากเป็นคนบาป
    มีแต่จะเอาบาปมาอ้างว่าตนทำดีเท่านั้น

     

                โจว คยูฮยอนพูดได้อย่างไม่เต็มปากเต็มคำนักว่าสิ่งที่เขาทำอยู่คือเรื่องดีซึ่งสังคมยอมรับ เพราะในเมื่อมีคนรักก็จำต้องมีคนชัง แต่ในเมื่อเลือกเดินทางนี้แล้ว รักกับชังก็คงจะมีค่าไม่ต่างกันมากเท่าไหร่นักหรอก...

                กระบอกปืนสีดำถูกขัดด้วยน้ำยาเคลือบเงาอย่างดี กลิ่นเหม็นตลบของขี้ผึ้งสีเหลืองหม่นคลุ้งอยู่ทั่วห้องทำงานขนาดกลางซึ่งห้อมล้อมไปด้วยยุคคลที่เรียกตนเองเรียกว่า ผู้รักษาความปลอดภัยแน่หล่ะ... เพราะเขาชอบเดินเข้าหาอันตรายจึงต้องมีคนคอยรักษาความปลอดภัย...

                อารมณ์คุกรุ่นยงคงค้างอยู่ในอกและไม่หายไปไหน คำตอบที่ได้รับนั้นไม่น่าพึงพอใจมากนักสำหรับโจว คยูฮยอน และก่อนที่จะลงไม้ลงมือไปมากกว่านั้น เขาจำต้องถอยห่างออกมาจากชเว ซีวอน ผู้ชายกวนประสาทเสียก่อน... ในเมื่อยังไม่ได้คำตอบ ซีวอนก็ยังต้องมีชีวิตอยู่ ซึ่งดูเหมือนเจ้าตัวก็จะรู้เงื่อนไขนี้ดีอยู่ด้วยสินะ จึงได้ทำตัวถ่วงเวลาเขาไปวัน ๆ

                Colt 1903 กระบอกสั้นที่ปราศจากเลือดจากมุมปากของตัวประกันร่างสูง ถูกวางลงบนโต๊ะอย่างเบามือ สันสีดำของมันวาวสะท้อนกับแสงไฟที่ฉายลงมาจากบนเพดานจนคยูฮยอนค้องเสหน้ามองไปทางอื่น เป็นอีกครั้งที่เขาทำได้แค่เพียงกัดฟันของตนเองแล้วเม้มริมฝีปากให้แน่นขึ้น กลั้นความรู้สึกที่ถูกคั่วรวมกนจนสะเปะสะปะไม่ให้กลั่นกรองออกมาเป็นหยาดน้ำตา...

                คยูฮยอนไม่เข้าใจผู้ชายที่ชื่อ ชเว ซีวอน เลยแม้แต่น้อย แม้ในเวลาที่ถูกจับมาขังเอาไว้ นักฆ่าร่างใหญ่ยังคงสามารถจุดบุหรี่สูบต่อหน้าเขา ผู้ซึ่งสามารถพิพากษาชีวิตซซานนั้นด้วยการลั่นไกได้ทุกเมื่อ แต่ท่าทางของซีวอนมันเหมือนคนที่ไม่ได้คาดหวังอะไรแล้วกับชีวิต ราวกับว่าชายหนุ่มพอใจใน 32 ปีของตนเองที่ดำเนินมา

                ท้ายที่สุด คยูฮยอนจำต้องปัดความคิดโง่เขลาของตนเองออกไป ไม่มีเหตุผลที่จะมาคิดวกวนกับคนพรรค์นี้ งานที่อยู่ในมือของเขามีมากเกินกว่าที่จะให้เวลากับการนั่งคิดสิ่งที่เรียกว่า เรื่องส่วนตัวแม้ว่าชื่อ ซีวอน จะรวมอยู่ในเป้าหมายที่เขาต้องจัดการสังหารเสียให้ทันเวลาด้วยเช่นกัน

