ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { wonkyu } Every Night Stand

    ลำดับตอนที่ #11 : CHAPTER X.

    • อัปเดตล่าสุด 16 พ.ค. 56


    CHAPTER X

    แด่เด็กงั่งที่ชักจะมีผลต่อเสียงหัวใจ

     

                ซีวอนป่ายแขนแกร่งของตัวเองไปยังพื้นที่ข้างกายด้วยความเคยชิน แต่ที่มันไม่ชินคือความว่างเปล่าของพื้นที่ดังกล่าวต่างหากหล่ะ ร่างสูงลืมตาโพล่ง หันคอไปมองข้างกายซึ่งมีรอยหมอนยับยู่อยู่แล้วปัดผ้าห่มผืนหนาที่ถูกคลุมมาถึงคอออกจากตัวกระเด็นตกลงไปยังพื้นห้อง

     

                “ไปไหนวะ..” เขาดีดตัวเองขึ้นมาจากผืนเตียงกว้างแล้วเดินวุ่นวายหาผ้าเช็ดตัวเสียทั้งห้อง ซึ่งมันทำให้เขาพบว่าไม่มีโจวคยูฮยอนอยู่ในห้องนี้

     

                พอเจอผ้าเช็ดตัวแล้วซีวอนเลยรีบหยิบขึ้นมาพันเอวลวกๆแล้วเดินตรงออกไปยังห้องนั่งเล่นด้วยหวังว่าคยูฮยอนอาจจะหลบมานอนอยู่ตรงโซฟาหรือกำลังมื้อเช้าอยู่แต่ความคิดในหัวก็พังทลายลงเมื่อภายในห้องนั่งเล่นของเขาเงียบกริบ ไม่มีวี่แววของโจวคยูฮยอนบนโซฟาหรือเก้าอี้สักตัว ภายในห้องครัวก็ยังคงสะอาดสะอ้าน ไม่มีใคร

     

                “ไปไหนวะ เหี้ยเอ้ย!” ยกฝ่ามือใหญ่ขึ้นตบที่หน้าผากของตัวเองด้วยความรู้สึกหนักหัว ดวงตาคมเข้มปิดลงเพื่อตั้งสติให้กับตัวเอง ขับไล่ความกังวลในอกออกไปเสียก่อนเมื่อฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าข้าวของเครื่องใช้ของคยูฮยอนยังวางอยู่ที่เดิม เพราะฉะนั้นเด็กนั่นคงยังไม่ได้คิดหนีไปไหนไกล

     

                แต่มันไปไหนหล่ะ! สภาพแบบนั้นมันควรจะนอนอยู่บนเตียงไม่ใช่หรือไง!!

     

                “ไอ้เหี้ยวอนเอ้ยยย... มึงประพฤติเหี้ยอะไรลงไปวะเนี่ย!” สบถออกมาอย่างนึกโกรธตัวเองที่เอาแต่วู่วาม ยิ่งพอนึกภาพหน้าเด็กนั่นตอนร้องไห้แล้วขยับปากบอกเขาเสียงแห้งว่าอย่าทำๆยิ่งพาลให้เขารู้สึกผิดหนักเข้าไปใหญ่

     

                ขายาวก้าวพาตัวเองเข้าไปในโซนครัวเพื่อหาน้ำเย็นสักแก้วมาดื่มแก้กังวล เขาเอื้อมมือไปดึงหูจับตู้เย็นแล้วเปิดมันออก และบางสิ่งบางอย่างที่นอนแอ้งแม้งอยู่ในนั้นก็ทำให้คนอย่างชเวซีวอนต้องผงะมือ

     

                แซนด์วิชที่ถูกห่อเอาไว้ด้วยพลาสติกห่ออาหารกับแก้วกาแฟที่วางอยู่ทำให้เขานึกประหลาดใจในทีแรกว่าเป็นฝีมือของใคร แต่โพสต์อิทสีส้มที่แปะอยู่เหนือจานนั้นก็ช่วยไขข้อข้องใจให้เขาได้เป็นอย่างดีด้วยลายมือยึกยือที่ปรากฎอยู่บนนั้นเป็นลายมือที่ไม่ค่อยสวยนักของไอ้เด็กฮยอนนั่นแหละ

     

    ผมต้องไปติวหนังสือกับฮงกิตอนเช้าเลยทำแซนด์วิชไว้ให้ฮยอง
    จะอร่อยมากถ้าเอาไปอุ่นในไมโครเวฟนะครับ
    ผมไปไม่นานจะกลับมาตอนบ่ายสามโมงเย็น
    ทานข้าวด้วยนะครับ
                       - คยูฮยอน

     

                ซีวอนหยิบจานแซนด์วิชในตู้เย็นออกมาแกะพลาสติกออกแล้วใส่มันเข้าไปในไมโครเวฟเพื่ออุ่นสักนิดตามด้วยการเอี้ยวตัวไปหยิบแก้วกาแฟเย็นออกมาทั้งที่คิ้วของเขายังคงขมวดไม่หาย วางใจลงไปบ้างก็จริงแต่กลายเป็นมีเรื่องอื่นวิ่งเข้ามาให้ขบคิดต่อเสียนี่

     เขายืนรอกระทั่งไมโครเวฟส่งเสียงร้องบอกว่าอาหารด้านในพร้อมรับประทานแล้วจึงหยิบมันออกมาวางไว้บนโต๊ะอาหาร กดส้อมจิ้มลงบนเนื้อขนมปังอย่างใจเย็นแบบไม่เคยเป็นมาก่อนในขณะที่ดวงตาทั้งสองข้างก็ทอดมองตัวอักษรยึกยือบนโพสต์อิทสีส้มซ้ำไปซ้ำมาเหมือนคนบ้า ปลายลิ้นสากละเลียดชิมเนื้อขนมปังอุ่นที่ให้ความรู้สึกอร่อยขึ้นอย่างที่คยูฮยอนว่า...

     

    ข้อความพวกนั้นมันทำให้คนใจหินอย่างเขารู้สึกร้อนผ่าวที่ใต้ขอบตา

     

                “กูนี่มันเหี้ยได้เหี้ยดี... เหี้ยไม่มีที่ติจริงๆ มึงว่าไหม?” เกลี่ยนิ้วลงไปบนตัวอักษรเหล่านั้นเบาๆราวกับว่ามันเป็นแก้มนุ่มของไอ้เด็กฮยอนที่ไม่ว่ามองมุมไหนก็น่ากดจมูกลงไปฟัดสักสองสามรอบแล้วกล่าวโทษตัวเองเบาเหมือนเสียงหัวใจที่เต้นช้าลง

     

                ซีวอนคิดอะไรไม่ออก... นอกจากคำว่าขอโทษ

                คำเดียวที่วิ่งวนไปมาในหัวของเขาเวลานี้

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

                “หน้ามึงดูไม่ไหวนะคยู มึงโอป่าววะเนี่ย ?”

     

                “ไหว...”

     

                “ไหวของมึงนี่ยังไง ไหวอีกแค่สามวินาที?”

     

                “กู...ไหว...” คนที่หน้าซีดเป็นไก่ต้มเค็มช้อนดวงตากลมสะโหลสะเหลขึ้นมองฮงกิที่เอาแต่ถามเขาย้ำไปย้ำมาแบบนี้ทุกต้นชั่วโมงจนเขาเริ่มไม่ไหวจะตอบแล้วหล่ะ

     

                “ไปทำไรมา ทำไมถึงปล่อยให้ร่างกายโทรมทรุด?” แม้แต่เฮนรี่ที่ไม่ค่อยจะสนใจใครยังต้องเอ่ยปากถามอีกแรงเพราะกลัวว่าเพื่อนตัวผอมกะหร่องจะเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาเข้าให้ ช่วงนี้ก็ใกล้ช่วงสอบแล้ว เห็นคยูฮยอนมีสภาพแบบนี้เฮนรี่ก็ไม่อาจวางใจ

     

                “นอนน้อยหน่ะ....ไม่เป็นไรหรอก อย่าหน้าบึ้งสิ”

                เขาแค่แวะไปสวัสดีพระเจ้าจนถึงเช้ามาเท่านั้นเอง....

