ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { wonkyu } Every Night Stand

    ลำดับตอนที่ #14 : CHAPTER XIII.

    • อัปเดตล่าสุด 24 พ.ค. 56


    CHAPTER XIII
    ความอึดอัดที่ไม่เคยหายไป [2]

     

                เขามีแผลเป็นที่ใต้ต้นคอ และมันเป็นเหตุผลที่ต้องสักทับลงไปเพื่อลบรอยน่าเกลียดอันนั้นทิ้งออกไปเสีย คำคมสั้นๆที่เขาไม่คิดว่ามันคมบาดจิตเท่าใดนักเป็นเพียงรสนิยมหนึ่งของเขาที่อยากเอามากลบรอยช้ำจากอดีตเท่านั้น ไม่ได้ต้องการดูเท่ห์อะไรด้วยการหาหมึกมาเทบนหลัง เพียงแค่ต้องการปิดปมในอดีตที่ทำให้หัวใจเจ็บไม่เลิกราก็เท่านั้น

     

                “ฮยองครับ หมะ...หมอ..หมอมาแล้ว...” เสียงสั่นของคยูฮยอนปลุกสติของเขาที่มีน้อยริบหรี่เต็มทนขึ้นมาจากตมความคิดในสมอง เขาตวัดสายตามองแพทย์ผู้ใหญ่ที่เคยคุ้นกันดีก่อนจะลุกขึ้นโค้งตามมารยาท

     

                “สวัสดีครับ...”

     

                “สวัสดีครับ... คนไข้ไม่ได้มีอะไรผิดปกติมากครับ แค่อาการเครียดลงกระเพาะ แต่มีอาการของไข้หวัดด้วยแล้วก็มีไมเกรนนะครับ หมอแนะนำให้ฉีดยาเพื่อให้ไมเกรนลงก่อน”

     

                “อ่อ”

     

                “เดี๋ยวพยาบาลจะพาไปห้องฉีดยา ยังไงคุณเข้าไปกับแม่ด้วยก็ได้”

     

                “ครับ ขอบคุณมาก” เขาคลี่ยิ้มจางๆให้หมอทั้งที่ใบหน้าของตัวเองไม่ได้พร้อมจะยิ้มสักเท่าไหร่ นายแพทย์วัยไล่เลี่ยกับแม่ของเขาขอตัวเข้าไปให้องเพื่อทำงานของตัวเองต่อ ภายในพื้นที่โล่งกว้างของูโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังจึงเหลือเพียงเขากับไอ้เด็กฮยอนและแม่ที่นั่งอยู่บนรถเข็นของทางโรงพยาบาลกับบุรุษพยาบาลคนหนึ่ง

               

                บรรยากาศอึดอัดเชี่ย!

     

                “ต้องไปชั้นไหน?”

     

                “ชั้น 11 ครับ...” บุรุษพยาบาลคนในให้คำตอบตามหน้าที่ของตัวเองแล้วเข็นรถนำไปยังลิฟท์ตรงมุมทางเดิน เขาคว้าข้อมือของคยูฮยอนมากุมเอาไว้เพื่อลากให้เดินตามมาแต่เด็กนั่นกลับสอดมือประสานเข้ากับร่องนิ้วทั้งหมดแทน

     

                “ใจเย็นนะครับ...”

     

                “กูใจเย็นได้มากกว่าที่มึงคิดอยู่แล้วหล่ะ” จัดการเขกหัวไอ้เด็กที่ทำหน้าเครียดจัดเหมือนกับตัวเองเป็นผู้ป่วย คยูฮยอนเบ้หน้าหลังได้กินมะเหงกก้นโตลงไปกลางหน้าผากแต่พอเห็นร่างสูงยักคิ้วกลับมา ริมฝีปากบางก็ส่งเสียงหัวเราะคิกคักด้วยความพึงใจ

     

                ซีวอนเดินตามมาจนถึงหน้าห้องยาที่มีพยาบาลอีกสองสามคนกำลังวิ่งวุ่นกันอยู่เต็มไปหมด บุรุษพยาบาลคนเดินละออกจากรถเข็นทิ้งเพื่อไปติดต่อเอกสารและจัดการเรื่องยาทั้งหมด ทิ้งให้พื้นที่เบื้องหลังมีเพียงความเงียบของสามชีวิตที่ต่างอยู่แต่ในโลกของตัวเอง

     

                “เป็นไมเกรน?”

     

                “อืม”

     

                “ไม่เห็นเคยบอก”

     

                “แกก็ไม่ได้บอกฉันว่าเด็กคนนั้นเป็นใคร” นารึมพยักเพยิดไปทางคยูฮยอนที่ยืนพิงเสาอยู่ด้านข้างลูกชายตัวสูงซึ่งมันก็ทำให้เด็กขี้ตื่นขี้กลัวอย่างคยูฮยอนสะดุ้งผละออกมาจากเสาทันทีเมื่อเจอดวงตาคมโฉบคู่นั้นจ้องเข้าให้

     

                “อ่ะ..คือ...ผม...”

     

                “น้องชายไอ้คิบอม”

     

                “อ่อ... ไอ้คิบอม...” เธอยิ้มออกมาทันทีเมื่อได้ยินชื่อคุ้นหู ภาพใบหน้าของคิมคิบอมลอยหวืดเข้ามาในหัวได้อย่างไม่ยากเย็น... แน่นอน เธอไม่มีวันลืมเด็กผู้ชายผิวเข้มคนนั้นที่หาญกล้ามายืนเถียงเธอปาวๆถึงในตัวบ้านได้หรอก

     

                “มันเอามาฝากให้ดู”

     

                “แล้วมันไปไหนซะหล่ะ”

     

                “เมกา... ไปตามเมียมัน”

     

                “หึ... ชื่ออะไร?” เธอหันไปถามเด็กคนนั้นที่ยังคงตื่นตระหนกไม่หายแม้กระทั่งตอนที่โดนยิงคำถามเข้าใส่ด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบของเธอ เจ้าเด็กตัวผอมคนนั้นก็สะดุ้งเสียจนตัวโยนแล้วรีบโค้งตัวยกใหญ่

     

                “จะ...โจว....โจวคยูฮยอนครับ...”

