คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : Coagulation IV
{ Coagulation }
เหตุผลของความดี
อาจเป็นความชั่ว
“อึก... มึง... มึงใส่.. ยากู !” คำพูดแต่ละคำเค้นออกจากลำคออู๋อี้ฟานที่ใช้ดวงตากร้าวแข็งอันเต็มไปด้วยความโกรธเคืองของตัวเองจับจ้องไปยังพยอนแบคยอนที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ฝ่ามือเล็กๆของแบคยอนปลดเสื้อคลุมอาบน้ำสีขาวออกแล้วหย่อนตัวลงบนหน้าตักกว้างของเพื่อนสนิทซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ในห้องพละ
“ก็นายไม่ทำตามใจฉันสักอย่าง” ดวงตาร้ายกาจปรายมองลงมา แบคยอนกัดริมฝีปากของตัวเองพร้อมกับที่วางฝ่ามือลงบนขอบกางเกงของเขา คริสใช้ความพยายามทั้งหมดในการข่มกลั้นอารมณ์ดิบเอาไว้ แต่มันก็ดูเหมือนจะไม่มีทางสำเร็จเลยเมื่อมือเล็กๆของอีกคนสอดลึกลงไปใต้ร่มผ้า
“มึง...บ้า! บ้า...ที่สุด อือ...”
“ฉันคิดกับนายแค่เพื่อน...อี้ฟาน... แต่ฉันต้องยอมเปลืองตัวเพื่ออิสระของฉัน...”
“อื่อออ...”
“เป็นนายก็ยังดีกว่าเป็นคนอื่นหน่า จริงมั๊ย?” แบคยอนรูดกางเกงขายาวลงไปที่หัวเข่า ริมฝีปากบางครอบครองแก่นกายซึ่งตั้งขืนอยู่ คริสพยายามจะสะบัดหนีแต่ฝ่ามือของเขากลับกดขยุ้มบนกลุ่มผมของคนตรงหน้าแทน ความต้องการอันมากล้นทำให้ร่างสูงใหญ่ไม่สามารถอนตัวเองคืนขึ้นมาจากบ่วงตัณหาได้
รู้สึกตัวอีกครั้งเขาก็เป็นฝ่ายกดแบคยอนลงไปกับโต๊ะไม้คล้ายเตียงแล้วกระชากชุดคลุมออกจากร่างนั้น ริมฝีปากหยักซุกไซร้ลงบนต้นคอขาวผ่อง ขบเม้มเบาๆโดยไม่คิดสร้างรอย... อุ้งมือประคองส่วนอ่อนไหวของอีกคนเอาไว้แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะลากนิ้วต่ำลงไปด้านหลงแล้วจับขาเรียวขาวแยกออกเสีย
“อื้อ... อี้...อี้ฟาน” ปลายนิ้วกดแทรกเข้าไปด้านในแล้วควานทั่วเพื่อหาจุดกระสัน แบคยอนชันตัวเองขึ้นมามองภาพตรงหน้าด้วยความพึงใจ ฟันหน้าขบริมฝีปากล่างของตัวเองเสียแน่นในขณะที่มืออีกข้างก็กดพิมพ์ข้อความส่งหาคนที่เขาต้องการให้เห็นภาพนี้มากที่สุด
คุณกำลังส่งข้อความถึง จงอินของพยอน
ที่รักครับ... มาหาผมที่ห้องพละหน่อยสิ
อี้ฟานไม่รู้ว้าประตูแง้มออกตอนไหน เสียงครางของเพื่อนสนิทตัวเล็กก้องอยู่ในโสตประสาทของเขาและลบทุกความสนใจออกไป แต่หลังจากนั้นก็มีเสียงฟาดประตูลงอย่างหัวเสียปลุกเขาขึ้นมาจากความมัวเมา เขาช้อนตาขึ้นมองเจ้าของร่างเปล่าตรงหน้า ดวงตากลมดูมีความสุข.... ซึ่งคริสแน่ใจว่าไม่ได้สุขเพราะได้ปลดปล่อยความต้องการของตัวเองออกมาเป็นแน่
“ฮ้า... ฉันจะหลุดพ้นแล้ว...” ร่างเล็กทิ้งตัวเองลงบนพื้นเย็นเฉียบของห้องพละในขณะที่เขาถอนกายออกมา ฤทธิ์ของยาปลุกที่ดำเนินมากว่าชั่วโมงซาลงไปแล้ว... แบคยอนผู้หลุดพ้นหลับตาพริ้มลงท่ามกลางลมหายใจหอบของตัวเอง ในขณะที่อู๋อี้ฟานผู้เป็นได้แค่เครื่องมือก็จำใจต้องกัดฟันทนรับบาปของตัวเองต่อไป
