คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : CHAPTER XVI.
CHAPTER XVI
ข้อความจากแดนไกลกับข้อความในใจตัวเอง
พอเข้าสู่ช่วงปิดเทอมอย่างจริงจัง คยูฮยอนพบว่าแต่ละวันในชีวิตผ่านไปอย่างน่าเบื่อหน่ายสิ้นดี ไม่นั่งๆนอนๆอ่านหนังสือทบทวนเพื่อเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย เขาก็จะลุกไปดูทีวีฟังเพลงเรื่อยเปื่อย นอนตากลมอยู่ในห้องไปวันๆโดยไม่ได้ทำอะไรมากมายไปกว่านั้น อย่างมากก็แค่ไปวิ่งที่สวนสาธารณะตอนเย็นๆบ้าง แต่ก็ไม่ค่อยได้ออกไปบ่อยเพราะดันไปเจอพี่ซึงฮยอนเข้าให้
เช้านี้ก็ตื่นมาเหมือนเดิม ได้ยินเสียงกุกกักอยู่สามสี่เที่ยวก่อนตามด้วยเสียงตะโกนของซีวอนที่เขาจับไม่ได้ใจความอะไรเพราะเอาหัวซุกอยู่กับหมอน รู้สึกเหมือนห้องสั่นเพราะประตูด้านนอกถูกกระแทกอย่างแรง เดาได้เลยว่าเจ้าของแรงกระแทกคงจะกำลังรีบอยู่เป็นแน่ (ไม่อย่างนั้นต้องมาจูบมาไซร้เขาก่อนไปแล้วหล่ะ)
“ฮื่อออออออออ~” เด็กที่ถูกแซะให้ตื่นจากฝันเอาหน้าไถซ้ายไถขวากับหมอนก่อนจะดีดตัวขึ้นมานั่งพับขาท่าเป็ด ขยี้ตาด้วยความสะลึมสะลือ คยูฮยอนเป่าลมให้ปอยผมที่ตกลงมาปรกคิ้วสะบัดพริ้มขึ้นไปด้านบนแล้วค่อยตั้งสติให้มั่นคงเพื่อลุกลงมาจากเตียง
ชำระร่างกายเสร็จเรียบร้อยก็ออกเดินไปยังห้องนั่งเล่นเพื่อหาอาหารเช้าสักมื้อ แต่ความสะอาดไร้คราบในห้องครัวก็ยืนยันได้ว่าเช้านี้เขาคงต้องทำกับข้าวกินเองเพราะพี่ซีวอนไม่ได้ทำอะไรทิ้งไว้เลย... ดีไม่ดี พี่ซีวอนอาจจะไม่ได้กินอะไรเลยด้วยซ้ำเถอะ
“เบี้ยวข้าวเช้าอีกละ...” สบถงึมงำอยู่คนเดียวหลังจากเปิดตู้เย็นออกแล้วพบว่ามีสิ่งที่หายไปเพียงอย่างเดียวคือนมเปรี้ยวขวดครึ่งลิตร แหม ทีกับเขาหล่ะเตือนนักเตือนหนาว่าอย่าอดอาหารเช้า แล้วดูตัวเองสิ... กินแค่นมเปรี้ยวขวดเดียว ใช้ได้ที่ไหนกัน
คยูฮยอนเดินวนเวียนป้วนเปี้ยนในครัวสักพักก็ได้ข้าวผัดง่ายๆแบบมีอะไรก็ใส่ให้หมดมานั่งตักกินอยู่หน้าทีวีหนึ่งจาน รายการโทรทัศน์ช่วงเช้าอันแสนน่าเบื่อ ถูกเปลี่ยนวนไม่ซ้ำนาที กระทั่งข้าวหมดจานถึงได้เดินกลับเข้าไปในครัวอีกครั้ง แล้วก็บังเอิญไปเห็นตารางเรียนของพี่ซีวอนที่แปะอยู่ตรงข้างชั้นวางหนังสือพอดี
“วันนี้เลิกเที่ยงเหรอ?” จิ้มนิ้วลงไปบนแผ่นตารางสอนสีสดตรงหน้าเพื่อไล่ดูตารางของวันนี้และเมื่อพบว่าวันนี้พี่ซีวอนมีเรียนถึงแค่ตอนเที่ยง คยูฮยอนก็คลี่ยิ้มออกมาทันที
จัดอาหารเที่ยงชุดใหญ่ไปเสิร์ฟพี่ซีวอนที่มหาวิทยาลัยดีกว่า
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
คยูฮยอนส่งไลน์ไปบอกพี่ซีวอนทันทีที่มาถึงตึกคณะซึ่งตอนนี้ยังร้างผู้คนอยู่ จะมีให้เห็นบ้างก็แค่สองสามคน เดินหิ้วโน๊ตบุ๊คผ่านไปมา แม้จะอายเอียงกับการกระทำของตัวเองอยู่บ้างแต่ในเมื่อตั้งใจมากขนาดนี้แล้วจะให้เดินกลับห้องก็คงไม่คุ้มกัน
อีกอย่าง ข้าวเบนโตะชุดใหญ่พวกนี้เขาก็ไม่ได้ทำมาเผื่อแค่พี่ซีวอนคนเดียวเท่านั้น แต่ยังแบกมาแบ่งให้เพื่อนๆคนอื่นในกลุ่มที่ได้ข่าวว่าช่วงนี้ปั่นงานกันหามรุ่งหามค่ำจนไม่มีเวลาจะปิดลูกตาลงมาด้วยซ้ำ เมื่อวันที่กลับมาจากสวนสนุกเขาก็ได้ยินว่าพี่จงฮุนเริ่มไม่สบายแล้วก็พาลเอาไปแพร่หวัดใส่พี่คริสที่อยู่ห้องเดียวกันเสียด้วย ถ้าไม่ได้รับสารอาหารมากพอ เกรงว่าจะพากันแย่เข้าไปใหญ่
เดี๋ยวจะเหลือพี่ซีวอนที่ถึกทนทรหดปั่นงานได้อยู่คนเดียว
นิ้วเรียวกดปลดล็อคหน้าจอโทรศัพท์เพื่อเช็คดูอีกรอบว่าพี่ซีวอนเห็นข้อความของเขาแล้วหรือยัง คำว่า Read ที่ต่อท้ายตัวอักษรอยู่ทำให้คยูฮยอนเบาใจว่าอย่างน้อยอีกคนก็เห็นข้อความของเขาแล้ว แต่ที่มันน่าโมโหอยู่เนืองๆคือทำไมไม่ส่งตอบกลับมาสักนิดหล่ะ...
