ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { wonkyu } Every Night Stand

    ลำดับตอนที่ #19 : CHAPTER XVIII.

    • อัปเดตล่าสุด 14 มิ.ย. 56


    CHAPTER XVIII
    สัญญาณเตือนภัยในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

     

                “มึงต้องสอบวาดรูปด้วยเหรอวะ?” ฮงกิก้มลงมองหนังสือศิลปะเล่มหนาในมือของคยูฮยอนที่ถูกหยิบติดมากับกองแบบฝึกหัดนับสิบเล่มด้วย เพื่อนสนิทตัวผอมยิ้มเผล่ออกมาคล้ายว่ารู้สึกอายที่ต้องพยักหน้ายอมรับแล้วเลือกที่จะหลบเลี่ยงดวงตาคาดคั้นที่จรดจ้องมาทางเขา

     

                “สรุปจะเข้าอะไรหน่ะ?” เฮนรี่ที่บังเอิญเดินมาได้ยินบทสนทนาเมื่อสักครู่ถามโพล่งขึ้นมา เท่าที่รู้กันคือคยูฮยอนอยากสอบเข้าวิศวกรรมศาสตร์หรือไม่ก็บริหารธุรกิจ ไม่ยักรู้ว่าเดี๋ยวน้าองคณะนี้ต้องการนักเรียนที่มีความสามารถในการวาดภาพเหมือนด้วยหน่ะ

     

                “ก็... ดูศิลปกรรมไว้ครับ...”

     

                “อ่าว ไหนตอนนั้นบอกแม่ไม่ให้เรียนไง?” คำพูดตรงไปตรงมาของฮงกิเป็นเหมือนหอกที่พุ่งแหวกอากาศมาปักอกเขา เพราะมันจริงตามที่ริมฝีปากคู่นั้นขยับว่าทุกอย่าง การตัดสินใจของเขาครั้งนี้ แม่เองก็ยังไม่รับรู้ แต่เขาก็ได้เอ่ยเตือนท่านไว้กลายๆแล้วเมื่อสองสามวันก่อนว่าอย่าโกรธเขาเลยนะถ้าสิ่งที่เขาเลือกมันไม่ตรงกับความคาดหวังของใคร แต่มันก็เป็นเพียงประโยคคำพูดลอยๆที่ทำให้แม่ขำแล้วบอกว่าเดี๋ยวนี้เขาชักจะพูดจาเข้าใจยากเหมือนเฮนรี่ซะแล้ว

     

                “ผมมาคิดๆดูแล้วผมเป็นคนเรียนเอง ผมก็น่าจะได้เลือกในสิ่งที่ตัวเองอยากจะเรียนจริงๆ... ส่วนแม่ก็น่าจะเข้าใจได้แหละมั้งครับ...” คยูฮยอนตอบไปตามความคิดของตัวเองที่ปรากฏชัดอยู่ในหัวสมอง คำพูดของพี่ซีวอนมันทำให้นึกสะดุ้งสะเทือนไม่น้อย ถึงแม้จะออกไปทางแนวขวางโลกและดื้อรั้นแต่มันก็เป็นสิทธิ์ของเขาที่จะเลือกเรียนในสิ่งที่ตัวเองอยากเรียน ในเมื่อคนที่ต้องจมอยู่กับสิ่งเหล่านั้น 4 ปีมันคือตัวเขาเองไม่ใช่พ่อกับแม่... คยูฮยอนก็ควรจะเลือกสิ่งนั้นด้วยความต้องการของตัวเองไม่ใช่หรือไงกัน

     

                “เดี๋ยวนี้คยูฮยอนเปลี่ยนไป... ดั่งดอกไม้เปลี่ยนสี” เฮนรี่ขมวดคิ้วแต่กลับมีรอยยิ้มปรากฏอยู่บนริมฝีปากเพราะเห็นถึงความกล้าหาญของเพื่อนสนิทที่กล้าจะเลือกจุดยืนด้วยตัวเองไม่โน้มเอียงไปตามเสียงของผู้อื่น ซึ่งเมื่อก่อนคยูฮยอนไม่เคยเป็นเช่นนี้

     

                “นั่นดิ... ตั้งแต่มึงย้ายไปอยู่กับพี่ซีวอนชักเริ่มแปลกๆนะมึงหน่ะ” ฮงกิหรี่ดวงตาลงมองหน้าเพื่อนที่ถลึงตาโตแล้วโบกมือปฎิเสธเป็นพัลวัน เหมือนว่าคยูฮยอนจะเริ่มโตขึ้นและเข้าใจความหมายของวลีที่บอกว่าโลกไม่ได้สวยทั้งใบเสียแล้ว เจ้าตัวถึงได้เรียนรู้ที่จะสู้คนบ้าง (ซึ่งฮงกิมั่นใจว่าการอยู่กับคุณพี่ชเวซีวอนหน่ะมันทำให้เพื่อนคยูของเขาต้องสู้รบปรบมือสารพัดวิชาแน่นอน)

     

                “ผม... ผมเปล่านะครับ! ไมได้เปลี่ยนอะไรเลยนะ...”

     

                “.........” *หรี่ตามอง*

     

                “จริงๆนะครับ ฮงกิกับเฮนรี่ก็เป็นเพื่อนผมเหมือนเดิมนะ”

     

                “เราสองคนเป็นเพื่อน?”

     

                “ครับ...”

     

                “มีอะไรก็ควรบอกเพื่อนป่าววะ?” ฮงกิว่าแล้วหันไปขอแรงซัพพอร์ทจากเฮนรี่ที่ยืนพยักหน้าอยู่ข้างๆ

     

                “ใช่... ไม่พึ่งมิตรสหายรักแล้วจักไปพึ่งเสือสิงห์ที่ไหน...”

     

                “...”

     

                “...”

     

                “....”

