คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : CHAPTER ONE
Under the monument is empty
EXO / Kai x Sehun
note
: ไม่ได้ต้องการเสียดสีหรือพยากรณ์
I
จงอินมักได้รับคำครหาจากเพื่อนร่วมงานอยู่เสมอว่าเป็นพวกประเภทมีนิสัยบ้าระห่ำ
ทำอะไรเสี่ยงตายโดยไม่ได้คิดถึงชีวิต ทุกครั้งที่ได้ยินเช่นนั้นเขามักเถียงกลับในใจว่าไม่จริง
เขาทำไปตามหน้าที่ ไม่ได้ทำอะไรที่มันเสี่ยงเกินไปกว่าความสามารถหรือความรับผิดชอบของตัวเองเลยสักนิด
แต่คราวนี้ เห็นทีจะต้องละไว้
เขาปิดสัญญาณอุปกรณ์สื่อสารทันที รวมทั้งอะไรก็ตามที่จะสามารถระบุตำแหน่งของตัวเองได้ จงอินนึกขอบคุณที่ได้มาทำงานในแผนกซึ่งอนุญาตให้เขารู้เรื่องราชการมากกว่าพนักงานทั่วไป แต่ก็รู้สึกผิดไม่น้อยที่กำลงเอาความรู้นั้นมาใช้กับใครสักคนซึ่งมาจากเขตหวงห้ามของความทรงจำ
เขาวางอุปกรณ์สื่อสารดับสนิทลงแล้วเปลี่ยนเป้าสายตาไปที่ร่างเปลือยเบื้องหน้าที่ยังพยายามหลบคู้อยู่หลังกล่องเหล็ก ซึ่งบัดนี้เขารู้แล้วว่ามันคือกระสวยบรรจุร่างทดลองของรัฐบาล
มันสมองแห่งฝ่ายซ่อมบำรุงพยายามขบคิดอย่างหนักว่าจะทำให้สถานการณ์ตรงหน้าเข้าร่องเข้ารอยได้อย่างไร
แน่นอนว่าต้องเริ่มจากการหาอะไรสักอย่างมาคลุมกายคนตรงหน้าเสียก่อน
ปัญหาอยู่เพียงที่ว่าเขาจะไปเอามันมาจากไหนในเมื่อเราทั้งคู่อยู่ท่ามกลางผืนดินทรายกว้างสุดลูกหูลูกตา
ที่ทำได้ตอนนี้ก็แค่…
“เฮ้! นายเข้าใจ...เอ่อ...ที่ฉันพูดหรือเปล่า?”
ไม่มีการตอบรับจากเจ้าของดวงตากลมที่จองเขม็งตรงมา ความกลัวฉายชัดพอๆกับแววสับสนแต่ก็ยังมีวูบหนึ่งที่ชวนให้รู้สึกว่าคนๆนี้มเป็นนักสู้
จงอินคิดเอาเองว่าคนตรงหน้าคงเข้าใจความหมายจึงตัดสินใจเริ่มพูดต่อ
“ฉันคิดว่า...เราต้องหาอะไรคลุมตัวนายก่อน แล้วฉันจะพานายกลับไป" ทันทีที่ได้ยินคำว่า กลับไป ฝ่ามือที่กำแน่นอยู่แล้วก็เพิ่มแรงบีบจนแขนสั่น ความตรึงเครียดและหวาดกลัวสะท้อนผ่านเม็ดลูกปัดออกมาอย่างชัดเจนจนผู้พูดสัมผัสได้และต้องรีบจัดเรียงประโยคของตนเองใหม่อีกครั้ง "หมายถึงกลับไปที่บ้านของฉัน...แค่เรา"
“...” ร่างเปล่ามีท่าทีสงบลง แต่ก็ไม่ได้บ่งบอกว่าไว้วางใจมากนักเพราะยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับ เอาแต่ใช้ดวงตาหวาดระแวงจ้องกลับมา
จงอินไม่เก่งเรื่องเกลี้ยกล่อมผู้คนและก็รู้ดีว่าร่างทดลองนี่คงไม่ถนัดเรื่องไว้ใจคนแปลกหน้าเช่นกัน แต่สถานการณ์เหมือนจะดีขึ้นเมื่ออีกฝ่ายเริ่มทำการสื่อสารโดยการชี้กลับเข้าไปในกล่องเหล็กคล้ายพยายามสื่อว่ายังมีบางอย่างอยู่ในนั้น จงอินจึงรีบพยักหน้ารับ เขาค่อยๆขยับเข้าไปใกล้มากขึ้นกว่าเดิมด้วยการย่องย่อขาให้ดูเชื่องที่สุด แต่มือทั้งสองข้างเองก็พร้อมแสดงวิทยายุทธหากอีกฝ่ายคิดทำร้ายกัน
เขาหยุดตรงหน้ากล่องเล็กขนาดพอดีหนึ่งคนนอน ด้านล่างเป็นฟูกนุ่มที่หล่อเอาไว้ด้วยน้ำเย็น ดวงตากวาดมองดูว่าอะไรที่คนตรงหน้าต้องการให้เขาหาและจงอินก็เหลือไปเห็นถุงซิปที่อยู่ติดกับฝาด้านบนพอดิบพอดี เขาเอื้อมมือไปแตะมัน เงยหน้าขึ้นส่งคำถามผ่านออกไปทางสายตาว่านี่ใช่สิ่งที่อีกคนต้องการหรือไม่และคำตอบก็คือใช่ มือหนาจึงเริ่มรูดมันออกก่อนจะพบว่าภายในเป็นผ้าผืนใหญ่ที่พอจะคลุมห่อร่างกายได้หนึ่งร่าง จึงรีบคลี่มันออกมาแล้วยื่นให้คนตรงหน้าทันที
มือขาวซีดคว้ารับไปอย่างรวดเร็วก่อนจะรีบห่อคลุมตัวเองให้มิดชิด ระยะห่างที่สั้นลงทำให้ช่างซ่อมโดรนหนุ่มเหลือบเห็นว่าบนข้างแก้มของร่างผอมนั้นเห่อแดงขึ้นมาอาจด้วยเพราะความเขินอาย ถ้าถามว่าเขารู้ได้อย่างไรว่าเป็นความรู้สึกนั้นก็คงเป็นเพราะแม้ว่าอีกคนได้จัดการคลุมห่มกายให้มิดชิดแล้ว แต่ก็ยังคงหลบสายตาและซ่อนตัวเองอยู่หลังกล่องไม่ยอมออกมา
“ผม...” น้ำเสียงหวานใสจากอีกฝ่ายทำให้เขาถึงกลับสะดุ้งและหันขวับไปมองทันทีเพื่อให้ตัวเองแน่ใจว่าไม่ได้หูฝาดผิดเพี้ยนไป
ช่างซ่อมโดรนหนุ่มไม่อาจปฏิเสธได้ว่าหัวใจของเขากำลังเต้นตึกตักจนปวดหนึบไปหมดด้วยตื่นเต้นว่าอีกคนจะเอ่ยอะไรออกมาต่อ
จะยอมตกลงกลับไปกับเขาหรือเปล่า หรือว่าเขาต้องออกแรงเอาปืนสลบมาใช้
“...”
