ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { wonkyu } SUMMER KILLER.

    ลำดับตอนที่ #5 : { four summer }

    • อัปเดตล่าสุด 29 มิ.ย. 55


          

     

    Four.
    เรื่องใหญ่ในอนาคต
    เริ่มจากปมเล็กในอดีต
     
                เสียงใบพัดตีโหมกระหน่ำกับมวลอากาศอื้ออึงไปทั่วบริเวณราวกับต้องการจะแซ่ซ้องต้อนรับการเดินทางมาถึงของผู้มีอิทธิพลร่างสูงใหญ่ที่กำลังสาวเท้าเข้ามาบริเวณลานบิน เหล่าชายในชุดเตรียมพร้อมปฏิบัติการณ์ต่างยืนตรง ยกปลายนิ้วชี้ขึ้นแตะหางคิ้วเพื่อแสดงความเคารพขนานไปตลอดทางที่ถูกปูรอเอาไว้เพื่อเขาคนนั้นโดยเฉพาะ
     
                “พร้อมบินใช่ไหม?”
     
                “ครับท่าน”
     
                “เราจะถึงชินยองเมื่อไหร่...” เสียงทุ้มเข้มเอ่ยถามกับลูกน้องคนหนึ่งที่เดินเข้ามายืนขนาบเบื้องหลัง แววตาที่อยู่ใต้กรอบแว่นกวาดมองใบหน้าซึ่งถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยผ้าตาข่ายสีดำจนเหลือเพียงแค่ดวงตาสองข้างที่โผล่พ้นออกมาเท่านั้น
     
                “ไม่เกินห้าทุ่มครับท่าน” คำตอบนั้นเอ่ยออกมาอย่างฉะฉานแม้ว่าริมฝีปากจะถูกบดบังด้วยผ้าโปร่งจนน้ำเสียงอู้อี้ ชายผู้มียศสูงพยักใบหน้าซึ่งมิได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมาก่อนจะก้าวเท้าซึ่งถูกหุ้มห่อด้วยคอมแบทสีดำเข้มมันเงาตรงไปยังเฮลิคอปเตอร์ที่จอดอยู่
     
                ร่างกายสูงใหญ่กำยำเคลื่อนขึ้นไปนั่งบนเบาะพร้อมกับลูกน้องคนสนิทที่วิ่งตามหลังมา เหล่าหน่วยสืบสวนพิเศษซึ่งยืนขนาบกันอยู่ด้านล่างต่างหันมาทางเฮลิคอปเตอร์ ยกฝ่ามือขึ้นแตะที่หางคิ้วอีกครั้งก่อนที่ยานพาหนะลำใหญ่จะค่อย ๆ ทะยานขึ้นสู่อากาศ คิมจงอุนเสสายตาลงไปเบื้องล่าง มองภาพความเป็นระเบียบของเหล่าหน่วยสืบสวนที่ไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง
     
                “เราจะถึงก่อนชเวซีวอนใช่ไหม”
     
                “แน่นอนครับท่าน เราจะถึงก่อนประมาณครึ่งชั่วโมง”
     
                “ดี...”
     
     
     
     
     
     
               
     
     
     
               
                ชินยองเป็นเขตเล็ก ๆ ที่อยู่ไม่ห่างออกไปจากกวังจูมากนัก เล็กจนแทบไม่ได้รับความสนใจนายทุน หรือ หน่วยงานอะไรก็ตาม แต่ก็เพราะความเล็กที่พาให้สถานที่นี้อยู่นอกสายตาของผู้คนนั่นเองที่ทำให้ซีวอนตัดสินใจขนย้ายของล็อตสำคัญเข้ามาไว้ที่นี่ เพื่อเตรียมการส่งต่อไปอีกทอดหนึ่งโดยอาศัยการสนับสนุนจากสตีเว่นคู่ค้าต่างประเทศกระเป๋าหนัก
     
                “เตรียมพร้อมแล้วใช่ไหม?”
     
                “ครับ พรุ่งนี้เช้าทุกอย่างจะดำเนินการตามแผน” คิมคิบอมซึ่งเดินทางล่วงมาก่อนเขาเพียงครึ่งชั่วโมงกล่าวรายงานตามหน้าที่ของตัวเองพร้อมเดินนำเขาให้เข้าไปด้านในโกดังขนาดใหญ่ซึ่งผู้คนมักจะรู้จักว่าสถานที่แห่งนี้เป็นเพียงฟาร์มไก่ขนาดใหญ่ของคนมีสตางค์จากกรุงโซลเท่านั้น
     
                อากาศร้อนอบอ้าวในยามค่ำคืนทำให้ซีวอนต้องคอยสะบัดเสื้อเชิ้ตตัวโปร่งของตัวเองเป็นระยะ ไม่ต่างอะไรกับคยูฮยอนที่คอยยกแฟ้มขึ้นพัดไปมา... เม็ดเหงื่อที่ผุดพรายอยู่บริเวณขมับการันตีความอบอ้าวในค่ำคืนนี้เอาไว้ได้เป็นอย่างดีจนทั้งสองอดสงสัยไม่ได้
     
                “คืนนี้คงจะมีฝนแน่” ร่างบางกระซิบกับคนตัวสูงที่ชะลอฝีเท้าให้ช้าลงเพื่อรอเขาซึ่งเดินตามหลัง ซีวอนพยักหน้ารับว่าเห็นด้วยก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้ามืดครึ้ม
     
                “นั่นสิ...” ฝ่ามือหนากระชับจับข้อมือบาง ๆ เพื่อให้อีกคนได้เดินมาพร้อมกับเขา เสียงเฮลิคอปเตอร์ที่ดังอยู่เหนือท้องฟ้าทำให้ทั้งซีวอนและคยูฮยอนต้องเงยหน้าขึ้นไปมองห้วงนภาสีนิลอีกครั้งเพื่อมองยานพาหนะลำใหญ่เหินฟ้าห่างออกไป
     
                “ดึกขนาดนี้ยังมีคนเดินทางอีกหรือไงนะ”
     
