คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : field 03
03
เรื่องในอดีต
ไม่เคยหยุดนิ่ง
มื้อเช้าวันนี้กลายเป็นข้าวผัดไข่กลิ่นหอมรสนุ่มจากเนยและกระเทียม พ่อครัวตาฟ้ายิ้มร่าออกมาเมื่อเห็นคนที่ไม่อยากกินซุปข้าวโพดตักมันเข้าปากแล้วเคี้ยวตุ้ยอย่างเอร็ดอร่อยจนหมดจาน
“นายจะกินหัวฉันแทนข้าวผัดหรือไง?” ซีวอนถามด้วยน้ำเสียงเรียบขัดกับสีหน้าที่แสดงความไม่ชอบใจออกมาชัดเจนผ่านเส้นคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน มาร์คัสจึงต้องก้มหน้าหลบลงไปมองเม็ดข้าวในจานแล้วตักมันขึ้นมารับประทานบ้างหลังจากเอาแต่นั่งเขี่ยมันอยู่นานหลายนาน
ซีวอนพึมพัมอยู่อีกสองสามคำที่อีกคนฟังไม่ชัดเจนนักก่อนจะเป็นฝ่ายลุกจากโต๊ะอาหารไปเสียก่อน เขาเอาจานไปวางไว้ในอ่างตามใจเจ้าบ้านที่ไม่ยอมปล่อยให้เขาเป็นฝ่ายล้างหรือทำความสะอาดข้าวของประเภทนี้ทั้งๆที่มันเป็นเพียงเรื่องเดียวที่เขาอาจจะพอแบ่งเบาภาระได้บ้าง
ก็ถ้าจะให้ชเวซีวอนไปจับตะหลิวหรือไม้กวาดอะไรทำนองนั้นหล่ะก็...
ไล่เขาไปนอนในฟาร์มแพะเถอะ บอกเลย
“คุณซีวอนจะไปไหนเหรอครับ?” เด็กตาฟ้าเอ่ยโพล่งขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นเขาคว้าหมวกปีกบานมาสวมไว้บนหัว ดวงตากลมนั่นดูตื่นๆเหมือนลูกแมวที่โดนปล่อยไว้ให้อยู่เพียงลำพังในห้องมืด จึงไม่น่าประหลาดใจเลยสักนิดว่าทำไมชเวซีวอนถึงยิ้มออกมาทันทีที่เงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของคำถาม
“รอนาย ไม่ไปสวนหรือไง?”
“เดี๋ยววันนี้คุณคิบอมจะเข้ามาส่งปุ๋ยตอนเก้าโมงครึ่ง... ผมว่าเราออกไปพร้อมกันจะดีกว่า"
“งั้นเหรอ...” ซีวอนเหลือบมองนาฬิกาที่ฝาผนังบ้าน มันชี้บอกเวลาแปดโมงครึ่งเท่านั้น... “งั้นฉันอยู่ที่หน้าบ้านแล้วกัน"
“ครับ" คยูฮยอนพยักหน้ารับอัตโนมัติโดยไม่ได้สนใจว่าอีกฝ่ายจะก้าวเท้าออกไปไกลแล้วก็ตาม เด็กน้อยหย่อนตัวลงบนโต๊ะอาหารอีกครั้งแล้วค่อยๆตักข้าวผัดคำต่อมาเข้าไปในปากท่ามกลางเสียงกีต้าร์มาจากหน้าบ้าน
คยูฮยอนยิ้มออกมาทั้งที่แก้มทั้งสองข้างอมข้าวเอาไว้จนพอง เสียงเพลงบรรเลงที่เขาไม่รู้ชื่อแต่กลับตกหลุมรักมันตั้งแต่ได้ยินคอร์ดแรกคลอเอื่อยตามสายลมเข้ามาในบ้านเหมือนกับที่มันเคยดังมาให้ได้ยินจากท้ายทุ่งตอนที่เขากำลังเล่นซนกับ โช ม้าแคระขี้โรค เด็กน้อยยิ้มกว้างมากขึ้นเมื่อจำได้เลือนลางว่าตอนนั้นพี่ชายตัวสูงเคยหันกลับมายิ้มให้เขาแวบนึงหลังจากเพลงจบลง
มันเป็นความทรงจำที่หอมหวานเหมือนกับกลิ่นของคาราเมล
คาราเมลที่ถูกต้มจนไหม้ แต่ก็ยังคงรสหวานชื่นไม่เปลี่ยน