“ผม....”
“นายพูดได้นะ... หมายถึง...พูดออกมาเลย" เพื่อให้อีกคนวางใจ
จงอินเลือกที่จะหยิบปืนเลเซอร์อันเป็นอาวุธสำหรับป้องกันตัวออกมาจากเอวของเขาวางลงบนพื้น ซึ่งที่จริงมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากหรอก
ปืนนี้ทำงานด้วยระบบแสกนนิ้วมือ
หากว่าไม่ใช่มือของเขาไม่ว่าใครคนไหนก็จะไม่สามารถหยิบปืนกระบอกนี้ขึ้นมาใช้ได้ทั้งนั้น
แต่ที่ยอมวางมันลงก็เพื่อให้คนตรงหน้ารู้สึกวางใจขึ้นเท่านั้น
“ผม...อยู่ที่ไหน...” คำถามนั้นแผ่วเบา
ทว่าท่ามกลางความเงียบแบบนี้จงอินก็ได้ยินมันชัดเจน
“บาเรีย 483”
“483?”
“นายร่วงลงมาจากยาน น่าจะเป็นแบบนั้น...” จงอินมองไปรอบกาย
รู้สึกตัวขึ้นมาว่าตัวเองใช้เวลาอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้ว "นายมีชื่อไหม?”
“...โอเซฮุน" คนตัวขาวพยักหน้าก่อนจะบอกชื่อออกมาด้วยน้ำเสียงที่ยังคงแผ่วเบาเช่นเดิม
“โอเค โอเซฮุน ฉันชื่อ คิมจงอิน
และจะอะไรก็ตามฉันสัญญาว่าจะไม่แจ้งเรื่องที่เราพบกันหรือเรื่องกล่องแข็งนี่ตกลงมาจากฟ้า ฉะนั้นขอให้นายเชื่อใจฉันแล้วขึ้นยานนั่นก่อน" จงอินชี้ไปยังยานพาหนะที่จอดรออยู่เบื้องหลังก่อนจะอธิบายเพิ่ม "เพราะตอนนี้เราเสี่ยงมาก
ถ้านายไม่อยากถูกกระทรวงวิทยาศาสตร์ชำแหละเป็นชิ้นๆ โปรดเชื่อคำของฉันโอเคไหม? เราต้องไปขึ้นยานเดี๋ยวนี้"
เจ้าของชื่อโอเซฮุนกัดริมฝีปากของตัวเองแน่นเพราะความลังเล รู้สึกว่าสมองของตัวเองทำงานอย่างเชื่องช้าเกินกว่าจะตัดสินใจอะไร ในเมื่อชีวิตในคุกก่อนหน้านี้มันก็บัดซบจนไม่อยากเชื่อเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกคนไหนด้วยกันอีก ยิ่งเป็นคนของ Blue World ยิ่งอดหวั่นใจไม่ได้ หากแต่ตอนนี้เซฮุนยังไม่เห็นทางเลือกอื่นที่เอื้อต่อการมีชีวิตรอดมากกว่ายอมไปกับชายหนุ่มชุดประหลาดตรงหน้าเลยสักนิด
ร่างผอมจึงค่อยๆเดินออกมาจากฝาลังเหล็กทั้งผ้าคลุมที่ให้ความรู้สึกเหมือนพวกนักปราชญ์ชาวกรีกโบราณ
ทันทีที่เขาทำเช่นนั้นผู้ชายที่บอกว่าตัวเองชื่อคิมจงอินก็รีบปรี่เข้าไปปิดฝากล่องหนักอึ้งลง
ดูเหมือนเขาจะช่ำชองในการใช้งานมันอยู่มากโขเพราะร่างสูงโปร่งสามารถลงล็อคมันได้อย่างสนิท ก่อนจะใช้อุปกรณ์บางอย่างแปะไปที่ช่องสี่เหลี่ยมที่ข้างกล่องทั้งสองข้าง
จงอินหยิบเครื่องมืออีกชิ้นออกมาจากกระเป๋าเสื้อของตัวเองราวกับว่ามันถูกตระเตรียมไว้โดยเฉพาะ จิ้มนิ้วอยู่สองสามครั้งแล้วลังนั่นก็ลอยฉิวเข้าไปอยู่ในยานขับเคลื่อนซึ่งจอดห่างออกไปไม่มากเท่าไหร่
“เราต้องไปแล้ว" จงอินคว้าข้อมือของบางเล็กเอาไว้ก่อนที่ทั้งสองจะวิ่งกลับไปยังพาหนะทรงกลมกระจกใส มือหนาทาบลงบนหน้าจอแสกนสีดำทำให้ประตูอัตโนมัติเปิดออก ผู้แปลกถิ่นก้าวขึ้นไปในห้องขับด้วยท่าทางทุลักทุเลเพราะผ้าที่กำลังห่มอยู่นี้มันหนักใช่ย่อย
ขณะที่มือไม้ทั้งสองข้างต่างงุนงงสงสัยว่าต้องทำยังไง
จงอินปีนขึ้นมานั่งยังเบาะคนขับด้วยท่าทางทะมัดทะแมง เอี้ยวตัวข้ามมาจับเข็มขัดคาดล้อมลำตัวให้กับอีกฝ่าย ทั้งคู่สบตากันในจังหวะที่ช่างซ่อมโดรนดึงตัวเองกลับไปนั่งประจำที่คนขับก่อนยานออก
ท้องฟ้าสีส้มอันตรายนั่นเริ่มทิ้งห่างออกไป...