“เรียนอยู่หล่ะมั้ง...” คิดเองเออเองเพื่อไม่ให้ฟุ้งซ่านไปไกล ข้อมือเรียวพลิกหน้าปัดนาฬิกาขึ้นมาดูเวลาเพื่อคำนวณว่าตัวเองต้องนั่งรออีกกี่นาทีกว่าพี่ซีวอนและผองเพื่อนจะเสด็จจรลีลงมาจากห้องเรียน
ตามตารางบอกว่าเลิกเรียนเที่ยงครึ่ง นี่ก็เที่ยงแล้ว คงไม่ต้องรออีกนานเท่าไหร่นัก... คยูฮยอนฆ่าเวลาด้วยสมุดจดศัพท์ภาษาอังกฤษที่รวบรวมคำศัพท์สำหรับใช้สอบเข้ามาวิทยาลัยตามสไตล์คนขยัน เขาไม่อยากทำพลาดให้แม่ต้องเสียใจ ลำพังที่ต้องทำงานหาเลี้ยงเขาก็เหนื่อยมากแล้ว การสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งนี้ได้ก็คงเป็นเรื่องน่าภูมิใจของท่านได้อยู่
ว่าแล้วก็เผลอคิดไปถึงคณะที่อยากเข้าอย่างแท้จริง ความจริงแล้วเขาก็แอบขบคิดไม่น้อยตามที่พี่ซีวอนบอกเมื่อตอนเจอกันครั้งแรกๆ อยากเรียนอะไรก็เรียนไป.... คิดไปคิดมา ที่พี่ซีวอนพูดแบบนั้นได้ก็คงเพราะฐานะทางบ้านดี ต่อให้ไม่ทำงานก็คงมีเงินเก็บสะสมให้อยู่ได้เป็นล้าน แต่กับเขาที่มีแค่บ้านหลังเล็กกับร้านอาหารที่เลี้ยงคนทั้งครอบครัวหน่ะ มันคงไม่พอหรอก
“เฮ้อ....”
“น้องคยูหนักใจอะไรอยู่เหรอครับ...”
“เอ่อ...”
“ช่วงนี้พี่น้ำหนักขึ้น... แต่พี่จะรีบลดนะครับ จะได้นั่งในหัวใจน้องคยูได้สบายๆ ไม่คับอกคับใจ..” มุกแบบนี้ก็มีแค่ปาร์คยูชอนเท่านั้นแหละที่คิดออก เพราะเสียงมาก่อนตัวเลยทำให้น้องคยูสะดุ้งวาบด้วยความตกใจ เรียกรอยยิ้มของรุ่นพี่ที่กำลังเดินตามมาได้ แต่แน่นอนหล่ะ... ว่าไม่ใช่รอยยิ้มของชเวซีวอนแน่ๆ
“มึงลุกเลยยูชอน... ลุกไปไกลๆเลยไป” ไม่ว่าเปล่าแต่ซีวอนยังเดินเข้ามากระชากไหล่ของเพื่อนให้ลุกออกไปแล้วรีบเสียบตัวเองเข้าไปแทนที่ มีเสียงหัวเราะคิกคักจากเบื้องหลังมาทำให้คนตัวผอมตัวบางที่กอดกล่องข้าวเอาไว้แน่นหน้าแดงเป็นลูกตำลึงก่อนที่ทุกคนจะเคลื่อนตัวมาจับจองพื้นที่ตามอัธยาศัยกันเช่นเคย
“ปิดเทอมแล้วเหรอเรา...”
“ครับ ปิดแล้ว”
“คิดถึงพี่สินะเลยมาหาถึงที่นี่” อ๊คแทคยอนยิ้มหวานป้อเด็กโดยไม่ได้เกรงใจคนตัวสูงซึ่งนั่งหน้าบูดอยู่ข้างๆเลยแม้แต่น้อย คยูฮยอนส่ายหัวรุนแรงจนผมแทบจะปลิวร่วงออกมาทันทีเพื่อปฏิเสธข้อกล่าวหา(?)อันร้ายกาจดั่งกล่าวทั้งยังโบกไม้โบกมือเป็นการยืนยันอีกด้วย
“ปละ..เปล่านะครับ…”
“...”
“ผมไม่ได้คิดถึงพี่แทคเลยนะครับ” ตอบกลับไปอย่างใสซื่อตามประสาแต่ก็เรียกเสียงฮาครืนได้จากทั้ง
“ชัดเจนเต็มสองรูหูไหมครับแทคยอน... ไม่คิดถึงเลยนะครับ” จงฮุนตอกย้ำทั้งที่ยังอ้าปากปล่อยเสียงหัวเราะ เลยโดนแทคยอนจับนิ้วของยูชอนยัดเข้าไปเสีย
“ไอ้เหี้ย! ห่าปาร์คไม่ได้ล้างมือหลังเยี่ยว!!” ไอ้คนโดนกระทำก็โวยวายไปตามระเบียบแล้วเริ่มเอาคืนด้วยการหาอะไรมาป้ายหน้ากลับเหมือนเด็กที่ต้องเอาคืน จนพี่คริสชักทนมองความปัญญาอ่อนตรงหน้าไม่ไหวเลยแจกบ้องหูกันไปคนละที
“แล้วมึงมาทำไร?”