     

                “...” หญิงวัยกลางคนหลุดขำออกมาให้กับท่าทางน่ารักน่าชังนั่น เจ้าของชื่อคยูฮยอนดึงตัวเองให้กลับขึ้นมายืนตรงแล้วแต่ก็ยังไม่วายก้มหน้าก้มตาไม่ยอมสบมองใบหน้าของเธออยู่ดี แต่มันก็ทำให้เธอรู้สึกเอ็นดูเด็กคนนั้นขึ้นมาอย่างน่าประหลาดแม้กลิ่นอายบางอย่างจะบอกเธอว่าระหว่างลูกชายตัวสูงของเธอกับเด็กตัวผอมคนนั้นอาจมีอะไรไม่ชอบมาพากล

     

                แต่ก็ช่างเถอะ... เวลาสองปีที่ซีวอนออกจากบ้านไปมันก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเธอคงบังคับอะไรลูกชายของตัวเองได้สักเรื่อง

     

                “คุณนารึมเชิญด้านในค่ะ” ตั้งใจจะถามคยูฮยอนต่ออีกสักสองสามอย่างแต่เสียงพยาบาลก็ทำให้เธอต้องปิดริมฝีปากลง บุรุษพยาบาลเดินอ้อมมาเข็นรถเข้าไปด้านในห้องเพื่อทำการฉีดยาระงับอาการปวดหัวของเธอที่บางทีก็ปวดมากจนชาไปทั้งตัว

     

                ใบหน้าเรียวของเธอหันกลับมาด้านหลังเล็กน้อยเพื่อผินมองลูกชายซึ่งอยู่ห่างออกไป ซีวอนยกมือขึ้นขยี้ผมของคยูฮยอนแล้วคลี่รอยยิ้มแบบที่เธอไม่เคยได้รับออกมาก่อนจะผลักเด็กที่ชื่อคยูฮยอนให้นั่งลงบนโซฟาทั้งที่ยังจับมือกัน

     

                เซนส์ของแม่มันไม่พลาดหรอก

                ลูกชายของเขากำลังเปลี่ยนไป... เปลี่ยนไปมากเสียด้วยเวลาอยู่กับโจวคยูฮยอนคนนั้น

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

                “แค่ก...แค่กๆ!” เสียงไอกระท่อนกระแท่นสะกิดคนที่จมอยู่กับหนังสือมาได้สักพักให้เงยหน้าขึ้นมาและทันทีที่เห็นว่าผู้ป่วยบนเตียงขยับกายลุกขึ้นมา คยูฮยอนก็รีบคว้าแก้วน้ำติดมือขึ้นมาแล้วเข้าไปประคองเธอทันที

     

                “ดะ..ดื่มน้ำก่อนนะครับ” จ่อหลอดสีขาวเข้าที่ริมฝีปากแห้งผาดของอีกคนที่อาจเป็นเพราะฤทธิ์ยา นารึมเหลือบตามองเด็กชายที่ส่งแก้วมาก่อนจะรับแก้วน้ำมาถือเอาไว้แล้วดูของเหลวสีใสลงไปเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับลำคอของตัวเอง

     

                “ขอบใจ...”

     

                “ครับ... เอ่อ... คุณน้าโอเคนะครับ?”

     

                “อืม” หญิงวัยกลางครางรับเบาๆในขณะที่เอนตัวกลับลงไปนอนราบบนเตียงผู้ป่วย ฤทธิ์ยาทำให้เธอมึงงงและเหมือนว่าจะหลับไปนานเสียด้วยเพราะนาฬิกาชี้บอกเวลา 10 โมงเรียบร้อยแล้ว นารึมกวาดสายตามองไปรอบห้องเพื่อมองหาลูกชายของตัวเองทันที

     

                “เอ่อ..พี่ซีวอนไปส่งงานที่มหาวิทยาลัยครับ เดี๋ยวคงเข้ามา”

     

                “งั้นเหรอ...”

     

                “ครับ... เอ่อ คุณน้าหิวไหมครับ ผมมีผลไม้มาสองสามอย่าง” คยูฮยอนหันหน้าไปมองถุงกระดาษที่บรรจุเชอรี่กับสตรอเบอรี่เอาไว้ด้านในซึ่งเขาเพิ่งจะลงไปซื้อมาจากซุปเปอร์มาเก็ตด้านล่างหลังจากถามซีวอนแล้วว่าคุณน้าชอบทานอะไร

     

                “ไม่เป็นไร...”

     

                “อ่า...ครับ...” คยูฮยอนนิ่งไปด้วยไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไร เพราะเห็นว่าซีวอนมีงานมากมายต้องสะสางเขาที่ปิดเทอมแล้วจึงอาสามาเฝ้าคุณน้าให้แทนแม้ซีวอนจะบอกว่าแม่บ้านจะมาดูเอง แต่คยูฮยอนก็สัมผัสได้ว่าชเวซีวอนคงไม่อยากจะให้ แม่บ้าน มาเฝ้าอย่างที่ปากว่าสักเท่าไหร่

     

                “ไม่มีเรียนหรือไง?”

     

                “อ่อ ผมปิดเทอมแล้วครับ...”

     

                “เรียนชั้นไหนแล้ว?”

     

                “ม.5ครับ เรียนที่มัธยมคยองฮี”

     

                “อ่อ... แล้วเรียนเป็นยังไงบ้าง?”