                “เรียก 342 เข้าพบ” กรอกคำสั่งลงบนในสายโทรศัพท์ที่เชื่อมตรงออกไปด้านนอก ร่างบางถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกพาดลงบนเก้าอี้ทำงาน จัดการพาตัวเองตรงมายังชั้นเก็บเอกสารที่ตั้งเรียงอยู่ ณ มุมห้อง ปลายนิ้วไล่หาไปตามรายชื่อของสมุดปกน้ำตาลที่สอดแทรกอยู่ในนั้น

                เสียงบานประตูที่อ้าออกไม่ได้ทำให้ร่างบางสะดุ้งหรือแปลกใจเลยแม้แต่น้อย คยูฮยอนมีสัมผัสที่ไวมากพอที่จะรู้ว่าปลายเท้าคู่นั้นหยุดที่ตรงไหนในห้องทำงานของเขา พกอาวุธอะไรเข้ามาบ้าง และอาจสามารถระบุตัวได้ด้วย หากว่าบุคคลดังกล่าวมีความสนิทชิดเชื้อกับเขาพอสมควร

                “สามเดือน... แนบเนียนที่สุด” แฟ้มปกน้ำตาลขนาดเท่ากระดาษ A4 ลอยลิ่วแหวกอากาศลงไปกองอยู่บนโต๊ะทำงาน 342 หยุดลที่ตรงหน้า มือหยาบกร้านที่ผ่านโลกมาเยอะเปิดหน้าปกออกเพื่อดูรายละเอียดด้านใน ใบหน้าเรียบนิ่งนั้นไร้อารมณ์เกินกว่าที่จะอ่านออกได้ว่า 342 กำลังคิดอะไรอยู่

                “...”

                “นั่นเป็นเหตุผลของสามเดือน... ซื่อสัตย์ในความเชื่อของตนเอง”

                “ครับ... ซื่อสัตว์ในความเชื่องของตนเอง” ผู้รับคำสั่งโค้งให้กับร่างโปร่ง 342 หยิบภาพถ่ายนั้นติดตัวออกไปโดยการซ่อนมันเอาไว้ในเสื้อคลุมของเขาเอง บานประตูทำงานอีกครั้งด้วยการปิดลง และปล่อยให้คนที่อยู่ในห้องจมอยู่กับลมหายใจที่ถอนออกมา...

     

     

     

     

     








     

     

    อุดมการณ์ก็เหมือนอากาศ
    กินไม่ได้และขาดไม่ได้

     

                วันที่สี่... ถือเป็นการกักขังที่นานเกินไปแล้วสำหรับมือหนึ่งอย่าง ชเว ซีวอน อันที่จริง ถ้าจะพูดให้ถูกมันผิดตั้งแต่ยอมปล่อยให้คู่ปรปักษ์ฝีมือเด็กสามารถจับเขามาได้แล้วเสียด้วยซ้ำ กระนั้นเขายังคงไม่รู้สึกว่าตนเองควรจะทำอะไรบางอย่างเพื่อหลบหนีออกจากสถานที่กักกันแห่งนี้เพราะเหมือนจะยังมีเรื่องน่าสนุกให้ทำอีกเยอะแยะ

                ดวงตาคมราววิหคมองลอดผ่านทางบานกระจกพร่ามัวออกไปด้านนอก เงาของผู้ชายสามคนเดินวนเวียนไปมานั้นเป็นการแสดงการรักษาความปลอดภัยชั้นเยี่ยมที่เขาเองรู้ดีว่าตนเองสามารถขจัดทั้งสามคนนั้นออกได้อย่างสบายมือ มันขึ้นอยู่กับว่าเขามีอารมณ์และพลังมากแค่ไหนที่จะทำแบบนั้น

