คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : field 05
05
ความจริงที่ไม่ใช่ความจริง
คือความจริงที่เราไม่ต้องการให้เป็นจริง
มาร์คัสชะเงัอมองอแกไปนอกหน้าต่างเป็นรอบที่พัน ตั้งแต่ฟ้ายังเป็นสีเทาครึ้มเพราะเมฆฝนจนบัดนี่หยดน้ำที่ก้อนเมฆอมเก็บไว้ตกร่วงลงมาสร้างเสียงเปาะแปะดังระงม เขาก็ยังคงคอยแต่จะมองออกไปนอกหน้าต่างเพื่อมองหาชเวซีวอนอยู่ดี
วันนี้ที่ฟาร์มขอคนไปช่วยต้อนแกะกลับเข้าคอกหลังเลี้ยงมันอย่างปล่อยปละละเลยมาตลอดช่วงฤดูหนาว ตอนแรกซีวอนก็มีทีท่าเหมือนจะไม่ไปแต่พอชเวมินโฮ น้องคนกลางของบ้านขับรถมาเทียบหน้ารั้วพร้อมชวนพูดคุยสารพัดสารพัน ผู้ชายตัวสูงก็จำใจต้องลากบูทหนังของตัวเองขึ้นกระบะคันเก่าอย่างปฏิเสธไม่ได้
มาร์คัสนึกโกรธตัวเองที่ไม่เตือนสองพี่น้องว่าวันนี้พยากรณ์อากาศระบุว่าจะมีฝน ป่านนี้ไม่รู้เลยว่าทั้งสองคนจะเป็นยังไงบ้าง กับชเวมินโฮหน่ะไม่ค่อยน่าห่วงเท่าไหร่ พ่อสัตวแพทย์หนุ่มขายาวคนนั้นคงไม่สะทกสะท้านอะไรแต่ถ้าเป็นชเวซีวอนที่เกลียดเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าและเม็ดฝนหล่ะก็ ดีไม่ดี... อาการเก่าอาจจะกำเริบขึ้นมาได้
เด็กหนุ่มรู้ดีว่ามันสาหัสมากแค่ไหนเพราะเขาเคยผ่านช่วงเวลานั้นไปพรัอมกับซีวอนช่วงฤดูฝนเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว นั่นยิ่งทำให้ร่างบางกังวลและนั่งไม่ติดที่เกินกว่าจะเดินเข้าครัวทำอะไรได้
แต่หลังจากนั้นไม่นานเงาตะคุ่มทั้งสองก็โผล่พาดอยู่ตรงชานระเบียง เสียงของมินโฮตะโกนก้องไปทั่วทำมาร์คัสใจอุ่นใจชื้นขึ้นเป็นกอง ทันทีที่มือเรียวผลักบานประตูเปิดออก สองพี่น้องตัวเปียกมะบอกมะแลกก็พาตัวเองเข้ามาด้านในอย่างว่องไวพร้อมกับเสียงบ่นอุบอิบ
"เดี๋ยวผมเอาผ้าเช็ดตัวให้นะครับ" เสียงหวานเอ่ยบอกทั้งสองคนแล้วรีบวิ่งตึกตักชึ้นไปชั้นสอง กลับมาพร้อมกับผ้าขนหนูกลิ่นหอมผืนใหญ่เพื่อให้สองพี่น้องได้ใช้มันซับน้ำฝนก่อนจะเปียกจนเป็นไข้
"ขอบใจนะมาร์คัส" มินโฮเอ่ยทั้งรอยยิ้มแล้วใช้ผ้าขยหนูขยี้หัวของตัวเองแรงๆจนละอองน้ำกระเด็นไปทั่ว
"สะบัดขนเหรอสัด?" ชเวซีวอนผู้รับเม็ดน้ำเข้าไปเต็มๆหน้าหันไปสบถด่าใส่น้องชายของตัวเองด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความเหนื่อยหน่ายไม่จริงจังนัก แต่สิ่งที่ได้กลับมากลับเป็นเสียงหัวเราะกวนประสาทของไอ้หมอขายาวแทน
"ฮ่าๆๆๆๆๆ เช็ดเองไม่ได้ก็ไปอ้อนให้มาร์คัสเช็ดให้สิ"
"อ้อนเหี้ยไร..." ซีวอนตอบกลับนิ่งๆแล้วใช้มือข้างซ้ายจับผ้าขนหนูขยี้ไปบนหัวด้วยท่าทางทุลักทุเล