     

                “สหายรักป่วยแล้วจะให้ยิ้มอย่างไร...”

     

                “เหี้ยหลัว มึงอย่ามาพากย์จีนแถวนี้...” ฮงกิหรี่ตามองเพื่อนเจ้าสำบัติสำนวนที่แม้ในเวลาจริงจังก็ยังไม่ยอมเลิกเล่นคำ “ห่า... ถ้าไอ้คยูแม่งเป็นอะไรขึ้นมากูจะโทษสำนวนเมืองจีนของมึงว่าเป็นสาเหตุเลยคอยดู”

     

                “เราไม่เป็นไรหรอก สรุปบทสุดท้ายเถอะ”

     

                “เออ รีบทำมึงจะได้รีบกลับไปนอน... โทรให้พี่ซีวอนมารับดิ” ชื่อเจ้าของห้องตัวใหญ่ที่หลุดออกมาจากปากของฮงกิทำให้คยูฮยอนสะดุ้งผวาเล็กน้อย ทั้งที่พยายามทำใจไม่นึกถึงเรื่องบ้าบอเมื่อคืนมาได้ทั้งวันแล้ว แต่พอได้ยินชื่อชเวซีวอนเข้ามาในหัวมันก็ฉุดภาพเหตุการณ์เหล่านั้นกลับมาฉายวนอีกครั้ง

     

                โกรธหน่ะใช่ แต่เขากลัวเสียมากกว่า... เขาโกรธที่ซีวอนไม่ยอมฟังเหตุผล เอาแต่ใช้กำลังรุนแรงกับเขา แล้วยังลงโทษด้วยวิธีการอันหื่นกาม ละลาบละล้วงจนตูดเขาแทบจะพรุนโบ๋ไปหมด ในขณะที่อีกความรู้สึกเขาก็สับสนลังเลเหลือเกินว่ามันเป็นเพราะอะไรกันแน่

     

                ทำไมถึงโก่งตูดหาพี่ซีวอนแบบนั้น!

                ทีนี้จะโทษพี่ซีวอนก็คงไม่ถูก เพราะเขาเองก็ให้ความร่วมมือในอีกหลายรอบที่เหลือนี่หว่า .____.

     

                “เงียบแบบนี้ทะเลาะกันจนไม่ได้นอนใช่ไหม” เฮนรี่จับผิดคนที่นั่งก้มหนเไม่ยอมต่อบทสนทนากับฮงกิเสียเฉยๆด้วยการหรี่ตาแล้วใช้น้ำเสียงแบบคาดคั้นส่งคำถามกลับไปให้ร่างผอมได้สะดุ้งตัวขึ้นมาสักนิดสักหน่อยตามประสา

     

                “อ่า... นิดหน่อย บทสุดท้ายๆ... อยากกลับบ้านนอนแล้ว” หลีกเลี่ยงการตอบคำถามด้วยการเอาสภาพแย่ของตัวเองกับงานมาอ้าง ซึ่งโชคดีไปที่มันใช้ได้ผลเพราะเพื่อนทั้งสองคนต่างหันเหความสนใจไปที่หนังสือเรียนเหมือนเดิมทันที (ที่จริงไม่อยากจะซักต่อหรอกเถอะ กลัวมันตายเสียก่อน!)

     

                สุมหัวสรุปงานไปได้สักพักเสียงผลักบานประตูก็ดึงความสนใจของทั้งสามคนออกไปจากบทเรียนได้อย่างง่ายดาย ร่างสูงโปร่งที่เริ่มกลายเป็นคนคุ้นตาของคยูฮยอนและเฮนรี่และกลายเป็นคนรู้ใจของฮงกิส่งยิ้มหวานมาให้เด็กสามคนที่นั่งกองกันอยู่บนพื้น

     

                “สวัสดีครับ”

     

                “พี่จงฮุน~ มาเร็วอ่ะ...”

     

                “ทนคิดถึงฮงกิไม่ไหวหน่ะครับ”

     

                “-////////////-

     

                “นั่นปากหรือไหน้ำผึ้งพูห์...” เฮนรี่ยู่ปาก ทำหน้าประชดประชันใส่พี่จงฮุนที่เขารู้สึกไม่ค่อยถูกชะตาด้วยเท่าไหร่เพราะชอบมีคารมคนเสี่ยวมาปะทะกับคัมภีร์จีนเหินหาวของเขาเหลือเกิน...

     

                “นุ่มหวานขนาดนี้ก็คงเป็นปากที่มีน้ำผึ้งหน่ะครับ น้องเฮนรี่^^

     

                “พูดจาผกผันจะทำให้ชีวิตผันผก ตกลงไปอยู่ในก้นเหว”

     

                “คงจะจริงนะครับ... หลุมรักน้องฮงกินี่ลึกเหมือนก้นเหวเลยจริงๆ พี่จงฮุนคนนี้หาทางไต่ขึ้นมาไม่เจอเลยครับ” ทำท่าปีนป่ายประกอบคำพูดของตัวเองได้อย่างคล่องแคล่วจนคยูฮยอนกับเฮนรี่ได้แต่มองหน้ากันงึมงัม

     

                อืม.... เหมาะกันราวผีเน่ากับโลงผุ

     

                “พอเถอะ...”  สุดท้ายคยูฮยอนต้องเอ่ยปากสงบศึกก่อนที่น้ำหวานจะล้นห้องเสียก่อน

     

                “ตั้งใจอ่านหนังสือนะครับฮงกิ เดี๋ยวพี่พาไปกินข้าว... ไปด้วยกันไหมครับ?” ชเวจงฮุนเอ่ยชวนเพื่อนของคนรักอีกสองคนที่นั่งหน้ามึนอยู่กับฮงกิด้วยท่าทางโอบอ้อมอารี

     

                เปล่าหรอก... ที่จริงเขามีแผนต่างหาก *w*

     

                ไอ้คริสเพิ่งจะเล่าให้เขาฟังว่าเมื่อเช้าซีวอนโทรมาบอกเรื่องเล่นดนตรีที่ร้านอาหาร และมันก็จะไม่เป็นเรื่องพิเศษอะไรถ้าหากชเวซีวอนไม่คายความจริงออกมาว่ามีอะไรอยากคุยกับไอ้เด็กฮยอนของมันสักหน่อย วานคริสช่วยพามันไปหาเขาที่ร้านอาหารหลังติวหนังสือเสร็จที ครั้นพี่คริสรูปหล่อคนดีจะบุ่มบ่ามมารับตัวคยูฮยอนถึงบ้านฮงกิก็ลำบากใจเพราะเกรงว่าจะลักพาตัวไปได้ไม่แนบเนียนเลยวานให้เขาช่วยพาคยูฮยอนไปหาซีวอนอีกที

     

                แลกกับการเล่าเรื่องทั้งหมดที่ชเวซีวอนสร้างเอาไว้เมื่อคืน...

                ไม่อยากจะบอกเลยว่าไอ้เหี้ยยักษ์นี่มันเหี้ยอย่างใหญ่หลวงจริงๆ!

     

                “เออ ไปด้วยกันป่าว...”

     

                “ต้องพาอาม่าไปรำมวยที่หน้าบิ๊กซี...” เฮนรี่ตอบกลับมาพร้อมสีหน้าเสียดายอย่างแรงที่พลาดโอกาสการถลุงเงินอันดีนี้ไป

     

                “คยูฮยอนหล่ะ?”

