ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ( kaihun ) Under the monument is empty .

    ลำดับตอนที่ #8 : CHAPTER SEVEN

    • อัปเดตล่าสุด 19 ก.พ. 59


    Under the monument is empty

    EXO / Kai x Sehun / PG17






    note : ไม่ได้ต้องการเสียดสีหรือพยากรณ์



    VII



                  โลกนี้ไม่มีทางเหมือนเดิม อี้ชิงรู้เช่นนั้นตั้งแต่วันที่คณะรัฐบาลพ่อโดนรัฐประหารและไม่ได้กลับมาทานมื้อเย็นที่บ้านด้วยกัน



                  ตระกูลจางมีประวัติทำงานรับใช้ประเทศมาหลายสมัย นับย้อนไปได้ตั้งแต่ยุคจีนเก่าก่อนที่เจียงไคเช็คกับเหมาเจ๋อตงจะรู้ว่าต้องจับมือกันเพื่อขับไล่ญี่ปุ่น กระนั้นก็ใช่ว่าจะเป็นที่ชอบพอของใครต่อใครสักเท่าไหร่ บรรพบุรุษของเขาสักคนหรือสองคนเคยรับใช้ราชวงศ์หยวนมาก่อนและนั่นส่งผลให้เราถูกประนามกันไปอีกหลายขุม ทว่าหลังจากระบบการปกครองเปลี่ยน ทัศนคติของคนก็เริ่มเปลี่ยนและไม่ว่าจะเป็นไปด้วยอะไรก็ตาม คนตระกูลจางก็สร้างสื่อเสียงด้านบวกในด้านการเมืองมาตลอดหลังกลับเข้าประจำหน้าที่คุ้นเคยอีกครั้ง


                 

                 นั่นทำให้จางอี้ชิงรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนนอกคอกของตระกูลจาง เพราะเขาสนิทกับแบคทีเรียในห้องแล็บมากกว่าพ่อและสมุดแดงบนโต๊ะทำงาน กระนั้นพ่อและแม่ก็ไม่เคยบังคับให้เขาต้องเดินตามตระกูล พวกท่านส่งเสริมทุกอย่างจนเขาประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังเป็นเด็กตัวเล็ก ปริญญาใบแรกด้านจุลชีวะได้มาตอนอายุสิบเจ็ด ใบต่อมาตอนอายุยี่สิบ ก่อนที่เขาจะเลิกสนใจเรื่องนั้นไปเพราะหน่ายจะนับใบอื่นที่ตามมา



                 อี้ิชิงกลายเป็นอาจารย์ที่อายุน้อยที่สุดในภาคชีววิทยาของมหาวิทยาลัยชื่อดัง ที่นั่นเขาได้พบกับผู้คนมากมากมายจากทั้งสถานที่ที่รู้จักและไม่รู้จัก เขามีลูกศิษย์ที่แก่กว่าตัวเองเป็นจำนวนมากแต่ก็สนุกกับการทำเป็นอายุมากกว่าปละปล่อยให้ใครต่อใครเรียกเขาว่าอาจารย์ ชีวิตในรั้วมหาลัยของเขาสงบสุขและเรียบง่ายกระทั่งคณะรัฐบาลของพ่อโดนรัฐประหาร ในวันที่พ่อไม่กลับมาทานมื้อเย็นที่บ้านและแม่ผลักให้เขาวิ่งหนีไปตามทางใต้ดิน บอกให้ไปให้ไกลที่สุดเท่าที่สองเท้าจะวิ่งไปได้ เสียงสั่นของแม่ย้ำว่าจงอย่าขายวิญญาณให้ซาตานที่เอาชื่อพ่อมาขู่



                  แม่บอกว่าพ่อจะไม่กลับมา ไม่จำเป็นต้องรอ แต่จำเป็นต้องรอด



                  ซึ่งถ้าคำว่ารอดของแม่รวมถึงการทนหนาวอยู่ในคุกเย็นเยียบนี้พร้อมกับความแค้นกองสูงเท่าภูเขา อี้ชิงก็ถือว่าตัวเองยังเป็นลูกกตัญญู ไม่อุทิศตนเพื่อราชวงศ์หยวนเหมือนบรรพบุรุษ



                  แม้ว่าบันทึกตรงหน้าจะทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไปสักเล็กน้อยเกี่ยวกับการเลือกทางชีวิต บางทีการที่บรรพบุรุษของเขาเลือกภักดีต่อชาวมองโกลบึกบึนพวกนั้นคงเป็นกรณีเดียวกับที่คริสเลือกเข้าร่วมกับฝ่ายผู้ปกครองของ Blue World พวกเขาไม่ได้เต็มใจทำมันแต่เพราะเห็นลู่ทางบางอย่าง คริสอาจจะไม่ชอบวิธีนี้แต่คงต้องกัดฟันทนเพื่อแลกกับชีวิตของเพื่อนสนิท ในเมื่อเหมาและเจียงต่างก็ยอมจับมือกับเพื่อประเทศจีน



                  แม้ว่ามันจะผิดกฎธรรมชาติ อันเป็นสิ่งที่เขาเสี้ยมสอนลูกศิษย์ทุกคนมาตลอดชีวิตในโลกการศึกษา ทั้งที่แม่บอกไม่ให้เขาขายวิญญาณให้ซาตาน แต่เขากลับทำมันทางอ้อมโดยการยกมันให้คริสแล้วคริสก็ยื่นมันไปเพื่อแลกกับไค