ข้อมือข้างขวาของเขาคงใช้งานไม่ได้ไปอีกพักใหญ่ในเมื่อวันนี้มันรับศึกหนักมาขณะต้อนให้แกะเดินเข้าคอกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
รถขนฟางจากไร่ของใครสักคนเบรคแตกและพุ่งเข้ามาหาฝูงแกะของพวกเขา ซีวอนตกใจเมื่อคิดว่าลูกแกะอาจจะได้รับบาดเจ็บ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือเขาเห็นว่าเซฮุนกำลังยืนอยู่ตรงนั้นและสัญชาตญาณบางอย่างก็สั่งให้เขาพุ่งเข้าไปผลักเจ้าเด็กแห้งนั้นจนกลิ้งกระเด็นกันไปทั้งคู่ก่อนที่โอเซฮุนจะหล่นตุบลงมาทับข้อมือข้างขวาของเขาพอดี
"โกโก้ครับ"
“นายนี่ประเสริฐจริงๆให้ตาย" คำพูดของมินโฮทำให้คยูฮยอนหลุดขำได้ไม่ยาก พ่อหมอหนุ่มมักจะพูดอะไรให้เกิดความเป็นจริงด้วยถ้อยคำอลังการของเจ้าตัวอยู่เสมอ
บุคลิกของมินโฮแตกต่างจากพี่ชายคนโตของบ้านอย่างสิ้นเชิง ถ้าชเวซีวอนเงียบได้มากขนาดไหน ชเวมินโฮก็คุยเก่งได้มากขนาดนั้นนั่นแหละ ไม่ต้องเดาให้ยากว่านิสัยเรื่องการพูดจาของสัตวแพทย์ขายาวคนนี้ถ่ายทอดมาจากคุณชเวกีโฮที่ใครต่อใครต่างก็ร่ำลือว่าถ้าอยากได้ที่ดินสักสองสามไร่จากนายทุน แค่ให้คุณกีโฮไปคุยสักสามสี่ประโยคทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น
“เหอะ... กูอยู่โซลจนกลับมามึงก็ยังเยอะเหมือนเดิม"
“แล้วใครจะไปเงียบอย่างมึง... ห่า บางทีกูนึกว่าคุยกับวัวด้วยซ้ำ" เมื่อเห็นว่าสองพี่น้องดูจะมีอะไรให้เถียงกันเยอะแยะมากมาย มาร์คัสเลยเป็นฝ่ายลุกออกไปจากโซฟาเพื่อพาตัวเองไปเตรียมมื้อเย็นซึ่งคาดว่าคงจะได้มีชเวมินโฮมาร่วมโต๊ะด้วยกันอีกคน
“ไปไหน?”
“เอ่อ... เตรียมมื้อเย็นครับ"
“เดี๋ยวสิ เช็ดหัวให้ก่อน ฉันเจ็บแขน" ซีวอนเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของข้อมือที่เขาคว้าเอาไว้อย่างทุลักทุเลและพลิกให้อีกคนเห็นรอยช้ำจ้ำใหญ่ตรงข้อมือ
“ไปโดนอะไรมาครับ?!”
“เซฮุนมันล้มทับ... อ่า เจ็บเป็นบ้าเลย"
“งั้นเดี๋ยวผมไปเอายามาให้ก่อนดีกว่านะครับ"
“อื้ม" ซีวอนครางรับเบาๆก่อนจะยอมปล่อยมือให้อีกคนเดินหายเข้าไปในห้องครัวอย่างว่าง่าย ทันทีที่แผ่นหลังนั้นลับตาหายไป ชเวมินโฮก็เริ่มทำเสียงกิ้วก้าวเป็นการหยอกล้อพี่ชายที่เห็นว่าอาการแบบนั้นไม่ใช่เรื่องเข้าท่าเลยสักนิดจึงฟาดผ้าขนหนูแสกกลางหน้าผากของน้องคนกลางไปเสียหนึ่งที
“โอ้ย..”
“หุบปากซะถ้ายังอยากฝากท้องที่นี่" ซีวอนทำท่าเหมือนจะพูดอะไรต่อแต่ก็ไม่ทันคยูฮยอนที่กุลีกุจอเข้ามาพร้อมกับหลอดยา มินโฮที่มะโนเอาว่าตนเองเป็นส่วนเกินแก้ปัญหาด้วยการลุกเดินออกไปที่หน้าบ้านโดยอ้างว่าเขาควรโทรไปที่บ้านเพื่อปฏิเสธมื้อเย็นและถามไถ่อาการของโอเซฮุน
- - -
“เซฮุนควรจะระวังตัว...”