                “แถวนี้เป็นทางผ่านหลักหน่ะครับ... ผมให้คนมาทำความสะอาดไว้ก่อนแล้ว กระเป๋าเดินทางของคุณซีวอนอยู่ในบ้านเรียบร้อยแล้วนะครับ” คิบอมตอบข้อสงสัยของเจ้านายร่างสูงก่อนจะผลักประตูบ้านหลังเล็กออก ร่างสูงพยักหน้าก่อนจะเป็นคนดันบานประตูให้พับเข้าไปจนสุดวงกบ สอดสายตาสำรวจภายในบ้านที่เขาเองก็ไม่ได้มาเหยียบนานนับปี
     
                “ขอบใจมาก นายรีบพักผ่อนได้แล้วพรุ่งนี้เราต้องเริ่มงานแต่เช้า”
     
                “ครับ...”ลูกน้องคนสนิทเอ่ยรับคำก่อนจะหมุนตัวเดินกลับออกไปตามทางเดิมที่เพิ่งจะเดินผ่านมา เมื่อเห็นว่าคิบอมเดินห่างลับสายตาออกไปแล้วซีวอนจึงฉุดร่างของคนรักที่ยืนแหงนหน้ามองท้องฟ้าอยู่ไม่ว่างตาเข้ามาซุกไว้ในอ้อมอก
     
                “เข้าบ้านกัน”
     
                “อื้อ ~” เสียงหวานครางรับคนที่ก้มลงมากดจมูกตรงข้างแก้มของเขาแล้วค่อย ๆ ขยับขาก้าวตามร่างสูงเข้าไปภายในตัวบ้านที่ได้รับการทำความสะอาดไว้เรียบร้อยแล้ว ภายในที่ถูกตกแต่งด้วยโทนสีขาวสลับฟ้าหม่นทำให้ทั่วทุกมุมแลดูสงบเงียบและผ่อนคลายคล้ายกับเป็นสถานที่พักตากอากาศ
     
                “ง่วงหรือยังครับ..”
     
                “นิดหน่อย... อ่า... แต่ไม่ได้นะ พรุ่งนี้เราต้องทำงานแต่เช้า” ซีวอนเบ้หน้ากับประโยคที่ได้ยินรวมไปถึงสัมผัสที่คว้าหมับเข้าที่ฝ่ามือของเขาซึ่งเลื่อนสอดเข้าไปใต้เสื้อตัวโปร่งนั่นได้ทันท่วงที แววตาของคยูฮยอนที่ช้อนมองขึ้นมาอย่างเป็นกังวลทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะก้มลงหอมแก้มนิ่มเสียฟอดใหญ่เพื่อคลายความหมั่นเขี้ยวหมั่นไส้ของตัวเองให้ทุเลาลง
     
                “ก็ทำตัวน่ารักแบบนี้ใครจะทนไหวหล่ะครับ”
     
                “อื้ออ.. ซีวอนนา ~” เสียงหวานที่ครางชื่ออีกคนแผ่วลงเมื่อไม่สามารถต้านแรงขืนจากข้อมือของร่างสูงไหว ท้ายที่สุดก็ต้องยอมทิ้งแผ่นหลังของตัวเองลงบนโต๊ะกระจกตัวเตี้ยกลางบ้านแล้วปล่อยให้คนตัวใหญ่กว่าคร่อมทาบทับเอาไว้อย่างหมดหนทางสู้
     
                “แป้บเดียวเองนะครับ... รอบเดียวจริงๆ”
     
                “...”
     
                “...”
     
                “...ก็...ก็...ได้” ดวงตากลมกลอกหลบสายตาเว้าวอนที่ทอดผ่านมายังใบหน้าสีแดงก่ำของตัวเอง คยูฮยอนเบี่ยงใบหน้าหันออกไปเพื่อหลีกเลี่ยงการสบมองโดยตรงกับดวงตาคมขลับที่มีแต่จะทำให้เขารู้สึกเหมือนถูกดวงตะวันยามเที่ยงวันแผดเผาให้หลอมละลาย
     
                “...” ร่างสูงยุติบทสนทนาลงด้วยการยกยิ้มขึ้นที่มุมปาก เผยให้เห็นความเจ้าเล่ห์เจ้ากลที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องลึก มือทั้งสองข้างที่กดดันร่างบางให้แนบลงไปกับพื้นกระจกเคลื่อนขึ้นมาดึงอาภรณ์ชิ้นหลักออกไปกองอยู่บนพื้น ก่อนที่จะจัดการกินกลืนเรือนร่างอันแสนเย้ายวนนั้นด้วยปลายลิ้นที่แตะลงกลางยอดอก ละเมียดละไมผิวกายอุ่นร้อนเหมือนกับเป็นก้อนไอศกรีมที่กำลังถูกทำให้ละลาย
     
                ผัสสะร้อนรุ่มที่กำลังทำให้ผิวเนื้อขาวระคายเคืองถูกลากต่ำลงไปอย่างรวดเร็วตามคำสัญญาที่เขาเป็นฝ่ายกล่าวเอาไว้เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ มือหนาไล้ต่ำลงมากลัดกระดุมกางเกงให้หลุดออกจากรัง ไม่ต่างอะไรไปจากสติของเขาที่ตอนนี้ก็เริ่มจะเตลิดเปิดเปิงจนกู่ไม่กลับ ยิ่งเมื่อเห็นใบหน้าหวานที่ก้มลงมองกับริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันของคยูฮยอน เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกสาปด้วยมนตราที่ไม่มีทางแก้ได้
     
                “อื้อออ..” เรือนกายบางบิดเร้าเมื่อถูกกระตุ้นตรงจุดไวสัมผัส แม้จะสัมผัสได้ถึงความหน่วงหนักที่โถมเข้ามาใส่แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถยับยั้งหรือบังคับอะไรในตัวเองได้เลยแม้แต่น้อย เรียวขาทั้งสองข้างจึงถูกชักนำให้แยกออกโดยที่เจ้าตัวมิได้ขัดขืนผัสสะเหล่านั้นแต่อย่างได้
     