                ในเมื่อนั่งจนเริ่มเมื่อยตัว แผ่นหลังกว้างจึงทิ้งลงกับพื้นปูนที่วันนี้ดูดีมีราคาขึ้นมาบ้างเนื่องจาก โจว คยูฮยอนเอาฟูกลงมาปูไว้กันเขาหนาวตาย... เขาไม่ใช่คนบ้ายอหรือหลงตัวเอง แต่เขากล้าพูดได้ชัดเจนเลยว่า ตัวเขามีความสำคัญต่อคยูฮยอนมากจนอีกคนต้องยอมประคบประหงมเขาราวไข่ในหิน และถ้าเสียเขาไปคนหนึ่ง... ร่างบางนั้นไม่อาจอยู่ได้อย่างเป็นสุขแน่นอน

                ครั้นเมื่อได้เอนตัวลงแล้วเริ่มต้นความคิดเรื่อยเปื่อย ซีวอนพบว่าชีวิตในนี้เริ่มกลายเป็นชีวิตที่น่าเบื่อ... นั่งกินนอนกินไปรอให้เวลาหมดไป ดินสอสามแท่งที่พกติดตัวเอาไว้ก็เริ่มทู่ เนื่องจากแกรไฟต์สีดำหมดไปกับการรังสรรค์ผลงานศิลปะบนกำแพงสีขาวหม่น ครั้นจะเอ่ยปากขอกบเหลาดินสอ... เกรงว่าจะต้องแลกกับคำตอบที่สุดท้ายก็คงได้สันปืนกลับมากินอีกตามเคย...

                ในเมื่อไม่สามารถวาดเขียนได้ ซีวอนจึงใช้จินตนาการให้เป็นประโยชน์ เขาหลับตาลงแล้วพาตัวเองเดินไปตามความมืดที่ปรากฏเข้ามาในหัวสมอง... สมมติเอาว่าตนเองนั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปหาอดีต ชีวิตที่นักฆ่าทุกคนถวิลหา 

     

     

     

     

     

     

     

    ความทรงจำกับอดีต
    ก็แค่คำสองคำ... ที่เขียนต่างกัน

              ชเว ซีวอน เป็นเพียงเด็กชายผู้ไม่ได้รับการศึกษามากพอ โชคเข้าข้างแค่เพียงเพราะว่าเขามีใบหน้าคมสันและดวงตาที่เฉียบคมเหมือนตาเหยี่ยวเท่านั้น แม่ตายเพราะถูกพ่อทำร้ายปางตาย ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลหนักเพียงข้อเดียวที่ทำให้เขาต้องยอมระหกระเหินร่อนเร่ออกจากบ้านมาอย่างไม่รู้อนาคต รู้แค่ว่ามันน่าจะดีกว่าอยู่ร่วมบ้านกับพ่อซึ่งเป็นฆาตรกรเหนือกฎหมายต่อไป

              ซ่อง...เอาไว้ซ่องสุม มั่วเซ็กส์ บำบัดกามารมณ์ แต่สำหรับซีวอนมันเป็นที่หาเงิน หน้าตาที่ได้มาเป็นเหมือนมรดกชิ้นเดียวที่ฝากเอาไว้สำหรับเขา แม้ว่าการร่วมเพศกับเพศเดียวกันจะไม่ใช่เรื่องที่ยอมรับมากนักในสังคมแต่ว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องต้องห้าม เมื่อถึงเวลาที่เขาไม่มีอันจะกินจากเหล่าม่ายสาววัยกลางคนแล้ว เขาก็ต้องยอมสละตัวเองให้กับเหล่าเสี่ยกระเป๋าหนักบ้าง... แม้ว่าตอนนั้นอายุของเขามันจะแค่ 15 ปีก็ตามที

              อย่างไรก็ตาม พระเจ้าก็มิได้ใจร้ายเสมอไป คิม มยองซิก เสี่ยโสดกระเป๋าหนักคนหนึ่งเกิดสงสารเขาขึ้นมาเสียดื้อ ๆ หลังจากที่ได้ฟังภูมิหลังชีวิตสกปรกขณะที่นั่งดริ้งค์ด้วยกัน... ผู้ชายอายุห้าสิบปลาย ๆ ขอรับเขาเป็นลูกบุญธรรม เลี้ยงดูและให้การศึกษาแก่เขาอย่างเต็มที่...ในขณะที่เขาตอบแทนได้เพียงความสัมพันธ์บนเตียงกับคำเรียกอันแสนเป็นเกียรติว่า ป๊า

              “ซีวอนโตขึ้นอยากเป็นอะไรลูก ?”