“โถ่พี่จงอิน ผมไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้ซะหน่อยอ่ะ" เด็กวัยมัธยมปลายนอนคว่ำหน้าอยู่กับเตียงโดยข้างกายก็มีคิมจงอินกำลังละเลงเจลยากลิ่นฉุนไปบนรอยช้ำบนแผ่นหลังและแผลจากการโดนหินบาดกระแทกขณะกลิ้งหลุนลงมาตามความลาดเอียงของภูเขา
“นี่ถ้าคุณซีวอนไม่เคยเป็นนักกีฬามาก่อน เซฮุนต้องเจ็บหนักกว่านี้เยอะแน่ๆหล่ะ" คิมจงอินบ่นไปตามประสาคนเป็นห่วงและในขณะเดียวกันก็นึกขอบคุณความว่องไวของอดีตนักกีฬาบาสเก็ตบอลอย่างชเวซีวอนที่วิ่งเข้าไปดึงลูกชายคนเล็กของบ้านออกมาจากวิถีบิดเบี้ยวของรถได้ทันการณ์ "คราวหน้าต้องสังเกตรอบตัวบ้างนะครับ"
“รู้แล้วหน่า... เอาเสื้อลงได้ยังอ่ะ?”
“ยังครับ... รอยาแห้งก่อน"
“แบบนี้มันหนาวนี่นา" เซฮุนบ่นงุบงิบขณะพลิกตัวเองไปหาจงอินอย่างเกร็งๆเพราะกลัวว่าเสื้อนอนจะร่วงลงไปเปื้อนยาอย่างที่จงอินบอก ปลายคางเรียวเกยลงไปบนหน้าตักกว้างของคนที่สวมกางเกงผ้าฝ้ายลำลองเป็นชุดนอนในคืนนี้ เขาเหลือบมองแผ่นอกสีเข้มและมัดกล้ามของคิมจงอินก่อนจะเลื่อนลูกตาขึ้นไปมองใบหน้าคมสันที่กดลงมาจ้องมองเขาอยู่
“ครับ?”
“พี่มินโฮกลับมายัง?”
“ฮะๆ... ยังหรอกครับ เมื่อครู่เพิ่งโทรมาบอกว่าจะทานมื้อเย็นที่สวนคัทเตอร์กับคุณซีวอนแล้วก็มาร์คัส" ฝ่ามืออุ่นลูบลงบนกลุ่มเส้นผมนุ่มของโอเซฮุนเมื่ออีกคนขยับตัวเอาแขนมาโอบรอบเอวของเขาด้วยท่าทางออดอ้อน
“งั้นพี่จงอินอยู่เป็นเพื่อนผมก่อนน้า.. ยังไม่ต้องไปช่วยพี่มินโฮนี่เนอะ"
“อ่า...”
“ห้ามปฏิเสธด้วย...” คำพูดแสนเอาแต่ใจของโอเซฮุนทำให้เจ้าของผิวสีแทนคลี่ยิ้มออกมาอ่อนๆพลางคิดเอาว่าโอเซฮุนช่างเป็นลูกชายคนเล็กได้สมบูรณ์แบบเหลือเกิน
หากแต่หนึ่งสิ่งที่คิมจงอินไม่เคยรู้คือแววตาของเซฮุนที่เฝ้ามองแต่เพียงพี่ชายคนนี้มาโดยตลอด ถ้าจงอินเป็นคนช่างสังเกตุอีกสักนิดเขาจะพบว่าตนเองเป็นคนเพียงคนเดียวที่เซฮุนพยายามจะรั้งเวลาในการอยู่ด้วยกันให้นานมากที่สุดโดยการเอานิสัยง้องแง้งแบบลูกชายคนเล็กมาเป็นข้ออ้าง และถ้าจงอินได้รับรู้ความคิดของโอเซฮุนได้ ชายหนุ่มอาจจะประหลาดใจที่ได้รู้ว่าฝ่ามือของคิมจงอินคือสิ่งที่เซฮุนเชื่อว่าอบอุ่นที่สุดในโลก
แต่คิมจงอินก็เป็นพี่ชายคนซื่อที่ไม่เคยรู้อะไรเลยสักนิดเดียว
“โอเคครับ... ผมอยู่กับเซฮุนก่อนก็ได้" เสียงทุ้มตอบตกลงแล้วค่อยๆเอนตัวลงข้างเด็กหนุ่มโดยไม่ละมือออกจากกลุ่มผมของอีกคนด้วยซ้ำ
ในทางเดียวกัน ถ้าโอเซฮุนตัดพ้อต่อว่าโลกใบนี้น้อยลงอีกสักนิด
เขาจะพบว่าตัวเองเป็นรอยยิ้มเดียวของคิมจงอินมาโดยตลอด... เป็นเพียงคนเดียวที่ได้รับแววตาอันแสนอ่อนละมุนจากผู้ชายที่เหมือนกับกาแฟไร้น้ำตาลคนนี้
“พี่ว่าพี่ซีวอนเขาใจดีขึ้นไหมครับ?”
“หืม? หมายความว่าไง?"