                ปลายนิ้วที่สอดเข้ามาสัมผัสด้านในช่องทางสีชมพูนุ่มแตะเปะปะไปทั่ว เรียกให้เสียงครางเครือเปล่งออมามากกว่าเดิม ดวงตากลมปรายลงมองเจ้าของปลายนิ้วที่กดลึกเข้ามาหาเขามากขึ้นเรื่อย ๆ เผลอเกร็งสะโพกเมื่อจุดกระสันได้รับการค้นพบซึ่งมันก็ทำให้ชเวซีวอนต้องกดนิ้วย้ำลงไปที่เดิมอีกหลายครั้งเพื่อสร้างความพึงพอใจแก่ร่างด้านใต้
     
                “อึก.. อื้อออ” ผิวกายสีเข้มถูกฝ่ามือบีบรัดจนเป็นรอยแดงเถือก ใบหน้าคมเข้มขยับขึ้นมองดวงตาหวานที่ปรือปรอยด้วยความกระสันต้องการ ฝ่ามือที่บีบไหล่เขาเอาไว้เสียแน่นคลายออกเมื่อร่างสูงตัดสินใจช้อนร่างของอีกคนลงไปที่โซฟาซึ่งนุ่มกว่า... และทันทีที่แผ่นหลังแตะลงกับเครื่องนั่งบุหนัง ขาเรียวก็ถูกแยกออกตามต่อด้วยการสอดกายเข้ามาโดยไม่ให้อีกคนได้ตั้งตัว
     
                สะโพกขยับเป็นจังหวะเนิบนาบเพื่อให้อีกคนได้ปรับตัว... แต่ในไม่ช้าคนที่เร่งเร้ากลับกลายเป็นคยูฮยอนที่เป็นฝ่ายกระแทกสะโพกสวนลงมาหาเขาเสียเอง เสียงครางที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ ระบุรพดับความพึงพอใจของร่างบางได้อย่างชัดเจน... แล้วถ้าหากว่าพอใจมากขนาดนี้ รอบเดียวสำหรับค่ำคืนนี้ก็คงจะไม่เพียงพอแล้วกระมัง...
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
                “ล็อตแรกเข้าแล้วครับ” คลื่นเสียงซ่าถูกส่งผ่านเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กมายังด้านในสุดของโกดังทั้งที่ท้องฟ้ายังไม่ปรากฎดวงตะวัน คลื่นสัญญาณที่ฟังไม่รื่นหูเรียกความสนใจจากชเวซีวอนที่กำลังจดจ้องอยู่กับเอกสารกองโตให้เงยหน้าขึ้นมามองไปยังต้นตอที่ยืนห่างออกไปตรงบานประตูเหล็กสนิมเกาะ และในเวลาเพียงไม่กี่นาทีต่อมา เจ้าของวอสื่อสารก็เดินตรงรี่มายังเขาโดยไม่ต้องเรียกให้เปลืองเสียง
     
                “คุณซีวอนครับ ตอนนี้ล็อตแรกเข้ามาเทียบแล้วแล้วพร้อมเคลื่อนย้ายได้เลย คนของคุณสตีเว่นก็มาแสตนบายรอเรียบร้อยแล้วครับ”
     
                “ดี ให้ทงเฮจัดการได้เลย... แล้วล็อตที่สองจะเข้ามาเมื่อไหร่”
     
                “ภายใน 5 นาทีหลังจากล็อตแรกถูกขนย้ายครับ”
     
                “อื้ม... ถ้าอย่างนั้นล็อตสุดท้ายหล่ะ ?”
     
                “คาดว่าอีกประมาณ 25-30 นาทีครับ ทงเฮจะพยายามควบคุมให้ทุกอย่างดำเนินไปรวดเร็วที่สุด” คิบอมรายงานตามที่ตัวเองได้ยินได้ฟังมาจากเพื่อร่วมงานที่ตอนนี้อยู่ในสถานที่จริงซึ่งห่างออกไปจากโกดังในระยะไม่กี่เมตรด้วยน้ำเสียงฉะฉานแสดงความมั่นใจออกมาอย่างชัดเจน เจ้านายร่างสูงแสดงการรับรู้ด้วยการพยักหน้ารับขึ้นลงสองสามครั้งก่อนจะปรายดวงตามองไปยังคนข้างกายที่กำลังหมกมุ่นกับการกวาดสายตามองแผนที่เส้นทางที่แผ่นใหญ่ที่ถูกนำมาวางกองไว้ตรงหน้า
     
                “ถ้าวิ่งตรงไปตลอดทางหลวงเราจะเจอด่านมากที่สุด 2 ด่าน... แต่ถ้าไม่อยากเสี่ยงก็ให้เลี้ยวออกก่อนถึง เรามีทางขนานที่เลียบเข้าไปโดยไม่ต้องผ่านทางหลวงอีกหลายเส้น อ้อมหน่อยแต่ก็ปลอดภัยกว่า” แม้ว่าจะรู้สึกหนักหัวเนื่องจากได้รับการพักผ่อนน้อยแต่คยูฮยอนก็ยังสามารถตอบคำถามทางสายตาของซีวอนได้อย่างแม่นยำ ไม่มีพลาด พร้อมกับใช้ปากกามาร์กเกอร์สีแดงขีดไปบนแผนที่เพื่อระบุเส้นทางที่ตนเองว่าออกมาให้ชัดเจน มือบางเลื่อนแผนที่ไปให้ทั้งซีวอนและคิบอมได้ลองสำรวจระยะทางที่อาจต้องเพิ่มขึ้นมาอีกร่วม 20 กิโลเมตรเพื่อแลกกับความปลอดภัยของสินค้า
     
                “อืม... เอาตามนั้น... พอของล็อตสามมา ให้คนเตรียมรถได้เลย ฉันจะกลับโซล”
     
                “ครับ” คิบอมค้อมตัวลงรับคำสั่งเด็ดขาดก่อนจะสาวเท้าก้าวถอยห่างออกไปจากโซฟาเพื่อกลับไปนั่งประจำที่แล้วเช็คสถานการณ์ที่กำลังเดินหน้าไปอย่างรวดเร็วตามหน้าที่ของตนเองอีกครั้ง
     