เป็นอีกครั้งที่เซฮุนไม่รู้อนาคต เหมือนที่ไม่เคยเข้าใจเรื่องราวในอดีต
- -
-
โอเซฮุน เป็นชนชั้นล่างอย่างสมบูรณ์แบบ
ไม่เคยรู้ว่าพ่อของแม่ตัวเองเป็นใคร ไม่มีสิทธิ์ในการเลือกตั้งและไม่มีบัตรประจำตัวที่เป็นการ์ดแข็ง
เขาไม่ได้รับการฝังชิพสีเขียวเหมือนอย่างเพื่อนคนอื่นในชั้นเรียนเพราะตัวเองไม่มีบุพการีลงชื่อกำกับให้
ว่ากันตามตรงเขาไม่ควรมีโอกาสได้รับการศึกษาด้วยซ้ำแต่เป็นเพราะสามารถผ่านการทดสอบจากรัฐบาลได้มาด้วยคะแนนนำโด่งเลยได้เข้าเรียน
ณ โรงเรียนพัฒนาศักยภาพนักคิดซึ่งเป็นโรงเรียนของรัฐ
หมายความว่าหลังจากเรียนจบเขาจะได้ขึ้นมาทำงานกับนักวิจัยสาขาต่างๆที่โลกด้านบนหรือ Blue
World
โลกที่ใครก็ต่างใฝ่ฝันจะปีนขึ้นมา
ไม่มีใครรู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่เรามีการแบ่งพื้นที่ในแนวดิ่งเหมือนกับที่ไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่า Blue
World หน้าตาเป็นแบบไหน
พวกเขาแค่ใฝ่ฝันจะไปที่นั่นแม้วไม่มีใครที่ขึ้นไปแล้วเคยได้กลับลงมาอีกก็ตาม เรา(คนชนชั้นล่าง) ต่างเชื่อว่าเหนือหัวของเราขึ้นไป ณ
ที่ซึ่งเสาเหล็กขนาดใหญ่แทงทะลุเมฆหมอกม่านฟ้านั้นจะเต็มไปด้วยความเจริญ
มีพื้นพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์พร้อม
ที่นั่งจะมีฟูกนอนที่นุ่มยิ่งกว่าผ้าอัดกองฟาง
มีอากาศบริสุทธิ์ที่ไม่ทำให้เราแห่กันป่วยด้วยเชื้อไวรัสประหลาดแล้วล้มหายตายจากกันตั้งแต่อายุอันสั้น
ทุกคนเชื่อแบบนั้นแต่ก็ไม่รู้เลยว่ามันมีอยู่จริงหรือเปล่า
เพื่อค้นหาว่าโลกด้านบนเป็นเช่นไร เซฮุนจึงเลือกศึกษาด้านธรณีวิทยา
เซฮุนเข้าเรียนด้านเฉพาะทางได้ประมาณสามปีและกำลังจะจบการศึกษาในอีกสองปีข้างหน้า
ก่อนหน้าที่การจลาจลครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นเขาได้รับหมายเรียกจาก Blue
World ให้ไปสอบข้อเขียนและปฏิบัติเพื่อขึ้นไปทำงานยังโลกด้านบน
ทุกอย่างคงเรียบร้อยกว่านี้หากเซฮุนไม่ได้ไปพบเอกสารสำคัญที่ถูกซ่อนเอาไว้ในหอสมุดกลาง
มันเป็นเหมือนคลังหนังสือขนาดใหญ่ที่ถูกซ่อนเอาไว้มุมลึกสุด
เซฮุนตื่นเต้นมากตอนไล่อ่านชื่อของมันทีละเล่ม บางเล่มเป็นนิยาย
บางเล่มเป็นรายงานวิจัย บางชิ้นเป็นแผ่นซีดีภาพยนตร์เก่าครึ
ดูเหมือนมันจะถูกนำมาทิ้งมากกว่าตั้งใจเก็บไว้
หนังสือเหล่านั้นไม่เคยถูกกล่าวถึง The
Origin of Spices เป็นเรื่องราวของการค้นพบที่ไปทีมาของเผ่าพันธุ์มนุษย์
สิ่งที่สะดุดตาคือคำว่าผู้อยู่รอด
จากการอ่านหนังสือเล่มหนาแบบผ่านๆเขาพบว่าใจความของมันคือเรื่องของการวิวัฒนาการเพื่อให้ตัวเองเป็นผู้อยู่รอดในสังคม
แต่นั่นไม่ใช่คำตอบเสมอไปในเมื่อคุณอยู่รอดแล้วอะไรคือสิ่งที่ต้องทำต่อ
โลกไม่ได้มีเพียงขั้นเดียว
มันมีหลายเรื่องที่รอคอยให้เราจัดการซึ่งแน่นอนว่ามนุษย์มิได้ฉลาดล้ำขนาดนั้น
เราวิวัฒนาการร่างกายหากแต่จิตใจของเราอาจไม่ได้เติบโตขนานไปกับสภาพแวดล้อมรอบตัวได้
มนุษย์สร้างระบบการปกครองขึ้นมาและมีปัญหากับมันเสียเอง เราถกเถียงหาผู้ถูกต้อง
เราไล่ล่าเพื่อครอบครองคนในอีกพื้นที่ ไม่ว่าจะด้วยความคิดหรือกำลัง