     

                ความเงียบถูกใช้ในการกดดันคยูฮยอนที่ยืนถือหนังสือเล่มหนาอยู่ สายตาคาดคั้นจากเพื่อนทั้งสองกับคำพูดซึ้งกินใจ(?)มันทำให้เจ้าของร่างบางรู้สึกจำนนต่อความหวังดี(?)ของคนได้ที่ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิททั้งสองคน และคนอย่างโจวคยูฮยอนก็ไม่ใช่ประเภทดื้อรั้นอะไรได้นานนัก ทุกอย่างก็เลยยุติลงที่การจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                แล้วทั้งหมดก็นั่งลงปักหลักที่ร้านไอศกรีม

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                ฮงกิกับเฮนรี่แปลงร่างเป็นพี่อ้อยพี่ฉอดในเวลาต่อมา

     

                “ยินดีต้อนรับสู่คลับฟรายเดย์~ ไหนวันนี้น้องคูยอนจะปรึกษาอะไรคะ?” คนที่มีส้อมต่างไมโครโฟนอย่างฮงกิพูดโพล่งขึ้นมาไม่อายโต๊ะข้างๆที่หันมามองพวกเขาสามคนแล้วหลุดขำพรืดออกมา

     

                “ฮงกิอ่า! ปกติก็ได้”

     

                “แล้วนี่ไม่ปกติตรงไหน? มึงหาว่ากูบ้าเหรอ?!

     

                “อืม มึงเหมือนคนบ้า” คิดเอาแล้วกันนะครับ ขนาดเฮนรี่ยังไม่เล่นด้วยอ่ะ -__-

     

                “เออ! ก็ได้วะ...” ยอมวางส้อมลงที่เดิมแล้วทำตัวปกติด้วยการเอนหลังไปพิงพนักโซฟาที่ยวบลงไปตามน้ำหนักตัว “ว่าไง... มึงเล่ามาดิ”

     

                “เล่า?... เล่าอะไรอ่ะครับ?”

     

                “โถ่ว... ไอ้หอยสะอาด! ใสซื่อจริงนะคะมึงเนี่ย!

     

                “ก็ผมไม่รู้นี่ครับ~

     

                “คิดยังไงกับพี่ซีวอน?” ในเมื่ออีกคนยังคงทำไม่รู้เรื่องรู้ราว ฮงกิก็เลยช่วยให้ทุกอย่างกระจ่างชัดขึ้นด้วยการยิงคำถามออกไปอย่างตรงไปตรงมาจนคยูฮยอนผงะเงิบ ริมฝีปากขยับเหมือนจะเอ่ยปฏิเสธ แต่สายตาคาดคั้นจากเพื่อนทั้งสองคนที่ยิงตรงเข้ามาหาเขาก็ทำให้เสียงมันไม่ยอมวิ่งออกมา

     

                “อย่าปิดบังกันเลยนะสหายนะ...”

     

                “เออจริง มึงบอกมาตรงๆเลยดีกว่า กูจะได้ช่วยลุ้นไง” แสดงท่าทางกดดันเพิ่มขึ้นอีกครั้งจนคยูฮยอนเริ่มจะลังเลใจ โชคดีที่พนักงานยกไอศกรีมมาเสิร์ฟพอดี เขาก็เลยได้ผ่อนคายไปบ้างสักนาทีสองนาที แต่พอพี่พนักงานเดินจากไปเท่านั้นแหละ

     

                “ไม่เล่าก็ไม่ต้องกินนะ” ฮงกิว่าแล้วลากชามไอศกรีมใบใหญ่เข้าไปกักไว้กับตัวเองและเฮนรี่ที่นั่งอยู่ฝั่งเดียวกัน... โฮร่ววววววววววววววววววว นี่จะใจร้ายกันไปแล้วนะครับ T_T

     

                “หง่ะ... เล่าก็ได้ครับ ขอผมกินติมนะ...”

     

                “เล่าแน่นะ?”

     

                “จริงๆ... ขอกินก่อน”

     

                “โน เกริ่นมาก่อนสองบรรทัดแล้วกูถึงจะให้” ลากชามไอศกรีมเข้าไปใกล้ตัวมากเพื่อแสดงจุดยืนของตัวเอง คยูฮยอนอมลมจนแก้มป่องอย่างขัดใจแต่ในเมื่อทำอะไรไม่ได้เขาก็เลยต้องยอมปริปากพูดออกมาก่อน

     

                “ก็... เราแบบ... ใจเต้นเวลาอยู่ใกล้พี่ซีวอนอ่ะครับ” พูดไปก็หน้าแดงเป็นแถบ “ตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะชอบเลยนะครับ แต่พอนานๆเข้าก็ยิ่งรู้สึกว่าพี่เขามีเสน่ห์จนผมอยากจะอยู่ใกล้ๆเขาตลอดเวลาเลย...”

     

                “มึงก็เลยยอมพี่เขาทุกเรื่องเลยสิ?”

     

                “ก็...ประมาณนั้นมั้งครับ” ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ว่ายอมทุกเรื่องของฮงกิมันครอบคลุมถึงเรื่องอะไรบ้าง แต่เท่าที่รู้เขาก็ไม่เคยจะขัดพี่ซีวอนได้สักเรื่องนั่นแหละ “จริงๆผมคิดว่าที่ทำไปอาจจะเพราะกลัวพี่เขาโกรธ แต่ลึกๆแล้วก็แค่อยากเอาใจพี่เขาให้มาก ไม่อยากให้พี่ซีวอนเหนื่อยกับผมเยอะๆ”

     

                “...”

     

                “ที่จริงถึงพี่เขาจะเสียงดังแล้วก็ทำตัวแย่ๆไปหน่อยแต่พี่เขาก็นิสัยดีมากเลยนะครับ”

     

                “นิสัยดีที่ทำให้มึงเดินตูดบิดสินะ”

     

                “แหะๆ...”

     

                “คยูเคยบอกพี่เขาหรือยังว่าคิดยังไงหน่ะ?” เฮนรี่ที่นึกสงสารเพื่อนเอ่ยถามขึ้นมาอีกเสียงพร้อมกับตักไอติมไปจ่อริมฝีปากบางของอีกคน คยูฮยอนอ้าปากงับช้อนส่ายหัวไปมาอย่างน่ารักแทนคำตอบและมันก็ทำให้สองฮอต้องหันมามองหน้ากันอย่างนึกเพลียใจ

     

                “มึงควรจะบอกพี่เขานะ...”

     

                “ไม่กล้าอ่ะ”

     

                “แหม่... ทีเขาชวนขึ้นเตียงหล่ะเดินตามต้อยๆ แค่พูดนี่ไม่กล้า?” จิกกัดเพื่อนที่บังอาจเสียบริสุทธิ์โดยไม่ปรึกษาเขาสักคำ(?)ด้วยประโยคที่ชวนให้คนฟังต้องนั่งหน้าแดงก่ำแล้วเอื้อมเขี่ยไอศครีมในจานแก้เขิน

     

                “ถ้าเกิดพี่เขาไม่ชอบผมหล่ะครับ?”