              “ผมอยากรวยแบบป๊า... ช่วยเด็กที่มีชีวิตแบบผม...” ชีวิตแบบผม คือชีวิตเด็กที่ถูกนำมาขายตัวด้วยความไม่เต็มใจ ซึ่งเขาพบเห็นภาพเหล่านั้นตลอดเวลาที่เข้ามาอยู่ใต้ร่มเงาของซ่อง... คำตอบใสซื่อทำให้มยองซิกถึงกับกลั้นรอยยิ้มไว้ไม่อยู่ ชายแก่ลูบผมของลูกบุญธรรมด้วยความเอ็นดูพริ้มคลี่รอยยิ้มให้กับคำตอบของเด็กที่ที่เหมือนจะเริ่มต้นก้าวแรกของการทำความดี

              “ลูกต้องทำได้แน่ๆ...”

              “ครับป๊า... ผมจะเรียนเก่ง ๆ และก็ทำงานดี ๆ หาเงินมาเยอะ ๆ” คำตอบไร้เดียงสาเอ่ยออกมาจากริมฝีปากหยัก ดวงตาคมนั้นจับจ้องไปยังใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลาของคนที่ตนเรียกว่าป๊า เขาภูมิใจในตัวของผู้ชายคนนี้อย่างถึงที่สุด สำหรับเขา.. ป๊า เป็นคนดี

     

     

     

     

     

                “ป๊า...” ผมส่งเสียงเรียกชื่อเจ้าของห้อง เจ้าของพื้นหินอ่อน เจ้าของบางประตูเลื่อนแบบญี่ปุ่น เจ้าของชั้นวางหนังสือที่อัดแน่นไปด้วยตำราแพทย์แผนจีน เจ้าของโต๊ะทำงานไม้ตัวสูง... เจ้าของร่างที่ไร้ลมหายใจซึ่งยังคงนั่งแน่นิ่งอยู่บนเก้าอี้หนังตัวใหญ่...

              “ป... ป๊า...” ผมวางมือลงบนไหล่ของเขา ผู้ทีผมให้เกียรติเป็นบิดา แต่เพียงแค่สัมผัสเบาบางที่ไหล่ เขาก็ฟุบลงไปกับโต๊ะทำงาน... ร่างไร้วิญญาณไม่อาจควบคุมกายได้ นั่นคือความจริงที่มนุษย์รู้ดี

    แต่ก็ไม่เคยยอมรับได้

              เสียงกรีดร้องของผมคงไม่ดังเท่ากับเสียงเพลงที่ถูกเปิดคลอเอาไว้ หากแต่ความรวดร้าวมันคณานับมิได้... ผมตระกองกอดร่างของผู้เป็นพ่อเอาไว้ น้ำตาไหลรินลงมาจากดวงตาคมราววิหคตัวใหญ่ มือของผมกดวนไปวนมาตามหมายเลขที่ผมสามารถจดจำได้... เบอร์โทรศัพท์ตำรวจ

              “พ... พ่อผม... พ่อผมถูกฆาตรกรรม...” ผมกรอกเสียงลงไปและบอกรายละเอียดต่ออย่างไม่ได้สติ เสียงจากปลายสายถามไถ่ด้วยความตื่นตระหนกที่ซ่อนเอาไว้อยู่ภายในน้ำเสียงแข็งทื่อนั้น... กระทั่งเมื่อสายถูกตัดไป ผมทำได้เพียงแค่รอคอย

     

     

     

     


     