- - -
คริสจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เขาแตะบุหรี่คือบ่ายแก่ระหว่างช่วงปีหนึ่ง ที่ริมถนนเลียบแม่น้ำฮัน หลังจากที่ใบรับรองแพทย์ของหมอระบุว่าปอดของเขาไม่อาจทานทนต่อสารเสพย์ติดนี่ได้... และมันทำให้เขาต้องตัดใจอย่างเด็ดขาด
แต่วันนี้เขาก็ต้องพึ่งนิโคตินอัดแท่งอีกครั้ง กลุ่มควันและกลิ่นที่คุ้นเคยลอยเข้ามาในจมูก ความรู้สึกแรกมันช่างน่าขยะแขยง... แต่พออัดควันเข้าปอดเป็นครั้งที่สอง เขาก็เริ่มคุ้นกับมันมากขึ้นและตามมาด้วยครั้งที่สามสี่ห้า
ดวงตาคมเบนมองไปยังร่างของใครบางคนที่ทำเสียงกุกกักมาจากเตียงนอน เซฮุนยันตัวขึ้นมาจากผืนเตียงโดยไม่ได้ใส่ใจสภาพเปล่าเปลือยของตัวเองเลยแม้แต่น้อย ร่างผอมบางก้มลงหาผ้าเช็ดตัวหรืออะไรสักผืนที่จะช่วยกำบังกายของตัวเองด้วยท่าทางงุ่นง่านก่อนจะเริ่มส่ายสายตามองไปมาเสียทั่วห้อง
กลุ่มควันก้อนสุดท้าย (เขาสาบานกับตัวเองแบบนั้น) ลอยคลุ้งเมื่อริมฝีปากหยักพ่นมันออกมา อี้ฟานมองไอควันที่ค่อยๆจางหายเมื่อลมหนาวหอบมันผ่านออกไป เขาหันมองคนที่หันหน้าซ้ายทีขวาทีไปมาอย่างน่ารักก่อนจะตัดสินใจกดมวนบุหรี่ลงไปในกระถางต้นไม้ที่แขวนอยู่ในระดับหัว เป็นจังหวะเดียวกับที่โอเซฮุนนหันมามองทางระเบียงแล้วส่งยิ้มออกมาคล้ายโล่งใจ
ขาเรียวที่พ้นผ้าเข็ดตัวผืนสั้นก้าวออกมายังบานหน้าต่าง อากาศหนาวเย็นข้างนอกทำให้ร่างสูงอยากจะต่อต้านการเดินมาของใครอีกคนเสียเต็มอก แต่เขาก็ทำมันไม่ทันเมื่อโอเซฮุนใช้ฝ่ามือเรียวยาวผลักบานประตูกระจกแล้วออกมายืนประจันหน้ากับเขาสียแล้วในวินาทีนี้
“หนาวขนาดนี้ฮยองออกมาทำอะไรครับ” เป็นคำถามที่เขาไม่ได้คาดคิดว่าจะได้ยินออกมาจากริมฝีปากบาง กลิ่นบุหรี่ทำให้ใบหน้าหวานเผลอย่นเข้าหากันแล้วตวัดดวงตาขึ้นมองเขาอย่างฉับพลันทันทีที่ตัวเองพูดจบ... ซึ่งคริสในฐานะเจ้าของห้องก็ทำได้เพียงแค่ไหวไหล่เบาๆแทนคำตอบ
“...เพราะมันหนาวไงหล่ะ”
“ฮยองสูบบุหรี่” คนตาไวมองลอดเข้าไปในกระถางต้นไม้ที่มวนบุหรี่ยังปักค้างอยู่กับก้อนดิน คิ้วเรียวที่ขมวดเข้าหากันบอกได้ว่าเซฮุนไม่พอใจเท่าไหร่ที่รู้ความจริงข้อนั้น อย่างไรก็ตามร่างบางก็ยังคงใจดีใช้มือของตัวเองเกลี่ยลงมาบนผิวหน้าของเขาอย่างไม่นึกรังเกียจ “มันไม่ดีเลยนะครับ”
“อ่า ฉันรู้... แต่มันก็ทำให้อุ่นขึ้น”
“ข้างในห้องก็อุ่นนะครับ” กายบางสั่นเทิ้มเมื่อสายลมหนาวพัดผ่านผิวเปล่าไป กระนั้นโอเซฮุนก็ยังคงรั้นต่อความจริงแล้วก้าวเท้าออกมาจากพื้นไม้ปาร์เก้เพื่อเหยียบย่างบนกระเบื้องหิน ผิวเท้าบางสัมผัสกับพื้นสีน้ำตาลอ่อนที่อมความเย็นเยียบเอาไว้จนเขาสะดุ้งตัว
“...”
