คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : CHAPTER THREE
Under
the monument is empty
EXO / Kai x Sehun / PG17 / 3640 WORDS
note
: ไม่ได้ต้องการเสียดสีหรือพยากรณ์
III
ปัง ปัง ปัง!
“เซฮุน!” เสียงทุ้มตะโกนเรียกทั้งมือที่ยังกระหน่ำเคาะลงไปบนบานประตูห้องน้ำ
“เซฮุนได้ยินไหม?”
“ครับ” คนด้านในตอบกลับมา
ปิดฝักบัวที่กำลังชำระร่างกายอยู่เมื่อได้ยินเจ้าของบ้านที่หายไปเกือบค่อนวันเพื่อรับการตรวจสุขภาพเรียกชื่อของตัวเอง
หัวกลมชะโงกผ่านผ้าม่านออกมา มองตรงไปยังบานประตูที่สั่นตามแรงกระแทก
“ผมต้องใช้ห้องน้ำ หมายถึง... เดี๋ยวนี้... ช่วยออกมาก่อนได้ไหม?”
“ได้ครับๆ” เซฮุนจับความกังวลในน้ำเสียงนั้นได้อย่างชัดเจน
เขารีบเดินไปหยิบผ้าขนหนูที่พาดอยู่เหนือกำแพงมาพันรอบเอวก่อนจะเดินไปดึงประตูให้เปิดออกโดยไม่สนใจว่าบนผิวเนื้อจะยังคงลื่นฟองสบู่หรือไม่
เพราะทันทีที่ประตูเปิดออก คิมจงอินก็วิ่งพรวดตรงมายังอ่างล้างมือ
เปิดหัวก็อกให้สุดด้วยการตบอย่างแรงเพียงครั้งเดียวก่อนที่น้ำใสจะกลายเป็นสีดำมะเมี่ยม
มีกลิ่นชวนให้รู้สึกคลื่นเหียนลอยคลุ้ง
“อ่า...”
“คุณไปโดนอะไรมาครับ?” เซฮุนเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างร่างสูงเผื่อว่าตัวเองจะช่วยอะไรได้บ้าง
ถึงจงอินไม่ได้พูดแต่เขาก็สัมผัสได้ว่ากำลังมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น
“เชื้อเพลิงโดรน มันเป็นพิษ” จงอินตอบเสียงสั่น
ขมวดคิ้วนิ่วหน้าเมื่อเห็นว่าเกิดบาดแผลค่อนข้างใหญ่บนฝ่ามือของตัวเอง “ปกติต้องพกน้ำยาทำความสะอาดไป แต่มันค่อนข้างฉุกลุกนิดหน่อย...”
“อ่า...”
“ช่วยหยิบสบู่ให้หน่อยสิ”
“ครับๆ” ทันทีที่จงอินผินหน้ามาเอ่ยคำขอเซฮุนก็รีบก้าวเท้าตรงกลับไปยังพื้นที่สำหรับการอาบน้ำ
เขาคว้าเอาสบู่ขวดใหญ่มาแล้วกดครีมสีขาวหนืดลงไปบนมือให้กับจงอินทันที “ต้องทำแผลไหมครับ?”