     

    “ก็...ดีครับ สนุกดีครับแต่งานเยอะ... แล้วก็ต้องเตรียมตัวสอบด้วยครับ” คนถูกถามตอบกลับไปด้วยท่าทางไม่ขึงเกร็งเพราะเริ่มเห็นว่าคุณน้ามีรอยยิ้มติดประดับอยู่บนใบหน้าบ้างแล้ว

     

    นารึมยิงคำถามมากมายใส่คยูฮยอนไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคิบอมที่เธอไม่ได้เจอหน้ามานานหลายปีจนเริ่มจะนึกรายละเอียดบนใบหน้านั้นไม่ค่อยได้ เรื่องการเรียนของคยูฮยอนที่เธอรู้สึกเป็นห่วงเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าคยูฮยอนไม่ได้อยู่กับพ่อและแม่ของตัวเอง รวมไปทั้งพฤติกรรมของลูกชายที่เธอไม่เคยรับรู้อย่างละเอียดเลยสักครั้งตั้งแต่ซีวอนเดินออกไปจากบ้าน

     

    อาจเป็นด้วยเวลาสองปีทำให้เธอได้คิดเรื่องของลูกชายมากขึ้น ขบคิด ทบทวนเรื่องราวในอดีตอันเป็นผลทำให้บ้านหลังใหญ่โตเหลือเพียงแค่เธอกับแม่บ้านสองสามชีวิต... ผู้หญิงแก่ๆคนหนึ่ง มีชีวิตอย่างโดดเดี่ยวในคฤหาสน์หลังใหญ่ เงินทอง ทรัพย์สินมีมั่งคั่งพร้อมใช้พร้อมจ่ายแต่กลับไม่มีปัญญาทำให้ตัวเองยิ้มได้... มันน่าแคลงใจดีจริงๆ

     

    “งั้นเหรอ... แปลว่าช่วงนี้ซีวอนก็ใกล้สอบแล้วใช่ไหม?”

     

    “ครับ สอบด้วยแล้วก็มีรายงานต้องส่งด้วยครับ”

     

    “ยุ่งน่าดู” เธอพึมพำแล้วเหลือบสายตาไปมองเด็กชายที่ยังถือหนังสือเอาไว้ในมือ คยูฮยอนฉีกยิ้มกว้างพยักหน้าให้กับคำพูดของเธอทันที

     

    “ครับ... ยุ่งมาเลย”

     

    “ขออนุญาตค่ะ... อาหารกลางวัน” บทสนทนาถูกขัดด้วยรถเข็นอาหารของพยาบาลที่ค่อยๆแทรกบานประตูเข้ามา คยูฮยอนกุลีกุจอลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ด้วยความเกรงอกเกรงใจว่าตัวเองจะเกะกะทางหรือเปล่า ร่างบางเดินหลบไปที่ปลายเตียงเพื่อให้พยาบาลสามารถทำงานได้สะดวกขึ้น

     

                “ทานยาหลังอาหารด้วยนะคะ”

     

                “ครับ...” เขาส่งยิ้มให้กับพยาบาลคนนั้นที่หันมากำชับเรื่องยาอีกครั้งก่อนออกจากห้อง ร่างบางรีบเดินกลับไปข้างเตียงทันทีเพื่อประคองแม่ของซีวอนขึ้นมานั่งแล้วเตรียมจะป้อนข้าว

     

                “อ่า ขอบใจมาก... หิวหรือยังหล่ะเรา ไม่ลงไปหาอะไรทานเหรอ?”

     

                “ผมทำกับข้าวมาครับ แต่เดี๋ยวรอพี่ซีวอนมาก่อนก็ได้ คุณน้าทานก่อนเลยครับ”

     

                “ฮะๆ... หญิงสาวยิ้มขำเมื่อได้ยินคำตอบของคยูฮยอน “ทำไมต้องรอซีวอนหล่ะ?” เธอเอ่ยถามออกมาตรงๆตามความสงสัยของตัวเอง แม้ว่าก่อนหน้านี้คยูฮยอนจะยืนยันแล้วว่าตัวเองเป็นเยงผู้ที่เข้ามาอยู่อาศัยด้วยชั่วคราวเท่านั้นแต่นารึมก็ยังรู้สึกอยู่ดีว่าเด็กคนนี้เป็นคนพิเศษ

     

                ไม่มีเหตุผลที่ซีวอนจะต้องยิ้มอ่อนโยนขนาดนั้นให้กับผู้อยู่อาศัยของตัวเองหรอก

     

                “เอ่อ....” คยูฮยอนผงะ กลอกดวงตากลมไปในอากาศเพื่อหลบเลี่ยงสายตาหยีเล็กๆของคุณชเวนารึมที่จ้องมองมา เขาอ้ำอึ้งกับการตอบคำถามที่ตัวเองไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าคำตอบของมันคืออะไร

     

                “...หืม...” นารึมหยอกเจ้าเด็กน้อยคนนั้นอีกครั้งด้วยการทำเสียงสูงคล้ายเร่งเร้าให้อีกคนบอกคำตอบเธอมาโดยเร็วและมันก็ยิ่งทำให้ใบหน้าของคยูฮยอนวุ่นวายหนักเข้าไปใหญ่เพราะเจ้าตัวไม่เจอคำตอบของคำถามนั้นเสียที

     

                “ผม...คือ...ผม...”

     

                “...”