“อ้อ... ผมทำซูชิมาฝากแหละครับ นี่ไง...” เฉลยจุดประสงค์ของตัวเองด้วยการยกกล่องข้าวขนาดใหญ่ขึ้นมาตั้งที่กลางโต๊ะ คยูฮยอนแกะกล่องพลาสติกชั้นนอกออกเผยให้เห็นซูชิหน้าตาหลากหลายแยกเป็นกล่องอยู่ด้านใน ทำเอาทั้งโต๊ะต่างพากันน้ำลายสอ
“น่ากินมากครับน้องคยู... พี่กำลังมองหาคนทำกับข้าวที่บ้านอยู่พอดีเลย ว่างๆน้องคยูไปทำมื้อเช้าที่บ้านพี่ดีไหมครับ”
“กับข้าวมึงกูก็ทำได้... ได้ทั้งเช้าสายบ่ายเย็นเลย จ้างกูดีกว่าไหมครับ...” ซีวอนตีหน้านิ่งทันทีที่ปาร์คยูชอนเริ่มจะป้อไอ้เด็กฮยอนของเขาทางสายตา(แม่งยกระดับความม่อขึ้นเป็นสองเท่าเลยเถอะ) ร่างสูงเหยียดขาไปถีบเข้าที่หัวเข่าของอีกคนอย่างแรงก่อนจะรีบตัดบทสนทนาทั้งหมดเพราะเขาชักจะไม่ค่อยพอใจกับสายตาของคนที่มองไปมองมางกลุ่มของเขามากขึ้น
แม่งคงไม่ได้มองไอ้เถิกปาร์คหรือไอ้เหยินแทคหรอก... เชื่อกู
“ลองชิมดูนะครับ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำอร่อยหรือเปล่า แหะๆ...”
“เออ... มึงแบ่งๆไป เดี๋ยวกูต้องไปทำธุระต่อ” ดวงตาคมเหลือบมองนาฬิกาที่ข้อมือของตัวเองแล้วเอื้อมมือไปจัดการแบ่งซูชิไส้ต่างๆลงในกล่องใหญ่ เหลือแค่ของเขากับไอ้เด็กฮยอนเอาไว้ในกล่องขนาดกลางแล้วรีบลุกขึ้นโดยไม่ลืมคว้าตัวคนทำซูชิให้ลุกขึ้นพร้อมกันด้วย
“เอ้า! ไม่อยู่ต่อเหรอวะ”
“มีงานต่อ...”
“เออ เขียนเพลงถึงไหนแล้ว”
“ยังไม่ถึงไหน พยายามเร่งอยู่ เดี๋ยวหลังสอบกลองกูค่อยเขียนต่อ” พูดเร็วๆรีบๆตามแบบของคนที่มีงานต้องไปทำ เพื่อนในกลุ่มพยักหน้าเออออไม่คิดรั้งอะไรไว้เพราะต่างให้ความสนใจกับซูชิที่อยู่ตรงหน้ามากกว่า
“อืมๆ... เฮ้ย น้องคยูทำอาหารอร่อยนะครับเนี่ย”
“ใช่ๆ สุดยอดอ่ะ...”
“อาหารอร่อยขนาดนี้ แล้วน้องคยูจะอร่อยขนาดไหน...”
“เอาหน้าโหม่งน้ำจิ้มไปเลยสัด!”ซีวอน ผลักหัวแทคยอนที่บังอาจพูดจาล่วงเกินทำให้ไอ้เด็กฮยอนของเขาหน้าแดงลามมาถึงหูแล้วรีบจับข้อมือคนตัวผอมลากให้เดินตามกันออกมาพร้อมกับถุงที่เจ้าตัวเอามา คยูฮยอนโบกมือลารุ่นพี่ที่เหลือเท่าที่ทำได้เพราะซีวอนล็อคคอของเขาเอาไว้ ไม่เปิดโอกาสให้ได้กล่าวคำร่ำลาใดๆทั้งสิ้น
หลังเพื่อนตัวใหญ่กล้ามโตปลีกตัวออกไปแล้ว วงสนทนาที่เหลือแต่ผู้ชายวัยรุ่นร้อนแรงก็เริ่มเปิดประเด็นสนทนาใหม่ ซึ่งแน่นอนว่าก็ไม่พ้นเรื่องของคนที่เพิ่งจะลากพ่อครัวซูชิออกไป
“กูว่าเชี่ยวอนแม่งเปลี่ยนไปหว่ะ...” จงฮุนเป็นคนเปิดประเด็นขึ้นมาคนแรกทั้งรอยยิ้ม “แม่งไม่เคยแคร์ใครขนาดน้องคยูเลยนะเว้ย...”
“เออจริง”
“แล้วมึงเห็นเนื้องเพลงท่อนแรกที่มันส่งให้ยัง?” แทคยอนถามขึ้นมากลางวงเมื่อเขานึกขึ้นได้ว่าคืนก่อนซีวอนฟอร์เวิร์ดเนื้อเพลงมาให้เพื่อนๆในกลุ่มทางอีเมลล์เพื่อจะได้รู้ความเคลื่อนไหวของงาน ซึ่งก็ไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างชเวซีวอนหน่ะเขียนอะไรชวนอ้วกเป็นกับคนอื่นเขาด้วย
“เออ... แม่งดูเป็นมันมากเลย แต่คือ... เป็นมันที่กำลังพูดถึงเรื่องความรัก”
“กูอ่านแล้วอึ้งอ่ะสัด!”