“คิดว่านะ”
“ยาอยู่ไหนครับ เดี๋ยวผมไปหยิบเตรียมไว้ให้” ร่างบางเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้นด้วยความรู้สึกว่าอย่างน้อยเขาจะได้ทำตัวเองให้เป็นประโยชน์เพื่อตอบแทนอะไรจงอินบ้าง
จากที่เป็นฝ่ายรบกวนมาตลอด
“มันจะมีตู้ที่อยู่บนตู้เย็น ชั้นที่สอง กล่องสีฟ้า”
“ครับ ผมจะไปหยิบมันลงมา” เซฮุนรีบหันเดินออกไปจากห้องน้ำทันที
แต่ก็ต้องก้าวอย่างระมัดระวังในเมื่อคราบสบู่ลื่นบนพื้นกระเบื้องเป็นอุปสรรคต่อการเดิน
ระหว่างที่ขาเรียวกำลังก้าวตรงออกไปจากพื้นเปียกแฉะด้วยท่าทางไม่มั่นคงจงอินได้หันหน้าตามมองแผ่นหลังขาวนวลเปล่าที่ยังคงมีหยดน้ำเกาะพราวไปทั่วโดยบังเอิญ
ทว่ามันมีบางอย่าง... บางอย่างที่ไม่ใช่หยดน้ำเกาะอยู่บนปีกไหล่ด้านซ้าย
“เดี๋ยวนะเซฮุน... หยุดก่อน” เสียงทุ้มตะโกนเรียกอีกคนทันที
น้ำเสียงเข้มขึงกว่าทุกครั้ง
ดูร้อนรนรีบเร่งกว่าตอนวิ่งปรี่เข้ามาจะล้างมือเสียอีก
“ครับ?” คนที่ถูกเรียกให้หยุดชะงักเท้า
หันหน้ากลับมามองร่างสูงที่กำลังก้าวเดินตรงมาหาเขา
ดวงตาคมเพ่งมองตรงมายังไหล่ด้านซ้าย ก่อนจะหยุดซ้อนอยู่ด้านหลัง
ปลายนิ้วเย็นแตะไปบนผิวขาวอย่างเชื่องช้า
ลองสะกิดบนส่วนที่สังเกตุเห็นได้ชัดว่ามันปูดโปนขึ้นมาเป็นเหมือนเม็ดติ่งอะไรสักอย่าง
ทว่าเมื่อได้พินิจในระยะใกล้จงอินก็รู้ทันทีว่ามันไม่ใช่แผลเป็นหรือรอยแมลงกัด
“ให้ตาย... ลืมไปได้ยังไงวะ” ชายหนุ่มสบถ
ส่ายหน้าให้ความประมาทของตัวเองที่ลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปสียสนิท
สะกิดบริเวณรอยปูดเดิมเพื่อความแน่ใจและมันก็เป็นอย่างที่เขาคิดไม่มีผิดเพี้ยน
“เราต้องเอาเครื่องติดตามออกจากตัวนายก่อน”
แผลของช่างหนุ่มกลายเป็นเรื่องเล็กไปในทันทีเมื่อเซฮุนถูกจับให้นั่งลงบนโซฟาทั้งที่ยังอาบน้ำไม่เสร็จด้วยซ้ำแต่ก็ไม่อาจขัดขืนได้เพราะหากมันเป็นไปตามอย่างที่จงอินกำลังสาธยายให้ฟังด้วยท่าทางลุกลี้ลุกล้นถึงสรรพคุณการไล่ล่าของมันว่าเชื่อมต่ออยู่กับระบบของกระทรวงวิทยาศาสตร์ เครื่องติดตามบนปีกไหล่ซ้ายของเขาก็ไม่ต่างอะไรจากระเบิดเวลาขนาดจิ๋ว
“ฉันไม่รู้วิธีเปิดมันแต่ฉันน่าจะถอดมันได้” เสียงทุ้มยังคงพูดไม่หยุดขณะรื้อหนังสือในตู้ หาคู่มือการอบรมวิธีการใช้เครื่องมือพิเศษของกระทรวงต่างๆพร้อมกับอธิบายเพิ่มเติมว่าเครื่องติดตามจิ๋วนี้ถูกติดอยู่ในวัตถุทดลองทุกชิ้นเพื่อใช้ในการติดตามกรณีวัตถุหลุดหายไปจากห้องทดลอง
แต่ก่อนที่จะใช้งานมันจำเป็นต้องได้รับการเปิดสัญญาณโดยนักวิทยาศาสตร์ผู้ทดลองเสียก่อน
“...แต่ถ้ามันไม่เปิดก็ไม่เป็นไรนี่ครับ”
“นั่นมันอาจจะเมื่อเดือนที่แล้วเท่านั้น” จงอินหันมาตอบรวดเร็ว พร้อมดึงหนังสือเล่มหนาลงมาจากชั้นวางสองสามเล่มแล้วจับกางออกบนโซฟาเปิดพลิกหน้าท่าทางร้อนรน “เทคโนโลยีพวกนี้มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา
คำสั่งระยะไกลเพิ่งพัฒนาได้เมื่อเจ็ดอาทิตย์ก่อน
ถ้าพวกนั้นสามารถเอามาปรับใช้กับเจ้าเครื่องนี่ได้หมายความว่ามันอาจจะถูกเปิดก่อนนายจะได้ขึ้นมาเหยียบ Blue
World ด้วยซ้ำ”
“...”