ใครๆก็ต่างความกระหายหิวอยากเป็นเจ้าของ อำนาจเติบโตขึ้นมาจนหลายครั้งเราตั้งข้อสงสัยว่ามันมากเกินไปหรือเปล่า
คนในอดีตพยากรณ์มันไว้ในวรรณกรรมที่ชื่อว่า 1984 บรรยายเรื่องเล่าในสังคมหนึ่งซึ่งทุกคนถูกจับตามอง
น้ำเสียงของเรื่องดูเป็นการเสียดสีหากแต่ใครจะรู้ว่าโลกแบบนั้นได้เกิดขึ้นมาแล้วจริง เซฮุนสงสัยเหลือเกินว่าสังคมที่ตนเองอาศัยอยู่อาจเป็นสังคมที่สร้างขึ้นตาม 1984 ก็เป็นได้
และนอกจากวรรณกรรมเขายังได้ศึกษาเรื่องสงครามที่เกิดขึ้น
มันมีมากครั้งจนชวนให้สับสนในชื่อเรียกหากแต่ที่ได้รับการขนานนามอันยิ่งใหญ่เห็นจะเป็นสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสอง
ซึ่งต่อมานำไปสู่สงครามเย็น
สภาวะที่โลกมองหาผู้ปกครองซึ่งเหมาะสมกับรัฐและชาติที่ก่อตัวขึ้นมาอย่างไม่ลงรูปลงรอยนักสร้างความวุ่นวาย
เรามีระบบกระแสหลักเรื่องประชาธิปไตยที่ครั้งหนึ่งนักคิดกรีกนามอริสโตเติ้ลกล่าวว่ามันคือระบอบที่คนโง่ปกครองคนโง่
ในบางประเทศจึงเลือกใช้ระบบอื่นเข้ามาแทนที่อย่างสังคมนิยม หรือ คอมมิวนิสต์
แต่ก็หาได้มีผู้ใดบรรลุเป้าหมายสูงสุดของมันในเมื่ออำนาจเป็นเหมือนน้ำผึ้งอันแสนหอมหวานที่ต้องเข้าไปสัมผัสจับต้อง
แล้วพวกเขาเหล่าชนชั้นปกครองก็หลงระเริงในรสหวานเรื่อของมัน
เสพย์สวาปามกันอย่างคุ้มคลั่งกระทั่งนำไปสู่สภาวะสงครามครั้งใหม่ในภายภาคหลัง
สงครามที่นำไปสู่การสร้าง Blue
World ขึ้นมา
Blue
World เป็นโลกที่อยู่รอดได้เพราะทรัพยากรจากโลกด้านล่าง
ความโหดร้ายคือการแยกชนชั้นที่ทำให้เราเป็นอื่นต่อกันอย่างสมบูรณ์แบบเหมือนที่เป็นอยู่ ราวกับอยู่คนละดาว แผ่นดินส่วนนั้นจะห้อมล้อมด้วยบาเรียที่แบ่งออกเป็นเขตขัณฑ์อย่างชัดเจน
ผู้คนภายในนั้นเป็นมันสมองของประเทศทั้งเก่าใหม่ปะปนกันไป
ทุกอย่างอุดมสมบูรณ์จริงแต่มันไม่มีอยู่จริง เพราะถ้าหากท่อส่งทรัพยากรซึ่งก็คือเสาขนาดใหญ่ที่แทงหลาวขึ้นเหนือก้อนเมฆเหล่านั้นพังลง Blue
World ก็จะไม่เหลืออะไร เป็นเพียงรัฐว่างเปล่าที่มีดินแดนอันใช้การไม่ได้เท่านั้น
เซฮุนมิได้เคียดแค้น
เขารู้ดีว่าคนเบื้องบนก็กำลังชดใช้กรรมจากการลักลอบขโมย ระบบการปกครองของ Blue
World ค่อนข้างปิดกั้น
อยู่กันแบบแบ่งหน้าที่เป็นฝักฝ่ายและแต่ละคนมีสิทธิ์ตัดสินเพียงแค่ตามความคิดของตนเองเท่านั้น
หากแต่ปัญหาที่เซฮุนใคร่ครวญถึงคือเขาความอยุติธรรมที่คนด้านล่างไม่เคยมีสิทธิ์ได้ครอบครองทรัพยากรเหล่านั้น
พวกเราทำงานกันแทบเป็นแทบตายแต่กลับไม่เคยได้รับผลตอบแทน
ไม่ได้กินในสิ่งที่ตัวเองปลูกซ้ำยังอดอยากปากแห้งจนต้องไปคุ้ยเขี่ยอาหารที่ร่วงหล่นลงมา
ไม่เคยได้อยู่สบายทั้งที่เราคือผู้ทำให้คนด้านบนมีกินมีใช้
มันไม่มีความเท่าเทียมเอาเสียเลยที่ทุกอย่างถูกส่งขึ้นท่อไปหมดและพวกเราก็ได้แต่นอนรอความตายอยู่เบื้องล่าง
เฝ้าฝันว่าสักวันจะได้ขึ้นไปเหยียบแผ่นดินเบื้องที่เรียกว่า Blue
World นั้น
เขาจึงเริ่มปลุกระดมคนขึ้นมา เผยแพร่เรื่องราวความจริงด้วยภาษาง่ายๆที่ชาวบ้านพอจะเข้าใจ
และแน่นอน... เขาถูกจับ...
เพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้นหลังการนำกำลังคนเคลื่อนเข้าไปล้อมท่อส่งอาหารเพื่อต่อรองการส่งเสบียงครั้งล่าสุดให้เหลือผลผลิตบางส่วนเพื่อต่อประทังชีวิตของคนด้านล่างบ้าง
ทหารจำนวนหนึ่งเข้าคุมตัวเราและให้โทษประหารชีวิตตั้งแต่สบตากันครั้งแรก
ในเมื่อขัดอะไรไม่ได้เซฮุนจึงเดินตามเกมส์ทุกอย่าง
เขาคิดว่าหากตายก็คงไม่เสียดายแล้วที่ได้รู้ความจริงทั้งหมด
และเขาเชื่อว่าวันหนึ่งมันจะสำเร็จเหมือนกับที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เรียนหนังสือสูงเฉกเช่นคนในโลกเบื้องบน
ทว่าทุกอย่างกลับพลิกผัน เขาได้รับการลดโทษเป็นจำคุกตลอดชีวิตแลกกับการใช้ความรู้เพื่อวิจัยผืนดิน โครงการนั้นระบุชัดเจนว่ารัฐบาลของโลกเบื้องบนต้องการสังการทุกชีวิตเบื้องล่างเพื่อสร้างไร่กสิกรรมขนาดใหญ่สำหรับสร้างอาหาร มีแรงงานบางส่วนเท่านั้นที่จะได้รับใบอนุญาตให้หายใจอยู่ต่อนั่นคือ ชายหนุ่มผู้มีพละกำลัง และ สตรีผู้มีฝีมือจำนวนหนึ่ง น่าตลกขบขันที่ความคิดแบบปิตาธิปไตยยังคงครองเมืองอยู่มาได้จนถึงวินาทีนี้ทั้งที่เคยมีการถกเถียงจะล้มกรอบความคิดแบบนี้ลงหลายต่อหลายครั้ง กระนั้นเซฮุนก็ไม่อาจขัดอะไรได้ในเมื่อพื้นที่ที่เขามีก็เหลือเพียงแค่สามคูณสี่ตารางเมตรล้อมรอบด้วยเสาเหล็กถี่ยินแสนหนาแน่น
โอเซฮุนสาบานว่าเขาจะยอมถูกจองจำร่างกายในคุก
แต่จะไม่ยอมให้กรงเหล็กนี่ขังหัวใจของตนเป็นอันขาด
เขาจะไม่หมดศรัทธาในคำว่าอิสรภาพแม้แสงปลายทางจะริบหรี่
และหรี่เล็กลงจนแทบมองไม่เห็นเมื่อกลางดึกในคืนหนาวของชีวิตกรงขังเดือนหก ทหารสองคนเข้ามาปลดประตูห้องขัง
บังคับให้เขาเดินออกไปพร้อมกับโซ่ตรวนตรงข้อเท้า
เดินไปตามความมืดของอุโมงค์ยาวเหยียดจนเจ็บระบมเพราะโดนตรวนบาด
อดร้องโอดโอยออกมาไม่ได้หลายครั้งจนสร้างความรำคาญนำมาสู่บาดแผลที่มุมปากด้วยง้างมือของทหารที่หิ้วปีกอยู่ทางข้างซ้าย
“หุบปากซะ!” นายทหารกรรโชกใส่เสียงแข็ง
“จ..เจ็บ..”
“เดี๋ยวก็หายเจ็บแล้วไอ้กบฎ" เสียงแข็งเอ็ดว่าอีกครั้ง "ทีนี้หล่ะมึงได้นอนยาวให้พวกนักชีววิทยาผ่า วางยาสลบ
ไม่ต้องเจ็บปวดอะไรอีกแล้ว"
“พูดมากหน่า ดูสิ... มันกลัวเสียจนตัวสั่นไปหมด" คนทางปีกขวาตะโกนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เบาลงแต่ก็รู้ว่าตั้งใจกลั่นแกล้งให้เขารู้สึกผวาด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจ
“...”
“เหอะ... สั่นตอนนี้จะสั่นแค่ไหนก็สั่นไป"
“...”
“ถูกส่งไปนอนบนเตียงชำแหละที่ Blue
World เมื่อไหร่เดี๋ยวก็โดนโปะยาให้หายสั่นเองแหละหน่า"
มันเป็นใจความสุดท้ายที่เซฮุนจับได้
เหมือนว่าพวกเขาต้องการส่งร่างไร้กำลังนี้ขึ้นถวาย Blue
World เพื่อผ่าชำแหละอย่างสยดสยอง เขารู้ดีว่าเบื้องบนมีการทดลองแปลกประหลาดมากมายและไม่อาจกลั้นความรู้สึกเป็นเกียรติที่แสนสั่นสะท้านเอาไว้ได้เมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังจะได้เป็นส่วนหนึ่งของการทดลองนั้น
มันไม่ได้สาหัสอะไรมาก
อย่างหนักก็แค่ตายและถูกจำแนกอวัยวะออกเป็นร้อยแปดพันเก้าชิ้นเพื่อผลดีต่อมนุษยชาติตามที่โปสเตอร์โฆษณาชวนเชือไร้มิตินั้นแปะรณรงค์ไปทั่วเมือง
หลังจากสงบสติอารมณ์ได้พวกเขาก็บรรจุร่างผอมแห้งใส่ลังเย็น สติพร่าเลือนเพราะฤทธิ์ยาสลบ
มองเห็นเพียงแต่เงามืดที่เกิดจากความไม่รู้
มันก็สมควรเป็นเช่นนั้น...