              “ฆ่าตัวตาย... พ่อของผมไม่มีเหตุผลที่จะต้องทำแบบนั้น” ผลชันสูตรทำให้ร่างสูงใหญ่รู้สึกเหมือนโดนฉีกอกออกมา ซีวอนมองตัวอักษรที่ถูกพิมพ์เรียงบนหน้ากระดาษ เขาขมวดคิ้วเข้าหากันและพยายามจะเถียงกับชายตรงหน้าคอเป็นเอ็น... แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาก็พ่ายแพ้อยู่ดี

              “เราไม่พบร่องรอยของการฆาตรกรรมใด ๆ เลย น้องต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นนะครับ หมอรู้ว่ามันลำบากแต่ก็ต้องพยายามฟันฝ่ามันไปให้ได้”

              “หมอทุกคนโกหกเก่งใช่ไหมครับ...หึ” ฝ่ามือหนาบีบแผ่นกระดาษจนเกิดเป็นรอยยับ ซีวอนหมุนตัวออกไปจากที่ตรงนั้น ก้าวเดินออกไปให้ห่างจากชายในชุดขาวมากที่สุด... เขาไม่ต้องการรับฟังคำโกหก... ป๊าไม่มีทางฆ่าตัวตายอย่างเด็ดขาด

     

              บนโลกนี้เต็มไปด้วยเรื่องบังเอิญ และสิ่งที่อยู่ตรงหน้าของเขาตอนนี้ก็คงเป็นเรื่องบังเอิญเช่นกัน หากแต่มันจะติดตรึงในใจของซีวอนไปตลอดกาล เมื่อวันที่เขามารับศพของป๊าและได้ยินหมอคนเก่ายืนคุยอยู่กับชายในชุดสูทเรียบร้อย เช็คเงินสดถูกยื่นให้กับหมอพร้อมกับคำพูดอีกไม่กี่ประโยคที่ดังตามหลังมา

              “ตามที่ตกลงกันไว้...”

              “ไม่เป็นไร... มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”

              “ถ้าไม่อยากเป็นแบบคิม มยองซิก ปิดปากเรื่องนี้ซะ... ท่านประธานไม่ชอบแน่ถ้ารู้ว่ามีการแพร่งพรายของข่าวนี้”

              “แน่นอน ผมจะเหยียบเอาไว้ให้มิดที่สุด...” รอยยิ้มชั่วยกขึ้นที่มุมริมฝีปากของหมอหนุ่มที่ถือเช็คเงินสดอยู่ในมือ ซีวอนลากตัวเองออกมาจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด เขารู้สึกเหมือนจะอาเจียนออกมา อาหารที่กินไปเมื่อเช้าจ่ออยู่ที่ต้นลำคอเรียบร้อย... เขาหายใจไม่ออก... ตั้งแต่นั้นมา เขาไม่เคยศรัทธาแพทย์คนใดอีกเลย

     

     

     

     

     

     

    ในยุคมืด.. เพราะมีการทดลองโลกจึงสว่าง
    ในมุมมืด... เราหาแสงสว่างนั้นไม่เจอ

     

     

    ครั้งหนึ่ง.. พระโพธิสัตว์เกิดเป็นรุกขเทวดาประจำอยู่ที่ต้นละหุ่ง ในบริเวณบ้านหลังหนึ่ง วันหนึ่งมีโคแก่ตัวหนึ่งในบ้านนั้นได้ตายลง เจ้าของบ้านได้ลากซากศพมันไปทิ้งเป็นอาหารสัตว์ไว้ที่ข้างต้นละหุ่งนั้น ต่อมาไม่นานมีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งมาแทะกินเนื้อโคนั้นอยู่ และมีกาตัวหนึ่งบินมาจับที่ต้นละหุ่งนั้น ด้วยหวังจะกินเนื้อโคนั้นเช่นกัน จึงพูดยกย่องสุนัขจิ้งจอกขึ้นว่า

    “ท่านพญาเนื้อ ผู้มีร่างกายเหมือนโคถึก มีความองอาจดังราชสีห์ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแก่ท่าน ทำอย่างไร ข้าพเจ้าจักได้อาหารสักหน่อยหนึ่ง

     

     

              “ผมอยากรู้จัก โจว อินซอง...”