                  ไค อี้ชิงจำชื่อนั้นได้มาตลอดและคงเป็นชื่อหนึ่งที่ต่อให้เขาความจำเสื่อมก็ยังจำได้อยู่ เด็กคนนั้นที่เรียนอะไรก็ไม่ได้เรื่องแต่กลับสามารถประดิษฐ์อะไรต่อมิอะไรได้สารพัดจากการสังเกตข้าวของรอบตัว เหมือนกับพระเจ้าจงใจสร้างความสามารถชุดนี้ขึ้นมาทดแทนความบกพร่องด้านการอ่านของหมอนั่น ไคอ่านหนังสือไม่ออก ความจริงมันไม่แย่ถึงขั้นนั้นแค่ติดขัดและต้องใช้เวลานานกว่าคนทั่วไปหลายเท่าจนเรา (ทุกคน) ไม่อยากรอให้เขาทำมันจึงใช้วิธีให้คนอื่นอ่านให้ฟังแทนมาตลอด



                 นอกจากรับหน้าที่ดูแลข้าวของทุกสิ่งและประดิษฐ์เครื่องใช้ใหม่ๆ ในฐานะพี่ใหญ่สุดของสถานสงเคราะห์นอกเมือง ไคเป็นพ่อครัวที่ดีที่สุด เขาอบขนมปังอร่อยเช่นเดียวกับที่สามารถทำซุปข้นได้นุ่มเหมือนเนื้อกำมะหยี่ ไม่ว่าจะเป็นอาหารคาวหรือหวาน ทุกอย่างที่ออกมาจากครัวของเด็กผิวเข้มคนนั้นไม่เคยทำให้ใครลุกออกจากโต๊ะอาหารก่อนครึ่งชั่วโมงเลยสักครั้ง อี้ชิงจึงไม่ปฏิเสธที่จะใช้เวลาวันหยุดเสาร์อาทิตย์ในสถานสงเคราะห์เพื่อทานอะไรก็ตามที่ไคปรุง



                  อี้ชิงเอ็นดูไค อาจจะเป็นเพราะเขาผ่านร้อนหนาวมามากกว่าจึงทำให้รู้สึกเหมือนอายุของเราห่างกันหลายปี แต่ไคก็รุ่นราวคราวเดียวกับคริส ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ช่วยได้ เขาจะยื่นมือเข้าไปช่วยเสมอ หากไคอยากเข้าใจอะไรสักอย่างที่ละเอียดซับซ้อนและเป็นวิชาการ อี้ชิงก็จะยอมสละเวลาสักชั่วโมงเพื่อเล่าให้เด็กคนนั้นฟัง หากไคคิดอะไรใหม่ๆออกแต่มันยังไม่สมบูรณ์ อี้ชิงก็จะพยายามช่วยแก้ไขมันให้ดีขึ้น หากไครู้สึกแปลกแยกจากคนอื่นที่ได้เรียนหนังสือ อี้ชิงก็สอนไคให้รู้เท่ากับที่เพื่อนคนอื่นรู้เพื่อคุยกับคนเหล่านั้นให้รู้เรื่อง



                  ดังนั้นวันที่เขาตัดสินใจเดินออกไปจากห้องผ่าตัดแล้วบอกให้คริสยุติมันซะ อี้ชิงก็มั่นใจว่าเขาเลือกสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว



                 ชีวิตใน Blue World อี้ชิงเลือกแล้วว่าจะไม่ยื่นมันให้กับไค



                 แต่นั่นมันเป็นความคิดก่อนที่เขาจะพาตัวเองออกมาจากห้องผ่าตัด ก่อนที่เขาจะเริ่มคิดว่าอย่างน้อยพวกมองโกลก็รู้จักไอศครีมกันก่อนชาวตะวันตก


    x x x x x



                   “ไอ้เด็กติงต๊อง!!!”



                   “ผมแค่..”



                   “ยัง!! ยังจะยืนล่อเป้าอยู่อีก!! มุดหัวเอ็งเข้ามาเดี๋ยวนี้เลยไอ้เจ้างั่ง!!” ไอ้เจ้างั่งที่ไม่เข้าใจอะไรสักอย่างรีบดันตัวเองเข้าไปในบานประตูปิดสนิทของร้านขายของเก่าตามคำบอกทันที 



                   จงอินรู้ว่าฮีชอลไม่ใช่คนอารมณ์ดีนัก แต่เขาก็แค่อยากมั่นใจว่าในสถานการณ์วุ่นวายที่มีทหารวิ่งโร่ไปทั่วเมืองแบบนี้ เจ้าของร้านขายของผิดกฎหมายจะยังอยู่ปลอดภัยดี แม้อีกฝ่ายจะส่งข่าวมายืนยันแล้วก็ตามแต่เขาก็ต้องการจะมั่นใจให้ถึงที่สุดและคิดว่าบางทีฮีชอลน่าจะช่วยอะไรได้บ้างในเรื่องที่เขาอยากรู้



                   “ไห้ตายสิ ให้ตายสิ! ไอ้คนที่ไม่เคยรู้อะไรมันก็ไม่เคยรู้อะไรจริงๆ” ฮีชอลเดินบ่นกระปอดกระแปดมาพร้อมกับโถชาและแก้วสองใบ หย่อนตัวลงนั่งที่โซฟากลางร้านรกๆในขณะที่จงอินได้แต่ยืนกุมมืออยู่ข้างชั้นวางของ “เอ้า! เอ็งจะยืนจนรอให้ข้าขายตัวเองเป็นของเก่ารึไงห๊า!! มานั่งสิ!” มือตบปุลงบนโซฟาสองสามครั้ง เห็นฝุ่นลอยคลุ้งขึ้นเป็นละอองจนคิดเอาว่าโซฟานี่คงเป็นของเก่าอีกอย่างที่ฮีชอลขายมันเอาเงินประทังชีวิตเช่นกัน



                   “ผมอยู่นานไม่ได้นะครับวันนี้”



                   “ข้าก็ไม่ให้เอ็งอยู่เกินสิบนาทีหรอกน่ะ” แก้วชาร้อนรินยื่นมาตรงหน้า ให้จงอินได้ยกมันขึ้นจิบเพียงอึกเดียวแล้วก็โดนชิงไปอย่างรวดเร็วด้วยฝีมือของผู้ที่หยิบยื่นมันให้เขา “เวลาแบบนี้... ใครจะอยากมีระเบิดไว้ในบ้านตัวเองกัน”