“ถ้าข้างนอกหนาวฮยองก็ควรจะอยู่ข้างใน”
“...” เจ้าของกายสูงรู้สึกเหมือนตัวเองถูกดูดเสียงทิ้งไปจากลำคอ อู๋อี้ฟานกลืนน้ำลายลงไปเพื่อหวังว่ามันจะคืนสภาพปกติของเขากลับมา แต่ดูเหมือนว่าเสียงทุ้มก็ยังคงล่องลอยอยู่ที่ไหนสักแห่ง ดวงตาคมจึงทำได้แค่สบมองลงมายังใบหน้าหวานที่แหงนขึ้นมองเขา
“หรือฮยองอึดอัดที่ต้องอยู่กับผมครับ...”
“ไม่... ไม่ใช่แบบนั้นหรอก” คำถามจากริมฝีปากบางเปล่งออกมาท่ามกลางความเงียบซึ่งก่อตัวได้สักพัก คริสทาบมือของตัวเองลงที่หลังฝ่ามือของอีกคนซึ่งยังคงวางอยู่บนใบหน้าของเขา แววตาของเซฮุนกำลังสั่นไหว และมันช่างมีความหมายมากมายอัดอยู่ในนั้น...
เป็นครั้งแรกที่เขาไม่รู้สึกว่ามันว่างเปล่า
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเข้าใจ”
“ไม่ใช่แบบนั้นเลยเซฮุนนา...”
“ผมขอร้องเถอะครับ ผมอาจจะน่ารำคาญไปสักนิด... แต่อย่าเพิ่งไล่ผมไปตอนนี้เลย” เสียงหวานเปล่งออกมาอย่างยากลำบาก ดวงตาคู่กลมไม่กล้าจ้องมองเจ้าของแก้มที่เขายังทิ้งสัมผัสเอาไว้ด้วยสายตาตรงไปตรงมา โอเซฮุนจึงเลื่อนมันไปเบื้องหลังเพื่อมองผืนฟ้าในยามเช้าตรู่ซึ่งยังไม่สว่างมากนัก.. และเขาเห็นใบหน้าของจงอินยิ้มอยู่ตรงนั้นอีกแล้ว
“...”
“ผม... คิดว่า.... ผมเจอหัวใจของผมแล้ว...”
“เซ...”
“ช่วยประคองมันไว้อีกสักพักนะครับ... อย่าเพิ่งเขวี้ยงมันออกไปเลย คริสฮยอง... ช่วยถือหัวใจของผมไว้ก่อนนะครับ” เขาไม่รู้ว่านั่นเป็นคำร้องขอที่ดีมากพอหรือเปล่า แต่โอเซฮุนก็เปล่งมันออกมาจากหัวใจข้างในจริงๆ มันเป็นคำพูดที่ซื่อสัตย์ต่อหัวใจตัวเองมากที่สุดนับจากวันที่คิมจงอินจากไป...
ดวงตากลมยังคงมองไปบนผืนฟ้า ใบหน้าของจงอินแย้มยิ้มอย่างมีความสุขจนเซฮุนเผลอนึกสงสัยว่าอะไรที่ทำให้คิมจงอินสามารถยิ้มได้กว้างขนาดนั้น... ก่อนที่ใบหน้ากลมนั้นจะหายไปเพราะสัมผัสอุ่นที่รัดร่างผอมบางเข้าไปไว้ในอ้อมอกและเสียงกระซิบเบาๆแนบลงข้างใบหูและทำให้ก้อนเนื้อตรงอกซ้ายเต้นรัวขึ้นมาได้
“ถ้านายยังวางมันไว้ในมือฮยอง... ฮยองก็จะถือมันไว้จนกว่านายจะคว้ามันคืนไป”
- - -
พยอนแบคยอนเปิดเปลือกตาขึ้นมาจากความมืดและเสียงกรีดร้องที่ก้องไปทั่วโสตประสาท แม้ว่าเขาจะลืมตาขึ้นมาแต่ภายในห้องที่ดูไม่คุ้นตานั้นก็ยังคงเต็มไปด้วยความมืดอีกเช่นเคย ใบหน้าหวานสวยเบนซ้ายเบนขวามองหาเครื่องบอกเวลาบนฝาผนังและเขาก็ไม่พบมันในที่เดิมที่มักจะพบ... นั่นยิ่งตอกย้ำว่าผืนเตียงนุ่มเบื้องหลังนี่ไม่ใช่ผืนเดียวกับที่ห้องนอนของตน