“จริงๆ ไอ้เหี้ย... ไม่อยากเชื่อว่าแม่งเขียนอะไรทำนองนี้ได้ กูว่าน้องคยูฮยอนแม่งมีพลังงานบางอย่างหว่ะ” ยูชอนตบโต๊ะขึ้นมาแล้วพูดพร้อมยัดซูชิไส้ผักเข้าปาก
“เออ กูว่าแม่งต้องมีซัมติงกันอ่ะ.... ไอ้เหี้ยปาร์ค! ผักติดร่องฟันมึง”
“แน่นอนเลยหว่ะ... เฮ้ยคริส... มึงว่าไง มึงซี้กับมันที่สุดนี่?” แทคยอนหันไปขอความเห็นจากคนที่นั่งเงียบมาตลอดทาง แต่คนอย่างอู๋อี้ฟานหน่ะไม่เงียบเปล่าหรอก แม่งต้องคิดอะไรในหัวแน่ๆ
“ไม่รู้ดิ... มันก็เปลี่ยนไปจริงๆนั่นแหละ” ยักไหล่ให้กับประเด็นสนทนานั้นแล้วจับซูชิยัดเข้าปากต่อไปเหมือนว่าตัวเองไมได้รู้เห็นเป็นใจอะไรด้วย แต่ก็อย่างที่บอก เขาสนิทกับซีวอนมากที่สุด แล้วทำไมเขาจะดูไม่ออกหล่ะว่าเพื่อนของเขากำลัง ตกหลุมรัก เด็กงั่งในปกครองของตัวเองเข้าเสียแล้ว
“ใช่ไหมหล่ะ!!~”
“อืม... มันก็คงจะเจอ... คนที่ทำให้เขียนเพลงรักได้แล้วมั้ง”
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
“ฮยองมีธุระเหรอครับ?” คยูฮยอนที่เพิ่งจะได้รับอิสรภาพกลับคืนมาเงยหน้าถามพี่ชายตัวสูงที่กำลังพาเขาเดินตรงไปยังลานจอดรถ และคำตอบที่ได้กลับมาก็ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วงุนงง
“ไม่มี”
“อ่าว... งั้นทำไมไม่กินข้าวก่อนอ่ะครับ?”
“ก็ธุระกูคือจะพามึงไปกินข้าว...”
“อ่า แต่ผมทำซูชิมาให้นะครับ... หรือฮยองไม่ชอบเหรอ?” หน้าเริ่มเสียเมื่อเห็นว่าอีกคนเหมือนจะไม่อยากกินซูชิที่เขาตั้งใจห่อมาให้ คยูฮยอนขมวดคิ้วแน่นไปหมด สมองก็คิดว่าจะทำยังไงดี ทำไมซีวอนถึงไม่กิน และอีกมากมายหลายคำถามที่ทำให้รู้สึกหน่วงจนก้าวขาช้าลง
“เปล่า... กูอยากพามึงไปนั่งกินข้าวที่ๆนึง”
“อ่อ... อ่า... มอไซค์เหรอครับ?”
“อืม มาดิ” ถอยรถจักรยานยนต์คันใหญ่ของตัวเองออกมาจากที่จอดแล้วสตาร์ทเครื่อง ก่อเสียงดังกังวานไปรอบทิศ คยูฮยอนขยับขาก้าวไปคร่อมเบาะสีดำอย่างเก้ๆกังๆเพราะความใหญ่โตอลังการของมัน
“ผมไม่มีหมวกกันน็อคอ่ะ...” หันไปเห็นว่าร่างสูงกำลังสวมหมวกกันน็อคสีดำเข้ากับหัว เขาก็เลยรีบเอ่ยท้วงขึ้นมาทันที ดูเหมือนซีวอนเองก็คงลืมเรื่องนั้นไปเสียสนิทเหมือนกันเพราะทันทีที่โดนท้วงติงขึ้นมาร่างสูงก็สะดุ้งวาบ
“เออหว่ะ... เอ้า! นี่...”
“เฮ้ยฮยอง.. แต่มัน...”
“ใส่ไปเหอะ พรุ่งนี้ค่อยมาคืนก็ทัน” คยูฮยอนมองหมวกกันน็อคในมือที่ซีวอนได้มาจากการเอื้อมแขนไปคว้าจากรถที่จอดอยู่ข้างๆ คยูฮยอนพลิกหมวกสีน้ำตาลอ่อนแบบผู้หญิงขึ้นมาอย่างชั่งใจก่อนจะสวมมันเข้ากับหัว เป็นสัญญาณให้ร่างสูงบิดคันเร่งออกรถไปได้
เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มทำให้ทั้งคู่ตกเป็นเป้าสายตาในท้องถนน ซีวอนขับรถด้วยความเร็วปกติในช่วงแรก แต่เมื่อเริ่มเลี้ยวเลาะไปยังแถบชานเมืองที่การจราจรโล่งโจ้งไม่ติดขัด มือหนาก็บิดแฮนด์เร่งความเร็วสูงขึ้นจนคยูฮยอนต้องรีบคว้ากอดรอบเอวของอีกคนเอาไว้แน่น
“เหวออออ~”
“หึ...” แว่วเสียงหัวเราะออกมาจากรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ด้านหน้าจางๆเพราะถูกเสียงลมกลบทิ้งไปจนแทบไม่ได้ยิน คยูฮยอนกระชับแขนตัวเองให้เข้าที่เข้าทางหลังจากเริ่มตั้งสติขึ้นมาได้ หลังฝ่ามือของเขาที่โดนลมตีจนรู้สึกชามีสัมผัสอุ่นจากฝ่ามือใหญ่ของวินมอไซค์(?)คันใหญ่ทาบอยู่ให้พอรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