     

                “ผม...ไม่ค่อยอยากเห็น...เอ่อ...พี่ซีวอนทานข้าวคนเดียวหน่ะครับ...” ใบหน้าหวานของเด็กขี้อายก้มต่ำลงตอนที่ปริปากบอกคำตอบออกมา นารึมนึกเอ็นดูคยูฮยอนหนักมากขึ้นเพราะเธอรู้สึกว่าเด็กคนนี้มีอะไรมากมายเหลือเกินจริงๆ โจวคยูฮยอนเป็นเหมือนดวงไฟเล็กๆที่ให้ความอบอุ่นและมันแน่นอนอยู่แล้วที่คนเป็นแม่อย่างเธออยากให้ลูกชายได้รับความอบอุ่นที่อุ่นได้มากขนาดนี้หน่ะ

     

                “ทำไมหล่ะ?”

     

                “ก็...ผมกลัวพี่เขาจะ...เหงา...” คำตอบนั้นทำให้เธอนึกยิ้มออกมาจากทั้งริมฝีปากและดวงตา อกของเธอล้นไปด้วยความรู้สึกผสมปนเป เธอดีใจที่ซีวอนได้เจอกับคนแบบคยูฮยอน เด็กที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและอ่อนโยน แต่ในขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกเสียใจกับความเป็นแม่แย่ๆของตัวเอง

     

                เธอไม่เคยคิดว่าลูกชายตัวใหญ่จะเหงาเป็นกับคนอื่นเขา

                บางทีเธอก็ลืมไป ว่าชเวซีวอนไม่ใช่คนแข็งแรงนักอย่างที่พยายามจะเป็น

     

                “อ่า...”

     

    ครืด....

     

                ประตูห้องพักผู้ป่วยเปิดออกอย่างเชื่องช้าด้วยฝีมือของนักศึกษาตัวสูงที่อยู่ในชุดเสื้อผ้าเรียบร้อยเป็นพิเศษ ซีวอนจัดการผลักประตูปิดแล้วลากเท้าของตัวเองเข้ามาในห้องพักที่มีแต่กลิ่นเหม็นของแอลกอฮอลล์ เขาย่นจมูกอย่างไม่คุ้นชินในขณะที่ตัวเองก็ขยับเข้าไปใกล้เตียงมากขึ้น

     

                “ดีขึ้นบ้างไหม?” เขาถามนบนเตียงที่กำลังตักน้ำซุปเข้าปาก นารึมเงยหน้าขึ้นมองลูกชายที่พูดจากับเธอด้วยน้ำเสียงแข็งเหมือนอย่างเคยก่อนจะเทน้ำซุปในช้อนกลับลงไปในถ้วย... ถ้ามันยังทันเธอก็ยังอยากสละเวลาในการกินข้าวหรือทำงานตัวเองเพื่อต่อบทสนทนากับซีวอนบ้าง

     

                “ดีแล้ว... กลับบ้านได้เมื่อไหร่?”

     

                “หมอบอกเย็นนี้ แต่ต้องรอตรวจก่อน หมอจะเข้ามาตอนบ่ายสาม...” เขาเหลือบมองนาฬิกาที่ผนังห้องหลังตอบคำถามเสร็จแล้วก้มหน้าลงมองเด็กฮยอนที่นั่งตากลมอยู่ข้าง “กินข้าวยัง?”

     

                “ยังเลยครับ”

     

                “ทำไมไม่กิน?” เสียงทุ้มตวัดเหวี่ยงขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำตอบอันไม่น่าพึงใจ

     

                “รอกินพร้อมฮยองครับ... ผมทำกับข้าวมาเผื่อด้วยนะ” คยูฮยอนรับรู้ได้ว่าอีกคนต้องกำลังโกรธแน่เขาจึงรีบลุกขึ้นไปที่ถุงอาหารตรงหัวเตียงเพื่อหยิบกล่องข้าวในนั้นขึ้นมายกให้พี่ชายตัวสูงดูซึ่งมันก็ทำให้ชเวซีวอนยอมคลายปมคิ้วออกจริงๆนั่นแหละ

     

                “แล้วไป...”

     

                “ฮยองยังไม่ได้ทานอะไรมาใช่ไหมครับ?”

     

                “เออ”

     

                “งั้นผมให้ฮยองเลือก ข้าวผัดกิมจิหรือพุลโกกิ” คยูฮยอนยกกล่องข้าวขึ้นมาเปิดให้ดูด้วยท่าทางน่ารักจนซีวอนอยากจะหัวเราะออกมาถ้าไม่ติดว่าแม่ของเขากำลังมองมาทางนั้นและการแสดงออกเช่นนั้นก็ช่างขัดกับการเป็นชเวซีวอนเหลือเกิน เขาจึงต้องกดรอยยิ้มของตัวเองลงไปแล้วแสร้งตีหน้าขรึมไว้

     

                ฟอร์มหน่ะ...ฟอร์ม เข้าใจไหม...

     

                “มึงเลือกสิ”

     

                “หง่ะ...ผมทำมาให้ฮยองกิน ผมให้ฮยองเลือก”

     

                “เหอะ... ข้าวผัดกิมจิ”

     

                “โอเคครับ” คยูฮยอนฉีกยิ้มแล้วส่งกล่องข้าวไปให้ซีวอนก่อนลุกขึ้นเดินไปพร้อมกับพุลโกกิที่เหลือเพื่อหลีกทางให้ลูกชายของบ้านตระกูลชเวได้เป็นคนนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงผู้ป่วยแทนตัวเอง

     

                ใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องซีวอนกับแม่ของตัวเอง จำได้ดีจากที่พี่คริสเล่าเรื่องแม่ของพี่ซีวอนให้ฟังรวมทั้งท่าทางหมางเมินที่เขาเพิ่งจะได้มาสัมผัสไปสดๆร้อนๆ ทั้งหมดทั้งมวลนั่นบอกได้อยู่แล้วว่าระห่างระหว่างพี่ซีวอนกับแม่นั้นมีมากเหลือเกินแต่พอเขาได้นั่งพูดคุยสนทนากับคุณชเวนารึมไปเมื่อช่วงเช้า เขาก็เห็นอีกมุมหนึ่งจากหัวอกคนเป็นแม่ที่ยังไงก็ยังห่วงลูกชายของตัวเองอยู่ดี

     

                ซีวอนปรายดวงตาลงมองเด็กที่ขยับไปนั่งโซฟาด้วยนึกเคืองสักนิด ยิ่งพอเห็นไอ้ฮยอนทำหน้าบุ้ยใบ้ให้เขานั่งลงก็ยิ่งรู้สึกหมั่นไส้หน้าแมวๆของมันจนอยากจะเข้าไปฟัดเสียสักที

     

                เหอะ... เดี๋ยวนี้ชักจะร้ายกับเขานักนะ!