“ผมหมายถึง พอกลับมารอบนี้พี่ซีวอนดูเหมือนจะ... ใจดีกับผม" เซฮนตะแคงหน้าไปหาคนที่นอนอยู่ข้างตัวอย่างขอความเห็น "แถมยังอยู่นานกว่าทุกครั้งด้วย"
“อ่า คุณกีโฮยังไม่ได้บอกเหรอครับว่าคุณซีวอนย้ายกลับมาอยู่ที่นี่แล้ว...”
“ห๊า?! จริงอ่ะ?!!”
“ครับ"
“ทำไมหล่ะ?” เซฮุนแทบจะดีดตัวเองขึ้นมาพูดคุยแบบจริงจังกับคิมจงอินถ้าไม่ติดว่ามือใหญ่กำลังลูบหัวให้เขาอยู่
“คุณซีวอนมีปัญหาเรื่องการได้ยินก็เลยพักงานครับ"
“อ่า... หมายความว่าพี่ซีวอนจะกลับมาอยู่ที่นี่แล้วเหรอ?”
“ครับ... แต่คงต้องอยู่ที่ไร่คัทเตอร์ไปก่อนตามคำสั่งคุณกีโฮ" พอเห็นเซฮุนตื่นเต้นกับการกลับมาของพี่ชายเขาก็รู็สึกอุ่นใจขึ้นมาระดับหนึ่งว่าเด็กชายยังไม่ล้มเลิกความพยายามในการเข้าหาพี่คนโตของบ้านที่ตัวเองกลัวนักหนา
ช่วงแรกที่เข้ามาในไร่นี้ งานของเขาคือการดูแลโอเซฮุน และแม้แต่ขณะนี้ที่เขาเป็นผู้ช่วยของมินโฮในการตรวจดูโรคให้กับสัตว์ในฟาร์ม การดูแลโอเซฮุนก็ยังเป็นหน้าที่ของเขาอยู่ ซึ่งมันก็ทำให้้จงอินได้รู้ว่าน้องชายคนเล็กของบ้านมีความพยายามอย่างมากในการเข้าหาพี่ชายคนโตสุดของบ้านที่ปรากฎตัวให้เห็นในจอมากกว่าตัวจริง
ปมปัญหาระหว่างสองพี่น้องไม่เคยถูกแก้ไขอย่างจริงจังเสียที เพราะไม่มีใครรู้ว่าจะช่วยทำให้มันดีขึ้นอย่างไร มันเคยย่ำแย่ถึงขั้นที่ซีวอนประกาศกร้าวว่าไม่ต้องการอยู่ร่วมบ้านเดียวกับน้องคนเล็ก ไม่มีใครรู้ตื้นลึกหนาบางว่าเกิดอะไรขึ้นกับทั้งสองคนกันแน่ แต่หลังจากอุบัติเหตุเมื่อเจ็ดปีก่อน ทุกอย่างก็พลิกผันตาลปัตร
ราวกับหินในหุบเหวนั้นพรากเอาบางอย่างจากซีวอนไปไกลเสียแล้ว
“ยังไงคราวนี้ก็คงต้องเลิกกลัวพี่ซีวอนให้ได้เนอะจงอิน” น้ำเสียงน่ารักกับความพยายามนั้นทำให้จงอินอดขยี้ลงบนผมไม่ได้ เขาพยักหน้าตอบรับว่าตัวเองจะคอยเอาใจสู้เหมือนเช่นทุกครั้ง แม้ลึกๆแล้วจะมีความรู้สึกประหลาดที่มันขัดแย้งขึ้นมาเสมอเวลาเซฮุนพูดถึงพี่ชายคนโตของบ้านด้วยแววตาชื่นชมและอยากเข้าหา แม้ชเวซีวอนจะเย็นชาและห่างไกลสักแค่ไหนแต่โอเซฮุนก็ยังคงระลึกถึงเสมอ
แต่กับเขาที่อยู่ข้างเซฮุนมาตั้งแต่ยังเด็ก... ถ้าวันหนึ่งเขาหายไป
เซฮุนจะตามหาหรือเปล่า ยังไม่รู้เลย
- - -
มื้อเย็นของสองพี่น้องจบลงด้วยการนั่งจิบเบียร์ริมระเบียงบ้านซึ่งมีไอละอองฝนเย็นๆพอให้รู้สึกดี กลิ่นดินชื้นลอยเตะจมูกของซีวอนอยู่หลายครั้ง เขาไม่นึกชอบแต่ก็ยังคงนั่งถือกระป๋องเบียร์แล้วทอดมองต้นคัทเตอร์ที่ลู่ลงเพราะน้ำฝนได้นานแสนนาน
“นี่กูนึกว่ามึงหูบอดแล้วนะเนี่ย... ข่าวสมัยนี้แม่งเล่นใหญ่ว่ะ"
“ยัง... ถ้าบอดคงไม่ได้มานั่งคุยกับมึงอย่างนี้"
“แล้วงี้ไม่ต้องไปตรวจแล้วหรือไง?”