“กับค่าหัวระดับนายแล้วเชื่อเลยว่าคนพวกนั้นทุ่มเงินไม่อั้นแน่” ทันทีที่อธิบายจบจงอินก็ก้มหน้าลงให้ความสนใจกับหนังสือที่กางเปิดอยู่เบื้องหน้าต่อ
คิ้วคมขมวดเป็นปมแน่นเมื่อยังไม่เจอสิ่งที่ตัวเองต้องการ
ความกังวลเข้าครอบงำชายหนุ่ม เขากลัวว่าตัวเองจะทำได้ไม่ทันการ
หากสัญญาณนั่นขึ้นสีแดงพร้อมทำงานแล้วกลายเป็นสีเขียวเมื่อไหร่นั่นหมายความว่าทุกอย่างจะพังลง
“แต่คุณก็น่าจะทำแผลก่อน”
“ไม่ได้! เราช้าไม่ได้เด็ดขาด นี่มันขึ้นอยู่กับการมีชีวิตรอดของนายเชียวนะ”
น้ำเสียงจริงจังทำให้ร่างบางชะงักอึ้ง เซฮุนไม่รู้ว่าตัวเองกำลังรู้สึกอย่างไร
ตกใจในน้ำเสียงดังก้องแต่ในขณะเดียวกันกลับรู้สึกว่ามันคือสิ่งมีค่ามากเหลือเกินเพราะถ้อยคำกรรโชกเหล่านั้นสะท้อนให้เห็นความห่วงใยจากคิมจงอิน
ผู้ชายที่อยู่คนละโลกกับเขามาโดยตลอดและเพิ่งพบเจอกันได้เพียง 3 คืนเท่านั้น
“...คุณ...เอาตัวเองมาเสี่ยงกับผมมากไปแล้ว”
จงอินส่ายหน้า “ไม่หรอก
นี่มันยังไม่เสี่ยงเท่าไหร่หรอกเซฮุน” ชายหนุ่มกระตุกยิ้มเมื่อคิดถึงสิ่งที่ตัวเองแอบทำมาตลอด
เขาคิดว่าการช่วยเซฮุนเอาไว้ไม่ให้ถูกส่งไปถึงห้องทดลองก็ไม่ต่างจากการสะสมตำราต้องห้ามและข้าวของจากโลกล่าง
เพียงแต่โอเซฮุนได้เป็นของที่มีราคาแพงที่สุดในคอลเลคชั่นเมื่อเทียบราคาค่าหัวกับราคาสิ่งของพวกนั้นซึ่งมันก็เป็นประเด็นที่ชวนให้น่าสงสัยเหลือเกินว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
เซฮุนเป็นค่าหัวที่สูงที่สุดตั้งแต่เขาจำความได้
และน่าจะเป็นประชากรของลกล่างเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับการบรรจุมาแบบยังไม่หมดลมหายใจ
“แต่ผมว่า--”
“นี่ไง! ในที่สุด...” ไม่รอฟังอีกคนพูดจบ
นายช่างก็กระเด้งตัวขึ้นมาเมื่อเจอสิ่งที่ตัวเองกำลังตามหา
เขากางบันทึกออกจนสุดแล้ววางไว้บนโต๊ะก่อนจะเอื้อมมือลงไปใต้โซฟ้าที่เป็นลิ้นชัก
มือหนาเกี่ยวดึงช่องบรรจุของออกเผยให้เห็นอุปกรณ์นับสิบชิ้นวางเรียงกันอย่างมีระเบียบภายในนั้น
จงอินเลือกหยิบเข็มอันเล็กในตลับที่มีปลายไม่แหลมคมเท่าเข็มเย็บผ้าสำหรับใส่หัวจักร
พร้อมกับไฟแช็คขนาดเล็ก
เปลวไฟลนปลายเข็มเป็นการทำความสะอาดก่อนจะใช้ด้านแหลมค่อยๆกดรอบบริเวณที่เครื่องติมตามฝังตัวอยู่
“อาจจะเจ็บนิดนึง”
“ครับ อ๊ะ!!”