     

                ซีวอนแกะกล่องข้าวออกแล้วใช้ช้อนที่เหน็บอยู่ด้านในตักข้าวผัดขึ้นมากิน ดวงตาคมเสยมองแม่ของตัวเองที่ยังคงใจเย็นกับการละเลียดอาหารกลางวันของทางโรงพยาบาลซึ่งไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าน่ากินเลยสักนิด บางทีข้าวผัดในมือเขาน่าจะรสชาติดีกว่าก็ได้ ไอ้เด็กฮยอนทำอาหารอร่อยจะตายไป

     

                “กินข้าวผัดป่ะ?”

     

                “???” คนบนเตียงผู้ป่วยละใบหน้าออกมามองเจ้าของคำถามที่ช้อนดวงตาขึ้นมองเธอกลับมา

     

                “กับข้าวโรงพยาบาลมันน่ากินตรงไหน... อ่ะ” เขาไม่รอให้อีกคนร้องขอหรือเอ่ยขัด จัดการตักข้าวผัดในกล่องใส่ลงไปแทนที่ข้าวในจานของโรงพยาบาลที่ดูไม่ค่อยน่ารับประทานสักเท่าไหร่ นารึมเงยขึ้นมองเสี้ยวใบหน้าคมคายของลูกชายที่ไม่เคยปรากฏความรู้สึกใดๆออกมาให้เห็นหรือเธออ่านไม่ออกก็ไม่รู้

     

                เธอตักข้าวในจานนั้นเข้าปากทั้งที่ดวงตายังจรดมองร่างสูงโปร่งของลูกชายที่ชักตัวกลับลงไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ อยากจะส่งยิ้มไปให้แต่ก็รู้ดีว่าอีกคนคงไม่ใส่ใจจะมองมันสักเท่าไหร่จึงเลือกก้มหน้าลงตักอาหารไปตามประสาโดยหารู้ไม่ว่าการกระทำเหล่านั้นมันอยู่ในสายตาของชเวซีวอนทั้งหมด

     

                แข็งกร้าวเหมือนแม่ และเอาแต่ใจเหมือนพ่อ...

                ก็นั่นแหละนะ... ยังไงซะเขาก็ยังคงเป็น ชเวซีวอน ที่หลุดมาจากท้องชเวนารึมอยู่ดีนั่นแหละ

     

                มื้ออาหารจบลงเมื่อพยาบาลคนเดินเดินเข้ามาเข็นรถที่มีแต่ชามเปล่าออกไป ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบเพียงครู่หนึ่งเท่านั้นก่อนที่คยูฮยอนจะลุกขึ้นมาเก็บกล่องเปล่าแล้วเอาเข้าไปล้างทำความสะอาดในห้องน้ำ ปล่อยให้สองแม่ลูกได้อยู่กันตามลำพังโดยไม่มีคนนอกเข้ามารบกวน

     

                นารึมมองลูกชายของเธอชะเง้อคอมองตามคยูฮยอนเข้าไปในห้องน้ำ เธอหลุดรอยยิ้มออกมาตรงมุมปากเพราะท่าทางของซีวอนที่ไม่ค่อยปรากฎให้เห็นบ่อยชัดนัก

     

                “ปากก็อย่าให้มันหนักมาก” เสียงพร่าเปรยขึ้นมาฉุดให้ร่างสูงตวัดดวงหน้าคมคายกลับมามองต้นตอของเสียงซึ่งทิ้งตัวลงราบกับผืนเตียงไปแล้ว คิ้วเข้มเลิกขึ้นด้วยความไม่เข้าใจกับสิ่งที่ผู้เป็นแม่เปรยออกมาเช่นนั้น

     

                “...”

     

                “น้องชายคิบอมแล้วก็แฟนแกใช่ไหมหล่ะ”

     

                “เลอะเทอะ” เขาสบถออกมาทันทีโดยไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ แฟนงั้นเหรอ? อะไรที่ทำให้แม่รู้สึกว่าไอ้งั่งฮยอนเป็นแฟนเขาวะ... ไม่มีทางซะหรอก

     

                “หึ...”

     

                “...”

     

                “คยูฮยอนไม่ใช่คนประเภทง้างปากใครได้หรอกนะ” เธอเปิดเปลือกตาที่ปิดลงไปแล้วขึ้นมาก่อนจะตะแคงใบหน้าสวยไม่สร่างอันสมกับเป็นคุณนายชเวหันมองมองลูกชายผู้ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่กันคนละโลก “มีแต่แกต้องง้างปากตัวเอง”

     

                “ไมเกรนแดกหัวแม่พรุนหมดแล้วหรือไง”

     

                “ฉันรู้อะไรมากกว่าที่แกรู้เยอะ ซีวอน... ฉันเลี้ยงแกมากับมือ”

     

                “...”

     

                “ทำไมฉันจะไม่รู้จักแกหล่ะ...”

     

                “เหอะ แม่ไม่เคยรู้จักผมหรอก”

     

                “...”