ข้าวผัดคำสุดท้ายถูกกลืนลงไปในลำคออย่างเชื่องช้า บทเพลงบรรเลงจบลงไปแล้วและทิ้งไว้เพียงท่วงทำนองของมันที่ตรึงอยู่ในโสตประสาทของคนทั้งสอง คยูฮยอนยกเอาจานไปวางในอ่างแล้วล้างมันให้สะอาดภายในเวลาอันแสนสั้น จากตรงนั้นเขาเหลือบมองออกไปนอกหน้าต่าง มองทุ่งคัทเตอร์หลายสิบไร่เบื้องหน้าและต้นไม้ขนาดใหญ่ที่เอาไว้สำหรับพักผ่อนยามบ่าย
ที่ใต้ต้นโอ๊คต้นนั้น... มีชเวซีวอนกำลังนั่งเกลากีต้าร์
ในทุ่งดอกคัทเตอร์... มีเขากำลังก้าวฉับๆ
บางครั้งเขาก็นึกขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ชเวซีวอนจำเรื่องของเขาไม่ได้ แต่บางทีเขาก็เกลียดพระองค์ที่ทำแบบนั้นลงไป เพราะจนตอนนี้เขาเองก็ยังหาวิธีลืมพี่ชายคนนั้นของเขาไม่ได้เลย
ไม่มีสักวิธีที่ทำให้เขาลืมอะไรที่เป็นชเวซีวอนได้ลงจริงๆ
- - -
“”หกสิบห้ากิโล กินกันให้อิ่มไปเลยเอ้า!” ชายหนุ่มในชุดเสื้อผ้าทะมัดทะแมงส่งกระดาษบิลสีขาวมาให้คยูฮยอนที่อิงสะโพกกับรั้วไม้ ดวงตากลมไล่มองหน้ากระดาษนั้นก่อนจะส่งมันให้กับซีวอนที่ยืนหน้านิ่งอยู่ไม่ห่างออกไป
“อันนี้เป็นปุ๋ยที่เราใช้ครับ จะลงครั้งละหกสิบห้ากิโลทุกสองอาทิตย์ แค่โทรไปตามเบอร์นี้แล้วบอกว่าสวนบ้านชเว คุณคิบอมก็จะบึ่งรถมาส่งให้ถึงที่เลยครับ" เสียงหวานอธิบายเจื้อยแจ้วให้ร่างสูงฟังอย่างไม่ลงรายละเอียดว่าอะไรเป็นอะไร คยูฮยอนคิดว่าตอนนี้ซีวอนคงยังไม่เข้าใจชื่อสารเหล่านี้มากนัก แต่ถ้าหากได้ลงมือเองไปสักพักก็จะสามารถซึมซับไปได้เองว่าอะไรเป็นอะไรบ้าง
“อืม"
“อ่า นี่คุณคิมคิบอมนะครับ เป็นเจ้าของร้านค้าปุ๋ยที่ไร่ของคุณใช่บริการมานาน" คยูฮยอนกันไปแนะนำคิบอมที่ยืนอิงรั้วอยู่ข้างเขา
“สวัสดีครับ" ซีวอนเป็นฝ่ายทักก่อนแล้วส่งยิ้มไปให้
“สวัสดีครับคุณซีวอน... แหม่ ตัวจริงหล่อกว่าในทีวีเยอะเลยครับ"
“โอ่... ไม่ขนาดนั้นครับ นี่โทรมลงไปเยอะเลย"
“ฮ่าๆ ความจริงผมนี่แฟนเพลงของคุณเลยนะขอบอก...” คิบอมยุบนิ้วกลางและนิ้วนางของตัวเองลงด่อนจะโบกสัญลักษณ์นั้นขึ้นมาท่ามกลางอากาศ แสดงตัวว่าเป็นแฟนเพลงของอีกฝ่ายชัดเจนตามประสาคนขี้เล่น ทำเอาซีวอนอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“ฮ่าๆๆ ยินดีที่ได้รู้จักแฟนเพลงส่งปุ๋ยนะครับ"
“ยินดีที่ได้รู้จักนักร้องเจ้าของทุ่งคัทเตอร์เช่นกันครับ ฮ่าๆๆๆ" หนุ่มผิวเข้มระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังพลางเอื้อมแขนไปคล้องพาดไว้ที่รอบบ่าของคยูฮยอนด้วยความเคยชิน
ผิดกับชเวซีวอนที่รู้สึกไม่คุ้นชิน
เสียงหัวเราะของเขาชะงักไปเมื่อเห็นมือของคิบอมรั้งลำคอของมาร์คัสเอาไว้ กระนั้นกลับแสดงออกมาว่าไม่ได้ใส่ใจอะไรและยังคงยิงคำถามใส่พ่อค้าปุ๋ยอีกสองสามคำก่อนจะขอตัวเดินกลับเข้าไปในไร่ทั้งที่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงต้องเดินลงมาในนี้
ไม่ชอบใจงั้นเหรอ...