              “นายจะรู้ไปทำไม ?”

              “ทำไมผมถึงรู้จักเขาไม่ได้ ?”

              “...”

              “...”

              “แกมันก็แค่เด็กอมมือเท่านั้น...” ชายร่างผอมกระหร่องในเสื้อยืดตัวโคร่งที่ยังคงมีริ้วรอยขาดวิ่นหันมาสบประมาทเขาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ฝ่ายเขาผู้ซึ่งถูกดูแคลนด้วยประโยคดังกล่าวกลับยังคงยืนนิ่งงันและปล่อยให้ลมปากนั้นพรูคำด่าถากถางออกมามากมายต่อไป... เชื่อว่าถ้าควอน จียงด่าจนพอใจแล้ว คำตอบจะออกมาเอง

              “นายนี่มันเป็นคนยังไงกันแน่...”

              “ก็เป็น... อย่างที่เห็น”

              “กวนส้นตีนชิพหาย... โจว อินซองเป็นเจ้าของที่นี่ รู้ไปแค่นี้ก็พอแล้วเด็กอมมือ” จียงทิ้งตัวลงมาจากเก้าอี้สูงเพื่อตั้งใจจะเบี่ยงหลบออกไป ตัดจบบทสนทนากับเด็กแปลกหน้าที่ดูไปดูมาก็เหมือนพวกเกย์ขายตัวตามท้องถนน

              “ที่นี่... ที่เคยเป็นของคุณ” ไม่น่าเชื่อว่าประโยคสั้น ๆ สามารถหยุดฝ่าเท้าของอดีตหัวหน้าแก๊งค์มาเฟียชื่อดังได้อย่างสนิท เป็นครั้งแรกที่ซีวอนมีโอกาสได้สบดวงตาเรียวซึ่งอยู่ใต้กระจกแว่นสีดำที่เจ้าตัวดันมันลงมาอยู่ตรงปลายจมูกโด่งรั้น ซีวอนไม่พูดอะไรต่อทั้ง ๆ ที่รู้ว่าสายตานั้นเป็นสายตาที่เรียกร้องขอคำขยายความ เขาหันหลังกลับเช่นเดียวกับที่ควอน จียงทำกับเขาเมื่อครู่

              “เดี๋ยว... เดี๋ยวก่อน...”

     

    สุนัขจิ้งจอกได้ฟังคำยกย่องนั้นแล้วชื่นใจพูดตอบว่า

    “กุลบุตรย่อมสรรเสริญกุลบุตรด้วยกัน ท่านกาผู้มีสร้อยคองามเด่นเช่นนกยูง เชิญท่านลงมาจากต้นละหุ่ง มากินเนื้อให้สบายใจเถิด

     

     

              “...”

              “ใครส่งนายมา”

              “....หึ” คงต้องขอบคุณชีวิตอันโหดร้ายในสถานที่โสมมที่ทำให้ซีวอนได้เผชิญหน้ากับมุมมืดหลายด้านของผู้คนหลายคนจนวางตัวถูกแทบทุกสถานการณ์ ซีวอนไม่ถือว่าการกระทำของตนเองนั้นคือการเล่นตัว แต่มันคือการเพิ่มศักดิ์ศรีให้กับตนเองและเตือนผู้ที่หยิ่งผยองกว่าว่ามันก็มีเวลาที่พวกเขาเหล่านั้นต้องปีนบันไดลงมาชายตามองเพื่อนร่วมโลกในระดับเดียวกันบ้างเท่านั้นอง

              “ชอง !

              “อื้ม..”