โอเซฮุนไม่เคยรู้อนาคตอยู่แล้วนี่
- -
-
เบื้องหน้าเป็นหอคอยสูงตระหง่านท่ามกลางทองฟ้าสีทะมึน
ยอดแหลมของมันเหมือนห้องรับสัญญาณแต่เซฮุนก็เพิ่งได้รู้ว่ามันคือบ้านตอนที่เสียงอัตโนมัติของยานพาหนะเอ่ยบอกว่า
"เตรียมการลงจอด"
ฉับพลันดวงตากลมก็เหลือบเห็นท่อยาวเอนทิ้งลงมาจากปลายยอดสุดอย่างเชื่องช้า ขนานแนบในแนวระนาบกับพื้นที่โล่งกว้างก่อนที่ยานพาหนะทรงกลมจะเคลื่อนต่ำลงอย่างนิ่มนวลแล้วเครื่องยนต์ทั้งหมดก็ดับสนิท
แรงกระตุกครั้งสุดท้ายกระชากให้ร่างผอมหันกลับไปมองคนข้างกาย
จงอินส่งยิ้มบางให้กับเขาก่อนจะปลดเข็มขัดแล้วดีดตัวเองลงมาจากเบาะนั่ง
ชายหนุ่มเดินอ้อมกลับมาทางฝั่งของเขาอย่างรวดเร็ว
เปิดประตูออกแล้วยืนมือมาด้านหน้า
เขาวางมือรับคำเชิญ ก้าวลงจากยานด้วยท่าทีเก้กังไม่คุ้นชิน
ร่างบางในชุดผ้าไม่เรียบร้อยถูกพาให้เดินลงมาตามฐานสีเงินซึ่งทอดยาวต่อเชื่อมกับหอคอยสูง
อาคารตรงหน้ามีขนาดใหญ่กว่าที่ได้กะประมาณทางสายตาเมื่อตอนแรก ประตูกระจกนิรภัยเคลื่อนไหวอัตโนมัติเพียงแค่จงอินเงยหน้าขึ้นให้เซนเซอร์แสกนม่านตา สิ่งแรกที่เซฮุนสัมผัสได้เมื่อบานประตูอ้าออกเป็นกลิ่นหอมคล้ายเทียนสปาซึ่งมันทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมากหลังเผชิญความตึงเครียดมาตลอดหลายชั่วโมง
จงอินพาเขาเข้ามานั่งบนโซฟากลางห้อง
กำชับให้นั่งนิ่งอยู่ตรงนี้ก่อนและอย่าได้หยิบจับอะไรเด็ดขาดเพราะบางอย่างอาจเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของเจ้าตัวเอง นั่นทำให้ร่างบางได้แต่นั่งตัวแข็งขณะที่เจ้าของเคหะสถานวิ่งขึ้นไปบนบันไดเกลียว
กระนั้นมันก็ไม่ใช่นิสัยของเขาเลยที่จะอยู่นิ่งโดยไม่สงสัยใคร่รู้อะไร
ในเมื่อจับต้องไม่ได้เซฮุนก็ขอแค่ได้สอดส่ายสายตามองรอบตัวเสียหน่อยเพื่อให้ตัวเองได้ศึกษาสถานที่ใหม่ไม่คุ้นชินแห่งนี้
ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมาเขาแทบไม่ได้เห็นอะไรใหม่เลยนอกจากกำแพงอิฐทึบสีหม่นหลังกรงเหล็ก สนามหญ้าหลังเรือนจำ และใบหน้าผู้คุมที่วนเปลี่ยนกันเดือนละคนซึ่งมันตลกร้ายเหลือเกินเมื่อผู้คุมแต่ละคนหน้าตาต่างกันจนจำแนกได้ชัดเจน
หากแต่จิตใจเบื้องลึกกลับโหดร้ายราวกับได้รับการปลูกฝังในพันธุกรรม เวลาหนึ่งเดือนประจำการผู้คุมพวกนั้นจะต้องยิงนักโทษตายน้อยที่สุดหนึ่งคน
ยิงทั้งที่มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะราวกับความตายเป็นเรื่องขบขัน
เซฮุนรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่หลุดออกมาได้
บางทีเขาอาจจะสะสมความดีมามากพอหรือไม่ก็ได้รับความเห็นใจจากพระเจ้าจึงได้พบมนุษย์ Blue
World แบบคิมจงอิน แต่ก็ไม่อยากวางใจทั้งหมด
ในเมื่อตั้งแต่เล็กยันโตเขาก็ไม่เคยรู้สึกไว้ใจใครสักคนได้เลยสักนิด
ราวกับว่าชีวิตยี่สิบกว่าปีของเขามันดำเนินอยู่บนความระวาดระแวงที่สะสมก่อรุมอยู่ในทุกย่างก้าว
จนบางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าจะมีโอกาสได้มอบพื้นที่ของความวางใจให้ใครสักคนได้หรือไม่
พลันสายตาของเซฮุนได้สะดุดเข้ากับหนังสือเล่มหนึ่งที่ถูกพับค้างเอาไว้บนโต๊ะกระจก
กระดาษสีเหลืองกรอบของมันบ่งบอกถึงอายุและกาลเวลาที่มันได้พ้นผ่านมา
ร่างผอมชะโงกมองชื่อหนังสือที่ทำให้ตัวเองต้องชะงัก...
“อันนี้ไม่อันตราย
จับได้" เสียงทุ้มที่โพล่งขึ้นมาทำเอาคนฟังตกใจจนสะดุ้งเฮือกแล้วถดตัวกลับไปอีกทาง
จงอินมองท่าทางเช่นนั้นด้วยรอยยิ้มขำขัน
เขาไม่คิดว่าคนเราจะตกใจได้มากถึงขั้นถดตัวหนีอย่างรวดเร็วขนาดนี้
แต่ก็พอจะเข้าใจว่าคนที่ถูกจับใส่ลังเพื่อส่งขึ้นมาผ่าทดลองก็คงควบคุมอารมณ์ได้ยาก
อีกอย่างเขาไม่รู้ว่าคนตรงหน้าต้องผ่านเรื่องราวอะไรมาบ้างซึ่งเดาได้เลยว่าคงไม่มีเรื่องไหนดีและน่าฟัง
“...” เซฮุนไม่กล้าแม้แต่จะปริปากพูดคำใดออกมา
เขาจับจ้องจงอินเขม็งโดยไม่ยอมละสาย ยังไงก็ยังไว้ใจไม่ได้ทั้งหมดหรอก
ร่างบางบอกตัวเองเช่นนั้น
“เอาเถอะ เข้าใจว่าคงต้องปรับตัว...” ช่างซ่อมโดรนผู้ไม่รู้วิธีรับมือกับอาการตื่นตระหนกของคนพึมพัมก่อนเปลี่ยนเป็นยื่นเสื้อผ้าไปให้คนตรงหน้าแทน
"อันนี้ของนาย ใส่ไปก่อน คิดว่านายคงอยากล้างตัว... อ่อ แล้วก็ยืนยันว่าฉันจะไม่บอกใครเรื่องนาย
เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวหรอก"
เซฮุนพยักหน้าแต่ก็ไม่ยอมลดสายตาลง
“ห้องน้ำอยู่หลังชั้นหนังสือตรงนั้นนะ"
จงอินผายมือไปยังชั้นกระจกสูงที่กองถมเต็มไปด้วยหนังสือจำนวนมาก
มันเป็นครั้งแรกที่เซฮุนเคลื่อนสายตาออกไปจากใบหน้าคมเข้มแต่ก็เป็นเพียงแค่ช่วงเวลาไม่กี่วินาทีเท่านั้น
ขาเรียวขยับคลี่ออกจากท่านั่งขัดสมาธิ
ลุกขึ้นเพื่อจะเดินตรงไปยังห้องน้ำแต่ก็ยังมิวายเหลือบมองคิมจงอินผ่านทางกระจกของเสากลางบ้านขนาดใหญ่อยู่ดี
แทนที่ช่างหนุ่มจะรู้สึกรำคาญเขากลับหัวเราะออกมา
ยกมือทั้งสองข้างขึ้นประสานที่หัวด้วยท่าทางยอมจำนนโดยหวังว่ามันจะทำให้อีกฝ่ายสบายใจขึ้นมาได้บ้างทว่าเซฮุนก็ยังคงไม่ละสายตาออกมาอยู่ดีแม้ได้พาตัวเองไปถึงหน้าประตูห้องน้ำแล้วก็ตาม
“เฮ้...