                “อ่าว ไหนซีวอนบอกว่าจะอยู่ที่นี่อีกวันสองวันไงครับ”
     
                “ได้ยังไงหล่ะ... คยูฮยอนมีนัดหาหมอนะครับ นี่ไง...” คนความจำดียกโทรศัพท์มือถือของตนเองขึ้นหันไปทางคยูฮยอนเพื่อโชวโปรแกรมออแกไนซ์เซอร์ซึ่งระบุกำหนดการตรวจสุขภาพของคนตรงหน้าเอาไว้อย่างละเอียดถี่ยิบแม้แต่ชื่อของแพทย์ แต่ที่สะดุดตาที่สุดเห็นทีจะเป็นตัวอักษรสีเทาตัวหน้าซึ่งเขียนระบุเป็นหัวข้อเอาไว้ว่า พาที่รักไปหาหมอ ที่ทำให้ ที่รัก ไม่สามารถกลั้นรอยยิ้มแล้วเสียงหัวเราะของตัวเองเอาไว้ได้
     
                “ผมลืมสนิทเลย... ขอบคุณนะครับ” ของแถมสำหรับคำขอบคุณก็คือริมฝีปากนุ่มนิ่มที่แนบลงกับข้างแก้มสากของอีกคน ตอนนี้กลายเป็นซีวอนที่คลี่ยิ้มออกมาบ้างก่อนจะวาดวงแขนของตัวเองไปรวบเรือนกายอรชรเข้ามาแนบไว้ในอ้อมแขน สันจมูกโด่งกดลงฟัดแก้มนุ่มเนียนของคนในอ้อมอกที่ดิ้นขลุกขลักทั้งรอยยิ้ม...
     
                “เห็นไหมครับ ที่รักต้องมีผมเป็นเครื่องช่วยจำ”
     
                “โอเค... จะให้ซีวอนช่วยจำไปตลอดชีวิตเลยครับ ฮะๆ.... งั้นผมไปเข้าห้องน้ำก่อนดีกว่า “
     
                “ครับ~”
     
                คยูฮยอนถูกปล่อยให้เป็นอิสระทันทีหลังจากเสียงขานรับของซีวอน ร่างบางยันตัวขึ้นจากโซฟาแล้วสาวเท้าไปทางประตูซึ่งมีคิบอมนั่งถือวออมยิ้มอยู่ ความเขินแล่นพล่านขึ้นมาเป็นเลือดฝาดแดงที่แก้มสองข้างเมื่อนึกได้ว่าภายในห้องหับนี้ไม่ได้มีเพียงแค่เขากับซีวอนเท่านั้น
     
                “...คุณคยูฮยอน พิเศษกับคุณซีวอนมาก ๆ เลยนะครับ” หลังจากที่ร่างบางก้าวผ่านพ้นบานประตูไปได้สักพัก มือขวาคนสนิทก็เปิดบทสนทนาขึ้นมาเพื่อแก้ความเงียบในห้องที่ยังคงกรุ่นด้วยไออุ่นร้อนของความรักอยู่ ซีวอนหันหน้าไปมองร่างโปร่งที่ยังคงกำวอเอาไว้แน่นก่อนจะยิ้มออกมาให้กับประโยคคำพูดของคิบอมที่ทำให้เขาเผลอนึกไปถึงชเวซีวอน นักธุรกิจหนุ่มผู้เย็นเยือกในอดีต
     
                การพบกันที่มาเก๊าเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมาในคราแรกไม่ได้เป็นความประทับอกประทับใจอะไรเขาสักเท่าไหร่เพราะบนโลกนี้ไม่มีสายตาคู่ไหนหรอกที่จะสะกดชเวซีวอนได้ แต่พอโดนรุกเข้ามานั่งจิบไวน์เป็นเพื่อนด้วยท่าทางที่ไม่หวั่นเกรงอะไรแล้ว ซีวอนก็สัมผัสได้เลยว่าผู้ชายตรงหน้าไม่เหมือนคนทั่วไปที่เขาเคยเจอมา จึงยอมร่วมบทสนทนาต่อไปกระทั่งได้รู้ชื่อเสียงเรียงนามของโจวคยูฮยอนในตอนที่เขาเองก็เปิดเผยชื่อจริงของตัวเองออกมาเช่นกัน
     
                ไม่น่าเชื่อว่าชายแปลกหน้าที่บอกว่าตัวเองโดนตำรวจหักหลังจนต้องหนีหัวซุกหัวซุนจะทำให้เขาตัดความคิดเรื่องการกลับไปพักผ่อนที่โรงแรมออกไปจากสมองด้วยการพูดคุยเพียงยี่สิบนาทีเท่านั้น แต่ยูฮยอนช่างเป็นชายเจ้าเล่ห์ผู้มีสเน่ห์ที่ล้อลวงเขาได้อย่างสำเร็จครบทุกกระบวนการ... คืนนั้นจบลงอย่างเนิบนาบบนเตียงนอนในห้องพักชั่วคราว พร้อมกับบทสนทนาสุดท้ายที่เขาเฉลยตัวเองว่าเป็นเจ้าของธุรกิจมืดที่โด่งดังไปทั่วคาบสมุทรเกาหลีซึ่งโดนตำรวจไล่ล่า ฝ่ายคยูฮยอนก็ยอมเผยว่าแท้จริงแล้วเขาคืออดีตสายลับของหน่วยสืบสวนพิเศษที่โดนเพื่อนร่วมงานหักหลังจากการทำคดีของเขาจนสุดท้ายต้องหนีหัวซุกหัวซุนมาอยู่ที่มาเก๊าในระหว่างที่กำลังรอให้ญาติซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลจัดการเรื่องให้อยู่
     