“ให้ตาย มือฉันมันไม่เบาเหมือนพวกหมอ...” แม้รู้ว่าแรงนั้นทำให้อีกฝ่ายต้องรู้สึกระคายแต่มือที่มันหิ้วของหนักมาตลอดก็ไม่อาจเบาแรงลงได้มากกว่านั้นอีกแล้วจริงๆ
ร่างบางนั่งนิ่ง จิกเล็บกับพนักโซฟาตัวยาว
พยายามไม่ให้เสียงร้องเล็ดลอดออกไปจากปากเพราะตัวเองก็เกรงใจคนที่เอาแต่ช่วยเหลือกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เจ็บนิดเจ็บหน่อยแบบนี้ก็ควรจะอดทนเอาไว้มากกว่าร้องออกไปให้อีกฝ่ายกระวนกระวายใจ
เครื่องติดตามขนาดเล็กเหมือนเสี้ยนไม้ทว่ากลับมีรากยาวเกือบหนึ่งข้อนิ้วหลุดออกมาจากผิวบางได้สำเร็จ
ปลายสุดข้างหนึ่งทำหน้าที่เป็นสัญญาณไฟแจ้งสถานะการใช้งานในขณะที่อีกข้างหนึ่งเป็นปลายแหลมที่แยกออกเป็นสองแฉกเพื่อยึดติดกับผิวหนังได้แนบสนิท
จงอินแช่มันลงไปในขวดน้ำที่มีฟองลอยฟู่ขึ้นมาจากก้นอยู่ตลอดเวลาก่อนที่มันจะหายไปคล้ายสลายตัวได้
เมื่อเห็นเช่นนั้นตงอินจึงหยิบขวดน้ำทึบสีใกล้กันขึ้นมาแล้วใช้ปลายเข็มอันใหม่แตะจิ้มลงไปบนผิวเนื้อนั้น
ความแสบซ่านแล่นริ้วจนเซฮุนสะดุ้งวาบ
“มันออกแล้ว แต่เราต้องฆ่าเชื้อให้แผลก่อน” ร่างโปร่งว่าขณะทายาฆ่าเชื้อกลิ่นฉุนลงเหนือปากแผลเล็กที่เกิดจากการโดยปลายเข็มสะกิดเข้ามากกว่า
“จงอินก็ควรจะทำแผลนะครับ”
“นั่นสิ...” คนที่ลืมแผลบนมือของตัวเองไปเสียสนิทก้มลงมองรอยยับบนผิวเนื้อที่ข้อมือ
ชายหนุ่มจุ่มสำลีลงไปในน้ำยาฆ่าเชื้อด้วยมือข้างเดียว ยังไม่ทันได้คีบขึ้นมาเซฮุนก็แย่งคีมไปจากมือของเขาแล้วเป็นฝ่ายจับสำลีชุ่มน้ำนั้นขึ้นมาถูรอบปากแผลให้
“ผมทำแผลเป็น” ชายจากโลกล่างกล่าวขณะคีบสำลีทิ้งลงไปในถังขยะอย่างคล่องแคล่ว
เขามองตามใบหน้าที่เอาแต่ก้มลงสำรวจจ้องบาดแผลยับย่นไม่น่าดูนั้นด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
“ให้ผมทำอะไรให้จงอินบ้าง...”
ในความหลากหลายนั้น
มันมีความรู้สึกบางอย่างเหมือนกับตอนที่ตัวเองกำลังนั่งดูวีดีทัศน์ที่ฉายซ้ำ
- - - - -
“เชื่อเขาเลย...”
“..ฮึก”
“เล่นอะไรไม่เข้าท่าตลอด เราน่ะ”
“ฮึก”
“ร้องเข้าไป ร้องเข้าไป”
“ก็มันเจ็บนี่!! เบาหน่อยสิ!!”