ฉันไม่ทำอะไรนายแน่ๆจริงๆ"
“...”
“จริงๆหน่า"
“ผมอยากจะเชื่อแบบนั้น"
เสียงพร่าแห้งเอ่ยตอบกลับมา "แต่ผมจะไว้ใจคนที่อ่านสามก๊กกับUtopia บนโลก Blue
World ได้ยังไงครับ"
ดวงตากลมเสมองไปยังชั้นหนังสือที่มันอัดแน่นไปด้วยคู่มือปกแข็ง
ชื่อหนังสือทั้งสองเล่มทำให้จงอินเผลอเบิกตากว้างออกมาเพราะเขาไม่คิดว่าจะมีใครรู้จักมัน
“นายรู้จักด้วยเหรอ"
เซฮุนพยักหน้า "มันเป็นหนังสือต้องห้าม... คนสมัยก่อนบอกว่าใครอ่านสามก๊กจบครบสามครั้งจะคบไม่ได้"
"...โอเค"
จงอินพยักหน้ารับแล้วหันกลับไปมองอีกคนด้วยสายตาที่ไม่ผ่านกระจก
"ดูเหมือนเราจะมีเรื่องคุยกันได้ยาวเลยหล่ะ เพราะฉันเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าหนังสือสองเล่มนั้นมันเป็นมายังไง"
เซฮุนใช้เวลาในการอาบน้ำยาวนานเพื่อชำระล้างร่างกายที่ไม่ได้สัมผัสความสะอาดสะอ้านมาหลายเดือน
ห้องขังในคุกของโลกชั้นล่างเต็มไปด้วยความสกปรกที่เขาต้องทนดมกลิ่นเหม็นเหงื่อของตัวเองนานถึงสามวันกว่าจะได้ชำระร่างกายหนึ่งครั้ง
ดังนั้นเมื่อโผล่หน้าออกมาในเสื้อผ้าชุดใหม่ของจงอิน อาหารเช้าก็วางเตรียมไว้บนโต๊ะจนครบทุกจานแล้ว
“นึกว่านายลื่นตกท่อไปซะแล้ว" เจ้าของสถานที่กล่าวติดตลกโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามองเพราะกำลังเทไข่ดาวลงไปในจาน
"มากินข้าวกัน"
เอ่ยชวนด้วยท่าทางร่าเริงพร้อมกับดึงเก้าอี้สูงออกมาจากใต้โต๊ะเป็นการเชื้อเชิญให้ผู้มาเยือนเข้าสู่มื้อเช้าพร้อมกัน
จงอินคิดว่าเซฮุนหวาดกลัวเขาน้อยลงผ่านการสังเกตว่าไหล่บางนั่นไม่ได้สั่นสะท้านเหมือนอย่างตอนเจอกันครั้งแรก
และเมื่อครู่ที่เขาเอ่ยชวน เซฮุนก็เดินตรงมาที่โต๊ะอาหารอย่างว่าง่ายก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้พร้อมกวาดตามองอาหารสามอย่างบนโต๊ะด้วยแววตาที่ไม่ได้เปี่ยมไปด้วยความตรึงเครียดเหมือนอย่างเคย
“มื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญ... และถ้าหากให้ฉันเดานายคงจะหิวมากจากการถูกแช่แข็งในลังนั่น" จงอินเบือนหน้าไปมองกล่องเหล็กข้างยานบินของเขาโดยมีสายตาอีกคู่มองตามไป "จริงสิ นายต้องดื่มน้ำหวานด้วย มันช่วยได้ดีสำหรับคนที่ถูกแช่มา"
“ผม... ถามคำถามคุณได้ไหมครับ?” เซฮุนเอ่ยขึ้นหลังจากได้รับน้ำหวานแก้วใหญ่ยื่นมาให้
จงอินพยักหน้าพลางส่งขนมปังปิ้งตามไปวางบนจานของอีกฝ่ายเป็นเชิงอนุญาต
“ชีวิตบนนี้...
มันเป็นยังไงครับ?”
“โอ้ ยากจัง" จงอินหัวเราะให้กับคำถามอันแสนกว้างขวางนั่น
“...”
“มันก็คงทั่วไปหล่ะมั้ง...
ไม่รู้สิ ส่วนมากเราแยกกันอยู่มากกว่า อย่างฉันรับหน้าที่ซ่อมแซมโดรนก็แค่ต้องซ่อมมัน
อธิบายยังไงดีหล่ะ... คือมันมีกระทรวงต่างๆรับผิดชอบหน้าที่แตกต่างกัน
ดูเหมือนว่าเราจะถูกกำหนดเอาไว้อยู่แล้วว่าตัวเองต้องอยู่ในกระทรวงไหน
เราจะได้รับการฝึกมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก อย่างฉันก็ถูกเลือกให้อยู่ในฝ่ายความมั่นคง
หน้าที่คือการรักษา Blue World ให้ปลอดภัย
ซึ่งในกระทรวงก็จะมีตำแหน่งย่อยลงไปอีกซึ่งฉันก็อยู่ในหน่วยซ่อมบำรุงโดรนตรวจสอบ...”