                แล้วมันก็เหนือความคาดหมายอีกเมื่อเขาตัดสินใจหิ้วร่างบางที่กำลังตกเป็นจำเลยอยู่ข้ามน้ำข้ามทะเลกลับเกาหลีมาด้วยก้อนจะแนะนำงานให้คยูฮยอนได้ลองลงมือ ซึ่งสายลับเก่าก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง คยูฮยอนหัวไวมากในการจัดการ ซ้ำยังมีวามรู้เรื่องเส้นทางดีเลิศ จนทำให้เขาสามารถขนส่งสินแรงงานเถื่อนและอาวุธสงครามได้เป็นร้อยล็อตทั่วเอเชียโดยไม่ถูกจับกุมแต่อย่างใด หลายครั้งหลายคราที่คยูฮยอนช่วยให้ขบวนสินค้าสามารถเล็ดลอดมาจากการตรวจของตำรวจได้อย่างไม่น่าเชื่อ ขณะเดียวคนๆนี้ก็มีบางมุมที่น่ารักน่าเอ็นดูติดเป็นสเน่ห์พ่วงมาด้วยที่ทำให้เขาหลงและรักหัวปักหัวปำ จนตอนนี้ชเวซีวอนสามารถกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า เขาขาดโจวคยูฮยอนไม่ได้...
     
                “พิเศษสิ... พิเศษที่สุดในบรรดาทุกคนทุกสิ่งบนโลกนี้ แม้แต่ตัวของฉันเองก็ด้วย”
     
     
     
     
     
     
     
     
                “ชเวซีวอนจะกลับโซลวันนี้ ขอให้ทุกคนเตรียมพร้อม สกัดจับขบวนรถสินค้าทั้งหมดให้ได้” คำสั่งเด็ดขาดเปล่งออกมาด้วยน้ำเสียงกร้าวแข็งผ่านระบบเครือข่ายชั้นยอดที่เชื่อมต่อเจ้าหน้าที่หน่วยสืบสวนพิเศษเอาไว้อย่างทั่วถึง ชายในชุดปฎิบัติการณ์ร่วมยี่สอบคนต่างมองหน้าสบตากันเมื่อได้รับรู้ภารกิจ และในวินาทีต่อมาพวกเขาก็แยกย้ายกันไปประจำตามตำแหน่งของตัวเองที่ตกลงเอาไว้ นั้นก็คือสุมทุมพุ่มไม้สองข้างทางริมถนนรกทึบ
     
                “คาดว่าชเวซีวอนจะออกมาคั่นระหว่างล็อตที่สามกับสี่ครับท่าน”
     
                “แกแน่ใจนะ  ฉันยังไม่ได้คิดบัญชีเรื่องฮ.ของเราที่ลงช้ากว่าชเวซีวอนไปตั้งสิบห้านาที!” หัวหน้าหน่วยหันไปมองลูกน้องคนสนิทที่เป็นสมาชิกของหน่วยข่าวกรองซึ่งได้แต่หัวเราะแห้งรับความผิดของตัวเองที่คำนวณเวลาของเฮลิคอปเตอร์ผิดพลาดเมื่อคืน... แต่สาบานได้ว่าข่าวรอบนี้ไม่มีทางพลาดแน่นอนเพราะเขาได้ยินเองมากับสองหู
     
                “ไม่พลาดแน่ครับ ผมกรองแล้วเชื่อถือได้...ครับผ้ม !”
     
                “เออ ดี... ทุกคน จับตาดูระหว่างล็อตที่สามกับสี่ดี ๆ คาดว่าชเวซีวอนจะอยู่ในช่วงนั้น”
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
    เพื่อความรัก
    คุณยอมทำทุกอย่างแม้แต่เผาตัวเอง
     
                ยานพาหนะส่วนตัวขนาดเบ็กจอดเทียบลงที่หน้ารั้วบ้านคอตเทจสไตล์อังกฤษหลังเล็ก เสียงเครื่องยนต์ดับลงหลังจากที่ถูกปล่อยพักไว้สักครู่ก่อนที่เจ้าของรถจะก้าวเท้าลงมาแตะบนพื้นถนนยางมะตอยสีเทาแล้วสาวก้าวเข้าไปใกล้บานประตูเพื่อมองหากริ่งสัญญาณ
     
                ใบหน้ามนหันซ้ายหันขวามองหาปุ่มสัญญาณแต่ก็ไม่พบสักทีที่กำแพง เจ้าตัวจึงได้แต่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วตัดสินใจตะกายตัวเองขึ้นไปเหยียบอยู่ตรงประตูบ้านเหล็กดัดบานใหญ่อย่างถือวิสาสะ เสียงหวานที่ยังคงแหบพร่าด้วยพิษหวัดตะโกนเรียกชื่อเจ้าของบ้านอย่างทุลักทุเล
     
                “ยองอุนฮยองงงงงง ~... เปิดประตูหน่อยครับ.... ยองอุนฮยองงงงงง~" เสียงกุกกักจากด้านในบ้านที่ดังลอดผ่านความเงียบในช่วงสายของวันบ่งบอกได้ว่าเจ้าของบ้านหลังน้อยรับรู้การมาถึงของเขาแล้ว เรียวขายาวกระโดดลงมาจากบานประตูแล้วพยายามทรงตัวบนพื้นราบให้ตรง เหล็กขึ้นสนิทที่วงกบส่งเสียงร้องครางเอี๊ยดอ๊าดต้อนรับผู้มาเยือนที่ยืนถือเอกสารกองโตเอาไว้แนบอก
     
     
                “ไม่มีงานหรือไง ?”
     