     

                “อ่า ไม่ดีกว่า... จะรีบกลับบ้านหน่ะ เดี๋ยวพี่....ซีวอนว่าหน่ะครับ แหะๆ...” นั่นไง! ชเวจงฮุนเดาแล้วว่าคยูฮยอนต้องตอบกลับมาแบบนี้เพราะกลัวจะโดนลงโทษเข้าไปอีกดอกใหญ่ เข้าแผนเขาพอดีหล่ะ!

     

                “ไอ้วอนไม่อยู่หรอก วันนี้มันมีงานที่ร้านอาหาร”

     

                “อ่าว”

     

                “ที่จริงไปกับพี่เลยก็ได้นะ เพราะจะพาไปกินร้านที่ไอ้วอนมันเล่นดนตรีนั่นแหละ” จงฮุนพูดตามบทที่ตัวเองคิดเอาไว้ไม่มีพลาดสักคำ

     

                “อ่า ไม่เป็นไรครับ ผมกลับไปรอที่ห้องดีกว่า”

     

                “อ่า.....”

     

                “งั้นรีบอ่านหนังสือกันเถอะครับ ฮงกิจะได้ไปกินข้าวกับพี่จงฮุนเนอะ” คยูฮยอนตัดรุ่นพี่ชเวจงฮุนออกจากบทสนทนาได้อย่างสุภาพและแนบเนียนจนเจ้าตัวยังแทบไม่รู้สึก จงฮุนส่งยิ้มคนรักที่หันหน้ากลับเข้าวงไปอ่านสอบอีกครั้งแล้วเริ่มวางแผนในหัวอีกขั้น

     

                ในเมืองแผนแรกใช้ไม่ได้... ก็ต้องใช้แผนสำรองเว้ย!

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

                กว่าคยูฮยอนจะยอมขึ้นมาบนรถได้ ชเวจงฮุนก็เหนื่อยปานไปไล่ควายมาสักสามฝูง ไหนอะไรที่ชเวซีวอนบอกว่าคยูฮยอนเป็นเด็กงั่งว่าง่าย ใครหลอกอะไรก็เชื่อไง ถุย! เขากับฮงกิช่วยกันหว่านล้อม ชักแม่น้ำสิบสามสายมาพูดอยู่นานสองนานเถอะกว่าคยูฮยอนจะยอมขึ้นรถมากับเขาได้หน่ะ

     

                หว่านไปหว่านมาจนฟ้ามืดเลยอาสาจะพาไปส่งบ้านเพราะกลัวอันตราย เด็กนั่นถึงได้ยอมขึ้นมาบนรถกับเขาได้สักที

     

                “ที่จริงผมก็กลับเองได้นะครับ ไม่อยากรบกวนเวลาพี่จงฮุนกับฮงกิเลย”

     

                “รบกวนอะร๊ายยยยยยย! ไม่กวนหรอกหน่า...” ไอ้คนกวนหน่ะคือผู้ชายร่างยักษ์นามสกุลเดียวกับเขาต่างหาก! สั่งสารพัดคำสั่งมาให้เขารับผิดชอบจนไม่มีเวลาจะหยอดมุกใส่น้องฮงกิคนงามเลยให้ตาย

     

                “นั่นแหละครับ นานๆทีจะได้อยู่ด้วยกัน”

     

                “ไม่หรอกหน่า... บอกแล้วไงไม่รบกวน”

     

                “อ่า...”

     

                “...”

     

                “...”

     

                “...”

     

                “..”

     

                “...”

     

     

                “...ฮยองครับ มันต้องเลี้ยวซ้ายหน่ะ...”

     

                “อ๋า ! ตายจริง....” จงฮุนสบถออกมาเมื่อถูกร้องทักจากริมฝีปากบางของคนที่นั่งติดรถมาด้วยอยู่ด้านหลังที่เงียบไปนานสองนาน คยูฮยอนแสดงสีหน้าเหรอหราออกมาอย่างชัดเจนเมื่อพบว่ายานพาหนะได้นำพาเขาเลยทางแยกนั้นมาไกลจนมองกลับไปไม่เห็นแล้ว ร่างบางตวัดหน้าขึ้นมองสารถีรูปหล่อที่กำลังแสดงท่าทางเป็นกังวลออกมา

     

                “แย่จริง... ลืมไปเลย”

     

                “อ่า...”

     

                “ช่างเถอะ ไปกินข้าวกับกูก็ได้” ฮงกิที่ไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่อะไรกับใครเขาตะแคงหน้าของตัวเองมามองเพื่อนที่นั่งตัวเกร็งอยู่ด้านหลัง ไอ้เด็กแมวฮยอน (ขอเติมแมวเข้าไปหน่อยแล้วกัน มันเหมือนแมวมากจริงๆนี่หว่า) อ้าปากคล้ายจะเอ่ยคำปฏิเสธออกมาแต่ก็ไม่ทันลีฮงกิที่หันหน้ากลับมาจิ้มโทรศัพท์ของตัวเองต่อเสียแล้ว

     

                มันก็เลยต้องกลืนคำพูดลงไปกับก้อนน้ำลายเหนี่ยวหนืดของตัวเองแล้วล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

     

                “งั้นผมขอโทรบอกพี่ซีวอนก่อนนะครับ” เสียงเรียบที่เอ่ยบอกมาจากเบื้องหลังทำให้ชเวจงฮุนกลั้นขำเอาไว้แทบไม่อยู่ นี่ไม่รู้ว่าไอ้เหี้ยยักษ์ทำห่าอะไรของมันเอาไว้กับเด็กนี่กันนะ โจวคยูฮยอนถึงได้กลัวมันเสียยิ่งกว่ากลัวผีอีก

     

                “ฮะๆ... ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพี่โทรบอกให้ก็ได้” จงฮุนรวบรัดตัดประโยคเพื่อไม่ให้อีกคนต้องเป็นกังวลหนักมากไปกว่านี้ เพราะถึงคยูฮยอนโทรไปหาซีวอนตอนนี้ ไอ้ผู้ชายร่างใหญ่นิสัยแย่คนนั้นก็คงไมมีเวลามารับโทรศัพท์อยู่ดี ป่านนี้มันคงนั่งเกลากีต้าร์อยู่บนเวทีเรียบร้อยแล้วหล่ะ

     

                เขาเหยียบคันเร่งเพื่อเพิ่มความเร็วขึ้นมากกว่าเดิมอีกสักนิดเพื่อไม่ให้คยูฮยอนเกิดเปลี่ยนใจจะลงกลางทางอีกรอบ โชคดีที่ถนนค่อนข้างโล่งทำให้ทุกอย่างสะดวกสบายเข้าทางไปเสียหมด

     

                หักรถเข้ามาจอดอย่างคล่องแคล่วภายในร้านอาหารกึ่งผับที่มาบ่อยกว่าบ้านของตัวเองเสียอีก ชเวจงฮุนดับเครื่องยนต์แทนคำเชิญให้สองเด็กน้อยลงไปจากรถได้แล้ว คยูฮยอนผู้ที่นานครั้งจะได้มาเยือนร้านอาหารใหญ่หรูหรารีบวิ่ปรี่เข้าไปหาฮงกิเพื่อไม่ให้ตัวเองเคว้งคว้างไปมากกว่าที่เป็นอยู่

     

                “ป่ะ เข้าไปข้างในกัน” จงฮุนรีบรวบรัดเมื่อเห็นเด็กฮยอนหน้าเจื่อนขยับปากคล้ายจะพูดอะไรสักอย่าง เขาจับมือฮงกิแล้วพาเดินเข้าไปด้านในร้านทันทีที่พูดจบทำให้คยูฮยอนต้องจำยอมเดินก้าวเท้าเข้ามาด้านในอยางปฏิเสธไม่ได้

     

                ภายในร้านอาหารที่ดูหรูหราถูกประดับตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม่ซ้ำแบบ ไม่มีสักโต๊ะเลยที่ใช้เก้าอี้หรือโต๊ะแบบเดียวกัน แสงสีที่สาดส่องลงมาจากด้านบนทำให้คยูฮยอนรู้สึกแปลกที่แปลกทางแต่ก็โวยวายอะไรไม่ได้จึงได้แต่เดินตามฮงกิไปต้อย ๆ แล้วหยุดอยู่ที่โต๊ะหนึ่งซึ่งพี่จงฮุนจองเอาไว้

     

                “มาแล้วเหรอ...”