“อะไรกัน... ใครสอนให้พูดจาแบบนี้ฮึ?” เขาขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่จริงจังนักเพราะริมฝีปากกลับยกยิ้มขึ้นมาหนึ่งข้าง
มือก็ยังคงจับปลายเข็มเย็นผ้าเอาไว้แน่นเพื่อสะกิดลงข้างเสี้ยนไม้อันสั้นที่ปักอยู่บนฝ่าเท้าเรียวเล็กที่วางเกยอยู่บนหน้าตัก
“ก็เจ็บ...ฮือ... เจ็บนี่!” เจ้าของฝ่าเท้าที่กำลังเกร็งไปด้วยความหวาดกลัวตอบเสียงสั่น
คิดว่าใจหนึ่งคงอยากเถียงเเขาอีกใจก็กลัวว่ายิ่งพูดจะยิ่งทำให้เรื่องมันแย่กระมัง
แต่นั่นแหละ... เขาชอบนะ ชอบเวลาน้ำเสียงนั่นสวนทางกับความคิดเบื้องลึก
เวลาที่ไอ้แสบมันจนมุมบ้างก็ดูน่ารักดี
“คราวหลังก็อย่าไปเล่นที่นั่นสิ บอกแล้วว่าไม้ผุมันเยอะ
ฟังกันบ้างหรือเปล่า”
“...”
“จริงๆเลยนะ ถ้าคราวหลังไปโดนเสี้ยนตำมาจะไม่บ่งให้แล้ว” เขาว่าดุแต่ก็เหมือนเดิมคือไม่จริงจังสักเท่าไหร่
ปลายเข็มสะกิดเอาเสี้ยนเส้นเล็กออกมาจากผิวเนื้อได้พอดิบพอดีในจังหวะนั้น ขาเรียวสั้นหดกลับเข้าไปคล้ายต้องการชิงหนีแต่มีหรือจะไวสู้มือของเขาได้
“ฮื่อ!” เด็กตัวขาวครางขู่ฟ่อ
สีหน้าแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจ
“ต้องล้างแผลก่อน!” เขาขึ้นเสียง
คว้าฝ่าเท้านั่นกลับมาวางบนตักก่อนจะจุ่มสำลีชุบน้ำเกลือโชลมเหนือแผลที่มีเลือดซิบออกมาเล็กน้อยจากการบ่งเอาเสี้ยนออกไป
“ปล่อยไว้สกปรก ตีนเน่าแน่”
“ฮื่ออ...”
“อยู่นิ่งๆหน่า” เอ่ยเตือนอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เบาลงกว่าเดิม
เบตาดีนสีน้ำตาลเข้มไม่น่ามองเป็นตัวยาต่อมาก่อนที่เขาจะเอื้อมไปหยิบเอาพลาสเตอร์มาแปะทาบเอาไว้เพราะกลัวว่าหากเจ้านี่ไปเล่นซนที่อื่นอีกจะได้บาดทะยักของจริงกลับมา
ธรรมชาติของเด็กที่โตมากับทุ่ง ไม่มีทางห้ามไม่ให้ออกไปวิ่งเล่นได้
เขารู้ดี
“ต้องแปะพลาสเตอร์เหรอ?”
“อืม ไม่ให้ติดเชื้อ”
“แต่มันรำคาญ”
“ถ้าอย่างนั้นไม่ให้ออกไปวิ่งเล่นพรุ่งนี้”
เด็กน้อยเบะปากไม่ตอบและยังถือโอกาสฟาดฝ่าเท้าลงมาบนหน้าตักของเขาอีกด้วย ซึ่งก็ไม่รอดเพราะสุดท้ายเขาก็เอื้อมไปคว้าเอาข้อเท้าเล็กไว้ได้ก่อนแล้วลากร่างนั้นขึ้นมาเกยอยู่บนหน้าตักทั้งที่ตัวก็ดิ้นขัดขืนเอาเป็นเอาตายเหมือนลูกหมูในฟาร์มเวลาโดนจับให้แยกคอกจากเพื่อนในฝูงที่คุ้นเคย
ปลายนิ้วจี้ไปบนข้างเอวซึ่งเป็นจุดอ่อนของเจ้าแสบ
แว่วเสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นเรื่อยๆ
แรงฝ่ามือฝ่าเท้าที่ฟาดลงมาก็แรงขึ้นแต่ยังไม่มากพอจะทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดจนต้องยอมแพ้
ทว่าหากโดนแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆก็คงจะไม่เข้าท่านัก
จึงจัดการรวบอีกคนมานอนคว่ำ ซ้อนอยู่เหนือแผ่นอก
ลมหายใจหอบหน่วงเป่ารดอยู่ใต้คาง ขมับขาวนุ่มชื้นเหงื่อจนเขาต้องยกมือขึ้นปาดเกลี่ยให้
ดวงตาจ้องมองเข้าไปในม่านตาสีน้ำตาลสดใสที่สุดท้ายก็หยีเล็กลงเพราะโดนรอยยิ้มหวานเบียดขึ้นไป
“ไคขี้แกล้ง...”