                “ช่วงนี้พักหน่ะครับ”
     
                “เข้ามาก่อนสิ หอบอะไรมาเยอะแยะเลย...” ลูกพี่ลูกน้องเจ้าของชื่อยองอุนฮยองเอื้อมมือออกไปรับกองแฟ้มกระดาษและแผนที่ที่ถูกพับเอาไว้มาถือบ้างเพื่อแบ่งเบาภาระออกไปจากน้องชายที่นับวันมีแต่จะยิ่งตัวบอบบางลงให้คนอ้วนง่ายอย่างเขาได้อิจฉา
     
                ห้องนั่งเล่นถูกทำให้สว่างขึ้นโดยการดึงมูลี่ให้แง้มออก เอกสารมากมายที่หอบมาถูกวางไว้บนพื้นพรมสีคาราเมลฝ่ายเจ้าของที่เพิ่งจะเหน็ดเหนื่อยจากการขับรถออกนอกโซลมาตั้งแต่ยังมองไม่เห็นดวงตะวันก็ทิ้งตัวลงบนโซฟานุ่มที่ขาวที่ยวบลงมาประคับประคองร่างกายของเขาเอาไว้
     
                แก้วน้ำเย็นที่ถูกวางลงมาด้วยมือของพี่ชายร่างอวบทำให้คยูฮยอนคลี่ยิ้มรับออกแล้วรีบคว้าของเหลวใสนั้นกระดกลงคอแทบไม่คิดชีวิตจนคนตัวใหญ่ถึงกับต้องเดินเข้าครัวไปอีกรอบเพื่อคว้าเอากระบอกใส่น้ำมาตระเตรียมไว้ให้ผู้กระหายซึ่งดูเหมือนว่าจะต้องการน้ำเพิ่มอีกมากโข
     
                “ขอบคุณมากครับฮยอง... ผมขับมาไม่เจอร้านค้าอะไรเลย หิวน้ำแทบบ้า”
     
                “แถวนี้ก็งี้แหละ... ต้องทำใจหน่อย ว่าแต่...เรื่องอะไรหล่ะที่จะให้ทำหน่ะ” ดวงตาเรียวกลอกมองเอกสารจำนวนมากที่ลูกพี่ลูกน้องหอบติดมาด้วย ตราสัญลักษณ์หน่วยสืบสวนพิเศษที่ประทับอยู่ด้านบนทำให้เขารู้สึกว่างานครั้งนี้คงจะไม่ใช่งานเล็กงานน้อยเสียแล้ว อะไรที่เกี่ยวข้องกับองค์กรพวกนี้ล้วนแต่เป็นเรื่องสลับซับซ้อนเสมอ...
     
                “พูดยากครับ... แต่ผมอยากให้ฮยองช่วยผมหน่อย”
     
                “ช่วยอะไรหล่ะ?”
     
                “แหกคุกครับ”
     
                “...” ความเงียบเป็นคำตอบที่แสนคลุมเครือ คยูฮยอนสบตามองหน้าคังอินที่ตอนนี้ไม่แม้แต่จะแสดงอารามตกใจอะไรออกมาให้เห็น กลับกันร่างสูงใหญ่ของยองอุนยังสั่นไหวเพราะเสียงหัวเราะของเจ้าตัวอีกด้วย
     
                “อะไรกัน... งั้นเรื่องที่ไอ้ผบ.จงอุนบอกก็คงเป็นเรื่องจริงสินะ”
     
                “ผบ. ? เรื่องอะไรครับ”
     
                “เขาบอกให้ฉันจับตาดูนายจนกว่าทุกอย่างจะจบ...” ริมฝีปากบางเม้มแน่นเข้าหากัน ดวงตากลมหลุบลงด้วยความรู้สึกผิดที่แสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด เพียงแค่ประโยคเดียวจากคิมยองอุนที่พูดออกมาทำให้เขาเริ่มลังเลใจกับสิ่งที่ตัวเองกำลังกระทำอยู่ ดวงตากลมเสไปมองกองเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะก่อนจะตวัดดวงตาของตัวเองขึ้นไปมองใบหน้าของพี่ชายห่าง ๆ อีกครั้ง
     
                “...”
     
                “... นายคงคิดดีมากแล้วและฉันคงไม่ต้องถามซ้ำสินะว่าจะทำจริงหรือเปล่าหน่ะ”
     
                “คิดว่าอย่างนั้น”
     
                “คำว่าแหกคุกเนี่ยมันก็เท่ากับเราก้าวเข้าคุกไปครึ่งนึงแล้ว... ฉันโหยหาชีวิตสงบสุขแต่นายกำลังดึงฉันกลับเข้าไป ดีไม่ดีครั้งนี้เราอาจไม่ได้กลับเกาหลีอีกครั้ง”
     
                “ผม...”
     
                “สำหรับฉันที่สงบมันหาได้ไม่ยากหรอก แต่สำหรับนาย... ชีวิตนายมันยังอีกไกล ถ้ามันพลาดขึ้นมาฉันก็แค่แผลฟกช้ำ แต่นายมันจะเป็นแผลปางตาย... ฉันว่าคนอย่างชเวซีวอนก็คงจะไม่พอใจเท่าไหร่ถ้าเห็นนายอยู่ในสภาพแบบนั้น เขารักนายมากไม่ใช่รึไง ?” น้ำเย็นถูกยกขึ้นจิบแก้กระหาย คังอินทอดสายตามองน้องชายที่นั่งก้มหน้าใช้ความคิดอยู่บนโซฟา คิ้วหนาเข้มที่ขมวดเป็นปมทำให้คยูฮยอนแลดูเหมือนเด็กน้อยที่ติดอยู่ในเขาวงกตแล้วกำลังพยายามหาทางออกมาอยู่ ซึงสภาพการณ์ตอนนี้ ร่างบางก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากภาพของเด็กน้อยหลงทางสักเท่าไหร่
     
                “...”
     
                “...ว่าไงหล่ะ ? คิดดีแล้วหรือยัง”
     
                “...” ห้องนั่งเล่นถูกปกคลุมด้วยความเงียบสงัดจนได้ยินเสียงกระดิ่งกรุ๊งกริ๊งจากบานหน้าต่างเมื่อลมพัด คยูฮยอนก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิมเพื่อพยายามใช้สมองในการคิดอีกครั้งอย่างละเอียดถี่ถ้วนตามคำบอกของคังอิน...
     