ปาดมือควานไปรอบหมอนนุ่มแล้วเขาก็พบเครื่องมือสื่อสารของตัวเองวางอยู่ตรงนั้น นิ้วเรียวสัมผัสลงไปบนปุ่มข้างเครื่องเพื่อปลดล็อคมันออก... ตัวเลขบนหน้าจอบอกเวลา 03.29 นาที พร้อมกับข้อความเข้าหนึ่งข้อความจากโอเซฮุน... ลมหายใจพรูออกมาจากปลายจมูก แบคยอนพบว่าเขาเหนื่อยเกินกว่าจะเปิดอ่านอะไรทั้งนั้นจึงตัดสินใจวางโทรศัพท์ของตัวเองลงไปที่เดิม
มืออีกข้างขยับห่างออกจากตัวไปเล็กน้อยแล้วมันก็ปะทะเข้ากับผิวเนื้ออุ่นของใครบางคนที่ส่งเสียงลมหายใจจางๆมาให้ได้ยิน โดยไม่ต้องผินใบหน้าไปดูให้เมื่อยคอเขาก็พอจะรู้ว่านั่นคือลมหายใจของปาร์คชานยอลซึ่งสามารถทำให้หัวใจเย็นเฉียบในอกนั้นกลับมาอุ่นได้อีกครั้ง
ร่างเล็กพลิกกายตะแคงไปมองคนที่กำลังหลับพริ้ม เรือนผมสีน้ำตาลเข้มจัดที่ปรกลงมาบนหน้าผากไม่ได้บดบังความเจิดจรัสของชานยอลท่ามกลางความมืดได้เลย ปลายนิ้วเรียวยกขึ้นเกลี่ยมันออกจากเส้นคิ้วสีดำของอีกคนก่อนจะนอนฟังเสียงลมหายใจเข้าออกที่เขารู้สึกว่ามันไพเราะเหลือเกิน
ผู้ที่โดนจ้องอยู่คล้ายกับจะรู้สึกถึงแรงขยับของคนด้านข้าง ชานยอลลืมตาขึ้นมาและเขาก็พบว่าคนข้างกายได้พลิกตะแคงเข้ามาหาเขาเสียแล้ว ร่างผอมเล็กที่แสร้งหลับตาอยู่มีรอยยิ้มจางๆบริเวณมุมปาก ซึ่งมันทำให้หัวใจของปาร์คชานยอลเหมือนจะเต้นเป็นปกติอีกครั้ง เขากดริมฝีปากลงแนบที่ปลายจมูกรั้นเพื่อปลุกคนขี้แกล้งให้ตื่นขึ้นมาประจันหน้ากับเขาเสีย
“อื่อ...”
“แกล้งหลับหรอกใช่ไหม” เสียงแหบพร่าเอ่ยคำถามที่ตัวเองรู้คำตอบดีออกไป ท่อนแขนแกร่งวางพาดไปบนลำตัวของอีกคนแล้วโอบร่างนั้นเข้ามาให้ใกล้มากขึ้นกว่าเดิม เสียงหัวเราะคิกคักของแบคยอนกระทบเข้าที่ใบหูอีกครั้ง แล้วมันก็ทำให้ชานยอลไม่สามารถห้ามรอยยิ้มของตัวเองไว้ได้
“...คึคึ”
“ลูกหมาพยอนจอมเจ้าเล่ห์~” ใบหน้าเรียวซุกลงที่ซอกคอของอีกฝ่าย กลิ่นแอมโนเนียที่จางไปแล้วยังคงติดอยู่บนเรือนกายนั้นแต่ชานยอลก็ไม่ได้รู้สึกระแคะระคายสักเท่าไหร่ บางทีแบคยอนที่ไม่มีกลิ่นหอมเย้ายวนอาจจะทำให้เขารู้สึกหลงรักได้มากกว่านี้ก็ได้
“ฮะๆ....” รอยจูบที่ประทับลงบนลำคอทำให้ร่างเล็กหวนนึกไปถึงภาพเมื่อช่วงเย็นวาน ความรู้สึกชาวาบแล่นริ้วไปบนผิวกายของเขาเหมือนจะตอกย้ำความเจ็บปวดของมันที่ปรากฏขึ้นมา ริมฝีปากอ้าออกเหมือนจะเปล่งคำถามออกไปแต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเก็บคำถามนั้นเอาไว้กับตัวแล้วสนใจเพียงแค่ลมหายใจอุ่นๆของชานยอลที่เป่ารดอยู่ตรงต้นคอกับอ้อมกอดอุ่นๆที่ในเวลานี้เขาคือเจ้าของก็พอ
“อย่าป่วยอีกนะ... พยอนของชยอล”
“...”