                   “ผมก็ไม่ได้อยากมาหรอกถ้ามันไม่จำเป็นจริงๆ” จงอินเบ้ปาก “ผมแค่อยากมั่นใจว่าคุณฮีชอลยังอยู่ดี ไม่โดนทำร้าย แล้วก็ผมยังจะได้อ่านแฮ--”



                   “เอ็งได้เล่มห้าแน่นอน ข้าพูดคำไหนคำนั้นอยู่แล้ว! เอาล่ะ ทีนี้เข้าประเด็นเลย ก่อนที่สิบนาทีจะหมด...” ฮีชอลหันมาจ้องหน้าผู้มาเยือนหลังได้ตัดกลางประโยคของคนๆนั้นไปเสียแล้ว จงอินอยากให้ตัวเองรู้สึกไปเองเหลือเกินที่สายตาของฮีชอลดูจริงจังกว่าทุกครั้ง จริงจังเสียจนเขาอดรู้สึกหวาดกลัวไม่ได้ว่าอีกฝ่ายรู้ว่า แท้จริงแล้วการที่เขาพยายามหลบออกมาที่นี่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับแฮรี่พอตเตอร์เล่มที่ห้าเลยสักนิด



                   ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น คิมฮีชอลก็ชักจะน่ากลัวเกินไป



                   “คือ...”



                   “...จะอ้ำอึ้งก็ออกไปเลยไอ้ระเบิดหัวกระสุน!”



                   “คุณจะไม่ด่าผมนะครับ ถ้าผมถามมันออกมา”



                   “ข้าจะพยายามถ้ามันไม่ใช่เรื่องทุเรศทุรัง”



                   “คือผม...” จงอินอ้ำอึ้ง นิ้วเสียดกันไปมาด้วยความกดดันแล้วเอ่ยสิ่งที่ตัวเองอยากรู้ออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ผมอยากรู้เรื่องทางลงไปโลกล่างแบบที่ไม่ต้องผ่านด่านตรวจ”



                   “...”



                   “...”



                   “....ไอ้ฉิบหาย!!!!!!!” ฮีชอลดีดตัวเองขึ้นจากโซฟาหลังจากเบิกตาโตเป็นไข่ห่านอยู่ร่วมนาที ร่างผอมเก้งก้างเดินวนไปวนมาคล้ายกับคนเสียสติ นั่นเป็นครั้งแรกที่จงอินเริ่มคิดจริงๆว่าคุกหอคอยนั่นทำให้คิมฮีชอลไม่สมประกอบ



                   “...”



                   “ใครพูดเรื่องนี้กับเอ็งห๊า!” จงอินไม่รู้เลยว่าอีกคนจริงจังมากแค่ไหนที่ถามออกมาเพราะหลังจากจบประโยคนั้นฮีชอลก็เดินปึงปังไปจากโซฟาไปยังประตูห้องโดยไม่สนใจจะฟังคำตอบ เสียงโครมครามดังออกมาจากด้านนอกมันดังต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน เหมือนฮีชอลพยายามจะพังร้านของตัวเองลงมาให้ได้ เขาจึงตัดสินใจลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินออกไปดูให้มั่นใจ



                   ฮีชอลคงเป็นบ้า เป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ



                   สภาพที่อีกคนปิดประตูหน้าต่างทุกบานจนมองไม่เห็นแสงสว่างทำให้เขาคิดแบบนั้นซ้ำไปซ้ำมา เส้นผมสีทองสว่างชี้ฟูยุ่งเหยิงไปคนละทาง หนักขึ้นเมื่อมือทั้งสองข้างดึงทึ้งมันไปตลอดทางที่เดินหาของชิ้นใหญ่ไปวางไว้ตามประตูหน้าต่าง



                   “คือ...ผมว่า...”



                   “หุบปาก! แล้วย้ายตูดของแกกลับเข้าไปในห้องซะ!! เตรียมตอบคำถามของข้าด้วยว่าเอ็งไปรู้เรื่องนี้มาจากใคร!” จงอินย่นคอให้กับเสียงโครมใหญ่จากการเหวี่ยงชั้นวางของไปกั้นหน้าต่างบานเล็ก เขาไม่อยากจะให้ฮีชอลประสาทเสียไปมากกว่านี้จึงค่อยๆสอยเท้ากลับเข้าไปในห้องด้วยความรู้สึกไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่



                   มันเป็นคำถามต้องห้ามอะไรขนาดนั้น



                   ทนฟังเสียงโครามครามได้ไม่นาน เจ้าของร้านก็โผล่เข้ามาอีกครั้งพร้อมกับโถชาที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม คราวนี้ฮีชอลรินมันลงมาเต็มแก้ว คล้ายจะบอกว่าเราอาจต้องใช้เวลามากกว่าสิบนาทีในการสนทนาครั้งนี้ และจงอินคิดว่ามันคงต้องเป็นเช่นนั้นแน่ๆเพราะว่าฮีชอลเล่นกั้นทุกทางออกไปหมดเรียบร้อยแล้ว



                   “ใครบอกเอ็งเรื่องนี้...”



                   “ผม...” จงอินอ้ำอึ้ง ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าตัวเองจะตอบคำถามนี้ได้แต่พอเอาเข้าจริงๆเขากลับไม่รู้เลยว่าไปได้ยินเรื่องทางเชื่อมนี่มาจากไหน เขาคิดว่ามันมาจากฮีชอลแต่ถ้าเจ้าตัวกำลังถามเขาแบบนั้นมันก็คงผิดพลาด หรือจะเป็นหนังสือสักเล่มที่เคยอ่าน แต่ส่วนมากมันก็มักจะถูกเขียนขึ้นก่อนวันเกิด Blue World ด้วยซ้ำ จะใช่ปาร์คชานยอลหรือเปล่า แต่ก็ไม่น่าเป็นแบบนั้น... เขารู้เรื่องนี้มาก่อนจะรู้จักกับหมอนั่นในห้องประชุมเสียอีก



                   ก่อน... ก่อนหน้ารู้จักปาร์คชานยอล...