                อนาคตของเขาต่อจากนี้มันก็เหมือนอยู่ท่ามกลางกองฟางที่เริ่มติดไฟ ถ้าเลือกไม่ทำอะไรแล้วปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามครรลองที่มันควรจะเป็น เขาก็ไม่ต่างจากคนที่ยืนมองกองไฟลามเข้ามาใกล้ตัวเรื่อย ๆ สุดท้ายก็ปล่อยให้มันคลอกร่างของเขาจนหมดลมหายใจ... ไม่เดือดร้อน ไม่เสี่ยง ไม่ดิ้นรน แต่ก็ต้องทนเจ็บปวดกับการสูญเสียต่อไปจนกว่าไฟจะเผาร่างของเขาให้ไปถึงวันสุดท้ายของชีวิตที่ปราศจากความรัก
     
                แล้วถ้าหากเขาเลือกจะสู้ จะดิ้นรน กระโดดออกมาจากกองไฟนั้นเพื่อพบกับความอยู่รอด เพื่อชีวิตที่มีความสุขขึ้นแม้ว่าโอกาสในการที่จะกระโจนออกมาแล้วรอดตายมันมีน้อยมากกว่าโอกาสที่จะต้องตายระหว่างฝ่าไฟออกมา ถ้าเพลิงไม่แตะร่างของเขาก่อน ความสุขก็รออยู่ตรงหน้า แต่ถ้ากระโจนออกมาไม่สำเร็จ เขาก็จะต้องเจ็บปวดไม่ต่างอะไรไปจากการยอมตายในกองเพลิงเลย
     
                “...ผมไม่อยากเป็นคนที่ทิ้งความรักของตัวเอง ถ้าเขารักผมมากอย่างที่ผมเข้าใจ ผมว่าผมเองก็รักเขาพอ ๆ กันนั่นแหละครับ” แม้จะไม่ได้ยืนยันออกมาเป็นคำพูดชัดเจนแต่คังอินก็พอจะเข้าใจการตัดสินใจของคยูฮยอนในตอนนี้เป็นอย่างดี ร่างสูงใหญ่พรูลมหายใจออกมาก่อนจะลุกขึ้นย้ายตัวเองลงไปนั่งบนพื้นพรม
     
                “เอ้า... งั้นก็กางแผนที่ดู ทางไหนรอดง่ายที่สุด...”
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
                ชีวิตในคุกไม่ได้อยู่ยากอย่างที่คิด... แต่มันก็ไม่ได้ชวนให้รื่นรมย์พิสมัยอะไรเท่าใดนัก เพราะวัน ๆ เขาก็ต้องเดินไปกลับระหว่างห้องสอบสวนกับห้องขังสามสี่รอบเพื่อเล่าเรื่องที่ตัวเองได้กระทำมา มีทั้งที่จำได้บ้างไม่ได้บ้างตามแต่กาลเวลามันจะพาไป จนบางทีเขาก็อดนึกรำคาญพวกตำรวจที่ถามซักไซ้ในสิ่งที่เขาตอบไม่ได้ซ้ำไปซ้ำมาจนน่าโมโห
     
                “วันนี้พอแค่นี้แหละ”
     
                “ผมต้องเล่าไปจนถึงเมื่อไหร่”
     
                “จนกว่าเราจะได้ตัวผู้ร่วมมือของนาย” คำตอบที่ได้รับทำให้ชายในชุดคนคุกได้แต่เบ้หน้าแล้วแค่นหัวเราะออกมา แขนทั้งสองข้างที่ถูกคล้องเอาไว้ด้วยโซ่เหล็กยกขึ้นวางบนโต๊ะก่อนที่ใบหน้าคมคายจะเกยคางของตัวเองลงไป
     
                “ผมบอกคุณแล้วว่างานนี้ผมทำเอง มันเป็นธุรกิจของผม คนอื่นก็แค่คู่ค้าที่มาแล้วจากไป... ต่อให้ผมมานั่งเล่าแบบนี้จนถึงปลายปี ทั้งผมทั้งคุณก็ไม่มีทางรู้หรอกว่าไอ้ชื่อเสียงเรียงนามพวกนี้มันคือของจริงหรือของปลอม ทางที่ดีคุณควรจะลงมือจับเองแล้วค่อยมาถามผมทีหลัง มันจะเวิร์คกว่า” พยักเพยิดใบหน้าไปทางแฟ้มบันทึกความที่อยู่เบื้องหน้าเขา ซึ่งเต็มไปด้วยตัวอักษรยึกยือที่อ่านแทบไม่ออก
     
                “...”
     
                “ทีนี่ผมขอถามอะไรคุณอย่างนึงได้ไหม ?”
     
                “อะไรหล่ะ ?” แม้จะไม่ได้เป็นคำตอบตกลงว่าจะตอบคำถามของเขา แต่อย่างน้อยซีวอนก็พอมีความหวังว่าจะได้คำตอบกลับมา ริมฝีปากที่ไม่ได้ยกยิ้มขึ้นมานานแสนนานกำลังค่อย ๆ ขยับตามรอยหยักที่พระเจ้าสร้างเอาไว้เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความสุข ก่อนที่เสียงทุ้มจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่เบาลงราวกับต้องการให้เรื่องนี้เป็นเพียงความลับเท่านั้น
     
                “คุณเจอคยูฮยอนหรือยัง”
     
                “ไม่... ตอนนี้เราเองก็กำลังตามหาเขาอยู่... อะไรกัน คิดถึงหรือไง”
     
                “...”
     
                “...?”
     
                “ครับ... ถ้าเจอเขาฝากบอกด้วยว่าผมคิดถึง”
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
                “ห้องขังเดี่ยวดูท่าจะรอดง่ายที่สุดนะ”
     
                “แต่ซีวอนขังรวม... แล้วการจะย้ายไปได้มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับฮยอง” ดวงตากวาดมองแผนที่ตรงหน้ากับกองกระดาษที่วางอยู่ข้าง ๆ สลับกันไปมา คังอินเองพยักหน้าตามคำบอกของน้องที่เป็นเรื่องซึ่งพวกเขาไม่ได้คาดการณ์เอาไว้ล่วงหน้า
     
                “เราต้องหาเรื่องย้ายซีวอนออกไป”
     
                “...”
     
                “...”
     