     

                “โห่มึง... คุณพี่ชเวซีวอนเขาเดินตามหึงมึงต้อยๆขนาดนั้น ถ้าบอกว่าไม่ชอบเขาคงต้องไปสารภาพบาปวันละสามเวลาแล้วหล่ะ...” ประชดเปรียบเปรยด้วยหน่ายกับความซื่อจนเกือบบื้อของเพื่อนที่นั่งก้มหน้าแซะไอติมอยู่ แหม่.. อะไรมันจะใสได้ขนาดนี้วะเพื่อนกู

     

                “แต่พี่ซีวอนเขาดูเหมือนรำคาญผมเลยนะครับ”

     

                “ถ้าเขารำคาญคยู เขาคงไล่ตะเพิดไปตั้งแต่อาทิตย์แรกแล้วนะ”

     

                “แต่.... ผมไม่มั่นใจเลยครับ ผมไม่อยากแป้กเลยอ่ะ”

     

                “นี่คยูกูจะบอกอะไรให้นะ!” ฮงกิชักจะไม่ทนกับความซื่อของเพื่อนที่ในเวลานี้มันน่ารำคาญมากอย่างที่เจ้าตัวว่านั่นแหละ

     

                “อาฮะ...”

     

                “ไม่มีใครเขาซั่มมึงซ้ำๆเพราะรู้สึกรำคาญหรอกเว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

                ปากทางของโรงภาพยนตร์เต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่านไปมาจนยากที่จะแยกออกได้ว่าใครเป็นใคร กระนั้นชเวซีวอนก็ยังคงยืนกอดอกและใช้ความสูงมากกว่าคนปกติทั่วไปเป็นตัวช่วยในการชะเง้อคอมองหาเป้าหมายของเขาจากจุดที่ยืนอยู่และไม่นานเกินรอ ดวงตาคมของเขาก็จับภาพของเป้าหมายตัวผอมที่กำลังเดินออกมาพร้อมกับถุงหนังสือและเพื่อนอีกสามคนได้ทันการณ์

     

                แขนยาวยกสูงขึ้นเพื่อกวักโบกเรียกให้คนที่กำลังเดินตรงมาได้เห็นกันบ้าง คยูฮยอนชะเง้อคอซ้ายขวาไปทั่วทิศหลังจากอ่านข้อความที่พี่ซีวอนส่งมาให้เมื่อไม่กี่นาทีก่อนว่ารออยู่ที่ทางเข้า

     

                “นั่นป่ะ?” เฮนรี่ชี้นิ้วไปยังร่างสูงที่ยืนโบกแขนไปมาอย่างเก้งก้างตรงปากทางเข้าตามคำบอกทุกประการ คยูฮยอนชะเง้อคอมองตามปลายนิ้วไปแล้วก็คลี่ยิ้มออกมาเมื่อเขาเห็นร่างสูงใหญ่ยืนอยู่ตรงนั้นตามที่บอก แขนเรียวยกขึ้นโบกกลับเป็นสัญญาณว่าเขารับรู้การมาถึงของซีวอนเรียบร้อยแล้ว

     

                “กลับเลยหรือเปล่า?”ซีวอนถามรวมๆกับหนุ่มวัยกระเตาะสามคนที่มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า ทั้งสามคนต่างมองากันไปมาแทนคำถามว่าจะไปทำอะไรต่อหรือเปล่า แต่เข็มนาฬิกาที่ชี้บอกเวลาเกือบห้าทุ่มก็กลายเป็นเหมือคำสั่งบังคับให้ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกลับบ้านกันไปได้แล้ว

     

                “ไม่ครับ กลับเลยก็ได้”

     

                “อืม งั้นเดี๋ยวไปส่ง” ซีวอนเป็นฝ่ายหันหลังก้าวออกไปก่อนเพื่อเป็นคนนำทางเด็กทั้งสามไปยังลานจอดรถ พอคยูฮยอนเห็นดังนั้นจึงรีบก้าวขาตามร่างสูงไปทันทีโดยไม่ลืมคว้าเอาเพื่อนสนิททั้งสองคนให้เดินตามมาด้วย

     

                “ฮยองไปสอบมาเหรอครับ?” ร่างบางเร่งฝีเท้าขึ้นมาอีกนิดเพื่อก้าวตามให้ทันซีวอน ความจริงคยูฮยอนควรจะเดินคุยโต้ตอบกับเฮนรี่และฮงกิแต่พอเห็นแผ่นหลังของรุ่นพี่ตัวสูงเดินนำอยู่เพียงลำพัง เขาก็เลยตัดสินใจขยับฝ่าเท้าให้มันเร็วขึ้นอีกสักหน่อยเพื่อตามไปยืนอยู่ด้านข้างร่างสูงและเพราะไม่รู้ว่าควรจะเปิดประโยคด้วยคำพูดรูปแบบไหนก็เลยลองถามอะไรโง่เง่าออกไปก่อน (ใส่ชุดนักศึกษาขนาดนี้ก็คงไม่ได้ไปพรวนดินปลูกผักมาหรอก)

     

                “อืม” มีเพียงเสียงตอบสั้นๆที่ฟังยังไคยูฮยอนก็ไม่ชินหูเสียที

     

                “แล้ว... ทำได้ไหมครับ?”

     

                “ได้บ้างไม่ได้บ้าง” ซีวอนยังคงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบเหมือนเคย ไม่ใช่เพราะโกรธขึงอะไรมากมายนักหรอก แต่การจะมาพูดเยอะๆแล้วยกมือขึ้นลูบหัวคยูฮยอนเหมือนอย่างที่อยากทำหน่ะมันอาจจะกลายเป็นข้อสงสัยให้ไอ้ฮงกิกับเฮนรี่ที่หูตาไวยิ่งกว่าหน่วย DSI ได้เก็บไปเมาท์จนเมาขี้ฟันไปเสียก่อน ก็เลยแกล้งทำขรึมเอาไว้

     

                “...เอ่อ....” คยูฮยอนอ้ำอึ้งเมื่อสัมผัสได้ว่าท่าทีของรุ่นพี่ตัวสูงช่างดูเย็นชาเหลือเกิน ลำคอเล็กๆตีบตันเพราะเริ่มตัดสินใจไม่ถูกว่าควรเงียบแล้วเดินถอยหลังกลับไปหรือควรจะพยายามชวนคุยต่อไปดี และสภาวะความลังเลนั้นก็ทำให้เกิดปมคิ้วขมวดอยู่เหนือลูกตาที่กำลังขุ่นมัวเพราะตัดสินใจไม่ถูก