     

                “ยังไม่มา นี่ร่างทรงกูเองแหละ”

     

                “กวนส้น...” คยูฮยอนตะแคงคอมองพี่คริสที่ไม่รู้ว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรด้วยสีหน้างงงวย แต่พอโดนร่างนั้นตวัดดวงตากลับมามองหน้าเขาก็รีบโค้งจนหัวแทบจะติดหัวเข่า อย่างที่เคยบอกนั่นแหละว่าพี่คริสดูคล้ายพี่ซีวอนมากที่สุดแล้ว พอเห็นหน้าพี่คริส เขาก็เลยรู้สึกเหมือนมีพี่ซีวอนมายืนอยู่ตรงหน้าซะงั้นหล่ะ

     

                “อ่าว มาด้วยเหรอ”

     

                “ครับ...”

     

                “งั้น.... เดี๋ยวกูพาคยูไปนั่งรอไอ้วอนที่บาร์ก็ได้ มึงอยู่กับเมียมึงไป” คยูฮยอนหันไปมองพี่คริสที่กำลังเดินเข้ามาประชิดตัวเขาด้วยดวงตาที่ไม่ค่อยคุ้นชินนัก เพราะไม่ค่อยได้ยินพี่คริสพูดจา สุงสิงอะไรกับใครสักเท่าไหร่ พอมาเจอสถานการณ์ที่พี่เขาพูดประโยคยาวๆใส่เพื่อนเลยรู้สึกแปลกๆ

     

                “เออ ฝากด้วยแล้วกัน”

     

                “...” คนที่ถูกรวบหัวรวบหางเรียบแขนเรียบร้อยแล้วเงยหน้ามองแผ่นหลังของพี่ชายตัวสูงที่เดินนำออกไปเพื่อพาเขาไปนั่งอีกโซน ดวงตากลมมองกลับไปยังฮงกิที่ยืนโบกมือให้เป็นคำกล่าวอำลา... พออยู่กับแฟนก็ลืมเพื่อนเลยสินะน้อยใจจะไม่ทนอ่ะ

     

                เขาถูกลากข้ามมายังอีกโซนที่ใกล้เวทีเข้ามาอีกหน่อยทำให้ได้เห็นพี่ซีวอนกอดกีต้าร์โฟลคนั่งอยู่บนเก้าอี้ทรงสูง บนเวทีมีพิธีกรคนหนึ่งกำลังพูดอะไรสักอย่างที่เขาจับใจความได้ไม่ถนัดนักเพราะมัวแต่สนใจข้าวของรอบกายซึ่งมันดูไม่คุ้นตา

     

                “นั่งได้ไหม?” พี่คริสหันมาถามเขาหลังจากพามาหยุดอยู่ตรงหน้าบาร์เหล้า คยูฮยอนมองกวาดไปรอบตัวด้วยท่าทางตื่นๆก่อนจะรีบพยักหน้ารัวเมื่อพบว่ารุ่นพี่ตัวสูงคนนั้นยื่นหน้าเข้ามาใกล้คล้ายกำลังต้องการคำตอบ

     

                “ดะ ได้ครับ...นั่งได้”

     

                “อืม” คริสพยักหน้ารับก่อนจะดันตัวเองขึ้นมาบนเก้าอี้บาร์ตัวสูง เขาหันหน้ามองหาบาร์เทนเดอร์ที่ไม่รู้ว่าหายไปไหนสลับกับมองคยูฮยอนตะกายขึ้นมาบนเก้าอี้

     

                แล้วก็หลุดขำตอนที่เด็กนั่นไถลร่วงลงไป

     

                “ฮะๆ ขึ้นได้หรือเปล่า?” เขาล้มเลิกความตั้งใจที่จะมองหาบาร์เทนเดอร์ไปก่อนแล้วหันมาช่วยพยุงคยูฮยอนให้ไต่ขึ้นมาบนเก้าอี้ทรงสูงนั่นให้ได้ โจวคยูฮยอนเงยหน้ากลมๆขึ้นมาส่งยิ้มแหยให้กับเขาแล้วเกาที่หลังคอแก้เก้อ คริสจึงยื่นแขนออกไปให้อีกคนจับเพื่อไต่ขึ้นมาบนเก้าอี้

     

    เคร้ง !

     

                เสียงฉาบจากบนเวทีเรียกสายตาของคนรอบข้างให้มองขึ้นไปด้านบน ต้นตอของเสียงไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นมือกีต้าร์โฟล์คที่นั่งหน้ายับอยู่หลังกลองชุด ดวงตาคมคายจ้องมองลงมาที่หน้าบาร์จนใครต่อใครก็จับสังเกตได้ชัดเจน คยูฮยอนก็คงจะไม่ตกใจมากเท่าไหร่หรอกถ้าตรงหน้าบาร์มันไม่ได้มีแค่เขากับพี่คริสหน่ะนะ

     

                “อ่ะ...เอ่อ...”

     

                “โดดขึ้นมาสิ” คริสเบือนหน้าออกมาจากเพื่อนร่างยักษ์ที่ส่งสายตาเหมือนจะเผาโซลได้ทั้งเมืองออกมา เขานึกขำท่าทางไร้สาระของซีวอนที่พักนี้ชักจะปรากฏออกมาชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ต้องกลั้นไว้เพื่อช่วยให้ไอ้เด็กฮยอนของคนบนเวทีมันขึ้นมานั่งได้สำเร็จก่อน

     

                กว่าคยูฮยอนจะขึ้นมานั่งได้ พิธีกรก็ดำเนินบทพูดของตัวเองไปไกลและคนในผับก็เลิกหันมาสนใจเขาแล้ว ใบหน้าหวานหันขึ้นไปมองเจ้าของห้องตัวใหญ่ที่หันหน้ากลับไปแล้วเช่นกัน ซีวอนเร้นกายอยู่ในเงามืดบนเวทีที่ยังไม่ได้เปิดไฟและแม้จะมองอะไรได้ไม่ค่อยชัดนักแต่เขาก็แอบเห็นว่าร่างสูงกำลังนั่งเกลากีต้าร์เบาๆอยู่ตรงนั้นและเหลือบมองมาทางเขาเป็นระยะเหมือนต้องการเช็คความเรียบร้อย

     

                ส่วนเขาหน่ะเหรอ... ก็นั่งหลบสายตาที่จ้องมาเป็นพัลวันเลยหน่ะสิ!

     

                แว่วเสียงพี่คริสหันไปสั่งเครื่องดื่มสองสามอย่างกับบาร์เทนเดอร์แต่ก็ไม่ได้สนใจนักเพราะคยูฮยอนไม่รู้สึกอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรอก บรรยากาศประหลาดนี่ทำให้เขาอึดอัดอยู่พอตัวเพราะไม่ชอบสถานที่แบบนี้สักเท่าไหร่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากเลยพยายามมองซ้ายมองขวาหาจุดวางสายตาไปเรื่อย

     

                “อ่ะ...”