                   ก่อนหน้ารู้จักปาร์คชานยอล... คืออะไร... เขามีช่วงเวลาแบบนั้นด้วยเหรอ



                   “ผม...ผมไม่รู้” 



                   “ตายห่า... ตายห่า!” คำตอบเชื่องช้ากับน้ำเสียงสั่นไม่มั่นใจทำให้ฮีชอลอยากจะเอาหัวโขกตั่งขาสิงห์ตรงหน้าแล้วตายไปเลย



                   มันไม่ดีเลย ฮีชอลรู้ มันไม่ดีเลยสักนิด



                   “จะ จะไปไหนครับ...”



                   “นั่งอยู่ตรงนี้ อย่าขยับไปไหน อย่าแม้แต่คิด ยกเว้นคิดจะดื่มชาเวรตะไลนั่น” ฮีชอลลุกขึ้นอีกครั้งแต่ไม่ได้ตรงออกไปข้างนอก เขาพุ่งเข้าไปหาชั้นหนังสือที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังแล้วคุ้ยตำรับตำราหนาเตอะออกมาหลายเล่ม เหมือนเพียงแค่ต้องการอะไรบางอย่างที่สอดอยู่ในนั้น ไม่ใช่ตัวเล่มทั้งหมด



                   ฝ่าเท้าหนักเดินปึงปังกลับมายังโต๊ะตัวเตี้ยพร้อมกับรูปปึกใหญ่อีกนับสิบแผ่น ฮีชอลวางมันกระจัดกระจายลงบนโต๊ะแล้วเลือกหยิบขึ้นมาหนึ่งใบโดยไม่ได้คิดอะไรทั้งสิ้น



                   “นึกสิ ว่าเคยเห็นมั้ย?” มือเรียวชูรูปขึ้นมาตรงหน้าเขา



                   มันเป็นภาพอัดขยายใบเก่า จงอินมองเห็นไม่ชัดเท่าไหร่นักแต่ก็พอรู้ว่าเป็นทุ่งกว้างสีเขียวซึ่งต้นหญ้าสูงผิดปกติไม่เหมือนกับหญ้าในสนามฟุตบอล ตรงขอบไกลๆเหมือนจะมีรั้วเหล็กอะไรสักอย่างห้อมล้อมเอาไว้ อาณาเขตของรั้วแลดูกว้างขวางไม่มีที่สิ้นสุด เขาพยายามจะมองเลยออกไปจากรั้วนั่น แต่ก็ถูกกลบทับไปด้วยความคิดหนึ่งเสียก่อนเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นฐานเหล็กขึ้นสนิมที่โผล่เข้ามาข้างๆ



                   “ผมเคยเห็น...ผมเคย--”



                   “ฝัน...” 



                   ฮีชอลน่ากลัวเกินไป... คำว่าฝันคำนั้น มันน่ากลัวเหลือเกินตอนที่ฮีชอลพูดออกมา ไม่ใช่เพียงแค่เพราะฮีชอลรู้ว่ามันเป็นฝันแต่เพราะเขาเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าอะไรคือฝัน เข้าใจคำนั้นจริงๆ ไม่ใช่ฝันที่เป็นแค่ภาพในตอนหลับอย่างที่เซฮุนบอก



                   ฝันของเขาไม่ได้มาจากจินตนาการ แต่มันมาจากอะไรสักอย่าง... อะไรสักอย่างที่เกิดขึ้นจริง



                   “ผม...”



                   “พูดมันออกมาเดี๋ยวนี้จงอิน...”



                   “ผมฝัน... ผมวิ่งหนีแล้วปีนขึ้นไปที่นั่น...ผม-- ผม...ผมมีสายไฟ”



                   ฮีชอลเชื่อว่าหน้าของตัวเองตอนนี้ไม่ซีดเผือดเป็นไก่ต้มไหว้เจ้าก็คงจะทุเรศที่สุดตั้งแต่มีชีวิตเกิดมา ไม่แน่บางทีคุกนั่นอาจจะทำให้เขาเป็นบ้าไปแล้วจริงๆและมันอาจจะทำให้อะไรหลายอย่างตาลปัตรไปหมด ถึงนึกไปถึงหน้าของไอ้ศาสตราจารย์ประสาทน่ารำคาญที่มีพ่อเป็นนายพลคนนั้นขึ้นมา



                   “อย่าบอกนะว่าไอ้ลังสับปะรังเคแพงๆนั่นอยู่กับเอ็งด้วย...”



                   “...” ความเงียบเป็นคำตอบที่ฮีชอลไม่อยากได้ เขาคิดว่ามันชักจะเกิดความสามารถของเขาเสีย



                   “ขอพระองค์เมตตาลูกด้วย” ฮีชอลหลับตาลงก่อนจะกระทำการสำคัญทางมหากางเขน (Sign of Cross) ด้วยหัวใจสั่นรัว เขาไม่เคยนึกถึงพระเจ้าหนักเท่าครั้งนี้มาก่อน เขาขออย่างเดียวว่าพระเจ้าจะไม่ทิ้งทั้งเขาและจงอินรวมไปถึงเซฮุนอี้ชิงและทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทั้งหมดนี่



                   “ฟังนะคิมจงอิน... ฟังข้าดีๆ... เอ็งกำลังจะต้องรู้อีกสารพัดเรื่องวิบัติห่าเหวต่อจากวันนี้ และที่ข้ากำลังจะบอก นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าได้พูดเพราะฉะนั้นจำทุกประโยคให้ชัดเจน”