“ต้องดูแลตัวเองรู้ไหม” ดวงตาเรียวผละมาสบมองกับใบหน้าของเขาท่ามกลางความมืด แบคยอนไม่แน่ใจหรอกว่าชานยอลมองเห็นเขาชัดเจนแค่ไหน แต่มันไม่สำคัญเท่ากับที่เขามองเห็นชานยอลชัดที่สุดแล้วบนโลกใบนี้ ใบหน้าหวานพยักรับคำสั่งกำชับนั้นก่อนจะกลับไปซุกตัวในอกกว้างอีกครั้ง
“อื้อ... แต่ชยอลต้องคอยดูแลพยอนด้วยนะ”
“ครับ... ชยอลจะดูแลพยอนเอง”
“ชยอลนี่น่ารักที่สุดเลยน้า~” กลีบปากสีแดงจัดกดจูบลงอีกครั้งบนแผ่นอกกว้างที่ในเวลานี้มันเป็นของเขา... แบคยอนจะไม่สนใจแล้วว่าหัวใจที่เต้นรัวอยู่ในออกกว้างนั้นมีใครอยู่ในนั้นบ้าง รู้เพียงว่าหัวใจของเขาอยู่ที่ชานยอลก็เพียงพอแล้ว
เขาไม่เหลือสิทธิ์จะทวงถามความรักมากมายขนาดนั้นอีกครั้งหรอก
การเอาความรักจากคิมจงอินมาเล่นสนุกมันก็สร้างตราบาปให้เขามากเกินไปแล้วจริงๆ
- - -
“หายแล้วเหรอ ?”
“อื้อ !”
“นี่พยอน... ถามอะไรอย่างสิ” คริสที่ทิ้งตัวบนสนามหญ้าปราดมองไปยังร่างเล็กกระทัดรัดของเพื่อนซึ่งนั่งลงข้างๆพร้อมกับไอศกรีมในมือ ดวงตากลมของเพื่อนสนิทที่กำลังจะถูกยิงคำถามก้มลงมองเขาอย่างใคร่รู้ใคร่สงสัย
“อะไรหล่ะ ?”
“คิมจงอินหน่ะ... รักนายมากขนาดไหนเหรอ ?”
“อ่า... ฉันจะไปรู้ได้ยังไงกัน”
“เหรอ...”
“ฉันไม่ได้สนใจหรอกว่าใครจะรักฉัน... ฉันสนแค่ว่าฉันรักใคร”
“...”
“ฟังดูเห็นแก่ตัว แต่การแสร้งรักตอบมันก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่หรอกนะ” ไอศกรีมเย็นถูกส่งเข้าไปในริมฝีปากหลังจากที่พูดจบ อี้ฟานมองตามการกระทำของเพื่อนสนิทที่ช่างดูขัดกับช่วงฤดูหนาวเหลือเกิน ก่อนที่เขาจะยกตัวเองขึ้นมาจากผืนหญ้าโดยไม่คิดว่าอะไรเพราะรู้ดีว่าพูดไปแบคยอนก็คงปล่อยให้มันเป็นเหมือนลมหนาวที่พัดเฉียดผิวกาย
“เขาตายเพื่อนายเลยนะ”
“ฉันก็ไม่ได้ขอให้เขาตายสักหน่อย...”
“ทำไมพูดจาเห็นแก่ตัวแบบนั้น...”
“จงอินฮยองจะไม่ตาย ถ้าเขาตั้งสติได้ดีกว่านั้นอีกสักนิด....”
“...”
“ฉันก็ยังเชื่ออยู่ดีว่าตัวเองไม่ได้ฆ่าใคร แบคยอนไม่มีอำนาจขนาดนั้นหรอก ถึงจะรู้ตัวว่าเกมส์บ้า ๆนั่นมันทำร้ายจิตใจคนอื่นไปเสียหน่อย แต่มันก็ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฆ่าใคร” เสียงหวานหยุดลงเมื่อเห็นว่าใครบางคนกำลังเดินมาทางเขาทั้งสอง โอเซฮุนกับประมวลกฎหายและใบหน้านิ่งสนิททำให้ร่างเล็กคลี่ยิ้มออกมาจางๆแล้วโบกมือให้ด้วยความเป็นมิตร
“อ่า...”