     

                “...” ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงัดชั่วคราว ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาต่อจากนั้น นารึมเพียงแค่จ้องสบมองเข้าไปในดวงตาของลูกชายที่สะท้อนภาพเธออยู่ในก้อนลูกปัดในขณะที่ซีวอนเองก็ไม่ยอมละสายตาออกมาจากใบหน้าของแม่ตัวเองเช่นกัน

     

                “บางทีฉันก็คิดถึงแก... แต่ฉันก็คิดว่ามันคงเปล่าประโยชน์”

     

                “...”

     

                “เพราะคิดถึงแค่ไหนแกก็จะไม่กลับมาอยู่ดี”

     

                “...”

     

                “แกมีความฝัน... ฉันเองก็เคยมี ผิดหรือไง... ที่ฉันอยากให้แกมีความมั่นคงก่อนแล้วค่อยไปหาความฝันหน่ะ” พรูลมหายใจออกมาจากปลายจมูกของตัวเองที่รู้สึกว่ามันคัดแน่นไปหมดด้วยก้อนความรู้สึกมากมาย ดวงตาคมจรดจ้องมองใบหน้าของลูกชายที่ยังคงสบมองเธอไม่ขยับไปไหนและไม่สนใจแม้ว่าจะมีเสียงเปิดประตูห้องน้ำออกมาแล้วก็ตาม

     

                “แล้วมันผิดหรือไงที่ผมอยากให้ความฝันกับความมั่นคงเป็นเรื่องเดียวกัน”

     

                “...”

     

                “ก็ปล่อยให้ผมทำอะไรเองบ้างสิ แม่บังคับผมมาตลอดแล้วนี่!” เขาขึ้นเสียงใส่คนที่ชอบทำให้เขาต้องเสียใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้จบอยู่เรื่อย ทำไมถึงชอบตัดพ้อนักวะ! ก็ถ้าเขาไม่นึกสนใจความรู้สึกแม่เขาคงไม่ต้องมาเสียใจขนาดนี้หรอก จะไม่เสียใจเลยสักนิด จะไม่กลับมาด้วยซ้ำต่อให้มีคนโทรไปบอกว่าแม่ป่วยหน่ะ

     

                นี่เพราะแคร์มากต่างหากเลยปวดใจได้มากขนาดนี้ยังไงหล่ะ!

     

                “เฮ้อ.. ฉันเป็นห่วงแกมากมันผิดอะไรนักหรือไง” นารึมผ่อนน้ำเสียงของเธอลงเมื่อเห็นว่าลูกชายตัวสูงเริ่มแสดงท่าทางโกรธขึงออกมาให้ได้ยิน กระนั้นมันก็ยังไม่สามารถช่วยให้ซีวอนเย็นลงได้มากกว่าที่เป็นอยู่ เขาอ้าปากเพื่อเตรียมจะโต้ตอบกลับไปแต่เสียงผลักประตูห้องน้ำที่ตามต่อมาด้วยเสียงฝีเท้าของคยูฮยอนก็ทำให้เขาตัดสินใจกลืนทุกเสียงลงลำคอไปเหมือนเดิม

     

                “อ่ะ..เอ่อ...” คยูฮยอนค่อนข้างอ้ำอึ้งกับบรรยากาศตรงหน้าที่เปลี่ยนสีผกผันสลับขั้วอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาไม่กี่นาที ซีวอนหันหลับกลับมาปรายตามองเขาอย่างไม่นึกสบอารมณ์ก่อนจะกระแทกเท้าปึงปัง ฟาดบานประตูห้องปิดลงดังปังใหญ่จนเขาอกสั่นไปหมดด้วยกลัวว่ามันจะหลุดติดมืออีกคนไปด้วย

     

                “ช่างเถอะ... ปล่อยเขาไปนั่นแหละ”

     

                “ตะ..แต่...”

     

                “เดี๋ยวมันก็หายบ้า... คยูก็รู้ดีไม่ใช่รึไง....” หญิงวัยปลายสามสิบทอดแววตาอ่อนโยนมาทางเขาที่ยังคงยืนนิ่งข้างอยู่ที่เดิม เธอเติมเสียงหัวเราะติดมาตรงท้ายก่อนจะขยับตัวเพื่อรั้งผ้าห่มขึ้นมา ส่วนเขาก็ได้แต่เก็บกล่องอาหารกลับลงถุงผ้าไปแล้วพยายามทำใจเย็นเดินไปนั่งที่ข้างเตียงเหมือนเดิม อย่างไรก็ตามความคิดของคยูฮยอนก็ยังควงเต็มไปด้วยใบหน้าของพี่ชายเจ้าอารมณ์ที่กระแทกเท้าออกไปจากห้องอยู่ดี

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

                คยูฮยอนผลักบานประตูห้องออกมาด้วยเสียงที่เบาที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้เพื่อไม่ให้รบกวนคนป่วยซึ่งหลับไปสักพักแล้วหลังจากทานยาแล้วนั่งคุยกับเขาอยู่สองสามเรื่อง

               

                หลังจากที่หมอเข้ามาตรวจเช็คอาการของนารึมอีกครั้งในช่วงบ่าย ผลที่ออกมาคือเธอสามารถกลับบ้านได้และจำเป็นต้องพักผ่อนให้เพียงพอ เขาโทรตามซีวอนให้ขึ้นมาให้พาแม่ตัวเองไปขึ้นรถแล้วเคลียร์เรื่องค่ารักษา ร่างสูงที่มีกลิ่นบุหรี่ติดตัวหึ่งไปหมดเดินเหวี่ยงกระแทกเท้าทำตามขั้นตอนของโรงพยาบาลทั้งหมดก่อนจะพาเขาและคุณนารึมขึ้นรถที่มีแต่ความอึดอัดจนคยูฮยอนไม่แน่ใจว่าตัวเองควรจะแวะซื้อออกซิเจนมาครอบจมูกดีหรือเปล่าเพราะเขารู้สึกเหมือนตัวเองไม่ได้หายใจเข้าปอดเลยสักอึก

