ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (krishun) Înfrângere

    ลำดับตอนที่ #2 : { primul }

    • อัปเดตล่าสุด 31 ต.ค. 56


    { primul }

     

    คัดจมูกแล้วก็ชอบกินไอติมคล้ายว่านั่นจะเป็นคำตำหนิแต่เจ้าของเสียงก็ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าการยืนมองเนื้อนุ่มก้อนกลมสีสดใสกลิ้งขึ้นมาโปะบนปากโคน กลิ่นหอมของมันโชยตามลมแตะตรงปลายจมูกของผู้พูด เซฮุนเบือนหน้าหนีคล้ายอยากปฏิเสธกระนั้นมันก็ไม่สำเร็จเมื่ออีกฝ่ายยืนโคนสีน้ำตาลนั่นมาเบื้องหน้าของเขา

     

    อร่อยนะครับ รสนี้หน่ะ...” เสียงทุ้มเอ่ยบอกราบเรียบแต่ก็เจือความคาดหวังเอาไว้เด่นชัด เซฮุนยอมหันหน้ากลับมา เขาแพ้กลิ่นสตรอเบอรี่เพราะมันเป็นผลไม้โปรด... แต่อาการคงไม่หนักขนาดนี้หากคนที่ถือโคนไอศครีมนั้นไม่ใช่ร่างสูงที่ชื่อว่าคริส

     

    “...”

     

    อร่อยจริงๆครับหมอยังคงส่งความยืนยันพร้อมแววตาเปี่ยมหวังไป สุดท้ายปลายลิ้นเล็กๆของเซฮุนก็ยอมยื่นออกมาชิมรสไอศครีมก้อนเย็นทำให้บนใบหน้าของคริสปรากฏรอยยิ้มจางๆแปะอยู่

     

    ความหวานแทรกปนไปกับความเย็นของเนื้อไอศกรีม เซฮุนไม่ปฏิเสธว่ามันทั้งหอม หวานและรสชาติดี เขาละเลียดมันลงคออย่างเชื่องช้า พลางเบือนหน้าไปหาคนตัวสูงที่ยังคงรอฟังคำตอบอยู่ข้างกาย

     

    อือ อร่อยจริงๆแหละ

     

    ผมบอกแล้วคุณหมอหลุดรอยยิ้มออกมาเมื่อได้ยินการยอกย้อนอันแสนเอาแต่ใจของอีกคนที่คงจะไปจำมาจากภาพยนตร์รอบดึกสักเรื่อง เซฮุนไม่ได้สนใจว่ามันใช่กิริยาที่เหมาะสมหรือไม่ แค่มันเป็นคำที่หลุดออกมาจากปากของคริสก็พอแล้วหล่ะ

     

    เราเดินย้อนกลับมาที่จักรยานสีเขียวที่จอดล็อคอยู่กับรั้วไม้เก่า โคนไอศครีมรสหวานถูกส่งมาให้ผมถือเพราะคริสตองกลับไปทำหน้าที่สารถีที่ดี รถขี้ก้าง (คนในยุค 2023 เรียกมันแบบนี้) คันเก่าปั่นไปอย่างเชื่องช้าตามทางฟุตบาทที่รัฐบาลจัดเตรียมเอาไว้ให้ เราขับสวนกับสกู้ตเตอร์รุ่นใหม่หลายคันและยวดยานที่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ พวกเขาต่างเหลียวมองความคร่ำครึของพวกเราเหมือนทุกครั้ง แม้จะเป็นสายตาดูแคลนแต่ผมคิดว่ามันก็คงไม่ดีเท่าใดนักหากต้องไปขับยานทันสมัยบนท้องถนนแออัด

     

    ไปที่ทุ่งใช่ไหมครับ?”

     

    อือเซฮุนตอบด้วยน้ำเสียงยานคางอู้อี้เพราะใบหน้าเรียวกำลังซบอยู่บนแผ่นหลังกว้าง แขนทั้งสองเกี่ยวรั้งเอาไว้ที่รอบเอวของคนตรงหน้า มันไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนอย่างที่มนุษย์โคลนควรเป็น ทั้งๆที่ถูกได้รับยีนส์เด่นของเหล่าทหารแนวหน้าและนักคิดชั้นยอดลงไปในเซลล์ร่างกายแต่คริสกลับมีจุดอ่อนมากมาย ร่างกายของเขาไม่แข็งแรง ไม่สามารถสร้างกล้ามเนื้อได้และระบบทางเดินหายยังใจมีปัญหา ความจริงผู้คุ้มครอง(ที่สมัยก่อนเราเรียกพวกเขาว่ารัฐบาล)ต้องการกำจัดเขาทิ้งด้วยซ้ำ เพียงแค่อวัยวะสองส่วนสำคัญของคริสมีความแตกต่างที่คนพวกนั้นพึงพอใจ