“ดูเหมือนว่าอัศวินของฉันจะทำภารกิจสำเร็จแล้วนะ...” ริมฝีปากบางยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อโอเซฮุนชะงักฝ่าเท้าของตัวเองลงไว้ ณ พื้นที่ห่างๆตรงนั้น แขนเรียวยกขึ้นโบกมือให้กับเขาก่อนที่จะผินใบหน้าไปยังชายร่างสูงที่นั่งชันเข่าอยู่เบื้องล่าง... เซฮุนใช้สายตาบางอย่างที่แบคยอนคิดว่าเขาเคยเห็นมันเมื่อตอนที่โอเซฮุนอยู่กับคิมจงอินเท่านั้น
“เฮ้อ... มันจะง่ายขนาดนั้นเลยหรือไงนะ”
“ฉันอยากล้างบาปจริงๆ... ความรักมันสวยงาม แต่สิ่งที่ฉันยื่นให้เซฮุนมันเจ็บปวด ฉันหวังแค่ว่านายจะเป็นโลกที่สวยพอสำหรับเด็กน้อยคนนั้น” เขาทอดสายตามองร่างที่ก้มหน้าลงมองพื้นแล้วพิงแผ่นหลังแคบของตัวเองเข้ากับต้นไม้เพื่อรอให้คู่สนทนาของเขาลุกไปหา
“...”
“จงอินรักฉันมากเท่าไหร่ฉันไม่รู้หรอกอี้ฟาน รู้แค่ว่ามันมากพอที่จะทำให้หัวใจของฉันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาได้ในช่วงเวลาที่ฉันไม่ได้คิดถึงชยอล และฉันรู้สึกได้ว่านายก็คงรักเด็กน้อยเซฮุนได้มากพอๆกับที่จงอินรักฉันนั่นแหละ...”
“...”
“ไปเถอะ... อากาศหนาวแบบนี้นายไม่ควรปล่อยความรักให้ยืนตากลมนะ” ฝ่ามือเล็กตบบนแผ่นหลังกว้างของเพื่อนร่างสูง แบคยอนกวาดยิ้มหวานไว้บนริมฝีปากของตัวเองเพื่อให้เพื่อนของตัวเองรู้สึกสบายใจที่จะทิ้งเขาเอาไว้เพียงลำพัง
“อืม...”
“อ้อ... เรื่องในห้องพละเมื่อตอนนู่นหน่ะ เซฮุนอาจจะอยากได้คำตอบก็ได้”
“...”
“เพราะเขาส่งแมสเสจมาถามฉันเมื่อคืนก่อน... ว่าเขารักนายได้หรือเปล่า แต่ฉันไม่ได้ตอบ...”
“...”
“ที่จริงเขาอาจจะอยากได้คำอธิบายจากปากนายมากกว่านะ” ประโยคของแบคยอนทำให้คริสดีดตัวลุกพรวดขึ้นมา เขาลูบเบาๆลงบนกลุ่มผมของเพื่อนสนิทที่ตัวเองห่วงนักห่วงหนาก่อนจะก้าวลงไปจากเนินหญ้าสูงเพื่อตรงไปหาใครอีกคนซึ่งยืนรออยู่
คนที่เขาเผลอห่วงไปมากกว่าแบคยอน...
- - -
เสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาใกล้ทำให้เซฮุนต้องเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงใหญ่ของผู้ชายที่ชื่อว่าอู๋อี้ฟาน ฝ่ามือว่างเปล่าเอื้อมไปคว้าเอาประมวลกฎหมายเล่มโตในมือของอีกคนขึ้นมาถือเอาไว้ก่อนจะยื่นมือตัวเองออกไปหาฝ่ามือบางที่ไม่มีถุงมือคลุมเอาไว้อยู่
“...” โอเซฮุนส่งมือเข้าหาอีกคนอย่างว่าง่าย เขากระชับนิ้วของตัวเองกับอุ้งมือใหญ่เสียแน่นก่อนจะผินใบหน้าไปหาแบคยอนซึ่งยังคงนั่งอยู่ที่เดิมพร้อมกับไอศครีมแท่งเดิมในมือ เซฮุนฉีกยิ้มให้กับพี่ชายที่รู้จักกันมานานนมถึงแม้จะไม่แน่ใจว่าแสงแดดที่สะท้อนมาจากด้านหลังจะบดบังร้อยยิ้มนั้นหรือเปล่า... กระนั้นเขาก็เห็นว่าพยอนแคยอนกำลังยิ้มตอบให้เขาเช่นกัน
“ไม่หนาวเหรอ ทำไมไม่ใส่ถุงมือ”
“...”