“ไม่หว่ะ ขี้เกียจ"
“ทำเป็นวัวเป็นควายไปได้ หาหมอสองสามครั้งแล้วหายเนี่ย" มินโฮยกกระป๋องขึ้นซดรวดเดียวหมด ใช้มือบีบอลูมิเนียมบางๆให้บี้ลงเป็นแผ่นเล็กๆแล้วโยนมันลงไปในถังขยะอย่างแม่นยำ “งี้เพื่อนมึงไม่สาปแช่งโคตรตระกูลเราหมดเหรอวะ? จู่ๆออกมาแบบนี้”
“ไม่หรอก ไอ้คริสมันไม่ไรอยู่แล้วมึงก็รู้"
“แล้วชานยอลกับฮยอกแจ"
“ยิ่งไม่สนอะไรใหญ่ ไอ้ชานก็หามือกลองใหม่ได้แล้วด้วย" ซีวอนเล่าไปตามข้อมูลที่เขาเพิ่งได้รับรู้ล่าสุดจากการโทรไปหาคริส "คนเรามันมีขึ้นมีลง...”
“ตอนแรกกูไม่นึกว่ามึงจะปลงได้นะ"
“ถึงจุดที่มึงฟังแทบไม่ได้ยินเพลงมันก็ต้องทำป่าววะ ฮ่าๆ"
“ฮ่าๆๆ" อาจเป็นเพราะแอลกอฮอลที่ได้รับเข้าไปในร่างกายทำให้ความคิดตรงกันเล็กๆน้อยๆของสองพี่น้องกลายเป็นเรื่องตลกเรียกเสัยงหัวเราะดังลั่นขึ้นมาได้อย่างไม่ยากเย็น
“แต่ถ้ายึดติด ดื้อด้านจะเล่น ก็ต้องแลกกับการไม่ได้ยินอะไรไปตลอดชีวิต... นั่นแหละ คนเรามีขึ้นมีลงเว้ย ลงสวยๆจะดีกว่า"
“นี่เปลี่ยนไปมากเลยนะมึงหน่ะ" มินโฮเหลือบมองพี่ชายที่นั่งเขย่ากระป๋องเบียร์แล้วกระดกขึ้นดื่ม "ยังจำวันที่มึแพ็คกระเป๋าได้อยู่เลย ตอนนั้นยังไงก็จะไปให้ได้...”
“หกปีมันนานอยู่... คิดอะไรได้เยอะเลย" คราวนี้ซีวอนเป็นคนบี้กระป๋องจนแบนบ้าง เขาเอื้อมไปหยิบอีกกระป๋องขึ้นมาส่งให้น้องชายแต่มินโฮก็โบกมือปฏิเสธทั้งสีหน้างงงวย
“เมื่อกี้ว่ากี่ปีนะ?”
“บอกว่าหกปีมันนาน คิดไรได้เยอะ" ซีวอนเน้นเสียงให้ดังขึ้นพลางดึงจุกกระป๋องขึ้นมาแล้วซดเบียร์ลงคออีกอึกใหญ่ในขณะที่ชเวมินโฮตบพนักเก้าอี้แล้วหัวเราะฝืดๆ
“นี่มึงเมาป้ะวะ?” น้องคนกลางเลิกคิ้วขึ้นแล้วโยกหน้าเข้าไปหาพี่ชาย "หกปีเหรอ... ซีวอน ปีนี้มึงจะสามสิบแล้วนะเว้ย มึงอยู่โซล7ปีต่างหาก!"
“เหรอวะ...”
“เออ...”
“...เออ กี่ปีช่างเหอะ ไม่ลืมหน้าพ่อกะหน้ามึงก็พอ" ถึงปากจะพูดเช่นนั้นแต่ซีวอนกลับขมวดคิ้วเสียแน่นแล้วเอาแต่ขบคิดทวนว่าตัวเองไปพลาดตรงไหน "แล้วมึงขับกลับไหวป่ะวะ?”