     

    สมองที่ฉลาดล้ำ กับหัวใจที่เต้นได้เหมือนจริงเท่าที่เคยมีมา... คริสจึงไม่โดนกำจัดในฐานะมนุษย์โคลนบกพร่อง แต่กลับถูกรักษาไว้อย่างดีเป็นกรณีพิเศษด้วยฝีมือของนักวิทยาศาสตร์อันเป็นที่รู้จักไปทั่วเขตบาเรียซึ่งก็คือเขา

     

     

     

    เซฮุนภาคภูมิใจกับผลงานของตนแต่ในขณะเดียวกันมันเต็มไปด้วยความทุกข์ตรม

     

     

     

    หัวใจของคริสถูกซื้อไว้โดยนักธุรกิจผู้มีทรัพย์สินเป็นอันดับหนึ่งของโลก เจ้าของเมืองบาดาลในทะเลอันดามันผู้มีเงินล้นมือจากธุรกิจด้านการเกษตรสังเคราะห์แต่ป่วยเป็นโรคหัวใจเรื้อรัง นับกันตามตรงชายวัยกลางคนผู้นั้นจะอยู่ได้อีกไม่น่าเกินปี การผ่าตัดจึงใกล้เข้ามา

     

    ไอศกรีมในมือเริ่มละลาย มันหยดลงสัมผัสกับผิวเนื้อเย็นเฉียบของเซฮุน ดวงตาเรียวปรามองมันอยู่ครู่หนึ่งกระทั่งหยดที่สองทิ้งตัวลงตามมา ปลายลิ้นของเขาจึงแตะลงเล็มเลียรสหวานเข้าคอ

     

    จุดจบของคริสคงไม่ได้หวานเหมือนไอศครีม... เขารู้มันดี...

     

    - - - - - - - - - - - -

     

    ทุ่งหญ้าสีทองอร่ามเป็นเหมือนสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของเขาทั้งสอง มันอยู่นอกเขตเมืองออกมาไกล และคงต้องปั่นจักรยานจนหอบกันไปข้างหนึ่งแต่นั่นคือกลอุบายที่จะทำให้คริสได้ออกกำลังกายบ้าง ไม่ได้คุดคู้อยู่แต่ในห้องหรือเดินไปซื้อของที่มาร์ทของคุณโอฮาน่าระยะทางสามร้อยเมตร

     

    เราเดินเตาะแตะกันเหมือนเด็กเพิ่งหัดเดินเข้ามาด้านใน พื้นดินขรุขระไม่เป็นผลดีต่อการทรงตัวของผม คริส และจักรยาน แต่เพราะความเคยชินเราจึงหลุดรอดเข้ามากลางทุ่งได้ย่างปลอดภัย

     

    ที่นี่เป็นพื้นที่รกร้าง มันถูกวางแผนไว้ให้ปรับสร้างเป็นศูนย์วิจัย แต่เพราะความไม่สงบครั้งล่าสุดทำให้โครงการนี้ต้องยุติลง บวกกับการใช้พลังนิวเคลียร์ในการทดลองจึงถูกต่อต้านอย่างรุนแรงจากชาวบ้านรอบข้างที่เกรงกลัวว่ามันจะส่งผลต่อผืนป่าขนาดย่อมผืนสุดท้าย แม้จะตกอยู่ในสภาพการณ์รุนแรงอยู่เกือบปี ผมกลับก็รู้สึกดีที่เห็นมนุษย์เริ่มห่วงใยตัวเองและธรรมชาติมากยิ่งขึ้น

     

    ไอศกรีมนายละลาย... ฉันเลยกินไปหมดแล้ว

     

    เพราะมันอร่อยใช่ไหมครับรอยยิ้มที่เขายื่นมาให้ปะทะเข้ากับแสงแดดยามบ่ายพอดีมันทำให้เขาดูสง่างามมากกว่าทุกครั้ง ผมมักเหลือบมองใบหน้าของเขาบ่อยครั้งยามปะทะแสงแดดในฤดูหนาว

     

    ก็ส่วนนึง...” เซฮุนยกยิ้มขึ้นมาเมื่อเห็นร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นหญ้า ฝ่ามือของคริสตบปุๆลงที่หน้าตักเป็นสัญญาณเรียกเขาลงมา เซฮุนคิดว่าสักวันเขาจะปฏิเสธมันให้ได้แต่เมื่อเห็นทีไร สมองก็บอกว่าไว้คราวหน้าแล้วกันเสมอ