“หืม ?” ถึงจะว่าอย่างนั้นแต่คริสก็ใช้ฝ่ามือที่ใหญ่กว่าของตัวเองประคองอุ้งมือของอีกคนเอาไว้เสียจนเจ้าของฝ่ามือรู้สึกอบอุ่น ร่างบางที่เพิ่งจะหันหน้ากลับมาช้อนดวงตาทั้งสองข้างขึ้นมองเสี้ยวใบหน้าของคนที่พยายามจะกระชับมือของเขาเข้าไปให้หมดแล้วเปล่งคำตอบที่เบาบางราวกับเสียงกระซิบออกมา
“มือฮยอง... อุ่นกว่าถุงมือพวกนั้นตั้งเยอะ” เซฮุนไม่รู้ว่าคริสจะได้ยินคำตอบนั้นหรือเปล่า แต่เขาก็เห็นว่าบนใบหน้าคมสันปรากฏรอยยิ้มจางๆในขณะที่ฝ่ามือนั้นก็กุมมือเขาเข้าไปแนบแน่นเสียยิ่งกว่าเดิม
- - -
โอเซฮุนเกลียดฝนและยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ชอบเสียงฟ้าผ่า... เพราะมันกังวานและดังก้องเหมือนกับเสียงกรีดร้องจากสรวงสวรรค์ บนที่ที่คิมจงอินอยู่... บนนั้นไม่ควรมีเสียงกรีดร้องให้ร่างผอมระคนใจ โอเซฮุนคิดเช่นนั้น
กระนั้นบ้านของเขาก็อยู่ห่างเพียงแค่ข้ามฟากถนนเท่านั้น บ้านที่น่าจะอบอุ่นมากกว่าใต้หลังคาร้านค้าเล็กๆที่ยิ่งผ่านนาทีผ่านชั่วโมงไปก็รังแต่จะทำให้เขาเปียกปอนมากขึ้นกว่าเดิม... ท้ายที่สุดเขาก็ตัดสินใจวิ่งฝ่าหยาดน้ำออกมาเพื่อตรงไปยังริมถนนซึ่งสัญญาณไฟจราจรกำลังเป็นสีแดง
เขาก้าวเท้าอย่างเร่งร้อนไปตามทางม้าลาย ไม่ได้สนใจว่าสูทสีเทาของตัวเองจะต้องเปียกปอนมากเพียงใด โชคร้ายเหลือเกินที่มีเสียงเกร๊งดังขึ้นจากเบื้องหลังแล้วเมื่อเซฮุนหันกลับไปก็พบว่ามันคือพวงกุญแจที่คิมจงอินซื้อให้กับเขา... แต่ตัวเลขที่กำลังนับถอยหลังบนหน้าปัดไฟจราจรนั้นเหมือนจะไม่ให้เวลาได้หันกลับไปเก็บมัน
ริมฝีปากบนล่างขบเข้าหากัน น้ำตาไหลออกมาไม่รู้ตัวแล้วมันก็ปนเปไปกับสายฝนเสียแล้วเมื่อโอเซฮุนตัดสินใจหันหลังให้กับพวงกุญแจเงินดังกล่าว... ที่เขาไม่สามารถรักษาเอาไว้ได้
เสียงรถวิ่งเรียกให้เขาต้องหันหลังกลับไปอีกครั้งแม้ว่าฝนจะยังโหมกระหน่ำลงมาก็ตามที แต่แผ่นอกกว้างของใครบางคนที่โดนสายฝนบังจนพร่ามัวก็ทำให้เขาต้องเงยหน้าขึ้นมอง... ผู้ชายที่ตัวเปียกปอนและโดนเม็ดฝนบังจนพร่ามัวยื่นพวงกุญแจสีเงินให้กับเขาแล้วคลี่รอยยิ้มแสนสว่างไสวออกมา
“นายทำตกหน่ะ”
“ขอบ...คุณครับ”
“...” ผู้ชายร่างสูงยิ้มรับคำขอบคุณก่อนจะหันหลังออกไปโดยไม่พูดอะไร โอเซฮุนได้แต่มองตามหลังของคนที่เก็บพวงกุญแจอันนั้นมาคืนให้กับเขา พลางนึกโทษสายฝนที่ทำให้เขามองเห็นผู้ชายคนนั้นได้ไม่ถนัดถนี่นัก... แต่เขาก็พอจะจำได้ลางๆ.... ภาพลางๆเกี่ยวกับผู้ชายตัวโตคนนั้น
ตรึงอยู่กับเขาจนถึงทุกวันนี้...