                   “...มันจะ--”



                   “เอ็งมีหน้าที่ฟังโว้ย!!” ใบหน้าเรียวขยับเข้ามาใกล้จนจงอินเห็นฮีชอลชัดกว่าทุกครั้ง เขาเพิ่งรู้ว่าที่จริงฮีชอลไม่ได้มีอายุขนาดนั้นแต่มันเป็นเพราะรอยแผลเป็นบนนั้นต่างหากที่ทำให้ผิวของฮีชอลดูเหี่ยวย่น “ข้าขึ้นคุกนั่นเพราะพยายามจะใช้ทางนั้นกลับลงไป... มันคือท่อส่งอาหารขึ้นมาจากข้างล่าง มันจะมีอีกทางที่ไม่ได้เปิดใช้เผื่อไว้ถ้าหากตรงนั้นพัง จะลงไปได้เอ็งต้องลงไปทางนั้น แต่เชื่อข้าเถอะว่าเอ็งจะไม่อยากลงไป ที่นั่นไม่มีอะไรอีกแล้ว ไม่มีอะไรที่เป็นของเอ็งอีกแล้ว...

                   แล้วข้าก็ไม่รู้หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างแต่เอ็งเป็นคนสำคัญ เอ็งทำอะไรหล่นหายไปหลายอย่าง เหมือนหนังสือที่รอดมาจากการเผารูปพวกนี้เอ็งเอาไปให้หมด มันจะทำให้เอ็งนึกอะไรออกไม่มากก็น้อยล่ะวะ แล้วก็ไม่ต้องห่วงข้า หลังจากนี้ไม่ต้องมาหาข้าอีก ข้าน่ะมีคนหนุนหลังเยอะ พวกคนมีตำแหน่งจะไม่ยอมให้ข้าตายเพราะข้ารู้จักพระเจ้าดีที่สุด แต่เขาจะไม่ช่วยเอ็ง เพราะพระเจ้าของเขากับเอ็งน่ะไม่ใช่องค์เดียวกัน”



                   “ผมไม่เข้าใจ...”



                   “ไม่ต้องเข้าใจอะไรทั้งนั้นคิมจงอิน... อย่าให้คนพวกนั้นเจอเซฮุนและอย่าพาเซฮุนกลับลงไป มันจะไม่ช่วยอะไรทั้งสิ้น...”



                   “...”



                   “แค่อย่าตายแล้วรอวันที่สมควร... วันที่พวกผู้ปกครองรู้ว่าพระเจ้าของเขากับเอ็งคือองค์เดียวกัน”



    x x x x x



                   จงอินแผ่ตัวลงบนที่นอนด้วยความเมื่อยล้าหลังจากใช้เวลาทั้งเย็นมองภาพหลายสิบใบที่ฮีชอลให้มาแล้วพยายามเค้นหาสักความคิดหนึ่งแต่กลับไม่พบอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่า มีเพียงอันเดียวที่พอมองออก ทุ่งหญ้าสีเขียวขจีและเสาสนิมเกรอะ เขาพยายามจะไม่คิดเรื่องความฝันน่ากลัวทั้งในห้องผ่าตัดที่เต็มไปด้วยเครื่องมือ ทั้งสนามหญ้าสีเขียวแต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม สมองก็วกกลับไปถึงตรงนั้นจนได้



                   แล้วไหนจะเรื่องทางลงไปโล่งล่าง ชีวิตก่อนหน้าพบปาร์คชานยอล หรือคำพูดประหลาดของเซฮุนที่ชอบบอกว่าเขาอาจจะมาจากโลกล่าง ยังไม่รวมศาสตราจารย์จางที่นอนหนาวน้ำค้างอยู่บนหอคอย ทั้งหมดนี่มันจะมาปะติกปะต่อกันได้ยังไง จงอินไม่เห็นจะเข้าใจ



                   ปี๊บ...ปี๊บ...



                   เสียงกริ่งหน้าบ้านทำให้จงอินต้องรีบดีดตัวขึ้นจากเตียงแล้วพักความคิดเอาไว้เพียงเท่านั้น เขาหยิบเสื้อคลุมมาสวมทับเสื้อกล้ามลำลองของตัวเองเอาไว้ก่อนจะเดินอืดอาดลงไปชั้นสอง ภาวนาขออย่าให้คนหลังบานกระจกเป็นอะไรที่น่ากลัวเลย เพราะการเจอคิมฮีชอลวันนี้ นอกจากจะลืมขอดูพลั่วแล้ว คนแก่สติเฟื่องนั่นยังยัดสารพัดเรื่องใส่หัวเขาจนมันหนักอึ้งไปหมด



                   ทว่าสิ่งที่อยู่หลังบานประตูทำให้นายช่างต้องเลิกคิ้วขึ้น



                   “มาร์ติน?” 



                   จงอินเร่งฝีเท้าตรงไปยังประตูบ้านแล้วรีบเปิดมันออก เขาปรี่เข้าไปหาหุ่นสีแดงของนายแพทย์ประจำตัวซึ่งอยู่ในสภาพดูไม่ได้ เกราะด้านบนทั้งบิ่นทั้งบุบราวกับไปถูกของแข็งกระแทกมาแต่รอยหยักเป็นคลื่นก็โต้แย้งให้ว่ามันคงจะเป็นเลเซอร์มากกว่า หน้าจอสี่เหลี่ยมผืนผ้าสำหรับแสดงผลขึ้นเป็นขีดแถมยังมีรอยร้าวแตกน่ากลัวปรากฎให้เห็น



                   กริ่ก...กริ่ก... กรี๊ก...