     

    ลมเย็นโกรกผ่านปลายจมูกโด่งของเขา คริสทิ้งแผ่นหลังลงแนบกับต้นไม้ขนาดใหญ่ ดวงตากลมโตคู่นั้นสะท้อนภาพของโบสถ์เก่าคร่ำครึที่ขึ้นคราบไคลสีดำ มันเป็นสิ่งปลูกสร้างจากโลกเก่าที่ไม่ถูกรื้อถอนไปเพราะชาวบ้านละแวกนี้ยังคงใช้ประโยชน์อยู่ ปัจจุบันนี้จำนวนคนที่นับถือศาสนาน้อยลง ที่เหลืออยู่มีไม่ถึงสามเปอร์เซ็นต์จากจำนวนคนทั้งหมดบนโลกด้วยซ้ำ ส่วนมากสามเปอร์เซ็นต์นั้นมักเป็นคนที่อยู่นอกเมืองและนักวิชาการด้านสังคมศาสตร์บางคน... ผมเองก็อยู่ในหมวดคนพวกนั้น

     

    หมอบอกว่านั่นคือโบสถ์

     

    อืม ใช่แล้วหล่ะ

     

    ที่ที่คนจะสวดมนต์ อ้อนวอน เพื่อขออะไรสักอย่าง

     

    อาฮะผมยิ้มเมื่อเขาสามารถจดจำรายละเอียดของสิ่งปลูกสร้างนี้เอาไว้ได้ มันเป็นสัญญาณที่ดีว่าสมองของเขายังทำงานอยู่อย่างเต็มประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามผมไม่เคยแน่ใจเหมือนกันว่าที่ผมยิ้มมันเป็นเพราะเรื่องนั้น

     

    ผมคิดว่ามันอาจเป็นเพราะเขาจำโบสถ์แห่งนี้ได้ต่างหาก

     

    ถ้าเราสิ้นหวัง... เราจะเติมพลังได้จากที่นั่น...”

     

    “...”

     

    และหมอก็ชอบไปที่โบสถ์เวลาหมอเหนื่อย บอกกับคนที่ชื่อว่าพระเจ้าให้ช่วยดูแลหมอด้วยเสียงทุ้มกล่าวรายละเอียดที่อยู่ในสมองของตัวเองออกมา คริสลากปลายนิ้วไล้ไปตามโครงหน้าของเซฮุนที่แม้จะไม่ได้รูปตามอย่างที่ศิลปินหลายคนระบุไว้แต่ในความคิดของเขาเขาเชื่อว่า นี่คือความสวยงามที่สุดแล้ว

     

    ใช่แล้ว...”

     

    ถ้าโตกว่านี้ผมจะเป็นโบสถ์... หรือไม่ก็เป็นพระเจ้าคนตัวผอมบางไม่สามารถหยุดรอยยิ้มบนใบหน้าของตัวเองได้ เขาอยากส่งเสียงหัวเราะออกมาดังๆแต่ก็กลัวเหลือเกินว่าจะมีน้ำตาไหลปนออกมาด้วย โอเซฮุนจึงนอนนิ่งและยิ้มหวานเพื่อฟังสิ่งที่คนตัวสูงจะพูดต่อไป

     

    “...”

     

    ผมอยากเป็นคนที่พอหมอเหนื่อยแล้วหมอนึกถึง...” ริมฝีปากของคริสแนบลงมากลางหน้าผากของเขา กดย้ำเบาๆอีกครั้งบริเวณปลายจมูกและสุดท้ายมันก็เลื่อนลงมาที่ปาก... เราสัมผัสกันอย่างแผ่วเบา ไม่ได้มีการรุกรานไปมากกว่านั้น มือของผมไล้ลูบอยู่ที่ซอกคอของเขา อีกข้างหนึ่งกุมประสานกันเอาไว้แนบแน่น...

     

    สัญญาข้อที่หนึ่ง ระบุว่าโคลนนิ่งหมายเลย 784 ต้องไม่ถูกปลูกฝังเรื่องความคิด จินตนาการ เพราะการทำแบบนั้นจะลดทอนพื้นที่สมองสำหรับการจดจำข้อมูลและตัวเลข...

     

    เรากำลังละเมิดมัน

     

    - - - - - - - - - - - -

    ไม่อยากให้มันเศร้าหรอก... จริงๆนะ 

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×