     

                ใจก็กลัวว่าจะแลดูน่ารำคาญ

                แต่ก็แคร์พี่ซีวอนมากเกินกว่าจะทิ้งให้เดินคนเดียว

     

    ~ หมับ

     

                “ท ทำทำไม...ทำไมฮยองหน้าเครียดจังอ่ะครับ?” ทำใจกล้าคว้าท่อนแขนแกร่งของอีกคนมากอดเอาไว้หลวมๆให้เหมือนเดินควงกัน ซีวอนชะงักฝ่าเท้าด้วยตกใจกับท่าทางผลีผลามของเด็กที่ใจเย็นอยู่เสมอแต่เพื่อไม่ให้อาการตกอกตกใจนั้นแสดงออกมากเกินไปเขาก็เลยก้าวขาเดินไปต่อเรื่อยๆ เลี่ยงจะให้ความสนใจกับเสียงวีดวิ๊วจากเด็กอีกสองคนที่กำลังเดินตามหลังมา

     

                “กูนี่นะหน้าเครียด?” ถามออกไปแบบนั้นแล้วหันหน้าไปมองกระจกที่ผนังเพื่อเช็คดูว่ามันเครียดจริงหรือเปล่า

     

                “อือ... คิ้วขมวดด้วยนะครับ” ถือวิสาสะเอื้อมมือขึ้นไปขยี้ปมคิ้วของอีกคนโดยไม่ทันรู้สึกตัวว่าบนหน้าของตัวเองมันก็มีอยู่เหมือนกันหนึ่งปม ซีวอนกดใบหน้าของตัวเองลงก้มมองเจ้าของฝ่ามือที่ขยับวนยุกยิกไปมาอยู่ตรงหว่างคิ้วของเขาก่อนจะหลุดขำออกมา

     

                “หึหึ...” เสียงหัวเราะทุ้มต่ำทำให้คยูฮยอนเผลอแหงนหน้าสูงขึ้นเพื่อสบดวงตาคมเข้มอย่างมีคำถาม แต่สิ่งที่ได้รับกลับมากลับทำให้ร่างกายของเขาแข็งทื่อเป็นก้อนหินไม่ต่างอะไรจากเพื่อนสองคนเบื้องหลังที่ต้องกระชากเท้ากลับทันทีเมื่อเห็นภาพตรงหน้า

     

                “ฮยอง!” เรียกอีกคนเสียงหลงเมื่อริมฝีปากเย็นเยียบแนบลงมาตรงปมคิ้วของเขา คยูฮยอนชักมือกลับแล้วทำท่าเหมือนจะถอยห่างเมื่ออีกคนถอนใบหน้าออกมาแล้วแต่ซีวอนก็ยังคงไวกว่าเสมอ ร่างสูงจัดการคว้าข้อแขนเล็กให้อีกคนขยับมาเดินแนบข้างตัว

     

                ในเมื่อคยูฮยอนไม่แคร์กระโดดมาเกาะแขนเขาก่อน

                ซีวอนก็หมดเหตุผลจะเก็กขรึมเหมือนกันแหละว้า

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

                ประเด็นการจูบหน้าผากกลายเป็นเรื่องเมาท์สนุกสนานเฮฮาของฮงกิและเฮนรี่ตลอดเส้นทางกลับบ้านที่มีสารถีคนงามนั่งอารมณ์ดีอยู่หลังพวงมาลัย ในขณะที่ตุ๊กตาหน้ารถอย่างคยูฮยอนก็นั่งหน้ามุ่ยไปตลอดทาง แม้แต่ตอนที่หย่อนสองฮอกลับบ้านกลับช่องเรียบร้อยแล้ว โจวคยูฮยอนก็ไม่เลิกคลายปมคิ้วออกไปเสียที

     

                “เป็นเด็กเป็นเล็ก เครียดห่าอะไรมากมาย” หลังหักเลี้ยวยวดยานคันหรูเข้าช่องจอดรถเรียบร้อยแล้ว ซีวอนก็ตะแคงใบหน้าของตัวเองไปถามเด็กมัธยมปลายที่ยังนั่นหน้าบูดไม่ขยับไปไหน คยูฮยอนส่ายหัวปฏิเสธไปมาขัดกับท่าทางมุ่นมุ่ยแล้วรีบลุกออกมาจากเบาะนั่งเพื่อไม่ให้อีกคนได้มีช่องว่างมานั่งเค้นคั้นคำตอบอีก

     

                ซีวอนมองตามเจ้าของแผ่นหลังแคบที่เดินงุดๆไปยืนรอเขาที่หน้ารถแล้วคลี่ยิ้มออกมาบางๆอย่างผิดวิสัย ปกติถ้ามีใครมาแสดงท่าทางหมางเมินใส่เขาแบบนี้ รับรองว่าคงจะโดนคว้ามาเอ็ดสักรอบสองรอบ แต่กับคยูฮยอนเขารู้สึกว่าเด็กนั่นมันกำลังทำตัวน่ารัก... น่ารักเกินไปจนเขาต้องรีบดันตัวเองออกมากระแทกประตูรถดังปั้งแล้วเดินเข้าไปยืนซ้อนอยู่ด้านหลังเพื่อโอบเอวคอดเข้ามาหาตัว

     

                “อ๊ะ!

     

                “เป็นไร?”

     

                “เปล่า...ครับ” คนที่พยายามขืนตัวด้วยการบิดแขนเล็กๆน้อยๆล้มเลิกความคิดไปเมื่อรู้สึกว่ามันไม่ช่วยอะไร คยูฮยอนยอมให้เจ้าของแขนแกร่งสอดมือลอดเอวเข้ามารุนแผ่นหลังของเขาไปข้างหน้าคล้ายจะบอกให้เดินไปทั้งอย่างนั้นแล้วเขาก็เดาไม่ผิดเมื่อชเวซีวอนไม่คิดจะถอนตัวเองออกไปเลยแม้แต่น้อย

     

                ทำแบบนี้หัวใจเขาก็เต้นแรงหน่ะสิ ปัดโถ่!