                   เจ้าหุ่นเหมือนต้องการจะสื่อสารอะไรสักอย่าง ทว่ามันกลับไม่มีประสิทธิภาพมากพออีกต่อไป แสงสว่างริบตรงกลางลำตัวสั้นหรี่ลงหลายระดับก่อนที่มันจะเริ่มแสดงอาการอ่อนเปลี่ยน โคลงไปโคลงมาให้เขารู้



                   “โอเค...เข้ามาก่อน” ขายาวสาวกลับเข้ามาด้านหลัง หลีกทางให้หุ่นยนต์อเนกประสงค์ตัวน้อยได้เข้ามา เจ้าของเคหะสถานปราดตามองซ้ายขวาตรวจสอบอย่างระแวดระวัง ถึงจะรู้ว่ามาร์ตินทำงานให้กับคริสแต่ในเวลาแบบนี้จงอินก็ไม่อยากจะไว้ใจอะไรทั้งนั้น



                   เขานำมาร์ตินตรงมายังโซฟาก่อนจะเริ่มเปิดแผงควบคุมออกเพื่อตรวจดูความเสียหายภายใน กลิ่นเหม็นไหม้คละคลุ้งเป็นสัญญาณไม่ดีเอาซะเลย เพราะนั่นหมายความว่าเจ้าตัวเปี๊ยกไม่ได้เสียหายแค่ภายนอกแต่ลุกลามไปยันระบบภายใน เพื่อตัดไฟแต่ต้นลม เขาจึงรีบควานหาสายที่ถูกตัดขาดอย่างรวดเร็วและพบว่ามันถูกซุกเละเทะไม่เป็นท่าอยู่ด้านล่างวงจรไฟฟ้าแผ่นใหญ่



                   จงอินใช้เวลาอีกหลายนาทีสำหรับการกู้คืนระบบของมาร์ตินให้กลับมาเป็นปกติ คงเป็นโชคดีของมันที่ยังใช้ระบบปฏิบัติการรุ่นเก่าไม่ซับซ้อนที่เขาคุ้นเคยจึงสามารถทำได้เร็วกว่าปกติ แต่ที่ยากยิ่งไปกว่านั้นคงเป็นสภาพด้านนอกมากกว่า เกราะของมาร์ติดบอบช้ำมากจนนึกสงสัยไม่ได้ว่างานประเภทไหนกันที่คริสใช้หุ่นตัวจ้อยไปทำ



                   “นอนนิ่งๆเลยโอเคมั้ย ขอไปหยิบอะไรหน่อย” เขาจำได้ว่าตัวเองพอจะมีอะไหล่ที่น่าจะนำมาใส่แทนได้ อย่างน้อยก็ต้องหาแผ่นเหล็กโง่ๆสักอันมาปะทับวงจรไฟฟ้าของมาร์ตินไว้ก่อนเพราะมันเป็นเหมือนหัวใจของเครื่องยนตร์ที่โดนสะกิดเพียงเล็กน้อยก็อาจถึงตายได้



                   จงอินก้มๆเงยๆอยู่ในห้องเก็บของนานหลายนาทีกว่าจะเจอเหล็กของโดรนไร้คนขับที่ถ้าหากเอามาตัดขอบให้มนคงพอจะเข้ากับมาร์ตินได้ ทว่าระหว่างที่กำลังหาอุปกรณ์อยู่ เครื่องมือสื่อสารของเขาก็ดังโพล่งขึ้นมาจากห้องนั่งเล่นทำให้ต้องรีบวกกลับไปก่อน



                   อย่าเพิ่งแคะตัวเองสิเจ้านี่... ฮัลโหลครับ” เขากดรับสายของคริสในจังหวะที่หุ่นเจ้าปัญหาแงะชิพอันเล็กออกมาจากช่องในสุดของมัน



                   (ขอโทษที่รบกวนตอนดึกนะจงอิน แต่จะเป็นอะไรไหมถ้าพรุ่งนี้นายช่วยเข้ามาตอนเช้าหน่อย)



                   “พรุ่งนี้เหรอครับ? ครบเดือนแล้วเหรอครับหมอคริส” เขาขมวดคิ้ว พยายามมองหาปฎิทินเพราะรู้สึกเหมือนเพิ่งจะเข้าไปตรวจเมื่อไม่นานมานี้เท่านั้น



                   (อ่า ยังหรอก อันที่จริงต้องอาทิตย์หน้าแต่ฉันคิดว่าคงมีเรื่องให้จัดการยาว เป็นไปได้เลยอยากให้นายเข้ามาก่อนจะดีกว่า)



                   “ไม่มีปัญหาครับ... อ่า...แต่หมอคริสคะ-- เฮ่ย!” โทรศัพท์หลุดออกไปจากมือของเขาด้วยฝีมือของเจ้าหุ่นกระป๋องตัวเล็ก มันสร้างเกาะเป็นแสงเลเซอร์ขาดๆที่ไม่แข็งแรงนักป้องกันตัวเองเอาไว้ตอนดัดเสียงกรอกลงไปเป็นเสียงของเขา



                   (เป็นอะไรหรือเปล่าน่ะ?)



                   “เปล่าครับ ผมตกโซฟา ขอตัวก่อนนะครับหมอ นัดพรุ่งนี้เช้า ผมคงต้องรีบเข้านอน”



                   (โอเคจงอิน ดูแลสุขภาพด้วย)



                   นี่มันฟังชั่นบ้าบออะไรกัน! 



                   “หมอก็ด้วยครับ” พอสัญญาณตัดจบ แสงเลเซอร์อันตรายก็หายไป เจ้าหุ่นกระป๋องทำหน้าอ้อนใส่เขาตอนส่งโทรศัพท์คืนให้ มันอาจจะดูยากสักหน่อยว่าอะไรคือหน้าอ้อนออะไรคือหน้าโกรธ แต่เชื่อเถอะว่าคนที่อยู่กับโดรนเป็นล้านลูกอย่างเขาเข้าใจเรื่องซับซ้อนพวกนั้นอยู่แล้ว



                   “จริงๆเลย แกมันไอ้หุ่นทรยศ” 



                   กริ่ก....