รถมอเตอร์ไซค์เลี้ยวเข้าซอยขนาดเล็กที่ยังเป็นทางแบบลูกรัง ดูไม่เข้ากับความเจริญของเมืองโซลสักเท่าไหร่ ความเร็วของยานพาหนะลดต่ำลงทันทีเมื่อเจอสภาพถนนย่ำแย่ หากแต่ซีวอนก็ยังคงประคองการทรงตัวเอาไว้ได้อย่างมั่นคงเป็นระยะทางเกือบสองกิโล เครื่องยนต์ก็ดับลง
เจ้าของมอเตอร์ไซค์คันเท่ห์เอาขายันพื้นไว้แล้วสับขาตั้งลงมาค้ำรถก่อนจะดึงหมวกกันน็อคออกไปจากหัวของตัวเองเพื่อมองทิวทัศน์อันเป็นทุ่งกว้างเบื้องหน้าอย่างปลอดโปร่ง ไม่ให้มีแผ่นกระจกสีชาเข้มมากั้นกลาง
“สวยจังครับ...” คยูฮยอนปลดหมวกของตัวเองออกมาบ้างก่อนจะรีบตะเกียกตะกายลงจากรถคันใหญ่ ยืนบนพื้นดินแห้งที่ปกคลุมด้วยดอกหญ้าสีทองซึ่งกำลังลู่ไปตามแรงลมแรงอากาศ มองแล้วให้ความรู้สึกนุ่มสบายจนอยากจะทิ้งตัวลงไปนอนมันเสียเฉยๆ
“สวยสิ...” ชักขาเรียวยาวกลับมาเพื่อยืนตรงบนพื้นบ้าง ซีวอนวางหมวกกันน็อคของตัวเองลงบนเบาะด้านหลังแล้วคว้ากล้องซูชิกับขวดน้ำในถุงของคยูฮยอนมาถือไว้ก่อนจะก้าวขาเดินนำไปตามทางที่ถูกถางเอาไว้เป็นทางเดินสำหรับผู้มาเยือน
ทุ่งกว้างสีทอง แซมไปด้วยกลุ่มใบไม่สีเขียวจากต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่บ้างเล็กบ้างตามอายุขัย เขาเลือกต้นไม้ต้นเดิมเหมือนกับที่มาทุกครั้ง ซึ่งมันเป็นต้นอะไรที่เขาไม่รู้จักหรอก เพียงแต่ความร่มรื่นของกิ่งก้านที่แผ่กว้างออกมาปกคลุมพวกนั้นมันทำให้ซีวอนนึกหลงรักร่มเงาสีทะมึนจนต้องกลับมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“นั่งดิ”ทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นที่ปู้ด้วยหญ้าแห้งเกรียนสั้นๆก่อนจะเอ่ยชวนให้คนตัวผอมนั่งตามลงมา คยูฮยอนทอดสายตามองเบื้องหน้าซึ่งนอกจากจะมีทุ่งแล้ว ยังมีลำธารสายเล็กไหลผ่านไป ยิ่งทำให้บรรยากาศดีมากขึ้นกว่าเดิมเข้าไปอีก เพราะรอบลำธารนั้นกลายเป็นที่เขียวชอุ่ม มองแล้วสบายตาไปอีกแบบ
“ฮยองรู้จักที่นี่ได้ไงอ่ะ...”
“ขี่รถมาเจอนานแล้ว... มันอบอุ่นดี” ปากว่า มือก็จัดการเปิดกล่องซูชิแล้วดันคำแรกเข้ามาลิ้มรสทันที “อร่อยดีหว่ะ...”
“ตอนแรกผมนึกว่ามันจะกินไม่ได้ซะอีกอ่ะ...”
“แดกได้ เอ้า... ลองกินดู” คีบไปจ่ออยู่หน้าริมฝีปากบาง คยูฮยอนก็อ้าปากงับเข้ามาลองชิมดูบ้างเพราะหลังจากทำเสร็จเขาก็ลองกินไปแค่ชิ้นสองชิ้นให้พอรู้รส กะว่าที่เหลือจะมานั่งกินกับพี่ซีวอนและเพื่อนๆนี่แหละ
“แล้วทำไมฮยองถึงมาที่นี่หล่ะครับ...”
“ที่จริง... กูชอบมาตอนมีเรื่องหนักใจ” ซีวอนพูดแล้วเงยหน้ามองทิวทัศน์ด้านหน้าเพื่อหวังให้ความไม่สบายใจของตัวเองคลายลงไปบ้าง “กูเขียนเพลงไปได้ครึ่งนึงละ... แต่กูกลัว... กูคิดว่ามันจะออกมาไม่ดี หึ...”
“อ่อ...” พยักหน้ารับเพื่อรอฟังในสิ่งที่อีกคนจะเล่าต่อ คยูฮยอนเองก็อยากรู้เรื่องของซีวอนบ้างว่าตอนไหนพี่ชายตัวโตคิดอะไรยังไง และบางทีก็นึกอยากรู้ว่าตัวเองหน่ะอยู่ตรงไหนในความคิดของพี่ซีวอนบ้างหรือเปล่า
เพราะเขาชอบนึกถึงพี่ซีวอนเป็นอันดับแรกๆก็เลยอยากจะรู้ว่าตัวเองเป็นอันดับที่เท่าไหร่..
“กูไม่เคยเขียนเพลงรัก... ได้โจทย์มาว่าสารภาพรัก...”
“...”
“นึกเหี้ยไรไม่ออกเลยจริงๆ”
“แต่ฮยองก็เขียนไปได้ตั้งครึ่งเพลงแล้วนะครับ...” คยูฮยอนพูดขึ้นมาทั้งที่ดวงตายังมองออกไปข้างหน้าจึงไม่ทันสังเกตว่าพี่ชายตัวสูงกำลังมองมาทางเขาจากด้านหลังพร้อมกับอ้อมแขนที่คว้าเอวบางให้ขยับเข้ามานั่งใกล้กัน
“อ่ะ...”