     

                “ฮยอง...เดินแบบนี้จริงเหรอครับ?” หยุดถามเมื่อเดินเข้ามาในตัวอาคารเรียบร้อย ซีวอนไม่ตอบคำถามกลับเอื้อมมือไปกดลูกศรขึ้นแล้วก้าวถอยหลังออกมายืนพิงกับกระจกโดยไม่ลืมที่จะลากคนตัวผอมให้ทิ้งกายทาบลงมาด้วยกันซึ่งมันก็เป็นคำตอบให้กับคำถามเมื่อครู่ได้อย่างชัดเจน

     

                คยูฮยอนยืนนิ่ง ทิ้งแผ่นหลังของตัวเองอิงลงไปกับแผ่นอกกว้างที่ขยับกระเพื่อมไปตามจังหวะของลมหายใจ เสียงก้อนเนื้อเต้นรัวอยู่ในอกกว้างนั้นทำให้ใบหน้าหวานแดงฉ่ำขึ้นมาเมื่อรู้สึกได้ว่ามันก็ไม่ต่างอะไรจากหัวใจของตัวเองนัก คยูฮยอนพยายามเบนความสนใจของตัวเองออกไปด้วยการมองปัดไปทางประตูลิฟท์ที่ปิดอยู่ แต่ก็พลาดอีกตามเคยเพราะแสตนเลสสีเงินกำลังสะท้อนภาพของเขาที่เอนกายลงพิงกับอกกว้างของคนตัวสูง ที่เอวบางมีท่อนแขนแกร่งสอดเข้ามารัดเอาไว้แล้ววางฝ่ามือบนหน้าท้อง ใบหน้าคมกริบของซีวอนเกยละอยู่กับบ่าแคบของเขา เป่าลมหายใจรดลงมาจนปอยผมขยับไหว

     

                ความรู้สึกแบบนี้มัน.... อ่าห์~

     

    ตึ๊ง!

     

                เสียงลิฟท์สะกิดทั้งสองคนให้เงยหน้าขึ้นมองสัญลักษณ์ด้านบนพร้อมกัน ไฟสีแดงสว่างวาบขึ้นมาก่อนที่ประตูจะค่อยๆเปิดออก ด้านในมีคนแปลกหน้าอยู่สองสามคนนั่นทำให้คยูฮยอนพยายามขืนตัวออกแต่ซีวอนกลับรัดเอวแน่นขึ้นแล้วดุนหลังให้เจ้าของเอวบางเดินไปข้างหน้าเหมือนปกติ

     

                ในเมื่อขัดอะไรไม่ได้คยูฮยอนก็เลยเข้ามาอยู่ภายในลิฟท์เงียบสงัดอย่างโวยวายไม่ได้ สายตาของคนที่อยู่ในนั้นหันมามองทางเขาทั้งสองคนหลายครั้งหลายครา และเปลี่ยนเป็นจ้องเขม็งเมื่อซีวอนเกยปลายคางลงไปบนบ่าก่อนจะจูบที่หลังลำคอขาวจนใบหน้าของใครต่อใครในนั้นต่างก็ขึ้นสีแดงก่ำกันไปทั่วไม่เว้นแม้แต่คยูฮยอน

     

                โชคดีที่ไม่ต้องใช้เวลาอยู่ในห้องโดยสารนั่นนานนักคยูฮยอนก็เลยไม่ต้องเขินนาน พอประตูลิฟท์เปิดอ้าออกร่างบางก็ทำท่าเหมือนจะผละออกมาจากอ้อมแขนนั่นทันที ซึ่งมันก็เหมือนเดิมนั่นแหละ แรงเท่าลูกกว้างหัดเดินจะไปสู้อะไรกับคนที่มีกล้ามล้อมกายอย่างซีวอนเล่า เพียงแค่ออกแรงนิดหน่อยคยูฮยอนก็เซมาปะทะกับแผ่นอกของเขาแล้วก็ต้องยอมเดินออกมาด้วยท่าทางลำบากลำบนเหมือนเดิมอยู่ดีนั่นแหละ

     

                “ฮยองทำไรไม่รู้อ่ะ!

     

                “ทำอะไร?”

     

                “จ...จูบคอผมอ่ะ....คนอยู่เต็มลิฟท์เลยนะ”

     

                “ก็ทำไม คนอยู่แล้วจูบไม่ได้? กูไม่ได้จูบปากมึงสักหน่อย”

     

                “มันไม่ดีนะครับ... จูบทำไมก็ไม่รู้”

     

                “ก็มึงน่ารักกูเลยอยากจูบ...” พูดเสียงยานคางก่อนจะเลื่อนมือมาหยิบคีย์การ์ดในกระเป๋ากางเกงตัวเองขึ้นไปแตะกับเครื่องแสกนและทันทีที่บานประตูห้องเปิดเขาก็ดันคยูฮยอนให้ไปด้านในอย่างรวดเร็วด้วยแรงมหาศาลก่อนจะปลดทรัพย์สินของอีกคนออกอย่างแนบเนียนในขณะที่โน้มหน้าลงกดริมฝีปากประทับกับกลีบปากบางสีชมพู

     

                “ฮื่อ!

     

                “อย่าดื้อหน่ะ...” จัดการพลิกคนตัวผอมให้หันมาเผชิญหน้ากับตัวเอง คยูฮยอนกลอกลูกปัดสีชามองไปมองมาทั่วใบหน้าเขาด้วยแววตาสั่นระริก เม้มริมฝีปากที่เพิ่งจะโดนฉกจูบเข้าหากันราวกับต้องการซ่อนกลีบกุหลาบนุ่มหยุ่นให้พ้นจากการสัมผัสอีกครั้ง

     

                แต่ชเวซีวอนรับประกันว่าซ่อนยังไงก็ไม่มีวันพ้นหรอก

     

                มือหนาวางถุงหนังสือที่เกี่ยวมาจากมือของอีกคนลงบนชั้นวางรองเท้าแล้วใช้มือข้างนั้นสอดเข้าไปรับท้ายทอยของอีกฝ่าย นิ้วโป้งไล้เกลี่ยไปที่มุมปากซึ่งเป็นรอยพับจากการซ่อนเร้นกลีบปากให้พ้นก่อนจะกดคลึงลงไปเบาๆแล้วโน้มใบหน้าเข้าใกล้จนหน้าผากชิด เป่าลมหายใจรดอยู่เหนือสันจมูกโด่งรั้นกระทั่งคยูฮยอนเผลอคลายริมฝีปากออกมาให้เขาได้กดแนบลงไปชิมรสได้