                   อันนี้กำลังเศร้า



                        “อะไรนักหนาฮึ! นี่ไปแอบทำความผิดอะไรมา” ถึงจะไม่เข้าใจท่าทางนั้นสักเท่าไหร่แต่หน้าที่ของเขาในตอนนี้คงเป็นการซ่อมแซมเจ้ากระป๋องแดงให้ฟื้นจากสภาพเฟะๆขึ้นมาเสียก่อน แล้วถึงเวลานั้นเราค่อยว่ากันก็ได้ว่าทำไมมาร์ตินถึงไม่อยากให้เจ้านายของตัวเองรู้ว่ามันมานอนแอ้งแม้งอยู่ที่นี่



                   จงอินนั่งขัดสมาธิลงกับพื้นแล้วเริ่มทำการตัดฝาเหล็กอันเล็กให้เป็นทรงพอดีกัแผงวงจรที่เปิดเปลือยอยู่ เขาใช้เวลาเพียงไม่นานในการแปะมันเข้าไปด้วยไฟหลอมจากเครื่องตัดเลเซอร์เพื่อเชื่อมมันเข้าไป ก่อนจะคว้าเอาผ้าสักพื้นมาเช็ดทำความสะอาดหน้าตาต่อ รอยบากมากมายทำให้เขาเริ่มไม่ถูกว่าควรจะจัดการตรงไหนก่อนดี



                   “ส่งแกเข้าอู่ดูท่าจะเวิร์คกว่า”



                   ฟื้ด....ฟื้ด....



                   อดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นมาร์ตินส่ายหน้าปฏิเสธ จงอินฟาดชายผ้าเข้ากับหัวเหล็กของมันแล้วใช้เศษเหล็กเมื่อครู่ปะลงไปเก็บรอยบากบินเล็กๆน้อยที่เขาพอจะทำได้



                   ระหว่างที่กำลังตั้งใจหลอมแปะแปลสุดท้าย มาร์ตินก็เริ่มอยู่ไม่สุขอีกครั้ง เจ้าหุ่นยนต์ทำตัววุ่นวายกับชิพอันจิ๋ว พยายามสอดมันเข้าไปในเครื่องอ่านแต่ติดว่าแขนของเขาพาดปากทางอยู่ ช่วงแรกๆก็ดูเหมือนจะฟังกันแต่พอใช้เวลานานเข้าหน่อยก็เริ่มขัดขืนด้วยการดิ้นไปดิ้นมาไม่ยอมเชื่อฟัง สุดท้ายจงอินจึงต้องยอมผละออกมาให้เจ้ากระป๋องได้ทำอย่างที่ใจต้องการ



                   “ดื้ออะไรนักหนาฮึ ไม่อยากหายหรือไงกัน”



                   กริ่ก...วี้ดด....



                   “ก็นี่ไงดูอยู่ไง จะโชว์อะไรล่ะ สภาพแบบนี้” 



                   หน้าจอแสดงผลแตกร้าวโชว์ขึ้นเป็นสีขาวโพลนหลังจากชิพเสียบเข้าไปในช่อง แสงสว่างนั้นหายไปในอีกไม่กี่อึดใจถัดมาแล้วแทนด้วยภาพโฮโลแกรมเสมือนจริง เป็นภาพทหารสองคนนอนแอ้งแม้งอยู่บนพื้น ร่างของทั้งคู่เกรียมไหม้จากการถูกไฟช็อต สภาพน่ากลัวขนลุกขนพองทำให้จงอินเผลอเบ้หน้า นึกอยากสบถใส่เจ้าหุ่นติงต๊องนี่ว่าเอาอะไรมาโชว์ให้เขาดูกันแน่



                   แต่หลังจากนั้นมาร์ตินก็เริ่มกรอผ่านจังหวะที่ทั้งสองโผล่พรวดเข้ามาในความมืดแล้วจ่อกระบอกปืนเลเซอร์มาใส่กล้อง ภาพขลุกขลักที่ปรากฎอยู่ไม่ชวนให้สงสัยเลยสักนิดว่าทำไมสภาพของเจ้าหุ่นกระป๋องถึงได้เป็นเช่นนี้



                   “ไปบู๊ที่ไหนมาน่ะ” 



                   พอถามจบคำถามของจงอินก็ได้รับคำตอบ ใบหน้าของใครบางคนปรากฎขึ้นมา ผู้ชายร่างเล็ก ใบหน้าเรียว ขาวผ่องมีรอยบากเป็นแผลบากจากแก้มขึ้นไปถึงแนวขมับ เฉียดหางตาเรียวไปเพียงเล็กน้อย ร่างกายของเขาผอมโซและดูไม่มีวิญญาณ แต่ดวงตากลับอ่อนโยนเสียจนจงอินไม่สามารถละออกมาได้ 



                   “เอานี่ไปให้คริส” 



                   เสียงของผู้ชายคนนั้นสั่นแต่ดูมีอำนาจและอ่อนโยน



                   “ยากหน่อยนะมาร์ติน” แขนเรียวเอื้อมมาลูบที่หัวของเจ้าหุ่นกระป๋องก่อนที่เขาจะถอยตัวเข้าไปเมื่อมีเงาพากมาจากด้านหลัง กล้องของมาร์ตินกลายเป็นภาพขลุกขลัก นายทหารคนหนึ่งถามมาร์ตินว่าเมื่อสักครู่เกิดอะไรขึ้น ในขณะที่อีกคนเล็งกระบอกปื้นเข้าไปด้านในคุกซึ่งเขาเห็นลางๆว่าผู้ชายคนนั้นนั่งขด ตัวสั่นอยู่ เสียงก้องตวาดถามว่าทำอะไรกัน ส่งอะไรกันซ้ำไปซ้ำมา