“ไหว... เออ กูไปก่อนดีกว่า ต้องไปเช็คเรื่องลูกแกะด้วย" จบประโยคสัตวแพทย์ประจำฟาร์มก็ลุกขึ้นจากระเบียงนั่งแล้วเดินเข้าไปตะโกนบอกลาคยูฮยอนในบ้าน ซีวอนได้ยินเสียงหวานตะโกนถามมินโฮว่าขับรถไหวหรือเปล่า นอนที่นี่ได้ แต่เจ้าน้องชายขี้โอ่ก็ยังตบอกตัวเองพร้อมกับบอกว่าแค่นี้สบายมาก
“จิ๊บๆ... นายดูแลพี่ชายฉันดีๆดีกว่ามาร์คัส... เดี๋ยวนี้กลายเป็นตาแก่สมองเสื่อมไปซะละ" ซีวอนถือว่ามันเป็นเพียงคำพูดพล่อยๆจากปากคนกรึ่ม เขาจึงตบหัวมินโฮไปเสียทีนึงเมื่อเดินไปส่งไอ้น้องชายตัวดีขึ้นรถกระบะคันใหญ่ของมัน รอจนเห็นว่าท้ายรถเลี้ยวผ่านโค้งหักศอกไปได้จึงค่อยปิดรั้วเข้าบ้าน
ที่โซฟาเหมือนคยูฮยอนจะกำลังตำอะไรสักอย่างอยู่ ร่างสูงเดินเอากระป๋องเบียร์ที่ดื่มค้างไว้ไปเก็บก่อนจะวกกลับมาหาคยูฮยอนเพราะกลิ่นคล้ายยาสมุนไพรจีนนั่นลอยคลุ้งไปทั่วจนฉุนจมูก
“นั่นอะไรหน่ะ?"
“มันเป็นสมุนไพรแก้ปวดหน่ะครับ... เดี๋ยวคุณซีวอนเอาเข้าไปทาตอนอาบน้ำนะครับ พอกเอาไว้ พอเจอน้ำอุ่นๆก็จะรู้สึกดีกขึ้น" คำบอกของคยูฮยอนเป็นเหมือนคำสั่งให้ผู้ได้รับบาดเจ็บไปอาบน้ำ ซีวอนพยักหน้ารับแล้วเบี่ยงตัวเดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวมาพาดบ่าของตัวเองเอาไว้ เขาลองบิดเอวของตัวเองสองสามครั้งแต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะแย่กว่าเก่า คงเป็นเพราะดันไปนั่งบนระเบียงที่เป็นกระเบื้องแข็งเย็นๆคุยกับไอ้มินโฮอยู่นานสองนานแน่ๆ
“อ่า...” เสียงทุ้มครางหน่อยๆเมื่อรู้สึกเจ็บกับการเอี้ยวตัวกลับมา เขาเดินวกกลับไปหาคยูฮยอนที่โซฟาซึ่งกำลังตักยาออกมาจากฐานบดอันเล็ก
“นี่ครับ...”
“ฉันปวดหลัง คงทาไม่ได้ ไว้วันอื่นดีกว่า...”
“แต่ว่า... ถ้าไม่ทาวันนี้มันจะแย่ลงนะครับ" ดวงตาสีฟ้าช้อนขึ้นมามองตื้อพลางยื่นถ้วยบรรจุยาออกไปข้างหน้าอย่างกล้าๆกลัวๆเพราะสีหน้าของซีวอนเริ่มเข้าสู่สภาวะไม่สบอารมณ์
“เงั้นนายก็มาอาบให้ฉันแล้วกันถ้าจะเอาแบบนั้น!” ซีวอนพูดใส่อารมณ์ก่อนจะเดินเลยไปที่ห้องน้ำ มันอาจะเป็นเพราะความร้อนจากแอลกอฮอลด้วยที่ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดง่ายแต่ก็ช่างเถอะ... เจ็บขนาดนี้ให้มาทาเองก็บ้าะล
กระนั้นเมื่อร่างสูงผลักประตูออกแล้วพาตัวเองยืนหน้ากระจก ภาพสะท้อนจากเบื้องหลังก็ทำให้เขาสะดุ้ง
“เฮ้ย...”
“ก็...ถ้า...คุณเจ็บหลัง...เดี๋ยวผมช่วยทาให้...ก็ได้ครับ" คยูฮยอนเหลือบตาขึ้นมองเพียงวินาทีเดียวขณะพูดประโยคดังกล่าว มือเรียวประคองถ้วยยาสมุนไพรเอาไว้โดยไม่กล้าสบตากับคนตัวสูงที่ตนไม่สามารถคาดเดาอารมณ์ได้เลย
ความเงียบปกคลุมทั่วห้องน้ำคับแคบอยู่สักพักก่อนที่ซีวอนจะโยนเสื้อของตัวเองออกไปพาดไว้กับอ่างล้างมือ เขาพลิกตัวหันกลับมาหาคยูฮยอนที่ยังคงพยายามกลอกลูกปัดสีฟ้าหลบสายตาแล้วปรายมองถ้วยอย่าในมือบางๆอย่างชั่งใจ
“งั้นก็รบกวนนายหน่อยแล้วกัน"
ไม่มีใครพูดอะไรต่อจากนั้นอีก ซีวอนเพียงแค่เดินไปที่อ่างอาบน้ำซึ่งทำมาจากไม้ เขาเปิดน้ำใส่ลงไปในนั้น กึ่งนั่งกึ่งยืนระหว่างรอให้น้ำเติมจนอยู่ในระดับที่พอเหมาะ ฝ่ายคยูฮยอนก็ยืนพิงกำแพงแล้วเอามือคนถ้วยยาเพื่อไม่ให้ตัวเองว่าง
มาร์คัสพยายามกลบเกลื่อนว่ามันไม่มีอะไรทั้งที่หัวใจเขาเต้นแรง
“มันต้องหมักนานไหม ไอ้ยานี่หน่ะ?”