     

                “ครับ?” ลูกตากลมตวัดกลับมาเมื่อได้ยินเสียงของคริสดังมาจากด้านหลังพร้อมกับแก้วน้ำผลไม้ทรงสูงที่เลื่อนมาใกล้

     

                “น้ำผลไม้... จะกินอะไรหรือเปล่า?”

     

                “อ่า.. ไม่เป็นไรครับ”

     

                “ถ้าหิวก็สั่งได้เลย เดี๋ยวไอ้วอนก็เคลียร์เองแหละ”

     

                “อ่อ ครับ...”เพราะคำว่าเดี๋ยวซีวอนก็เคลียร์เองแหละทำให้คยูฮยอนชะงักมือที่จะเอื้อมไปหยิบแก้วน้ำผลไม้มาดูด เขารู้สึกว่าพี่ซีวอนกำลังมึนตึงอยู่ ถ้าจะมานั่งกินให้พี่เขาจ่ายตังค์มันก็คงจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่

     

                “กินได้เลย ไอ้วอนมันกินฟรี... อยากกินไรก็สั่ง”

     

                “ครับ?”

     

                “ซีวอนมันเล่นดนตรีที่นี่มันเลยได้กินฟรี นายเป็นคนของมันหนิ ยังไงก็ฟรีหน่า ไม่ต้องคิดมาก” คริสหันมาบอกเด็กที่ดูกล้าๆกลัวๆด้วยท่าทางสบายๆเพื่อไม่ให้คยูฮยอนต้องรู้สึกเป็นกังวลไปมากกว่านี้ แต่ก็ไม่พลาดที่จะล้อเลียนโจวคยูฮยอนเสียหน่อยด้วยการเล่นคำง่ายๆแบบที่คนสมองช้าอย่างคยูฮยอนไม่น่าจะตีความได้

     

                “อ่อ... แหะๆ เข้าใจแล้วครับ” พอได้ยินดังนั้นคยูฮยอนก็กล้ามากขึ้นที่จะคว้าแก้วน้ำมาดูดแก้กระหายโดยไม่ได้ตะหงิดใจกับคำว่าคนของมันสักเท่าไหร่ อู้อี้ฟานยกแก้วค็อกเทลสีสวยขึ้นมาจิบเล็กน้อยแล้วกดสายตาเหลือบมองเด็กที่ก้มหน้าลงไปหาหลอดแทนที่จะยกแก้วขึ้นมาจรดปาก คยูฮยอนตะล่อมดูดเกล็ดน้ำแข็งเหล่านั้นอย่างใจเย็น ใช้นิ้วเขี่ยเสี้ยวมะนาวที่เขาเอามาประดับด้วยท่าทางใครรู้ใคร่สงสัย

     

                เด็กนี่น่ารัก... เขาคิดในหัวเงียบๆแล้วละสายตาออกมา ก็ไม่น่าประหลดเท่าไหร่ถ้าซีวอนจะแคร์มากเป็นพิเศษ... คยูฮยอนเป็นคนคิดเล็กคิดน้อย ใส่ใจรายละเอียดนั่นนี่ไปเสียหมด ตั้งแต่ตอนที่ช่วยหาค่ายเพลงให้พวกเขาอย่างเงียบๆหรือแม้แต่การคอยถามซีวอนอยู่เรื่อยว่าจะกินข้าวไหม จะให้รอไหม คยูฮยอนแสดงความเป็นห่วงเล็กๆน้อยๆเหล่านั้นออกมาอย่างชัดเจนจนคนที่ไม่เคยมีใครมาดูแลอย่างละเอียดลอออย่างซีวอนรู้สึกอยากครอบครอง อยากจะเป็นเจ้าของคำพูดเป็นห่วงเป็นใยแบบนั้นตลอดไป

     

                มันก็เลยชอบบอกว่าคยูฮยอนเป็นเด็กของมัน... หวงก้างโดยไม่รู้ตัวหน่ะ...

     

                “ดูเหนื่อยนะ อึดอัดเหรอ?”

     

                “อ่อ... นิดหน่อยครับ เมื่อคืนผมนอนดึก แหะๆ” คยูฮยอนตอบเขาด้วยน้ำเสียงอ้อมแอ้มเหมือนเด็กที่ยังไม่คุ้นเคยกับคนแปลกหน้าอย่างเขาเท่าไหร่... นอนดึกหรือไม่ได้นอน เขาเองก็ไม่ค่อยแน่ใจหรอกนะ เพราะฟังจากที่ซีวอนเล่าหน่ะ เหมือนจะไม่ได้นอนมากกว่า

     

                อันที่จริงซีวอนไม่ใช่คนประเภทชอบเล่าเรื่องอะไรให้ใครฟัง นอกเสียจากเวลาที่มันรู้สึกคิดไม่ตกจริงๆ เมื่อเช้าก็คงเป็นกรณีคิดไม่ตกของมันกรณีหนึ่งนั่นแหละถึงได้โทรมาหาเขา ปกติมันจะชอบโทรหาไอ้คิบอมเสียส่วนมากเวลามีปัญหาแต่ช่วงนี้ไอ้คิบอมเองก็มีปัญหากับเมียมันอยู่ (ไม่รู้ป่านนี้ได้พบหน้าพบตากันหรือยัง) เพื่อนสมัยเด็กอย่างเขาอีกคนก็เลยต้องกลายเป็นคนนั่งหูชาฟังมันบ่นไปแทนนั่นแหละ

     

                “สอบเหรอ?”

     

                “ครับ...”

     

                “เมื่อคืนทะเลาะกับไอ้ซีวอนด้วยสินะ”

     

                “อ่า....” คยูฮยอนอ้าปากค้างไปทันทีเมื่อเห็นว่าเขารู้ทันเข้าให้ เด็กนั่นก้มหน้าลงไปจนแทบจะจมหายไปในแก้วน้ำผลไม้ตรงหน้า อาจเพราะไม่อยากคุยเรื่องนี้หรือเพราะเขินอายที่ต้องนึกถึงอะไรแบบนั้นเขาก็ไม่รู้หรอก

     

                “หึ.. ไอ้วอนมันก็บ้าของมันนั่นแหละ อย่าไปคิดมากเลย”

     

                “พะ..พี่... รู้เหรอครับ...”

     

                “ไม่เชิง....”

     

                “...”

     

                “มันเป็นเด็กบ้านแตก เรียกร้องความสนใจ... พ่อแม่มันไม่ค่อยสนใจมันเท่าไหร่ นิสัยมันก็เลยห่าเหวแบบนั้นแหละ ไม่มีใครอบรมมันหรืออบรมไม่ได้ก็ไม่รู้สิ..” คริสก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ว่าคยูฮยอนอยากจะรู้หรือเปล่า แต่ถ้าเด็กนี่ทำให้ซีวอนเดือดดาลได้มากถึงขนาดนั้นมันก็สมควรที่คยูฮยอนควรจะรู้วิธีป้องกันตัวเองไว้เสียบ้าง สันดานซีวอนให้แก้ก็คงยากแล้วหล่ะ เด็กนี่คงต้องหาวิธีพาตัวเองให้พ้นภัยไปวันๆก่อน

     

                “อ่า แย่จัง...”

     

                “มันไม่ค่อยฟังใคร นานๆจะฟังสักทีแต่ก็ฟังแค่ไม่กี่คำ น่ารำคาญจะตาย ว่ามั๊ย?”

     

                “อ่า...” คำพูดของคนตัวผอมสะดุดลงแค่นั้นเมื่อบรรยากาศรอบข้างมีเสียงดนตรีเข้ามาแทรกกลาง ร่างผอมสะดุ้งวาบเมื่อได้ยินเสียงสั่นของสายกีต้าร์โฟล์คจากด้านบนเวที ใบหน้าหวานตวัดกลับไปมองยังเบื้องบน ณ จุดที่สายตาของเขาไม่กล้าจับจ้องอย่างตรงไปตรงมาก่อนจะพบว่าแสงไฟได้ฉาบทับอาณาบริเวณบนนั้นไปหมดแล้ว...