     

                ซีวอนคิดว่าเขาคงจะบังคับตัวเองให้ยุติสัมผัสลงได้หลังจากจูบเม้มจนพอใจแต่มันกลับไม่เป็นอย่างนั้นเพราะยิ่งแตะลิ้มชิมรสหวานจากหิวเนื้ออวยอิ่มแสนนุ่มนั้นมากเท่าไหร่ ปลายลิ้นของเขามันก็ยิ่งพยายามจะกวาดกว้านหาความหวานเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น ทูตร้อนของเขาถูกส่งแทรกเข้าไปในโพรงปากของอีกคนแล้วกวาดไปทั่วอาณาบริเวณภายใน เกี่ยวกวัดไปมากับลิ้นเล็กที่พยายามจะเลี่ยงในคราแรกแต่อยู่ดีๆก็กลับมาฮึดสู้เมื่อโดนเกี่ยวเข้าไปรัดรึง

     

                คยูฮยอนป่ายมือขึ้นไปไว้บ่นบ่ากว้างของอีกคนเพราะเขาไม่มีเรี่ยวมีแรงจะประคองตัวเองจากรสจูบวาบหวามนั้นเสียแล้ว ร่างบางคล้องรอบลำคอของอีกคนทันทีเมื่อถูกร่างสูงขยับเบียดเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆจนแผ่นหลังแนบชิดลงไปกับผนังห้อง ซีวอนยอมเปิดริมฝีปากออกมาให้เขาได้หายใจหายคอสักพักก่อนจะบดแนบลงมาอีกครั้งหนึ่งอย่างไม่ทันให้ได้ตั้งตัว

     

                “อึก...อืออ...” ฝ่ามือหนาทั้งสองข้างเลื่อนต่ำไปตรงสะโพกแล้วจับยกขึ้นมาส่งผลให้คยูฮยอนต้องรีบยกขาขึ้นเกี่ยวไว้รอบเอวอีกคนโดยไม่ทันคิด ซีวอนขยำเนื้อนุ่มในฝ่ามือของตัวเองสองสามครั้งก่อนจะก้าวตรงเข้าไปยังโซฟาตัวยาวที่กลางห้องเพราะเขาคิดว่าคงจะทนทานต่อความต้องการได้อีกไม่นานสักเท่าไหร่

     

                คยูฮยอนรู้สึกได้ว่าหัวใจของเขากำลังเต้นตึกตักจนเหมือนจะหลุดกระเด็นออกมาข้างนอก ยิ่งตอนที่รุ่นพี่ตัวสูงวางเขาลงบนโซฟาแล้วตามมาคร่อมทับเอาไว้ ริมฝีปากอยากจะร้องห้ามออกไปเพื่อปฎิเสธสิ่งที่จะตามมา แต่หัวใจของเขามันกลับอยากฉุดกระชากลากคอพี่ซีวอนให้ลงมาแลกจูบกันอีกครั้งเสียแล้ว

     

                ซีวอนทาบตัวเองลงไปเหนือร่างบอบบางที่เขาตรึงเอาไว้กับโซฟาหนังขนาดใหญ่ จมูกโด่งลากไล้ไปตามแนวกรามก่อนจะกดลงบนปรางแก้มนุ่มที่ไม่เคยหน่ายจะหอมจะฟัด ก่อนจะเตรียมลากต่ำลงไปที่ซอกคอขาว กระนั้นคำถามของยูชอนยกลับโพล่งขึ้นมาในหัวเฉยๆ แทนที่จะลากจมูกต่ำลงไปซีวอนเลยชะงักการกระทำทุกอย่างค้างไว้

     

                แล้วตอนนี้มึงอยากหรือมึงรัก...

     

                ใบหน้าคมช้อนขึ้นมองเจ้าของดวงตากลมที่กดใบหน้าลงมามองเขาด้วยความสงสัย ดวงตากลมที่สะท้อนเพียงแค่ภาพของเขามันทำให้หัวใจของซีวอนชุ่มฉ่ำ ยิ่งเมื่ออีกคนตะแคงใบหน้าอย่างมีคำถามมันก็ทำให้เขาต้องยกมือขึ้นจับปอยผมด้านข้างทัดเอาไว้กับใบหูนุ่มก่อนจะเปลี่ยนแผนพลิกตัวเองไปไว้ข้างล่างแล้วจับคยูฮยอนมานอนบนอกแทน

     

                แน่นอนเขาหยุดทุกอย่างได้เพราะตอนนี้ซีวอนไม่ได้อยากจะปี้ใครเสียสักหน่อย อารมณ์ไม่มา น้อยชายยังไม่ตั้งโด่เด่ การจับคยูฮยอนมานอนบนอกก็เลยไม่ได้ทำให้เขาหงุดหงิดนักแต่กลับนึกชอบเสียอีกเพราะมันทำให้ดวงตาของเขาสะท้อนเห็นเพียงใบหน้าหวานของอีกคนเช่นกัน

     

                เด็กงั่งของเขาก็เหมือนจะงงอยู่ไม่น้อย เลยแสดงสีหน้างั่งบรรลัยออกมาให้เห็นด้วยการกระพริบตาปริบๆพลางเม้มริมฝีปากคงเพราะคิดว่าทำอะไรไม่ถูกใจเขาเข้าแล้ว ซึ่งมันก็ยังคงความน่ารักน่าชังไว้เหมือนเดิมจนเขาต้องจับปอยผมอีกข้างทัดไปกับใบหูของมันอีกครั้ง

     

                “มะ มี...มีอะไรหรือเปล่าครับ?” มันถามเสียงอ้อมแอ้มแล้วปล่อยคางลงมาเกยอยู่บนอกของผม

     

                “เปล่า... กูแค่อยากคิดอะไรหน่อย” ซีวอนตวัดแขนไปรอบเอวบางแล้วปล่อยให้อีกคนถูไถใบหน้าไปกับแผงอกของเขาด้วยท่าทางง่วงงุน  แล้วเขาก็ทำตามอย่างปากบอกจริงๆนั่นแหละ หัวสมองที่ใช้งานหนักกับการสอบมาทั้งวันกำลังทำงานอย่างหนักอีกครั้งเพื่อรีดเค้นคำตอบของปาร์คยูชอนซึ่งวนเวียนไม่ยอมหายไปไหนเสียทีจนชักนึกรำคาญ