“แต่ก็ยังไม่จบเพลง”
“ก็เหลืออีกแค่ครึ่งเพลงเองนะครับ... เดี๋ยวก็คิดออก”
“มึงพูดก็ง่ายสิ” เปลี่ยนจากใช้ตะเกียบไปใช้มือหยิบซูชิยัดปากอีกคนด้วยความหมั่นไส้ คยูฮยอนก็อ้าปากรับพลางดิ้นไปดิ้นมาเมื่อซีวอนไม่ได้หยุดอยู่แค่ชิ้นเดียวแต่ยังตามมาอีกหลายชิ้น
“อื้อออ! อะ-ยอง!!” ส่งเสียงโวยวายเพื่อปรามให้อีกคนเลิกใส่อาหารมาได้แล้ว แก้มทั้งสองข้างก็ขยับตามแรงเคี้ยวตุ้ยๆจนเห็นโหนกนูนกลมปลั่งขึ้นมา คยูฮยอนขมวดคิ้ว ทำหน้าเบ้เมื่อหันไปเจอเจ้าของผลงานนั่งอมยิ้มขำอยู่แล้วตักซูชิเข้าปากอย่างสบายอารมณ์
“มึงจะลงไปเดินเล่นข้างล่างก็ได้นะ... ตรงข้างลำธาร สวยดี” ชี้นิ้วไปยังริมลำธารที่มีไม้ล้อมพุ่มดอกไม้หลากวีอยู่ พอเห็นดังนั้นคยูฮยอนที่ยังมีซูชิยัดอยู่เต็มปากก็รีบดีดตัวเองวิ่งลงไปตามที่อีกคนชี้ทันที
ซีวอนเอนตัวลงนอนไปกับเนินลูกเล็กตรงใต้ต้นไม้เพื่อพักสายตาและสมองอันเมื่อยล้า เขานึกถึงเนื้อเพลงที่ตัวเองสามารถเขียนขึ้นมาได้บ้างหลังจากไปสวนสนุกมา เขาคิดว่ามันค่อนข้างสั้นและกระชับ เหมือนจะเป็นเพลงที่เน้นการบรรเลงดนตรีมากกว่า แต่ในหัวกลับจินตนาการว่าถ้าเพลงนี้ถูกร้องเขาก็อยากให้มีดนตรีเพียงแค่เบาๆเท่านั้น
อยากให้มันเป็นเพลงช้าๆที่ฟังชัดมากที่สุด
เพราะถ้าจะต้องสารภาพรัก... เขาก็อยากให้อีกคนได้ยินมันอย่างชัดเจน
ดวงตาคมเลื่อนมองไปยังคนที่กำลังก้มเงยๆเด็ดดอกไม้อยู่อย่างไม่นึกเข้าใจ เขาคิดว่าตัวเองอาจจะเป็นบ้าหรือไม่ก็ต้องโดนสปอยจนหลอนเข้าแน่ๆ เวลาเขียนเพลงเขามักจะนึกถึงคยูฮยอนเสมอ คิดว่าถ้าเขายืนอยู่ตรงหน้าเด็กคนนั้นแล้วพูดว่ารักมันสุดหัวใจมันจะมีท่าทียังไง จินตนาการว่าตัวเขาจะรู้สึกยังไงแต่บางครั้งก็คิดว่ามันไม่เหมือนจินตนาการเลยสักนิด
มันเหมือนความจริง...
อีกเรื่องประหลาดคือเขาไม่ได้นอนกับใครเลยตั้งแต่หลังวันที่ไปเล่นดนตรีครั้งก่อนนู้นซึ่งก็นานมากแล้ว และจากการเสพย์สาวครั้งล่าสุด ไอ้ความรู้สึกใจเต้นระส่ำกับท่าทางแสนยั่วของนางแมวพวกนั้นก็ไม่มี แต่กลับมาใจสั่นจะหลุดจากอกตอนเด็กนั่นครางเสียงหวานแล้วบิดตัวไปมา... ซีวอนรู้รสนิยมทางเพศของตัวเองมานานแล้วว่าสามารถได้ทั้งกับชายและหญิง แต่ช่วงนี้ดูเหมือนเขาจะหมกมุ่นอยู่กับผู้ชายคนเดียวไปไหน
“กูควรไปปรึกษาหมอป่าววะ...ไอ้เหี้ย...” สบถงึมงำกับตัวเอง ให้เสียงทุ้มลอยไปกับสายลมเอื่อยที่กำลังพัดหวิวอยู่รอบกาย สันจมูกโด่งพรูลมหายใจออกมาจากเฮือกใหญ่เพื่อขับความอัดอั้นในอกให้หลุดออกไปด้วยแล้วสอดมือล้วงเข้าไปหยิบฮาโมนิกาสีทองในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาเป่าแก้เซ้ง
เสียงเพลงคลอไปตามลมที่พัดเอื่อยมากระทบแผ่นหลัง คยูฮยอนเลือกดึงดอกไม้ติดมือขึ้นมาหนึ่งดอกและดอกหญ้าอีกหลายสิบดอกเพื่อประกอบมันขึ้นมาเป็นช่อเหมือนที่ตัวเองชอบทำสมัยยังเด็ก จำได้ว่าพ่อของเขาชอบปลูกต้นไม้ เช้ามาจะได้ยินเสียงแผ่นเพลงจากยุค 60’s ดังคลอมาจากชั้นล่างแล้วพอชะโงกหน้าออกไปนอกหน้าต่างก็จะเจอพ่อยืนรดน้ำอยู่
พ่อทำให้เขาอบอุ่นด้วยความรู้สึกแบบนั้น... พี่ซีวอนเองก็ไม่ต่างกัน
ขาเรียวก้าวสวบสาบเพื่อกลับขึ้นไปยังใต้ต้นไม้ต้นใหญ่ เสียงฮาร์โมนิกัยังคงบรรเลงต่อไปเรื่อยๆแม้เงาของคยูฮยอนจะพาดทาบลงไปบนเรือนกายของคนที่นอนอยู่แล้ว ริมฝีปากใส่ลมสลับดูดเข้าเพื่อเล่นเสียงให้มีหลายโทนมากขึ้น จังหวะแบบคันทรี่ที่มีลูกเล่นโทนเสียงหลากหลายทำให้คยูฮยอนที่ยืนฟังต้องย่อตัวลงมานั่งฟังด้วยความตื่นเต้น
พอคยูฮยอนย่อตัวลงมา ดวงตาคมกริบก็ปรือเปิดขึ้นทั้งที่ปากยังคาบเจ้าเครื่องดนตรีชิ้นเล็กเอาไว้อยู่ ซีวอนขยับหัวมาหนุนตักคนที่นั่งยิ้มหน้าบานที่มีช่อดอกไม้อันเล็กถือไว้ในมือ คยูฮยอนเองก็กดใบหน้าหวานเรียวก้มลงมองเจ้าของหัวที่นอนหนุนอยู่บนหน้าตักของเขาแล้วถือวิสาสะเอานิ้วเกลี่ยปอยผมสีน้ำตาลเข้มออกจากหน้าผากมน
“ฮยองเล่นได้กี่เครื่องกันแน่ครับ... เห็นมีอะไรก็เล่นได้หมดเลย” ถามขึ้นมาเมื่อเสียงดนตรีเงียบลงไปแล้วแต่เจ้าของกลุ่มผมยังคงไม่ยอมยกหัวออกไปจากตัก ซีวอนหัวเราะออกมาเพราะนึกขันกับสีหน้าประหลาดใจของคนที่เขานอนหนุนตักอยู่
“เล่นเครื่องพวกออเคสตร้าไม่เป็น ที่เหลือก็พอได้”
“ผมนี่เป่าเป็นแต่ขลุ่ยครับ”
“ฮะๆ.. ไม่ลองหัดดูหล่ะ?”