     

                ใบหน้าคมสันของชเวซีวอนช่างดูเหมะสมกับหลอดนีออนพวกนั้นเสียงเหลือเกิน แสงสีขาวขับผิวสีแทนอ่อนให้สว่างขึ้นมาให้ดูมีเสน่ห์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ลำแขนท่อนใหญ่ที่โอบคลุมไปด้วยกล้ามดูดีอย่างมากเมื่อพาดวางลงไปบนกีต้าร์โฟล์คสีดำขอบน้ำตาลราคาสูงซึ่งกำลังส่งเสียงหวานของมันออกมากระทบโสตประสาทของเหล่าลูกค้าทั้งหลายที่นั่งลิ้มรสอาหารอยู่เบื้องล่าง

     

                “ผม... ชเวซีวอนรับหน้าที่ขับกล่อมทุกท่านในคืนนี้ครับ...” เสียงปรบมือดังลั่นหลังจากที่ร่างสูงกดไมค์ลงมาพูดด้วยท่าเหมือนนักร้องดัง ซีวอนยกยิ้มหว่านเสน่ห์ออกมาที่มุมปากซึ่งมันทำให้ใครต่อใครที่ได้เห็นลืมหายใจไปชั่วขณะ และผู้ชายที่สง่างามได้ราวกับเทพบุตรบนสวรรค์คนนั้นก็จัดการทำร้ายลูกค้าหลายท่านด้วยการเกลี่ยนิ้วลงบนสายกีต้าร์ ให้เสียงละมุนนุ่มไม่แพ้กับเนื้อร้องที่ถูกกล่าวตามออกมาในภายหลัง

     

                เนื้อร้องภาษาต่างประเทศในจังหวะเชื่องช้าไม่คุ้นหูเท่าไหร่นักกลายเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดสายตาทุกคู่มาบนเวทีไม่เว้นแม้แต่คยูฮยอนเองที่ตอนแรกไม่ยักกล้ามองขึ้นไป ใบหน้าหวานเมื่อครู่แรกตั้งตรงด้วยความตื่นเต้นเอนลงซบบนบ่าของตัวเองที่ท้าวอยู่กับขอบบาร์ เขาตะแคงหน้ามองรุ่นพี่ตัวใหญ่บรรเลงเพลงขับกล่อมอย่างรู้สึกเพลิดเพลินแม้จะไม่เข้าใจในความหมายของเนื้อเพลงนั้นเลยแม้สักคำก็ตาม

     

                “เพราะดี ว่ามั๊ย?” เสียงของรุ่นพี่อีกคนที่นั่งอยู่ด้านข้างสะกิดให้คยูฮยอนเอนหัวกลับมาก่อนจะละสายตาจากเวที เขายิ้มเก้อให้คริสหลังจากเผลอแสดงอาการเคลิบเคลิ้มออกไปเสียชัดเจนจนคนที่ได้มองมีรอยยิ้มเปื้อนอยู่บนใบหน้าด้วยนึกขำ

     

                “ครับ... ผมไม่เคยรู้ว่าพี่ซีวอนร้องเพลงได้ด้วย”

     

                “ใครๆก็ร้องเพลงได้...”

     

                “หมายถึง ร้องเพลงเพราะหน่ะครับ...”

     

                “มันไม่ค่อยร้องเพลงให้ใครฟัง...” คริสหยุดคำพูดของตัวเองเพื่อชั่งน้ำหนักดูว่าคนข้างๆสนใจคำพูดของเขามากแค่ไหน แล้วเมื่อพบว่าดวงตากลมคู่นั้นจับจ้องมาทางเขาอย่างรอคอย น้ำเสียงนุ่มจึงค่อยกล่าวออกมาต่อ “แม่ไม่ชอบให้มันเล่นดนตรี ส่วนพ่อก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน... ที่จริงพ่อมันมีบ้านเล็กบ้านน้อยอีกหลายหลัง สุดท้ายก็เลยแยกกันอยู่ กลับมาหามันบ้างปีละหนสองหน... มันเลยอยู่กับแม่ที่เอาแต่บังคับมันทุกอย่าง”

     

                “...” คยุฮยอนไม่พูดอะไรออกมาสักคำ เขาตั้งใจฟังคำพูดของรุ่นพี่มีแก้วคอกเทลอยู่ในมืออย่างตั้งอกตั้งใจด้วยคิดว่าสิ่งเหล่านั้นจะทำให้เขาเข้าใจชเวซีวอนมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่นี้

     

                “แต่แม่มันบังคับอย่างเดียว ไม่ค่อยสนใจมันเท่าไหร่หรอก... มันชอบดนตรี อยากเรียนดนตรี หูมันก็ดี ฟังเพลงครั้งเดียวก็รู้แล้วว่าคอร์ดไหนโน้ตอะไร มันเป็นคนมีพรสวรรค์ทางด้านนี้.ก็เลยเลือกเรียนดนตรี ตอนมันสอบเข้าได้แม่มันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ...” ตวัดดวงตาไปมองเจ้าของใบหน้าหวานที่นั่งขมวดคิ้วมุ่นราวกับเรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องที่ตัวเองต้องคิดไม่ตก

     

                “...”

     

                “เขาอยากให้เรียนกฎหมาย ไม่ก็บริหาร... พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทะเลาะกันท่าไหน รู้อีกทีก็ตอนที่มันโทรมาบอกให้ไปช่วยยกของจากบ้านมาไว้ที่คอนโดมันแล้วหล่ะ”

     

                “อ่า... ฟังแล้วรู้สึกไม่ดีเลยครับ”

     

                “ฮะๆ... ก็อย่างว่าแหละ แม่กับพ่อไม่เคยสนใจมันเลยสักนิด เลยไม่ยากเท่าไหร่ถ้าจะแยกออกมาอยู่เองหน่ะ... คนอย่างมันเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว มันรับจ็อบไม่กี่ที่ก็มีคนต่อคิวจองตัวมันเป็นขบวน ค่ายเพลงมาจองตัวมันก็เยอะ แต่แม่งติดเพื่อนเลยปฏิเสธเขาไปหมด”   

     

                “น่าเสียดายนะครับ...”

     

                “นะ... ชีวิตมันก็มีแค่เพื่อนกับคนไม่กี่คนที่สนใจมัน ไอ้คิบอมพี่ชายนายนั่นแหละ ถึงจะดูไม่ค่อยสนิทกันแต่เห็นเดือดร้อนอะไรก็เรียกหากันก่อนตลอด...”

     

                “อ่า จริงครับ ผมได้ยินพี่คิบอมพูดถึงพี่ซีวอนบ่อย”

     

                “อืม ไอ้คิบอมช่วยมันหลายอย่าง ที่จริงก็แทบทุกเรื่องที่มันจะช่วยได้นั่นแหละหลักๆก็คอยเป็นที่ปรึกษาเวลามันผีเข้า... ไอ้วอนมันผีเข้าผีออกบ่อย แต่ไม่ค่อยโกรธจริงจังหรอก อะไรที่มันใส่ใจมันจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเพราะมันรักมันหวงของมัน... แต่ถ้าอะไรที่มันไม่ได้ใส่ใจ ส่วนมากก็แค่หงุดหงิดแล้วก็ปล่อยเลยตามเลยไป”

     

                “อ่า...”