     

                กับคยูฮยอน ทุกอย่างเหมือนจะเกิดเลยจากปกติมาไกลอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติตัวหรือความรู้สึก ตอนแรกเขาไม่นึกพอใจท่าทางไม่ประสีประสาของเด็กนั่นสักเท่าไหร่จนแอบรู้สึกไม่ชอบใจอยู่ลึกๆ เพราะต้องมาทนดูแลมันเป็นเดือน แต่อาจเพราะท่าทางแบบนั้นมันดันเหมาะกับสีหน้าซื่อๆๆและความจริงใจที่ผิดไม่มิดของมันก็ได้มันเลยไม่ทำให้เขารำคาญมากมายอย่างที่จินตนาการเอาไว้ในตอนแรก

     

                นานเข้าพอใกล้มากขึ้น คยูฮยอนยิ่งดูเหมือนดอกไม้สำหรับเขา เหมือนดอกไม้ทีบานอยู่เสมอไม่ว่าท้องฟ้าจะมืดครึ้ม ฝนจะตก แดดจะเปรี้ยง จะสถานการณ์แบบไหนยังไงคยูฮยอนก็ยังคงเป็นดอกไม้ที่เขามองได้ไม่รู้เบื่อ อยากจะคว้าเข้ามาไว้ในอ้อมกอดทุกครั้งที่รู้สึกเหนื่อย ชอบที่จะได้ยินริมฝีปากคู่นั้นขยับพูดพร้อมกับรอยยิ้มว่ากินข้าวมาแล้วหรือยัง ง่วงไหม เหนื่อยไหม

     

                เขาชอบที่จะได้ยินพอๆกับกลัวที่จะไม่ได้ยินอีกต่อไป

     

                แล้วถ้าจะนับเรื่องบนเตียงที่คนอย่างชเวซีวอนได้ชื่อว่าเพียงคืนเดียวก็มากพอ แต่กับคนบนอกเขาให้มากกว่านั้น ในรอบเดือนสองเดือนที่ผ่านมานี้เขาไม่ได้เอาลูกตาไปมองใครอื่นเลยสักคนเดียว เป้าหมายในสมองก็มีแต่เด็กผู้อ่อนต่อโลกและเขินอายทุกครั้งที่โดนสัมผัส แต่ก็นั่นแหละ... คยูฮยอนทำให้เขารู้สึกอยากจะทะนุถนอมเอาไว้ไม่ใช่เพื่อครั้งต่อไป แต่เพื่อเช้าตื่นมาแล้วจะได้เห็นรอยยิ้มสดใสนั่นอีกครั้ง

     

                แล้วความรู้สึกมากมายขนาดนี้มันจะใช่ความรักหรือเปล่า...

                มันจะเป็นความรักที่ดีได้หรือเปล่า ชเวซีวอนไม่มั่นใจเลยสักนิด

     

                 ไม่ใช่ว่าปิดกั้นแต่เพราะชีวิตที่ผ่านมามักถูกเสี้ยมสอนให้รู้จักความรักในแง่ลบเสมอ ถ้าเขาพูดว่ารักเหมือนที่พ่อบอกรักแม่แต่สุดท้ายก็เดินจากไป เขาไม่รู้ว่าความรักของพ่อที่มีให้แม่มันเคยล้นอกขนาดที่เขากำลังเป็นอยู่หรือไม่ แต่ถ้าจุดจบของมันเป็นอย่างนั้นเขาก็ทนไม่ได้ที่จะปล่อยให้คยูฮยอนต้องเจ็บปวดเพราะเขาซึ่งแน่นอนว่าชเวซีวอนไม่อยากเห็นภาพนั้น

     

                เขารักคยูฮยอน... แต่ไม่มั่นใจเลยสักนิด

                ว่าจะ ดูและรักษา คยูฮยอนได้ดีมากพอหรือเปล่า

               

                “ขมวดคิ้วแน่นไปแล้วนะครับ”

     

                “จริงเหรอ...”

     

                “ครับ..” เด็กนั่นยืนยันคำตอบก่อนจะเลื่อนนิ้วขึ้นมาหมายจะนวดเบาๆแต่กลับโดนเขาชิงสกัดดาวรุ่งไว้ด้วยการจับมือเรียวนั้นขึ้นมาแล้วแตะลงกับริมฝีปากไล่ไปทีละปลายนิ้วจนครบห้า พาลเอาคนที่นอนทับอยู่เหนืออกใจเต้นระส่ำไร้จังหวะ ปรางแก้มนวลขึ้นสีแดงชัดเจนอย่างที่เขาอยากจะเห็น

     

                ความเงียบเข้าปกคลุมพื้นที่ทั้งห้องไปโดยปริยายเมื่อไม่มีฝ่ายไหนปริปากพูดออกมาก่อนเสียที คยูฮยอนปล่อยให้หัวใจของตัวเองวิ่งเตลิดเปิดเปิงหายไปไกลเกินกว่าจะคว้ากลับมา ส่วนซีวอนเอาแต่จ้องใบหน้าหวานที่หลบซุกอยู่กับอกกว้างของเขาโดยไม่คิดจะทำอะไรเพราะถ้าความเงียบจะรั้งคยูฮยอนที่แสนน่ารักน่าชังไว้ใกล้หัวใจเขามากที่สุดได้เขาก็ยินดีจะทำ

     

    ครืด... ครืด... ครืด....

     

                “โอ๊ะ!” กระนั้นเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋ากางเกงของคยูฮยอนก็ดันสั่นขึ้นมาผิดเวลาเสียได้ ร่างร้องออกมาเสียงแผ่วด้วยความตกใจก่อนจะรีบล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของตัวเองเพื่อหยิบมันขึ้นมา

     

                เบอร์ประหลาดทำให้ร่างบางขมวดคิ้วทันทีเมื่อเห็นละทำท่าเหมือนจะลุกออกไปเพื่อรับสายให้ห่างจากคนตัวสูงสักนิด หากแต่ซีวอนกลับรีบคว้าเอวคอด รั้งเข้ามารัดแน่นจนคนที่ด้านบนต้องยอมกดรับทั้งที่อยู่ในท่าทางอันไม่สะดวกเสรีเท่าใดนัก

     

                “สวัสดีครับ”

     

                (คยูฮยอน!) แม้จะเป็นเสียงที่ลอดผ่านออกมาเบาๆจากลำโพง แต่ซีวอนก็มั่นใจว่าเขาจำไม่ผิดแน่... เจ้าของเสียงแบบนั้นเขาจำได้ดีเสมอหล่ะ....