เจ้าของคำถามพยักหน้ารับ
มือข้างหนึ่งใช้ช้อนจิ้มไส้กรอกขึ้นมาจ่อที่ริมฝีปาก
“อันที่จริงฉันไม่ค่อยรู้เรื่องมากนักหรอก
จะได้เจอคนอื่นก็ตอนประชุมแล้วก็ตรวจร่างกายเท่านั้นเอง
ส่วนมากก็จะได้คุยกันแค่วันนั้น พวกผู้ปกครองไม่ชอบให้เราพูดกันมาก
พวกเขาบอกว่ามันจะทำให้เสียการเสียงานหน่ะ... ประมาณว่า รู้แค่สิ่งที่ควรรู้ก็พอ"
“อ่า...”
“แล้วโลกข้างล่างหล่ะเป็นไง?” เป็นเจ้าบ้านที่ย้อนถามคนต่างถิ่นซึ่งดูตั้งอกตั้งใจฟังคำตอบของเขาเสียเหลือเกิน
"ที่จริงสองเล่มนั้นฉันได้มาตอนพยายามจะหาเรื่องโลกข้างล่างหน่ะ... คือมันก็ไม่ควรรู้หรอกนะ แต่ฉันดันไปรู้ว่ามันมีอะไรอยู่หน่ะสิ"
“มันก็... ไม่น่าอยู่หรอกครับเมื่อเทียบกับที่นี่" ดวงตาของเซฮุนมองไปรอบห้องซึ่งเป็นบานกระจกโปร่ง ท้องฟ้าสีสดใสที่เขาไม่เคยได้เห็นทำให้รู้สึกหายใจหายคอได้โล่งขึ้น "แออัด แย่งกันอยู่ เราต้องทำงานหนักเป็นบ้าเพื่อจะส่งผลิตผลขึ้นมาบน Blue World... ใครๆก็อยากขึ้นมาที่นี่เพราะเขาบอกว่ามันคือสวรรค์ ซึ่งมันอาจจะไม่ใข่ผมรู้... แต่ถ้าเทียบกับชีวิตในที่แบบนั้นมันก็ยังคงเหมือนสวรรค์อยู่ดี...
“ที่จริงผมจำได้ลางๆว่าก่อนหน้านี้มันเคยอุดมสมบูรณ์มาก
เหมือนจะเคยมีบ่อน้ำขนาดใหญ่ไว้กระโดดลงไปเล่น น้ำตรงนั้นใสสะอาดจนแทบจะเห็นก้นบึง
ผมเคยจำได้ว่าตัวเองปลูกต้นไม้เก่ง...
แต่หลังจากสงครามครั้งนั้นผมก็สูญเสียทุกอย่างไป แล้วพอผมพยายามจะทวงมันคืนมาเขาก็ไม่คืนมันให้กับผม
พวกเขากักผมเอาไว้ในคุกแล้วก็ส่งผมขึ้นมายังที่ที่ใครๆต่างก็บอกว่ามันคือ
สวรรค์"
จงอินไม่อยากเชื่อว่าน้ำเสียงที่เซฮุนตอบออกมามันจะทำให้เขารู้สึกเจ็บหน่วงไปทั่วทั้งอกราวกับกำลังโดนบีบด้วยเครื่องทรมาน
แววตากลมที่ทอดมองออกไปนอกหน้าต่างตอกย้ำชัดเจนว่าภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยนั้นคงซุกซ่อนความรู้สึกเศร้าโศกและเจ็บปวดมากมายเอาไว้ซึ่งมันคงไม่ใช่แค่การถูกส่งขึ้นมาเป็นตัวทดลองหรือการโดนกักขังเอาไว้ในคุก
หากมันคือทุกเรื่องราวที่โอเซฮุนต้องประสบพบเจอมาตลอดระยะเวลาของการเรียกร้องของที่เป็นของตัวเองคืนต่างหาก
เชื่อได้เลยว่าเรื่องราวพวกนั้นได้สร้างบาดแผลฉกาจฉกรรจ์แบบเย็บปิดไม่ได้ไว้กับคนตรงหน้าเป็นที่เรียบร้อย
ทว่าในไม่กี่อึดใจให้หลังใบหน้าของเซฮุนกลับบิดเบ้ลงคล้ายจะร้องไห้ออกมาเมื่อเสียงประกาศจากวิทยุก็ดังขึ้นก้องไปทั่วห้องด้วยระบบการแจ้งข้าวสารของผู้ปกครองที่ถูกติดตั้งไว้ในเคหะสถานทุกแห่ง
“ประกาศจากกระทรวงวิทยาศาสตร์
ขณะนี้มีวัตถุทดลองหลุดหายไประหว่างการขนส่ง หากท่านใดพบกระสวยบรรจุเหล็กมาตรฐาน
ประทับตรากระทรวงวิทยาศาสตร์และการทดลอง โปรดแจ้งมายังศูนย์บัญชาการด่วน
ย้ำอีกครั้ง ขณะนี้มี...”
มีดและส้อมในมือวาลงข้างจาน
จงอินเลื่อนมือไปตรงหน้าแล้วกุมฝ่ามือบางซีดของผู้ถูกตามล่าเอาไว้
เขาจ้องเข้าไปในลูกปัดสีชาที่กลับมาฉายแววสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวอีกครั้ง
ก่อนจะยืนยันความตั้งใจของตัวเองด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ผมไม่มีทางส่งตัวคุณไปที่นั่น...
ไม่มีวันแน่ๆ...”
- -
-
เราคิดว่ามันโหดมากกับการเอาเรื่องซีเรียสเข้ามาไว้ในฟิค
แต่มันเป็นแค่ตอนนี้ตอนเดียวเท่านั้นจริงๆ -.-
อย่าเครียดนะ มันไม่ได้เครียดขนาดนั้น 55555555
มีช่วงไหนที่ไม่เข้าใจ ศัทพ์แสงอะไรเว่อวังไปถามได้นะ
ยินดีตอบเสมอ
#UMETKH
ความคิดเห็น