                “เอางี้เราลองมาไล่ดูก่อนว่าจะทำยังไงกันบ้าง...ถ้าเกิดว่าซีวอนหนีออกมาได้แล้ว” ยองอุนคว้าเอาแผ่นกระดาษยับยู่ที่เขาเขียนทิ้งเอาไว้มาสองสามวันก่อนขึ้นมาดู แผนการที่ระบุเอาไว้อย่างคร่าว ๆ ด้วยลายมือขยุกขยิกถูกกางออกจนเรียบพร้อมกันกับที่คยูฮยอนจ่อปากกามาร์คเกอร์ไว้ในมือเพื่อระบุเส้นทางในการหนีลงไปบนแผนที่ให้เรียบร้อย
     
                “ทางด้านทิศเหนือของเกาะ อยู่ไม่ไกล ติดทะเล แล้วก็ตำรวจเฝ้าน้อยที่สุด... คงต้องหาเรือประมงเข้าไปเพราะมันแนบเนียนที่สุดแล้ว... ผมคิดว่างั้นนะ”
     
                “ฮยองพอมีชาวประมงที่รู้จัก คงพอจ้างให้ไปได้อยู่แหละ”
     
                “งั้นก็เอาตามนั้นครับ... ถ้าขึ้นฝั่งมาแล้ว ผมว่าซีวอนคงหาทางรอดได้เอง” คยูฮยอนมองดูระยะทางจากเกาะที่อยู่ทางใต้สุดของเกาหลีที่ห่างไกลโซลออกไปมากโข แต่มันก็เป็นถิ่นที่ซีวอนเองรู้จักดี
     
                “ถ้านายชัวร์ว่าเป็นแบบนั้นก็ดี”
     
                “ผมจะให้เขาไปรอที่สนามบิน... แล้วผมจะตามไปที่นั่นเลย ขืนปล่อยให้ร่อนอยู่ในโซลมันจะเสี่ยงเกินไป ที่อินชอนน่าจะปลอดภัยกว่า อีกอย่างช่วงนี้ไฟลท์บินก็พลุกพล่าน ตำรวจสนามบินเองก็มีน้อยถ้าเทียบกับสถานที่อื่น ๆ”
     
                “อืม...” คังอินครางรับในลำคอเมื่อลองจินตนาการภาพเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นไปเป็นช็อต ๆ ในขณะเดียวกันเขาก็พยายามหาทางที่จะย้ายซีวอนออกมาจากห้องขังรวมให้ได้.. ซึ่งมันก็จะพอมีวิธีอยู่บ้างเพียงแต่เขาไม่กล้าเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงมากก็เท่านั้น
     
                “เอางี้... เดี๋ยวฮยองจะลองอ้างกับทาง ผบ. ดูว่าถ้าอยากจะเข้าพบชเวซีวอนเป็นการส่วนตัว พอจะมีโอกาสย้ายหมอนั่นไปไว้ที่ห้องขังเดี่ยวสักวันสองวันได้หรือเปล่า”
     
                “อ่า... มันจะไม่ทำให้ฮยองดูน่าสงสัยใช่ไหมครับ ?”
     
                “อันนั้นมันอยู่ที่ซีวอนกับนายแล้วหล่ะ”
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
                “เอ้า ลุก !” เสียงของผู้คุมทำให้นักโทษที่เพิ่งจะได้พักผ่อนหลังจากการนำตัวออกไปทำความสะอาดโรงเรือนต้องเงยหน้าขึ้นมองตาม ภาพเบลอของชายในชุดราชการทำให้เขาต้องสะบัดหัวเล็กน้อยเพื่อปรับระยะโฟกัสของดวงตา
     
                “ลุกสิ”
     
                “...” ร่างสูงจำยอมต้องทำตามคำสั่งที่เอ่ยย้ำขึ้นมาอีกครั้ง แขนทั้งสองข้างยันตัวขึ้นยืนท่ามกลางสายตาของนักโทษคนอื่น ๆ ที่จ้องมองมาทางเขาเป็นตามเดียว ขายาวก้าวตามผู้คุมไปยังบานประตูเพื่อก้าวออกมาจากห้องขังของตัวเองอีกครั้ง
     
                ทางที่เดินมาในวันนี้ไม่ได้เหมือนกับทึกครั้งที่ถูกพามา ดวงตากลอกมองรอบกายเพื่อจดจำรายละเอียดต่าง ๆ ของสถานที่แปลกใหม่นี้เอาไว้อย่างแม่นยำอย่างเคยชิน แต่ก็เป็นเพียงแค่เวลาไม่นานเท่านั้นเพราะท้ายที่สุดเขาก็ถูกพาให้เดินลอดอุโมงค์เข้าไปยังอาคารใหญ่อีกหลังหนึ่ง ซึ่งเขียนว่าห้องขังเดี่ยว
     
                เขาถูกเดินนำมาจนถึงห้องด้านในสุด ประตูเหล็กบานทึบช่างแลดูอึดอัด แต่มันก็คงจะเป็นส่วนตัวและน่าอยู่กว่าห้องขังรวมที่เต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวกโวยวายทั้งวันทั้งคืน ผู้คุมที่เดินนำหน้าเขาตรงรี่เข้าไปคว้ากุญแจที่ถูกแขวนเอาไว้ในกล่องไม้ก่อนจะเดินนำเขาให้เลี้ยวไปอีกทางซึ่งเป็นซอกด้านในสุด กุญแจอันใหญ่ถูกไขออกเผยให้เห็นห้องด้านในที่ดูสะดวกสบายมากขึ้นกว่าเดิม เขาพยายามมองลอดว่าวันนี้จะต้องมาพบใครอีกแต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีเพราะภายในห้องนั้นว่างเปล่า
     
                “เข้าไปสิ”
     
    __________ SUMMER KILLER__________
     
    กลับมาปั่นเรื่องนี้อีกครั้งรู้สึกว่ามันแอบยาก 555555555
    หรือช่วงนี้เรียนหนักมากก็ไม่รู้ หัวหนัก ๆ - -
     
     
    THE★ FARRY
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×