“เอ่อ... ประมาณสิบห้านาทีก็ล้างออกได้แล้วครับ" เด็กหนุ่มตอบคำถามโดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมามองเพราะเขาสัมผัสได้ว่าซีวอนกำลังดึงกางเกงยีนส์ขายาวลงไปกองที่พื้น
ร่างสูงหย่อนตัวเองที่มีเพียงกางเกงบอกเซอร์ลงไปในอ่างอย่างใจเย็นโดยไม่ลืมสะกิดแขนเล็กๆให้เดินตามมา เจ้าของดวงตาสีฟ้าเดินไปที่ด้านหลังของอ่างซึ่งมีก้อนหินที่ถูกดัดแปลงเป็นโต๊ะตั้งไว้สำหรับวางข้าวของเครื่องใช้ มาร์คัสหย่อนตัวนั่งลงไปบนนั้นก่อนจะเริ่มป้ายยาลงไปบนหัวไหล่ของชายหนุ่มเบื้องหน้า
ซีวอนหลับตาลงเมื่อรู้สึกได้ถึงกลิ่นฉุนของยา ความอุ่นในจากน้ำที่หล่ออยู่ครึ่งถังช่วยผ่อนคลายเขาได้มากและยิ่งเมื่อคยูฮยอนกดนิ้วลงบีบนวดก็ยิ่งรู้สึกสบายตัวขึ้นอีกเท่า
ความคิดในหัวนึกไปถึงสิ่งที่มินโฮบอก... เขาอยู่โซลเจ็ดปีงั้นเหรอ... นั่นมันเป็นเรื่องตลกร้ายทีเดียวเพราะเท่าที่จำได้คือ ก่อนกลับมาที่ไร่ เพื่อนๆในวงเพิ่งจะพากันไปเลี้ยงส่งเขาพร้อมกับฉลองครบอายุหกปีของวงไป มันเป็นไปไม่ได้แน่ๆที่พวกเราจะนับจำนวนปีผิดเพราะทุกคนก็รู้ว่ามันคือปีที่หกกันทั้งนั้น
แต่ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงๆหล่ะก็เขากำลังเป็นผู้ชายที่นับอายุตัวเองผิด..
“อ่า... ให้ตายสิ"
“ครับ?” เมื่อได้ยินเสียงงึมงัมของอีกคนมาร์คัสจึงยื่นหน้าเข้าไปถามซ้ำอีกครั้งเผื่อว่าซีวอนจะรู้สึกเจ็บตรงไหนเป็นพิเศษ แต่การขยับตัวเข้าไปกลับทำให้ข้างแก้มของซีวอนเบียดเข้ามาโดนข้างแก้มของเด็กหนุ่มเต็มๆตอนที่ส่ายหน้าปฏิเสธ
“ปละ...เปล่า...ไม่มีอะไรหรอก"
“ถ้าคุณซีวอนเจ็บตรงไหน...บอกนะครับ" เด็กหนุ่มชักใบหน้ากลับมาทันทีก่อนจะเริ่มลงมือนวดอีกครั้งด้วยจังหวะเชื่องช้าเนิบนาบเหมือนเดิม กลิ่นยาลอยหึ่งไปทั้งห้องหลังมันถูกโปะไว้บนบ่าทั้งสองข้างของซีวอนและขณะนี้ก็โดนละเลงด้วยมือเรียวที่คอยบีบนวดของคยูฮยอน
“นายนวดเก่งหว่ะ"
“แหะๆ ผมจำมาจากในทีวีหน่ะครับ"
“ตอนฉันอยู่โซล มีร้านนึงที่ชอบไปบ่อยมากเลยหล่ะ... เขานวดเก่งชะมัด" ทันทีที่ได้ยินคำว่าโซล คยูฮยอนเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจเพราะมันเป็นครั้งแรกที่ซีวอนพูดถึงชีวิตที่นั่นให้ฟัง "ตอนนั้นฉันไปบ่อยมากเลยแล้วก็จะเรียกหาแต่คนๆนั้น... แต่นายรู้ไหมมันบัดซบมากเลย...”
“...”
“เธอถูกขายให้ไปทำงานเป็นโสเภณีอยู่ในตรอกอะไรสักอย่าง"
“อ่า...”
“นั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้ฉันกลับบ้านเลยหล่ะนายรู้ไหม...” ซีวอนเหลือบมองคนด้านหลังด้วยหางตา "ฉันเคยจินตนาการว่าโซลเป็นเมืองที่น่าอยู่ ไม่เคยคิดเลยว่ามันจะมีมุมโหดร้ายได้ขนาดนั้น...”