“หง่ะ ไม่รู้จะเล่นอะไรเลยครับ ดูๆไปมันก็ยากหมดเลย” ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยพยายามทดลองเล่นนั่นเล่นนี่หรอกนะ คยูฮยอนเองก็เคยลองหัดมาบ้างแล้วโดยมีพ่อเป็นคนสอนนี่แหละ แต่พอพ่อเสียไปเขาก็ไม่ได้แตะเครื่องดนตรีเพราะต้องไปยืนอยู่หน้าเตา ช่วยงานที่ร้านอาหารแม่มากกว่าจะมานั่งสุนทรีอยู่กับเครื่องดนตรีเหมือนเมื่อตอนเด็ก
“ลองนี่ดิ... ฮาโมนิก้า ง่ายๆ” เขาหยิบโลหะสีทองเหลืองอร่ามมาเช็ดกับเสื้อ ซับน้ำลายของตัวเองออกไปแล้วยกมันขึ้นไปให้กับเจ้าของตักก้มหน้าส่งสีหน้างงงวยมาทางเขา ซีวอนดีดตัวเองขึ้นมาจากหน้าตักแคบนั้นเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถใหม่ให้เข้ากับการสอนเป่าเครื่องดนตรี 10 รูเสียงหวาน
“ลองได้เหรอครับ?”
“เออ... รูที่หนึ่ง ด้านซ้ายมืออ่ะเสียงต่ำ รูที่สิบเสียงสูง ลองเป่าดูอย่าให้เสียงปนกัน...” คยูฮยอนรับเครื่องดนตรีอันเล็กมาถือไว้ด้วยความรู้สึกกล้าๆกลัวๆ แล้วพอซีวอนบอกให้ลองเป่าเขาก็จ่อริมฝีปากลงไปเป่าเอาลมออกมาเสียหมดจนกลายเป็นเสียงดังสะท้อนไปทั่วทุ่ง
“ฮ่าๆๆๆ! เบาๆดิวะ.. ไม่ต้องใช้ลมหมด ค่อยๆเป่าแบบนี้” สาธิตวิธีการเป่าที่ถูกต้องให้อีกคนลองทำดู คยูฮยอนก็พยายามเลียนแบบกระทั่งสามารถไล่เสียงจากต่ำไปหาสูงได้สำเร็จ ซีวอนเลยสอนวิธีการดูดต่อเพื่อให้เสียงของเครื่องดนตรีแตกพร่า และเด็กที่นานๆครั้งจะได้ลองทำอะไรใหม่ๆก็ดูตื่นเต้นกับคลาสเรียนดนตรีกลางแจ้งเป็นอย่างมาก
ซีวอนนั่งมองคนที่ไล่เสียงให้เขาฟังตามที่สอนไปเมื่อสักครู่ ดวงตาที่ใช้มองตรงมานั้นทำให้คยูฮยอนรู้สึกอบอุ่นอย่างน่าประหลาด มันไม่ใช่ดวงตาแข็งกร้าวที่เขาเคยเห็นเมื่อสมัยแรกๆที่เข้ามาอยู่ แต่คยูฮยอนรู้สึกว่าซีวอนกำลังมองตัวเองด้วยความคิดที่ต่างออกไปจากครั้งแรกซึ่งมันฉายชัดออกมาว่าเป็นมุมมองแง่บวก หาใช่แง่ลบแต่อย่างใด
หลังสอนไล่โน้ตกันแล้ว คยูฮยอนก็ถูกอัดท่อนแรกของเพลงซาวด์คันทรี่แบบง่ายๆเข้าไป มีเสียงหัวเราะหลุดออกมาให้ได้ยินกันบ้างเมื่อเขาเป่าผิดช่อง ขับเสียงไม่ได้เรื่องออกมาจนเพลงเสียหายไปหมด
“ไม่ใช่ อีกรูนึง...”