              “มึงมานี่กับกูหน่อย...” บุคคลสุดท้ายไถลตัวลงจากเก้าอี้นั่งแล้วสาวเท้าเข้ามาในวงสนทนา ชายร่างสูงใหญ่คนนั้นไม่ได้สวมแว่นหากแต่กลับไว้ผมยาวปิดหน้าปิดตา... ซีวอนช้อนดวงตาขึ้นมองผู้ร่วมวงสนทนาคนใหม่ คลี่ยิ้มให้ตามมารยาทแต่สิ่งที่ได้กลับมากลับเป็นเพียงแค่การพยักหน้าโดยที่เขามองเห็นเพียงดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลของชายคนนั้นเท่านั้น

              “โจว อินซอง... ว่าไง ?”

              “อื้ม...” ผู้ชายตัวใหญ่ไม่มีคำตอบที่มากกว่านั้น แต่ ชองเลือกใช้ภาษากายในการเดินนำพวกเขาเข้าไปยังหลืบของสถานบันเทิง... ซอกที่มีหลากชีวิตขลุกตัวอยู่ภายใต้รสจูบปรนเปรอ ทะลุเข้าสู่บานประตูลูกกรงสีน้ำตาลที่ถูกตกแต่งอย่างมีสไตล์ หากแต่เมื่อขับฝีเท้าพ้นบานประตูนั้นไปได้สักพัก... ห้องเก็บเสียงและโต๊ะน้ำชาที่ถูกเตรียมไว้กลับไม่ได้น่าพิสมัยดังเช่นจิตรกรรมบนบานประตู

     

     “บรรดามฤคชาติทั้งหลาย สุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์ที่เลวที่สุด
    บรรดาปักษีทั้งหลาย กาเป็นสัตว์ที่เลวที่สุด
    และบรรดารุกชาติทั้งหลาย ต้นละหุ่งเป็นต้นไม้ที่เลวที่สุด
    ที่สุด ๓ อย่างมาประจวบกันเข้าแล้ว”

     

     




















     

     

     

     

    มี... นั้นดี
    แต่เมื่อมากไป... ก็ไม่ดี

                ชเว ซีวอนเด้งตัวออกมาจากความฝนเพราะความเย็นที่ซึมผ่านฟูกนอนขึ้นมา เขาเหลือบมองชายทั้งสามคนที่นั่งเฝ้าทางเข้าอยู่ให้เห็น... ชายหนุ่มไม่รอช้าปรี่ตรงเข้าไปที่ผู้ชายซึ่งนั่งติดกับบานประตูลูกกรง สะกิดลงที่บ่าของชายคนนั้นเบา ๆ

                “ผมขอผ้าห่มอีกผืนได้ไหมครับ...” ชายคนดังกล่าวปรายตามองซีวอนด้วยความไม่ไว้วางใจ แน่นอนว่าร่างสูงสัมผัสมันด้วยสายตาอ้อนวอนที่สบมองไปยังอีกฝ่าย แต่ถึงกระนั้น ชายร่างใหญ่ก็ลุกขึ้นเดินไปยังบานประตูที่อยู่ห่างออกไปโดยไม่ลืมกระซิบกระซาบกับเพื่อนอีกสองคนที่นั่งอยู่อีกฟาก... เขาแกล้งทำเป็นไม่ใส่อิริยาบถทั้งหลายของผู้คนรอบข้างและกลับไปเอนตัวลงบนฟูกนอนเช่นเดิม

                แต่เมื่อเสียงบานประตูอ้าออก ดวงตาคมก็เบนมองไปที่ช่องวงกบซึ่งเชื่อมต่อโลกภายในกับโลกภายนอกเอาไว้ ความมืดที่เห็นเพียงเสี้ยวเดียวก็พอจะบอกได้ว่านี่คงย่างเข้าสู่หัวค่ำแล้ว... เป็นอีกครั้งในรอบวันที่ริมฝีปากหยักยกยิ้มขึ้นมาพร้อมกับกุมแกรไฟต์ในมือเอาไว้แนบแน่น...