     

                “หวังว่าคงไม่โดนลงโทษรุนแรงอีกนะ”

     

                “อ๋า... ผมก็หวังว่าจะไม่ทำอะไรให้พี่ซีวอนผิดใจอีกเหมือนกันแหละครับ” คยูฮยอนกดสายตาของตัวเองลงมองแก้ว เขาเดาว่าพี่คริสคงรู้วิธีการลงโทษดังกล่าวอยู่แล้วหล่ะ เพราะผู้ชายคนนี้แสกนพี่ซีวอนให้เขาเห็นได้อย่างทะลุปรุโปร่งเชียว

     

                “ฮะๆ... ไม่โกรธมันบ้างหรือไง... นายนี่ก็อดทนดีเนอะ”

     

                “...แหะๆ...”

     

                “...”

     

                “ที่จริง ผมก็โกรธแหละครับ...” อ้อมแอ้มตอบกลับไปด้วยรู้สึกวางใจพี่ชายข้างกายในระดับหนึ่ง “แต่ก็ไม่อยากทำตัวเป็นปัญหา... ตอนแรกผมคิดว่าอยากจะโทรหาพี่คิบอมหรือไม่ก็บอกให้แม่มารับ แต่แค่ที่พี่คิบอมคงกำลังยุ่ง แม่เองก็คงไม่สบายใจถ้าผมมีปัญหาผมเลยคิดว่าไม่บอกพวกเขาดีกว่า”

     

                “งั้นเหรอ?...”

     

                “ครับ... บางทีผมว่าพี่ซีวอนเขาก็คงไม่ตั้งใจจะทำอย่างนั้น”

     

                “ทำไมหล่ะ...”

     

                “อ่า....” คยูฮยอนหลุบสายตาต่ำลงมามองแก้วน้ำที่ตัวเองเอามือเกลี่ยอยู่เพื่อเลี่ยงไม่ให้อีกคนเห็นใบหน้าแดงก่ำของตัวเอง

     

                “...”

     

                “ก็... พอช่วงหลังๆ... พี่เขาเหมือนจะใจเย็นลง....” ตอบเสียงสั่นออกไปแล้วรีบมุดหน้าลงไปกับต้นแขนเพราะทนความอายไม่ไหว เขาไม่รู้จะอธิบายยังไงว่าที่จริงแล้วพี่ซีวอนก็ทำรุนแรงไปแค่ตอนแรกเท่านั้น พอช่วงหลังๆก็เบาลงมาแล้วก็ไม่ได้ต่อว่าอะไรเขาอีก นี่เลยยังเดินได้เป็นปกติ

               

                “ฮ่าๆๆๆๆๆๆ! คยูฮยอน.... นายนี่มันเด็กน้อยจริงๆ” คริสระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังให้กับท่าทางเหนียมอายและคำพูดตรงไปตรงมาของเด็กที่ยังอธิบายเรื่องใต้สะดือได้ไม่คล่องแคล่วเท่าไหร่นัก เขายกมือขึ้นไปขยี้เส้นผมของคยูฮยอนอย่างหมั่นเขี้ยว ไม่ประหลาดใจเลยจริงๆที่ชเวซีวอนจะเป็นบ้าได้เพราะเด็กตัวขาวผู้แสนจะใสซื่อคนนี้หน่ะ

     

                “หง่า... พี่คริสอย่าหัวเราะผมสิ ผมอาย...”

     

                “ฮ่าๆๆๆๆๆๆ” พ่นหัวเราะออกมาแล้วฟาดมือลงกับบาร์ด้วยอาการขำสุดเหวี่ยง นี่ถ้าไม่ห้ามเขายังนึกอยากจะลงไปกลิ้งบนพื้นเลยเสียด้วยซ้ำ... ยิ่งว่าก็เหมือนยิ่งยุนั้นแหละ เพราะไอ้ท่าทางการว่าของคยูฮยอนมันช่างน่ารักน่าชังเหลือเกิน

     

                ในเมื่อห้ามอะไรคนเส้นตื้น(?)ไม่ได้ คยูฮยอนก็เลยแสร้งเบือนหน้าหลบไปอีกทางเพื่อเลิกสนใจคนที่ยังหัวเราะไม่เลิกจนหน้าตาแดงเถือกไปหมด แล้วเขาก็เลือกหยุดสายตาเอาไว้ที่ร่างสูงกับกีต้าร์บนเวทีอีกครั้ง

     

                อาจเป็นเพราะฟังพี่คริสเล่ามาก็เลยทำให้เขากล้ามองพี่วอนเต็มตามากขึ้น

     

                ไม่แน่ใจว่าเป็นเพลงที่เท่าไหร่แล้ว แต่บทสนทนาของเขากับพี่คริสก็กินเวลาไปร่วมชั่วโมงซึ่งก็ถือว่านานเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ซีวอนยังคงนั่งบรรเลงเพลงขับกล่อมลูกค้าในผับต่อไปอีกสามสี่เพลงก็เห็นพิธีกรขึ้นมากระซิบอะไรสักอย่างแล้วเบี่ยงตัวลงไปก่อนที่ร่างสูงจะกดไมค์ลงมาอยู่ระดับริมฝีปากอีกครั้ง

     

                “อ่า... ดูเหมือนว่าคืนนี้เวลาของผมจะหมดแล้วนะครับ” เจ้าของประโยคเสียงนุ่มคนนั้นหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบแก้กระหายครั้งหนึ่งแล้วจึงกล่าวคำพูดต่อ

     

    “แต่ว่าก่อนไป... ผมจะขอฝากไว้หนึ่งเพลง มันเป็นเพลงที่ผมไม่นึกชอบสักเท่าไหร่แต่เพราะอยากร้องให้คนๆหนึ่งผมก็เลยไปหาเนื้อมา...” หยุดเสียงของตัวเองลงอีกครั้งเพื่อกลืนก้อนความตื่นเต้นลงลำคอไป

     

    “อาจเป็นการทิ้งท้ายที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่เพราะผมซ้อมแค่สองสามรอบ... ปิดหูก็ได้นะครับถ้ารู้สึกว่ามันไม่เพราะ แต่สำหรับโจวคยูฮยอนผมอยากให้เขาเปิดหูไว้หน่อย...”

     

    “...”

     

    “ถ้าแปลไม่ออกเดี๋ยวคืนนี้กูจะกลับไปแปลให้ฟัง...” เสียงนุ่มนั้นแปรเปลี่ยนน้ำเสียงปกติที่ซีวอนมักจะใช้พูดกับเขาเสมอ คยูฮยอนมองสายตาที่ทอดลงมาด้วยรอยยิ้มเขินๆที่ถูกเรียกชื่อออกมาเต็มปากเต็มคำ เขาหันหลังกลับไปมองพี่คริสที่ควรจะนั่งอยู่แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของพี่ชายคนนั้นเสียแล้วจึงหันหน้ากลับไปมองบนเวที

     

    I have to block out thoughts of you, so I don't lose my head
    ฉันต้องกำจัดความคิดเกี่ยวกับเธออกไปจากหัวเพื่อควบคุมตัวเองเอาไว้


    They crawl in like a cockroach leaving babies in my bed
    ความคิดถึงนั้นมากมายเหมือนลูกแมลงสาบที่คลานไปมาบนเตียงนอน


    Dropping little reels of tape to remind me that I'm alone
    ทิ้งเสียงบันทึกเทปเอาไว้เพื่อเตือนใจว่าฉันอยู่คนเดียว


    Playing movies in my head that make a porno feel like home
    ปล่อยให้ความคิดวนซ้ำเหมือนภาพยนตร์ที่ฉายซ้ำไปมาในบ้าน


     

                คยูฮยอนขมวดคิ้วมุ่นให้กับเสียงเพลงที่มีจังหวะติดไปทางหนักหน่วงที่เขาไม่นึกชอบ เนื้อเพลงเหล่านั้นรวดเร็วเสียจนเขาฟังความหมายของมันไม่ออกแต่ก็พยายามจะหาความหมายของมันในสมองด้วยความรู้ภาษาอังกฤษเล็กๆน้อยๆของตัวเองที่มีอยู่