จงอินลุกจากเตียงเพราะสิ่งที่เรียกว่าความฝันเหมือนอย่างเคย
เขาเดินตรงไปยังห้องครัวแล้วเปิดตู้เย็นหยิบน้ำขึ้นมารินใส่แก้ว
พลางใช้มือข้างที่ว่างลูบไปบนผิวหน้าสองสามครั้งเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นก่อนจะอิงสะโพกเข้ากับข้างเคาท์เตอร์บาร์สีขาว
ดวงตาจ้องมองไปบนชั้นวางหนังสือที่ส่วนมากเป็นคู่มือตำรา ผสมกับหนังสืออ่านเล่นที่ซื้อมาจากร้านจำนวนมาก
รวมไปถึงหนังสือเก่าครึที่เขาบังเอิญเก็บพบตามแนวตะเข็บชายขอบของบาเรียและจากร้านขายของเก่าที่อาศัยหลืบรูกำบังตัวเอง
ว่ากันว่าลุงเจ้าของร้านคนนั้นเป็นคนจากโลกล่างที่รอดชีวิตมาได้
แต่ก็ต้องหลบซ่อนตัวเองอยู่ตามขอบตะเข็บซึ่งมีสารพิษเจือปน
มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะยอมแลกเงินกับเขาเพื่อซื้อหนังสือและข้าวของจำนวนหนึ่งที่เสียงแหบแก่นั้นมักพูดเสมอว่ามันคือการซื้อประวัติศาสตร์ที่หายไปของพงกเราคืนมา
พวกเราที่หมายถึงผู้คนใน Blue World ทั้งหมด
จงอินเดินตรงไปยังชั้นวางหนังสือ
เขาไล่มองตัวอักษรภาษาอังกฤษที่เรียงรายกันกระจัดกระจาย
ขนาดเล่มเล็กใหญ่ไม่ได้มีผลต่อการช่วยจัดวางให้สวยงามเพราะเขาต้องการปิดซ่อนสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในนั้นซึ่งก็คือหนังสือเก่าต้องห้ามของรัฐบาลและรูปภาพที่พบในกระเป๋าเสื้อ
รูปภาพที่จงอินไม่เคยรู้ว่าไปได้มาจากไหน
บางครั้งมันก็ปรากฏขึ้นเองในกระเป๋าเสื้อของเขา
บางครั้งก็วางอยู่บนโต๊ะกินข้าว โต๊ะในห้องนั่งเล่น
มันไม่ใช่ภาพน่ากลัวแต่เป็นภาพของบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ติดริมบึงกว้างขวาง
เยื้องไปไม่ห่างเป็นอาคารสูงที่มองเห็นเพียงแต่ยอดแหลมสีเทาคล้ำที่โดนผืนเมฆครึ้มบังเอาไว้
บางรูปก็เป็นขอนไม้เก่าที่พาดข้ามแอ่งน้ำขนาดเล็ก มีภาพเม็ดฝน
และอีกหลายรูปภาพที่เป็นสถานที่ประหลาดตา ข้อสงสัยก็คือมันไม่มีใครปรากฏอยู่ในรูปภาพเหล่านั้นเลยราวกับว่าจงใจให้เป็นเช่นนั้น
จงอินมีภาพแบบนี้อยู่จำนวนหนึ่ง ไม่ได้น้อยจนใบ้อะไรไม่ได้
แต่ก็ไม่มากพอจะเข้าใจความหมาย... เขาได้แต่หวังว่าสักวันจะเข้าใจมัน
เช่นเดียวกันกับความฝันที่วิ่งวนอยู่ในหัว
- - - - -
“เฮ้...” ร่างสูงโปร่งในชุดกาวน์สีขาวเอ่ยขึ้นในห้องหลังคาโค้งที่ช่วยให้เสียงสะท้อนก้องดังเกินความเป็นจริง