“...”
“ทั้งที่เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่ฉันไม่รู้สึกเบื่อเวลามอง" ร่างสูงระบายยิ้มออกมาจางๆบนริมฝีปากหยัก หากแต่รอยยิ้มนั้นกลับทำให้คยูฮยอนรู้สึกตัวเล็กลงมากกว่าเดิม มือเรียวผ่อนน้ำหนักมือให้เบาลงกว่าเดิมไม่ใช่เพราะกลัวอีกคนเจ็บแต่เพราะเขาไม่มีแรงจะกดย้ำลงไป
“แบบนั้นมันแย่มากเลยจริงๆนะครับ" เด็กหนุ่มพยายามพูดอะไรสักอย่างออกไปกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเองที่เหมือนกำลังตกลงไปในหุบเหว
“มันแย่มากเลยหล่ะ... ทุกคนที่นั่นเข้าหาฉันเพราะเงิน"
“...”
“ฉันก็เลยไม่ชอบให้ใครเข้าใกล้ ไม่ค่อยอยากอยู่ใกล้ใครเท่าไหร่" ซีวอนเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของสัมผัสบนหัวไหล่ “แต่มันประหลาดมากตอนฉันเจอหน้านาย นายไม่เหมือนคนอื่นเท่าไหร่...”
“ครับ?” มือเรียวขยับขึ้นมาประคองศีรษะของอีกคนเอาไว้ในมือ เปลี่ยนจากหัวไล่มานวดคลึงเบาๆที่ขมับและก็รอฟังคำพูดของซีวอนไปพร้อมๆกัน
“นายทำให้ฉันรู้สึกว่าการอยู่คนเดียวมันไร้ประโยชน์" เสียงทุ้มกล่าวทั้งที่ดวงตายังปิดอยู่ สมองของเขานึกภาพวันแรกที่ย่างเหยียบเข้ามาในไร่ด้วยความเต็มใจแบบไม่ค่อยเต็มใจของตัวเอง นึกถึงวันนี้ที่ไร่ตอนต้อนแกะแล้วคิดว่าเย็นนี้ถ้าเปิดประตูเข้าไปก็คงได้เจอเด็กฟ้ายืนคนสตูในหม้อ
มันอาจเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอลที่ดื่มไปมากมายจนทำให้เขารู้สึกอยากบอกคยูฮยอน
“...”
“นายคงเป็นพรวิเศษจริงๆนั่นแหละ" ดวงตาคมเปิดขึ้นจ้องด้วงตาสีฟ้าที่กดมองลงมา เทั้งคู่จับจ้องกันอยู่เช่นนั้น ระยะห่างระหว่างใบหน้าลดลงเพราะโครงหน้าเรียวของคยูฮยอนถูกฝ่ามือหนาอุ่นประคองเอาไว้ให้โน้มต่ำลงมาจนปลายจมูกของทั้งคู่ชนติดกัน
และอีกไม่กี่อึดใจริมฝีปากของทั้งสองก็แตะกันแผ่วเบา
กลีบปากฉ่ำของเด็กหนุ่มถูกเม้มคลึงโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอย่างไรจึงได้แต่ปล่อยให้ตัวเองโดนแทะเล็มอยู่เช่นนั้น ผิดกับซีวอนที่รุกหนักมากขึ้นด้วยการส่งปลายลิ้นชื้นเข้าไปในโพรงปากอุ่นแล้วกวาดกว้านไปทั่ว ริมฝีปากทั้งบนและล่างทาบกันจนสนิทยามที่ซีวอนดุนดันปลายลิ้นของอีกฝ่าย ปลายนิ้วโป้งสากกร้านเกลี่ยไล้ไปตามข้างแก้มขาวนวลของอีกคนอย่างอ่อนโยน
คยูฮยอนเป็นอิสระจากริมฝีปากของอีกฝ่ายก็ตอนที่ตัวเองรู้สึกหายใจไม่ออกและต้องมานั่งหอบจนตัวโยน เขาเบิกดวงตาสีฟ้ากว้างเมื่อนึกได้ว่าเมื่อสักครู่เกิดอะไรขึ้นพร้อมกับใช้ความพยายามจัดการเสียงหัวใจของตัวเองที่มันเต้นถี่รัวไร้จังหวะ
อย่างไรก็ตามนั่นไม่สามารถช่วยอะไรได้สักนิด
ในเมื่อซีวอนดึงใบหน้าของเขาลงไปประกบจูบอีกครั้งและมันหวานมากเกินกว่าจะควบคุมตัวเองให้เป็นปกติ
- - -
05012016
#fieldwonkyu
ความคิดเห็น