     

    Hate me today.
    เกลียดฉันวันนี้


    Hate me tomorrow.
    เกลียดฉันวันพรุ่งนี้


    Hate me for all the things i didn't do for you.
    เกลียดฉันเพราะฉันไม่ได้ทำอะไรเพื่อเธอ


    Hate me in ways, yeah ways hard to swallow.
    เกลียดฉันทุกอย่าง ทุกทางที่มันยากจะรับได้


    Hate me so you can finally see what's good for you.
    เกลียดฉันซะ... จนกว่าเธอจะเห็นว่าอะไรดีที่สุดสำหรับเธอ


               

                เงี่ยหูฟังท่อนฮุคของเพลงที่เต็มไปด้วยคำว่าเกลียดอย่างไม่นึกเข้าใจว่าร่างสูงต้องการอะไรกันแน่ ในขณะที่ซีวอนก้มหน้าลงมองหัวกีต้าร์เพื่อดูคอร์ดของมันเพียงครู่วินาทีก่อนจะช้อนดวงตาคมของตัวเองขึ้นมามองเด็กมัธยมห้าที่จับจ้องมาทางเขาไม่วางตา

     

                ร่างสูงหลุดยิ้มออกมาบริเวณมุมปากเมื่อเห็นไอ้เด็กฮยอนของเขาเม้มริมฝีปากด้วยใบหน้างุนงงคงเพราะไม่เข้าใจความหมายของเนื้อเพลงที่เขาเลือกมาสำหรับใช้ขอโทษ...

     

                แต่ช่างเถอะ... บอกแล้วไง ว่าเดี๋ยวจะแปลให้ฟัง

     

                เสียงร้องดำเนินเรื่อยมากกระทั่งถึงท่อนสุดท้ายของเพลง ซีวอนตัดสินใจหมุนเก้าอี้หันมาทางเคาท์เตอร์บาร์เพื่อสบตากับคนที่เงยหน้าขึ้นมองเขาไม่ยอมละออกไป น้ำเสียงของเขาถูกผ่อนให้ช้าลงเหมือนเสียงดนตรีที่เบาลงเพื่อให้คนฟังได้ยินเนื้อความเหล่านั้นได้ชัดเจนเต็มหู

     

    And with a sad heart I say bye to you and wave
    ฉันบอกลาเธอและโบกมือให้เธอด้วยหัวใจที่เศร้าสร้อย

     

    เขาคิดไม่ออก... ว่าถ้าเช้าวันนี้ตื่นมาแล้วพบว่าคยูฮยอนหายไปเขาจะทำยังไง

     

    Kicking shadows on the street for every mistake that I have made
    เตะเงาในถนนให้กับความผิดพลาดที่ได้ทำเอาไว้

     

    วันนี้ทั้งวันเอาใช้ความคิดว่าจะขอโทษไอ้เด็กงั่งฮยอนของเขาอย่างไร

     

    And like a baby boy I never was a man
    ฉันมันเหมือนเด็ก... เด็กที่ไม่รู้จักโต

     

    เคว้งคว้าง หาวิธีไม่เจอเพราะไม่เคยคิดว่าต้องมาขอโทษใครแบบนี้

     

    Until I saw your blue eyes cry and I held your face in my hand
    กระทั่งเห็นดวงตาโศกเศร้าที่มีน้ำตาของเธอ และฉันประคองหน้าเธอเอาไว้ในมือ

     

    แค่นึกถึงภาพที่ใบหน้าหวานนั้นมีน้ำตา... ก็อยากจะย้อนเวลาไปแก้อะไรตอนนั้น

     

    And then I fell down yelling "Make it go away!"
    จนฉันรู้สึกแย่แล้วตะโกนเสียงดังก้องว่า “หยุดคิดได้แล้ว!

     

    จนบางทีก็รำคาญว่าทำไมต้องเอาแต่คิดเรื่องนี้ด้วยวะ!

     

    Just make her smile come back and shine just like it used to be
    แล้วคลี่ยิ้มอ่อนๆออกมาด้วยความสดใสเหมือนอย่างที่เคยเป็น

     

    ถึงจะไม่ได้มีคำว่าขอโทษแต่เขาก็ตั้งใจจะสื่อออกไปแบบนั้น

     

    And then she whispered "How can you do this to me?"
    และแล้วเธอจะกระซิบเบาๆว่า “คุณทำแบบนี้กับฉันได้อย่างไร”

     

    ก็แค่อยากให้ไอ้งั่งฮยอนมีแค่เขาคนเดียวเท่านั้นนี่หว่า...

     

                ทันทีที่เสียงดนตรีหยุดลง เสียงปรบมือก็ดังขึ้นมาแทรกทันที ซีวอนยิ้มออกมาแล้วกรอกเสียงทุ้มกล่าวขอบคุณผ่านไมโครโฟนแล้วดีดตัวเองลงมาจากเก้าอี้ที่ตัวเองใช้นั่งอยู่ เขาค้อมตัวลงปลดปลั๊กเครื่องเสียงที่ต่อกับกีต้าร์โฟล์คของตัวเองออกเพื่อเก็บมันลงกระเป๋าสะพายแล้วก้าวลงไปจากเวทีเงียบๆ ปล่อยให้พิธีกรคนเดิมขึ้นมารับหน้าที่แทน

     

                ขายาวสาวตรงมาที่เคาท์เตอร์บาร์ทันทีเพื่อตรงมาหาเด็กน้อยของเขาที่ตอนนี้หมุนเก้าอี้กลับไปจ้องน้ำผลไม้ในมือของตัวเอง ซีวอนสอดแขนของตัวเองครอบร่างผอมที่คุ้นเคยเอาไว้แล้วก้มใบหน้าลงไปจนชิดกับบ่าแคบของอีกคน

     

                “อ่ะ...” โจวคยูฮยอนส่งเสียงร้องได้อย่างน่ารักน่าชังเหมือนเดิมจนเขาต้องใช้สันจมูกกดลงบนแก้มนุ่มนิ่มนั่นไปเสียหนึ่งครั้ง ฝ่ามือที่ท้าวอยู่กับขอบบาร์เพื่อกักร่างผอมเอาไว้เลื่อนมาจับปลายคางมนของคนที่ชักจะมีบทบาทกับหัวใจของเขามากเกินปกติให้ขึ้นมาสบตากับเขาตรงๆ

     

                “กลับบ้านกัน” ใช้ปลายนิ้วเกลี่ยริมฝีปากสีแดงสดตรงหน้าสองสามครั้งแล้วแนบกลีบปากของตัวเองลงไปเบาๆ  แอบเห็นเด็กนั่นตาโตสักพักก่อนที่มันจะพัฒนาระดับความน่ารักด้วยการปิดเปลือกตาของมันลงมาเมื่อลิ้นของเขาสอดเข้าไปด้านในเพื่อกวัดเกี่ยวกับปลายลิ้นรสหวานของมันอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้

     

                ใครสอนให้โจวคยูฮยอนเอียงคอรับจูบวะ!!

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     เพลงมันประชดมากจะไม่ไหวอ่ะ แต่น้องยอนฟังไม่ออกหรอก เดี๋ยวให้พี่วอนมาแปลให้ฟัง... แปลกันทั้งวันทั้งคืนหรือเปล่าอันนี้ไม่รู้นะ 55555555555555555555555555555555

    พลงที่เอามาชื่อว่า Hate Me ของBlue October นะคะ ^^ มันเป็นวงที่ค่อนไปทางร็อคอ่ะนะ เพลงนี้เราว่าซอฟต์สุดละ 555555555555555555555555

     

    ©
    Tenpoints!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×