“แบบนี้เหรอครับ” ลองเป่าให้อีกคนฟังใหม่อีกครั้ง
“เออใช่...” ซีวอนพยักหน้ารับแล้วคอยฟังเสียงทุ้มต่ำที่ไล่มากเรื่อยๆตามที่เขาเพิ่งจะสอนไปเมื่อสักครู่ คยูฮยอนเป่าโน้ตได้ถูกไม่มีเพี้ยนกระทั่งจบท่อน ร่างบางก็จับฮาโมนิก้าออกมาจากริมฝีปากของตัวเองมาเช็ดกับเสื้อที่สวมอยู่
“สนุกอ่ะครับ.. ไว้ฮยองสอนผมอีกนะ...อ่ะ...” แรงสั่นจากโทรศัพท์ละความสนใจของคยูฮยอนออกมาจากบทสนทนาที่ค้างอยู่ ร่างบางวางฮาโมนิก้าสีทองไว้บนหัวเข่าแล้วล้วงหยิบเครื่องมือสื่อสารออกมาจากกระเป๋ากางเกง แต่ทันทีที่เห็นชื่อของผู้ติดต่อปรากฏอยู่บนหน้าจอ เขาก็อ้าปากค้างออกมาทันที
“พี่คิบอม!” นิ้วเรียวสไลด์เปิดกล่องข้อความจากพี่ชายที่ขาดการติดต่อไปนานแสนนาน ดวงตากลมรีบกวาดอ่านข้อความที่ยาวกว่าปกติด้านในโดยไม่ทันเห็นปฏิกิริยาที่เปลี่ยนไปของร่างสูงที่อยู่ตรงหน้า ซีวอนชะงักงันไปและได้แต่มองใบหน้าหวานยามก้มลงอ่านตัวอักษรเหล่านั้นอย่างตั้งใจ
From : พี่ชายแก้มป่อง
คยูฮยอนนา~ พี่ขอโทษที่ไม่ได้ติดต่อกลับไปเลย พอดีมีเรื่องให้หลงทางเล็กน้อย นี่ก็เพิ่งจะเจอกับทงเฮ ตอนนี้พี่กับทงเฮเรากำลังคุยกันอยู่ เหมือนทงเฮจะเริ่มเข้าใจพี่แล้ว เราปิดเทอมแล้วใช่ไหม... เดี๋ยวพี่จะรีบกลับไปนะ น่าจะสักประมาณอาทิตย์หน้าแล้วจะรีบพาเราไปหาแม่เลย ฝากขอบคุณซีวอนด้วยที่คอยดูแลเรา เดี๋ยวยังไงพี่จะติดต่อกลับไปอีกที... มีของฝากเยอะเลย คิคิ
“อ่า... พี่คิบอมเจอพี่ทงเฮแล้วแหละครับ”
“งั้นเหรอ”
“พี่คิบอมฝากขอบคุณฮยองด้วยที่ดูแลผม...”
“อืม”
“เขาจะกลับมาประมาณอาทะ..อื้ออ~” ยังไม่ทันพูดได้จบประโยคซีวอนก็จัดการช้อนปลายคางเรียวขึ้นมาแล้วกดริมฝีปากเบียดลงไปเบาๆ ตอนแรกเขาก็ตั้งใจว่าจะหยุดลงเพียงแค่ให้อีกคนเงียบเสียงลงไปเท่านั้น แต่พอแตะกับกลีบเนื้อนุ่มนี่ทีไรก็เตลิดไปไกลจนต้องเล็มเลียเข้าเสียสักทีสองที
ปลายลิ้นดุนดันกับผิวเนื้อหยุ่นของอีกคน มือที่เมื่อสักครู่ช้อนตวงปลายคางเรียวขึ้นมาเคลื่อนต่ำมารัดอยู่รอบเอวบางแล้วยกร่างผอมขึ้นมาไว้บนหน้าตักของตัวเอง ซีวอนบดริมฝีปากแนบซ้ำลงไปอีกแล้วใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีผละออกมาจูบข้างมุมปากให้อีกคนได้หายใจก่อนจะรุกกลับเข้าไปสอดลิ้นไชหาความอุ่นที่ด้านในโพรงปากหวานฉ่ำ
ดวงตากลมโตปิดลงเมื่อปลายลิ้นของเขาเกี่ยวเข้ากับเนื้อชื้นด้านใน ฉกพันไม่ยอมหยุดเหมือนงูที่พยายามรัดรึงเหยื่อของตัวเอง แขนกำยำกกกอด รั้งร่างผอมให้เขามาแนบชิดจนไม่มีลมใดอณูใดสามารถลอดผ่านช่วงอกที่ทาบทับกันอยู่ไปได้เลย คยูฮยอนซึ่งอยู่สูงกว่าใช้อุ้งมือเล็กๆของตัวเองประคองแนวกรามเรียวให้ยกขึ้นมาเหมือนอย่างที่ซีวอนชอบทำ
“ผม...” หลังถูกปิดท้ายด้วยการกดจูบที่มุมปาก คยูฮยอนก็ปรือดวงตาขึ้นเพราะรู้ดีว่ามันจบลงแล้ว เขาปริปากเหมือนจะพูดคำบางคำออกมาแต่สุดท้ายก็เม้มมันกลับลงคอไปแล้วเบนใบหน้าหันเอนไปทางอื่นเพราะอีกคนกลับรั้งเขาเข้าไปกอดเสียใกล้ ยิ่งไปกว่านั้นซีวอนยังกดหน้าแนบลงมากับแผ่นอกของเขาอีกด้วย
คือหัวใจเขาเต้นแรงมากไง... เขินจะไม่ทน T///T
“หืม...” เกลี่ยนิ้ววนไปบนแผ่นหลังแคบที่ตัวเองกอดแนบเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ซีวอนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองดวงตากลมโตนั้น เขาไม่เอื้อมมือไปหันใบหน้าหวานเรียวให้ก้มกดลงมาแต่เลือกที่จะแนบข้างแก้มของตัวเองลงไปแล้วตะแคงใบหน้ามองทุ่งหญ้าสีทองตรงหน้ากับท้องฟ้าที่เริ่มมืดลง
ชเวซีวอนผู้ไม่เคยกลัวอะไร... กำลังรู้สึกหวาดกลัว
ถ้าวันหนึ่ง โจวคยูฮยอนหายไปหล่ะ วันที่ตื่นมาแล้วไม่เจอไอ้เด็กหน้าซื่อ
วันนั้น.... ชเวซีวอนจะต้องทำยังไงกับหัวใจที่เริ่มปรากฏความรู้สึกมากมายเหล่านี้
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
รู้สึกไหม.... พี่ซีวอนรู้หัวใจตัวเองแล้วแต่ปากแข็งไม่กล้าพูดเท่านั้นเอง พี่คิบอมนี่ก็นะ คิดจะมาก็มาคิดจะไปก็ไป.... มันน่า............................. ฮึ่มมมมมมมมมมมมมมมมม !
ความคิดเห็น