อู๋อี้ฟานหน่ะ... คงเกิดมาเพื่อรักษาหัวใจของเขาจริง ๆ นั่นแหละ
- - -
ร่างบางเอนตัวลงกับผืนเตียงที่เขาเคยคุ้นเป็นพิเศษในช่วงเดือนที่ผ่านมา เสียงกอกแกกจากในครัวบ่งบอกได้ว่าเจ้าของห้องคงกำลังจะหุงหาอาหารเย็นอยู่ และคริสที่ทำตัวเหมือนพ่อบ้านแบบนั้นก็ทำให้เขารู้สึกอุ่นข้างในอกได้อย่างน่าประหลาด
แต่สิ่งที่กระตุกความคิดในหัวได้ดีที่สุด เห็นทีจะเป็นตอนที่เขารู้ตัวว่าภาพของจงอินเหมือนจะไม่ปรากฎขึ้นมาในสมองของเขาบ่อยเหมือนเช่นเมื่อก่อน แขนเรียวยกขึ้นก่ายอยู่เหนือหน้าผาก ลองจินตนาการถึงคนที่จากเขาไปไกลแสนไกล... แล้วสุดท้ายก็หายไปเสียแล้ว
เขาไม่เจอคิมจงอิน
เขาเจออู๋อี้ฟาน...
ดวงหน้าหวานเบนมองไปยังบานประตูที่เปิดอ้าค้างเอาไว้ แผ่นหลังกว้างๆของใครบางคนกำลังเดินไปเดินมาอยู่ข้างนอก เสียงผิวปากอย่างอารมณ์ดีทำให้เขาเผลอยิ้มตามทั้งๆที่ไม่เคยคิดว่าจะมีใครสักคนที่ทำให้เขารู้สึกอยากยิ้มขึ้นมาอีกได้นอกจากจงอินผู้อยู่ห่างไกลแสนไกล
ร่างบางตะแคงกายมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้ายามเย็นสีคล้ำไม่ทำให้เขารู้สึกหน่วงอกเหมือนเคยเมื่อมีเสียงฝีเท้าของใครบางคนดังตึกตักจากเบื้องหลัง เวลาที่ผ่านมาเขาคงเอาตัวเองไปยึดตรึงอยู่กับคิมจงอินมากเกินไป... จนลืมตัวเอง... เขาไม่ได้ทำตามเสียงหัวใจของตัวเองเลยสักครั้ง ปล่อยให้มันถูกกำหนดโดยคิมจงอิน ผู้ชายที่เอาแต่เรียกเขาว่าน้องชายและกอดเขาเอาไว้ด้วยอ้อมกอดอุ่นๆ
หรือบางที... เขาควรจะมองหาความจริงสำหรับตัวเองได้แล้ว
เขาควรได้รู้จุดจบของเกมส์ที่พร่ำเพียรแข่งขันมานานร่วมปีได้แล้ว
เรือนกายผอมบางดีดขึ้นมาจากฟูกนอนแล้วเดินออกไปยังบานประตู ดวงตากลมมองหาแผ่นหลังกว้างของอี้ฟาน และเขาก็พบว่าร่างสูงนั้นกำลังง่วนงุนอยู่กับการอุ่นซุปกลิ่นหอมในครัว...
ขาเรียวสาวเข้าไปหาแผ่นหลังกว้างของอีกคนแล้วสอดแขนของตัวเองเข้าไปโอบคล้องไว้รอบเอวแกร่ง เจ้าของร่างกายสูงใหญ่สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อถูกโอบรัดเอาไว้แต่ในไม่กี่วินาทีถัดมา บนใบหน้าของคริสก็เปื้อนรอยยิ้มและส่งเสียงหัวเราะจากลำคอออกมาให้ได้ยินเบาๆ
“หิวเหรอ?”
“...” คนที่ควรจะตอบคำถามปิดปากเงียบด้วยการซุกใบหน้าของตัวเองลงไปกับแผ่นหลังกว้างที่อุ่นเหมือนฮีตเตอร์ เซฮุนกดริมฝีปากลงบนผิวผ้าของเสื้อเชิ้ต กลิ่นน้ำหอมจางๆของคริสทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายแล้วอยากจะทิ้งตัวลงซบกับแผ่นหลังกว้างนี่เอาไว้ให้นานแสนนาน
“หืม...”
“ฮยองครับ ?”
“ครับ...”
“ผมอยากให้ฮยอง...”
“...” เสียงหวานที่ขาดห้วงไปทำให้เจ้าของเรือนกายใหญ่ต้องวางมือของตัวเองซ้อนลงบนหลังมือเรียวที่ประสานกันอยู่ที่หน้าท้องของเขา ราวกับจะบอกเซฮุนว่าเขาพร้อมรับฟังทุกอย่างจากริมฝีปากนั่นด้วยหัวใจอันอบอุ่น
“อยากให้ฮยองช่วยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟังได้ไหมครับ....”
To Be Continue
ตอนหน้าจบแล้วววววววววว ฮิฮิ
★
ความคิดเห็น