                   “อย่าบอกนะว่า” สันนิษฐานยังไม่ทันสุดประโยค ภาพการ่อสู้ก็เริ่มขึ้น มันเริ่มจากตอนที่ทหารคนหลังเอาสันปืนฟาดใส่คนที่อยู่หลังซี่กรง มาร์ตินเหมือนสติขาด เลเซอร์ยิงเปรี้ยงตรงใส่นายทหาคนนั้นล้มพับลงไปกับพื้น ต่อจากนั้นจงอินเห็นอะไรไม่ชัดอีกแล้ว ทุกอย่างขลุกขลักเหมือนรถที่ขับไปบนถนนลูกรัง เขาโฟกัสภาพอะไรไม่ได้สักอย่าง รู้เพียงว่าท้ายที่สุด นายทหารเคราะห์ร้ายสองคนนอนไหม้อกับพื้น ส่วนคนในคุกมีเลือดอาบเต็มแก้มแต่กลับนิ่งกอดเข่ายิ้มบางๆ



                   “ไปเร็วเข้า นายอยู่ที่นี่ไม่ได้” น้ำเสียงอ่อนโยนพูดกับหุ่นกระป๋องตอนที่มันเคลื่อนเข้าไปใกล้



                   คนๆนั้นคือ อี้ชิง จางอี้ชิง



                   “ไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว ไม่ต้องห่วงฉันหรอกหน่ามาร์ติน...”



                   กริ่ก



                   “... ไปเร็ว”



                   ภาพโฮโลแกรมดับวูบลงไปเมื่อมันสุดม้วนในขณะที่จงอินกลับรู้สึกเหมือนตัวเองโดนดีดขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วลอยค้างเติ่งอยู่บนนั้น เขาขมวดคิ้วมองหุ่นสภาพล่อแล่ที่นอนส่งสายตาออดอ้อนแล้วส่ายหน้าด้วยไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันกำลังขอร้องให้เขาทำอะไรแบบนั้น



                   “ไม่ดีแน่เจ้าเปี๊ยก...”



                   กริ่ก...กริ่ก...



                   “ฉันควรจะส่งแกกลับไปหาหมอคริสแล้วเราก็ต้องจบคืนนี้... ถ้านายยังไม่รู้อะไรนะ บอกเลยว่าช่วงนี้งานของฉันยุ่งมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเชียวล่ะ” จงอินจ้องกลับตาเขม็ง ถึงเขาจะอยากเข้าไปช่วยอี้ชิงออกมามากแค่ไหนแล้วเค้นถามเรื่องราวของโลกล่างกับเซฮุนออกมาแต่มันต้องมีสักทางที่น่าจะดีกว่าการแหกคุกหอคอยปรำปรานั่นขึ้นไปแล้วกลายเป็นกบฎในชั่วข้ามคืน



                   เขาทำแบบนั้นไม่ได้แน่ๆ ตราบใดที่ยังมีโอเซฮุน จงอินจะไม่เสี่ยงตายกับอะไรทั้งนั้น



                   “แกอย่ามาทำหน้าอ้อน แค่เอาโทรศัพท์ไปดัดเสียงเป็นฉันนั่นมันก็ผิดไปมากแล้ว...” เสียงเข้มดุดันกล่าวอย่างเด็ดขาดแล้วลุกขึ้นยืน “ตัวเลือกสองข้อ หนึ่งนอนพักจนถึวันพรุ่งนี้เช้าแล้วบากหน้าไปเจอคริสด้วยกันแล้วฉันจะช่วยแกตอบคำถามบ้าบอนี่ หรือสอง โดนอุ้มไปหาหมอคริสโดยมีฉันรายงานทุกเรื่องราวของแกให้ฟังอย่างละเอียด....”



                   หากเป็นคนมาร์ตินคงกำลังหวดสายตาไม่พอใจใส่เขากลับมาอย่างโจ่งแจ้ง ทว่ามาร์ตินก็ยังคงเป็นมาร์ตินที่เป็นหุ่นยนต์ สิ่งที่หวดกลับมาจึงไม่ใช่สายตาค้อนเคือง แต่มันเป็นโปรแกรมอ่านข้อมูลพร้อมกับหัวข้อที่ฉายขึ้นมาบนหน้าจอแทน



                   KAI’s Operation



                   ตักอักษรนั่นสะกิดใจเขาได้ระดับหนึ่ง ทว่าสิ่งที่หลุดออกมาจากช่องถ่ายข้อมูลของหุ่นยนต์กระป๋องสีแดงกลับทำให้เขาเริ่มเปลี่ยนความคิด ให้เดาจากสถานการณ์ทั้งหมดมันคงเป็นสิ่งที่อี้ชิงฝากมา



                   1. ฉันต้องการคำอธิบายเรื่องปลูกถ่ายอวัยวะอย่างละเอียด ทุกขั้นตอน

                   2. ตอนนี้จงอิน (ไค) เป็นยังไงบ้าง -- ช่วยดูแลเขา สอนเขาอ่านหนังสือด้วย

                   3. สัญญากับฉันว่านายจะไม่ทำร้ายเซฮุน



                   จงอินอยากคิดจริงๆว่าระบบของมาร์ตินต้องรวนไปแล้วแน่ๆ การต่อสู้คงทำให้อะไรหลายอย่างกระทบกระเทือนและพัง ซึ่งหากเป็นกรณีนั้นบางทีจงอินอาจจะกำลังอยู่ในกระบวนการของการกลายเป็นคิมฮีชอลอยู่แน่ๆ เพราะนอกจากพยายามคิดหาวิธีดารพาจางอี้ชิงลงมา



                   เขาคิดว่าปาร์คชานยอลคงพอช่วยอะไรได้



    x x x x x

    100%

    #UMETKH

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×