                แท่งดินสอในมือลอยแหวกอากาศออกไปยังชายทั้งสองที่นั่งอยู่ไม่ห่างบานประตู... ฝีมือการเล็งของเขายังคงอยู่ในขั้นชนะเลิศเมื่อผลที่ได้รับคือการที่ปลายดินสอนั้นเจาะลงบริเวณลำคอ... ทะลุผิวหนังบอบบางและเสียบคาอยู่เช่นนั้น ปลายแหลมที่เกิดจากการฝนซ้ำซากบนพื้นปูนทำให้แร่ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเพชรนั้นปักเข้าที่ลำคอของเหล่า ผู้รักษาความปลอดภัยได้อย่างง่ายดาย

                ส้อมที่ใช้ในการกินข้าวถูกง้างเสียจนบิดเบี้ยวผิดทรง... ร่างสูงแยงปลายแหลมของมันเข้าไปที่ลูกกุญแจอย่างยากลำบากหากแต่ท้ายที่สุดก็สามารถสะเดาะล็อคของแม่กุญแจยี่ห้อดังซึ่งมีคำการันตีสลักเอาไว้บริเวณก้อนทองเหลือง.... ฝ่ามือหนาผลักบานประตูออกค่อย ๆ  ย่างสามขุมเข้าไปหาร่างสูงใหญ่ทั้งสองที่เหมือนจะพยายามลุกขึ้นต่อสู้เพื่อขัดขวางฝีเท้าของเขา แต่มันก็เป็นได้แค่ความพยายามที่คว้าน้ำเหลวเท่านั้นเมื่อเขาส่งกำปั้นหนักเข้าซ้ำเติมร่างกายอันกระท่อนกระแท่นนั้นต่อไป

    สี่วันที่ผ่านมา เพียงพอแล้วกับการออกมากินข้าวนอกบ้าน

     

    __________Winter Killer__________

     

    มีคนเดาถูกแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น... -..-

    มาจะกล่าวบทไปถึง Season’s Killer หน่อยแล้วกัน ถือเป็นการแนะนำ
    เรื่องนี้ไรเตอร์ขอแยกออกมาจากเหล่าเรื่องสั้น เพราะมันเป็น
    series ยาวค่ะ
    อีกอย่างก็คือถ้ารวมไว้ในนั้นมันอาจจะไม่ติดต่อกัน อ่านไม่ได้อรรถรส
    -..-

     

    เรื่องนี้เป็นฟิคจรรโลงโลก (?) เน้นอุดมคติ และแง่มุมในสังคม
    เนื้อเรื่องจะลึกลับ เครียด ๆ ดราม่าบ้างอะไรบ้าง

     

    โดยจะแบ่งเป็นสามฤดูค่ะ หนาว ร้อน ฝน
    ก็จะมาอัพตามฤดู...
    (ซึ่งตอนนี้ก็แปรปรวนทูเดอะแม็กซ์ ) -___-

     

    สำหรับ Winter Killer เรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจจากหลายอย่าง
    แต่โดยหลัก ๆ แล้ว พล็อตจะได้รับอิทธิพลมากจา “ฝนตกขึ้นฟ้า” ของคุณวินทร์ (นักเขียนใดวงหฤทัย
    -..-)
    เรื่องนี้จะกล่าวถึง “ความดี” แต่อะไรคือมาตรวัดหล่ะ
     เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่คนเรียกว่า “ความดี” ต่อให้มันชั่วหรือดี ก็เป็น “ความดี”
    อะไรที่ดีสำหรับเรา.. กับคนอื่นมันอาจจะเป็นความชั่วก็ได้


    มันจะตัดสลับไปมาระหว่างอดีตกับปัจจุบันบ่อยมาก !

    ส่วนที่เป็นอดีตส่วนมากจะเป็นตัวเอียงนะคะ ( เว้นพวกโควตคำและชาดก )


    ยังไงก็ฝากเซ็ทนี้ด้วยนะ (:
    ถือว่าเป็นก้าวของการเติบโต เริ่มเขียนอะไรที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้น 55555555

    THE' FARRY
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×