     

                “พี่คิบอม!

     

                (โอ่ยยยยย... พี่นึกว่าไอ้ตู้นรกนี่จะกินเหรียญพี่ให้หมดกระเป๋าก่อนซะแล้ว! นายสบายดีนะ?)

     

                “สะ... สบายดีครับ” ดวงตากลมเหลือบมองเจ้าของอกที่นอนอยู่ด้านล่างเพื่อสำรวจสีหน้าท่าทางของซีวอนซึ่งชัดเจนมากว่ามีความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดีสักเท่าไหร่ เพราะอ้อมแขนที่รอบเอวนั้นกำลังคลายออกจนหลวม

     

                (ดีแล้ว ตอนนี้พี่กำลังจะขึ้นเครื่องกลับโซลแล้วนะ พี่กับทงเฮเราดีกันแล้วหล่ะ)

     

                “อ่า....” หัวใจของเขากระตุกวูบทันทีและคยูฮยอนก็มั่นใจว่าคำพูดนั้นกำลังทำร้ายเขาอย่างร้ายแรงจนพูดโต้ตอบอะไรไม่ออกไปหลายวินาที

     

                (นายเก็บของได้เลยนะคยูฮยอน พี่ว่าพรุ่งนี้บ่ายคงไปถึงห้องไอ้ซีวอนแหละ)

     

                “คระ..ครับ...”

     

                (ไม่สบายเหรอ? พูดน้อยจัง พี่คิดถึงนายนะ)

     

                “ผมก็คิดถึงพี่ครับ... ผมสบายดี..”

     

                (อืมก็ดีละ...เฮ้ยๆๆๆๆๆ ตังค์จะหมดแล้วอ่ะ ไว้เดี๋ยวอยู่สนามบินแล้วโทรหาอีกทีนะเว้ย สวดมนต์ให้พี่ด้วยนะ ไม่ชอบนั่งเครื่องบินเลยหว่ะ บ๊ายบาย~)

     

                สัญญาณโทรศัพท์ถูกตัดไป คยูฮยอนลดมือถือลงมาจากข้างใบหูแล้วมองคนที่นอนจ้องหน้าเขาอยู่เหมือนเดิม ซีวอนยื่นมือออกมาจับปอยผมของเขาทัดกลับไปที่หูอีกครั้งเมื่อเห็นว่ามันร่วงลงมา

     

                “คิบอมกลับมาแล้วเหรอ?”

     

                “ยังครับ... กำลังจะขึ้นเครื่อง บอกว่าถึงพรุ่งนี้บ่าย”

     

                “มันจะมารับมึงเลยใช่ไหม?”

     

                “เขาบอกให้ผม...เก็บของ...” คยูฮยอนไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคำนั้นมันถึงพูดออกมายากเหลือเกินทั้งๆที่มันก็คือความต้องการของเขาตั้งแต่วันแรกที่ย้ายเข้ามาที่นี่ อกข้างซ้ายมันปวดไปหมดเหมือนมีคนเอาเชือกมารัดไว้ จะหายใจก็รู้สึกไม่สะดวกเพราะมันตีบตันไปทั้งลำคอ... ไม่มีแรงจะลุกออกจากแผ่นอกกำยำจนคิดไม่ออกว่าตัวเองแค่เกียจคร้านหรือเพราะการลุกออกไปตอนนี้จะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด

     

                ทุกอย่าง... ที่จะทำให้หัวใจของเขามันเจ็บมากขึ้นอีก

     

                “งั้นก็ไปเก็บ... เดี๋ยวกูช่วย” คนตัวสูงซึ่งเริ่มมีสีหนาไม่ค่อยดีนักทำท่าจะยันตัวเองขึ้นมาจากโซฟาแต่เขาก็โดนไอ้งั่งที่นอนอยู่บนอกกดเอาไว้ไม่ให้ขยับไปไหน ซีวอนก้มหน้าลงมองร่างผอมที่พยายามโถมน้ำหนักตัวลงมาทับเขาเอาไว้ด้วยความสงสัย

     

                “คือผม...”

     

                “...”

     

                “ขออยู่แบบนี้ก่อนได้ไหมครับ... ของค่อยเก็บพรุ่งนี้ก็ได้มั้งครับ...” คยูฮยอนคิดว่ามันอาจจะเป็นคำขอที่มากเกินไปสำหรับผู้อยู่อาศัย แต่เขาก็ทนขัดใจตัวเองไม่ได้อีกแล้วเพราะถ้าพรุ่งนี้พี่คิบอมมารับเขาไปจริงตามที่บอก มันแปลว่าเขาต้องนับถอยหลังให้กับเวลาที่เหลืออยู่ไม่ถึง 24 ชั่วโมงนี้ และในเมื่อมันไม่ใช่เวลานานมากเท่าไหร่ คยูฮยอนก็ขอดื้อรั้นกับคนตัวสูงสักนิดแล้วกันนะ

     

                “หึ... เก็บไม่เสร็จกูไม่รู้นะ” เหมือนจะเอ่ยปฏิเสธแต่ซีวอนกลับคล้องแขนกลับไปโอบรอบเอวบางคอดเอาไว้แล้วดันให้ร่างนั้นขยับสูงขึ้นมาอีกสักนิด เขากดริมฝีปากแนบลงไปกลางหน้าผากมนแล้วปล่อยให้อีกคนซุกหน้าลงมาบนซอกคอของตัวเอง คยูฮยอนนอนนิ่งเงียบ ปล่อยลมหายใจอุ่นเป่ารดอยู่ที่บ่ากว้างของเขาพลางยกมืออย่างเก้ๆกังๆขึ้นมากอบตอบเอาไว้

     

                ถึงเวลานานี้... ไม่มีใครจินตนาการเช้าที่ไม่เห็นหน้ากันได้เลยจริงๆ

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    เปิดเทอมแล้วน้องขนมจีนเหนื่อยอยากจะกรี๊ดอ่ะค่ะ T__T  ตอนนี้ไม่หนุกเลยอ่ะ หน่วงด้วยอ่ะ ปวดใจอ่ะ ฮรืวววววว..... เกลียดคิบอมอ่ะ - -

    © Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×