     

                กระทั่งมาถึงบ้านซีวอนก็ขับรถเข้าไปจอด สั่งให้แม่บ้านมาพาคุณนารึมขึ้นไปส่วนตัวเองก็เดินหายไปไหนไม่รู้ เขาที่เคว้งคว้างเหมือนลอยอยู่ในอวกาศเลยเดินตามคุณนารึมขึ้นไปป้อนข้าวป้อนยารอจนกว่าเธอจะหลับไปแล้วค่อยระเห็จตัวเองออกมานอกห้องเพื่อตามหาเจ้าของบ้านว่าจะเอายังไงต่อ

     

                คยูฮยอนย่องไปตามทางเดินของบ้านที่บุพื้นเอาไว้ด้วยพรมสีน้ำตาลกลัดแดงอย่างหรูหรา ที่นี่ไม่ได้มีห้องมากมาย ทำให้พื้นที่ว่างตามผนังจะถูกตกแต่งด้วยชั้นหนังสือซึ่งก็พอจะเดาได้ไม่ยากว่าเจ้าของบ้านคงจะหลงใหลการอ่านหนังสืออย่างมากเป็นแน่

     

                ดวงตากลมสอดมองเครื่องแต่งบ้านหลากสไตล์ที่สามารถเข้ากันได้ดีเมื่อถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบพร้อมกับตามหาเจ้าบ้านอีกคนซึ่งไม่รู้ว่าป่านนี้ไปหลบไปซ่อนตัวอยู่ถึงไหนกัน

               

                คยูฮยอนมองซ้ายมองขวาไปรอบตัว เขานึกถึงหลายอย่างที่ได้คุยกับแม่ของซีวอนภายในรอบชั่วโมงไม่มากไม่มายนี้ น่าประหลาดที่บทสนทนาของพวกเขาทั้งสองสามารถต่อไปได้ยาวเหยียดเรื่อยๆราวกับเป็นคนรู้จักกันมาก่อนเสียอย่างนั้น คยูฮยอนคิดว่าอาจเป็นเพราะเขาถูกเลี้ยงมาโดยผู้เฒ่าผู้แก่หล่ะมั้ง จึงเข้าใจความรู้สึกคนที่มีอายุได้มากกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน

     

                น้านารึมพยายามบังคับพี่ซีวอนก็เพราะความเป็นห่วง เขาคิดถึงความจริงข้อนั้นตอนที่ใบหน้าขึงตึงของพี่ซีวอนก้มลงมองเขาแล้วตะคอกเสียงดังใส่

     

                เป็นห่วง... แต่แสดงออกไม่เป็น

     

                ฝ่าเท้าของคยูฮยอนชะลอลงมาเดินมาถึงหน้าประตูห้องบานหนึ่ง แว่วเสียเปียโนลอดคลอเคลียมากับลมเย็นๆที่ลอดช่องว่างระหว่างประตูกับวงกบ ร่างบางแนบใบหูของตัวเองลงเพื่อฟังให้แน่ชัดว่ามันใช่เสียงดนตรีอย่างที่ได้ยินหรือเปล่าซึ่งการทำอย่างนั้นก็ทำให้คยูฮยอนสัมผัสได้ถึงท่วงทำนองเชื่องช้าปนน้ำตา

     

                เอื้อมมือจับลูกบิดแล้วตัดสินใจผลักประตูบานนั้นออกไป เป็นไปตามอย่างที่คาดไว้ ชเวซีวอนนั่งอยู่บนเก้าอี้เปียโน วางนิ้วทั้งสิบของตัวเองลงสัมผัสกับคีย์บอร์ดสีขาวเย็นเฉียบอย่างต่อเนื่องโดยไม่คิดผินหน้าขึ้นมามองเขาสักครั้ง

     

                เสี้ยวใบหน้าคมที่ก้มลงมองตามปลายนิ้วของตัวเองกำลังเต็มไปด้วยความตึงเครียด ซีวอนขมวดคิ้วจนให้ความรู้สึกเหมือนว่าการบรรเลงเพลงเป็นเรื่องทุกข์ใจอย่างหาสุดประมาณมิได้ แม้กระทั้งริมฝีปากยังเม้มชิดเข้าหากันเพื่อสะกดกลั้นอะไรบางอย่างเอาไว้ในลำคอ ดวงตาคู่นั้นจ้องมองลงไปด้วยแววตาแข็งกร้าวทว่ามีน้ำรื่นใสอยู่เบื้องล่าง

     

                “ฮยอง...”

     

    ตึ่ง!

     

                “....” ทั้งห้องอยู่ในความเงียบหลังคีย์บอร์ดสีขาวถูกกระแทกลงไป ร่างสูงหอบหายใจจนตัวโยนไหวไปมาและมันก็ทำให้คยูฮยอนรู้สึกว่าชเวซีวอนกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่อ่อนแอจนประคองตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ

     

                “ฮยองใจเย็นก่อนนะครับ...” คยูฮยอนมีคำพูดมากมายอยู่ในหัวแต่เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปก่อนดีจึงตัดสินใจใช้อ้อมแขนเล็กๆแห้งๆของตัวเองโอบรอบอีกคนเอาไว้ ปลายคางมนวางลงที่บ่ากว้างซึ่งยังคงผึงผายได้แม้ในเวลาหดหู่ เขาได้ยินเสียพี่ซีวอนพรูลมหายใจออกมาก่อนจะมีสัมผัสอุ่นทาบลงที่หลังฝ่ามือของเขา

     