เงาตะครุ่มหลังซี่เหล็กขยับเขยื้อน โดยที่ทุกอย่างก็ยังคงซ่อนเร้นอยู่ในความมืด
“เฮ้...” เงามืดตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่าฟังแทบไม่ได้ยิน
คริสย่อตัวลงนั่งยอง ใช้ฝ่าเท้าทั้งสองข้างรองรับน้ำหนักตัวของตนเอง
มือทั้งสองข้างจับยึดอยู่กับซี่กรงเหล็ก
กลิ่นอับชื้นชวนคลื่นเหียนทำให้นายแพทย์หนุ่มต้องขมวดคิ้วทว่าก็ไม่ลังเลจะแนบหน้าผากลงกับก้านกรงเย็นเฉียบนั้นในเมื่อมันเป็นเพียงวิธีเดียวที่ทำให้เขารู้สึกได้เข้าใกล้เจ้าของเงามืดสีดำที่นั่งขดตัวอยู่ในซอกหลืบมุมในสุดคนนั้น
“หนาวมั้ย?”
“...”
“อยากได้ผ้าห่มเพิ่มหรือเปล่า ช่วงนี้อากาศเย็นลงมาก” เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แผ่วลงกว่าเดิม
สายตาจ้องรอคำตอบที่สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่การสั่นหน้าที่รับรู้ได้ผ่านภาพเงาสีดำบนกำแพงขยับตามร่างเล็กนั่น
ความจริงสิ่งที่คริสคาดหวังคือเจ้าของร่างนั้นจะหันหลังกลับมามองเขาบ้างสักครั้ง
ให้เขาได้มองเห็นใบหน้าอันเป็นที่รักอีกเพียงแค่เสี้ยววินาที หรือต่อให้จับโยนเขาเข้าไปในห้องกรงรูหนูนี่เขาก็ยินยอมพร้อมใจหากนั่นเป็นวิธีที่จะทำให้จางอี้ชิงหันกลับมามองหน้าเขาอีกครั้ง
“นายส่ายหน้าทุกครั้ง แต่เล่นขดแน่นขนาดนั้น” พยายามเจือเสียงหัวเราะลงไปในบทพูดให้ได้มากที่สุดเพื่อไม่ทำให้ทุกอย่างตรึงเครียดเหมือนกับที่มันเป็นอยู่
“ฉันจะบอกให้พวกเขาเอาผ้าห่มมาให้นาย”
“...เลิกมาที่นี่ซะ” แต่น้ำใจของคริสก็ไม่เคยเป็นผล
มันไม่เคยทำให้คนที่นั่งหันหลังอยู่ตรงนั้นยอมใจอ่อนเลยสักครั้ง
“...”
“อย่าเสียเวลา” เงานั่นพูดเสียงเบาแผ่วแต่เพราะว่าความโค้งเว้าของเพดานด้านบนหอคอยก็ทำให้คริสได้ยินทุกอย่างชัดเจน
เขาถอนหายใจออกมาก่อนจะจับซี่เหล็กให้แน่นขึ้น
ไม่เคยชินสักครั้งที่ต้องได้ยินคำพูดคำจาขับไล่ผลักไสกันแบบนี้
“ไม่เสียเวลาหรอก” ชายหนุ่มว่า “ถ้าเป็นเรื่องของอี้ชิง พี่ไม่เคยคิดว่ามันทำให้เสียเวลา...
เราต่างหากที่เสียเวลาไล่พี่”
“...”
“เราอาจจะเกลียดพี่ แต่ขอร้องล่ะ อย่าห้ามพี่ไม่ให้มาหาเราเลย
เพราะทุกอย่างยังเป็นอย่างที่พี่บอกเราอยู่ตลอด มันคงผิดมากแต่พี่ไม่ใช่คนที่นี่
พี่มีสิทธิ์จะรู้สึกเราเองก็เข้าใจไม่ใช่หรือไง เราเป็นคนพาพี่ขึ้นมาที่นี่เอง”
“...”