                ความเงียบเป็นสิ่งที่น่าอึดอัดแต่ในเวลานี้คยูฮยอนกลับคิดว่ามันกำลังทำให้ผ่อนคลาย ซีวอนก้มหน้าลงจรดกับเปียโน ใช้หน้าผากดันกับขอบของมันเอาไว้แล้วปล่อยให้เขากอดอยู่อย่างนั้นโดยไม่โวยวายอะไรออกมา

     

                “กลับคอนโดกัน...” เสียงแผ่วกระซิบลอดออกมาจากริมฝีปากหยักสวยของคนที่ยังคงไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา

     

                “พี่ซีวอน.. ที่คุณน้าทำไปเพราะเขาเป็นห่วงพี่นะครับ”

     

                “...” ชเวซีวอนเงียบ ไม่ส่งเสียงอะไรตอบกลับไปแม้สักนิด เขาไม่อยากฟังแต่ก็หมดเรี่ยวแรงจะพูดอะไรออกมาได้อีกแล้ว ไม่ว่ามันจะผ่านไปสามเดือน หกเดือน หรือสองปี หูของเขาก็ยังควงได้ยินคำว่าเป็นห่วงจากแม่ชัดเจนอยู่เสมอแต่กลับไม่เคยรู้สึกได้ว่ามันคืออะไรกันแน่

     

                แล้วจะให้เขาพยายามอีกนานแค่ไหนหล่ะ...

                ต้องฟังอีกกี่ร้อยรอบกันถึงจะสัมผัสและเข้าใจได้หน่ะ

     

                “เพราะว่าคุณน้าอยากให้ฮยองมีชีวิตที่ดี มีอนาคตมั่นคงก็เลยทำแบบนั้น... ความจริงแล้วไม่มีแม่คนไหนอยากเห็นลูกตัวเองเป็นทุกข์หรอกนะครับ”

     

                “...”

     

                “เขาทำไปก็เพราะห่วง...บังคับเพราะห่วงมากเกินไป...”

     

                “หึ...”

     

                “ท่านไม่ได้ใจร้ายนะครับฮยอง... แต่ท่านเป็นห่วงฮยองมาก รักฮยองมากก็เท่านั้นเองนะครับ” คยูฮยอนละใบหน้าออกมามองเจ้าของแผ่นหลังที่ขยับตัวยุกยิกหันมาหาเขา ซีวอนคว้าเข้าที่ท้ายทอยเล็กๆเหมาะกับรูปร่างผอมๆของคนที่ยืนอยู่ด้านหลังแล้วกดริมฝีปากแนบลงไปบนเรียวปากสีสดของอีกคน

     

                ปลายนิ้วของเขาเกลี่ยไล้เบาๆตามข้างแก้มในขณะที่ริมฝีปากเฝ้าชิงขบชิงเม้มอยู่บนผิวเนื้อนุ่มหวาน คยูฮยอนยืนนิ่งปล่อยให้ริมฝีปากของตัวเองถูกรุกรานต่อไปโดยไม่ขัดอะไร หนำซ้ำยังโอบรอบแขนที่วางพาดไปรอบเอวของอีกคนให้แน่นขึ้นกว่าเดิม

     

                “กลับคอนโดกัน” เขาย้ำคำเดิมหลังจากผละริมฝีปากออกมา เอื้อมมือไปผลักฝาไม้ลงมาปิดคีย์บอร์ดสีขาวให้พ้นจากแสงแล้วลุกขึ้นยืน ดันแผ่นหลังแคบของคยูฮยอนให้เดินนำไปยังบานประตูของห้องดนตรีอันเงียบสงัดแม้จะเห็นความไม่เข้าใจอยู่บนใบหน้าหวานนั้นก็ตามที

     

                ทั้งสองคนเดินกลับมายังห้องนอนของเจ้าของบ้านตระกูลชเว นารึมยังคงขดตัวอยู่ในผ้าห่ม ดวงตาของเธอยังควงปิดสนิทและมีเพียงแผ่นอกกระเพื่อมขึ้นลงสม่ำเสมอเท่านั้นที่เคลื่อนไหว ซีวอนผละแขนออกมาจากบ่าแคบของคยูฮยอนแล้วเดินเข้าไปยังผืนเตียง ค้อมตัวลงจูบเบาๆบนหน้าผากของแม่เหมือนกับสมัยเด็กที่เขาเคยทำ

     

     

                “แล้วจะมาเยี่ยม” พูดขึ้นมาเบาๆตอนที่เอื้อมมือลงไปขยับเอาผ้าห่มขึ้นมาไว้ในระดับอกของแม่ก่อนจะผละออกมาแล้วจับข้อมือของคยูฮยอนเพื่อพาเดินออกไปด้วยกัน

     

                เสียงประตูปิดลงอย่างเชื่องช้า นารึมพลิกใบหน้าหันกลับไปมองที่บานประตูห้องซึ่งเพิ่งจะปิดสนิทลง เธอคลี่ยิ้มออกมาแล้วใช้นิ้วแตะวนไปบริเวณหน้าผากที่ยังคงมีไออุ่นร้อนติดค้างอยู่

     

                ความสุขของหญิงวัยสาบสิบตอนปลาย... ก็แค่ได้ยินว่าลูกชายจะกลับมาหาอีกครั้ง

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

    ไม่มีปัญหาแม่ผัวกับลูกสะใภ้หรอก นี่แค่ลูกชายคุณแม่เธอก็หนักใจจะตายอยู่แล้ว~
    อ้อออออ... รีดเดอร์คนไหนที่เห็นจีนสะกดคำผิดบอกได้เลยนะคะ คอมเมนท์บอกเลยก็ได้ มันเป็นปัญหาชีวิตมากจริงๆ 555555555555555555 บอกได้เลยนะ ไม่ต้องกลัว จีนชอบให้บอกจะได้เขียนถูกไง ><

    © Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×