“ไม่ต้องรู้สึกอะไรเลยก็ได้อี้ชิง นั่นมันไม่ใช่หน้าที่ของนายอยู่แล้ว”
คริสลุกขึ้นหลังประโยคนั้นจบลง
เขามองเงามืดของคนที่ตัวเองรักสุดหัวใจก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้าทั้งหัวใจสั่นพร่าใกล้แตกสลาย
ชายหนุ่มเกาะซี่กรงเอาไว้คล้ายตัวเองเป็นนักโทษเสียเอง
ซึ่งมันคงเป็นการอุปมาที่เหมือนจริงมากไปสักหน่อย
“ไว้พี่จะมาเยี่ยมใหม่... ห่มผ้าด้วยอี้ชิง” ชายหนุ่มกล่าวทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงวิงวอนก่อนจะเคลื่อนตัวห่างออกจากซี่เหล็กเนื้อหนาเย็นเฉียบ
ฝ่าเท้าภายใต้รองเท้าผ้าใบเหยียบย่างอย่างเชื่องช้าลงจากบันไดหินขดเวนเป็นวงกลมของหอคอยนักโทษสูงเสียดฟ้า
กระทั่งมาถึงขั้นสุดท้ายซึ่งเป็นอุโมงค์เชื่อมต่อ มีประตูกลอัตโนมัติกลั้นกลาง
เขาพยักหน้าให้นายทวารในชุดสีเทาแล้วประตูบานนั้นก็เปิดออก
“ส่งผ้าห่มขึ้นไป บังคับให้นักโทษกินอาหารด้วย ที่นี่ขังคนเป็นไม่ใช่คนตาย” ร่างสูงกำยำย้ำหนักแน่นกับนายทวาร ก่อนตบตวัดชายชุดกาวน์สีขาวที่เปื้อนคราบสนิมไปยังเบื้องหลัง ช่วงขายาวก้าวเดินตรงไปตามทางเดินของกระทรวงวิทยาศาสตร์และการทดลองอย่างสง่าผ่าเผยสมกับตำแหน่งที่ปรึกษาสูง ซ่อนความกังวลและเจ็บปวดเอาไว้เบื้องหลังความขรึมเข้มที่แสดงออกมา
ชายหนุ่มผู้มีตำแหน่งจะไม่มีทางได้รู้ว่าหลังจากสลักประตูลั่นก้องไปทั่ว
เจ้าของเงามืดบนยอดหอคอยค่อยๆแผ่นกายลงนอนบนผืนผ้านวมกลิ่นชื้นผืนหนา
รอบบากบนหน้าที่เกิดจากการขัดขืนเมื่อหลายปีก่อนต้องแสงจันทร์
บาดแผลตามร่างกายไม่อาจทำให้ศาสตราจารย์จางอี้ชิงรู้สึกเจ็บปวดได้เท่ากับปมลึกในจิตใจที่กัดกินลึกลงไปเรื่อยๆ
ไม่รู้ว่าควรเกลียดความทะเยอทะยานของตัวเองหรือ Blue World มากกว่ากัน แต่ที่มั่นใจมาตลอดคือ เขาเกลียดความรักที่มีต่อคริสมากที่สุด
- - - - -
เปิดตัวละครมาอีกสองและเชื่อเถอะว่าค่อนข้างมีบทบาท
หลังจากนี้ก็จะเริ่มเข้มเต็มรสแท้กาแฟไทย #ผิด
ช่วงนี้เราอาจจะอัพเอื่อยลงหน่อย งานประเดประดัง T_T
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ
ปล. โง่มานาน เพิ่งรู้ว่าระบบนับคำในแมคมันนับเป็นตัวอักษร
นี่พอเอามาลงในเวิร์ดถึงได้รู้ว่า ห่ามีแค่ 3000 กว่าคำ ไม่ใช่หมื่นๆอย่างที่เข้าใจ
โถกรรมของคนกาก - -
#UMETKH
ความคิดเห็น