ไร้เหตุผลหน่า อยู่กับเด็กนี่ได้ยังไม่ทันอาทิตย์ดีเลยด้วยซ้ำจะมาไม่พอใจอะไร
ร่างสูงเดินเลาะไปตามทางซึ่งถูกถางเอาไว้จนเรียบแต่มันก็ยังคงรกรุงรังไปด้วยกิ่งก้านของดอกคัทเตอร์รุ่นโตเต็มไวัยอยู่ดี ซีวอนหยุดเท้าของตัวเองลงที่ใต้ต้นโอ๊คสูงใหญ่ อาศัยร่มเงาของมันกำบังแสงแดดขณะทิ้งตัวลงนอนแล้วทอดสายตามองทุ่งเบื้องหน้า
มันเหมือนในความฝัน... แผ่นหลังของเด็กผู้ชายคนนั้นยังคงตราตรึงเหมือนกับเป็นมนตราอะไรสักอย่างที่ติดตัวของเขาไปทุกที
แต่ไม่ว่าจะพยายามค้นหาสักเท่าไหร่ ก็ไม่เคยค้นเจอ
เขาทำเด็กผู้ชายตัวเล็กในฝันคนนั้นหล่นไว้ที่ไหนกัน...
ไม่ห่างออกไปนักรากไม้ก้านใหญ่ใกล้รั้วกลายเป็นเก้าอี้ธรรมชาติให้กับคนสองคนไปโดยปริยาย มาร์คัสป่ายปีนไปที่ปลายสุดของมันซึ่งค้ำเอาไว้ด้วยก้อนหินขนาดมหึมา ส่วนคิบอมเพียงแค่หย่อนตัวลงกับแง่งของมันที่เว้าลึกพอจะประคองร้างทั้งของเขาไม่ให้กลิ้งหลุนไปไหน
“นายต้องเสียสติไปแล้วแน่ๆ!”
“ไม่เอาหน่าคิบอม...”
“หมอนั่นก็ด้วย... ให้ตายสิ ทำไมโลกมันถึงได้ตาลปัตรขนาดนี้วะ" คิบอมสบถเสียงดัง ปราศจากความเกรงอกเกงใจใดๆทั้งสิน ใบหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความโกรธและคำถามมากมายที่ประเดประดังเข้ามารวมสุมเป็นกองฟาง
“มันก็ไม่ได้แย่เสียหน่อย"
“หมอนั่นอยู่กับนายมากี่วันแล้วเนี่ย?”
“วันนี้วันที่ห้า"
“พระเจ้า! กะโหลกมันคงหนาเหมือนขนแกะ"
“คิมคิบอม! เลิกโวยวายได้แล้วหน่า...” คยูฮยอนตัดสินเอื้อมแขนไปผลักไหล่ให้อีกคนหยุดพูดจาสบถเสียดสีแขกของตนเอง หากแต่คนโดนห้ามปรามก็มิได้รู้สึกเกรงอกเกรงใจอะไร หนำซ้ำยังแสดงสีหน้าท่าทางบิดเบ้อันเสมือนการประท้วงทางอ้อมว่าอย่างไรก็ตาม ชเวซีวอนคนนั้นก็คือคนกะโหลกหนาเหมือนขนแกะอยู่ดี
“เหอะ... นายมันงมงายมาร์คัส"
“ฉันเปล่า"
“ลืมๆเขาไปเถอะหน่า กะแค่ผู้ชายคนเดียว"
“...”
“ใครที่เข้าเมืองไปก็เป็นแบบนี้กันทุกคนนั่นแหละ...” เสียงของคิบอมแผ่วลงไปเพราะใบหน้าของใครบางคนที่ซ้อนขึ้นมากระทันหันท่ามกลางห้วงความคิด เขากระอักกระอ่วนใจทุกครั้งที่ต้องพูดถึงโซล เมืองหลวงของเกาหลีใต้ซึ่งเปรียบเสมือนศูนย์กลางแห่งความเจริญ ไม่ว่าใครหน้าไหนในหมู่บ้านก็ล้วนอยากจะลองไปเหยียบย่ำที่นั่นสักครั้งโดยมิได้หวั่นเกรงเลยว่าจะตนอาจจะถูกย่ำเหยียบให้สาหัสปางตายได้
“นายก็พูดเกินไป"
“เหอะ... ฉันไม่เคยพูดเกินไปหรอก" แววตาของคิบอมถูกกลบทับด้วยความเจ็บปวด "ถ้ามันเป็นแค่เรื่องโกหกแล้วทำไมทงเฮถึงเป็นแบบนี้หล่ะ...”
“...”
“คนที่มาจากโซล มันก็เห็นแก่ตัวทั้งนั้นแหละ...”
“...” มาร์คัสไม่กล้าต่อปากต่อคำอะไรหลังจากนั้นอีก นั่นเพราะชื่อ ทงเฮ มีผลกระทบต่อทั้งเขาและคิบอมมากเกินไป โดยเฉพาะกับคิบอม ลีทงเฮเป็นเหมือนทั้งลมหายใจ
ลมหายใจที่คิมคิบอมจะไม่ยอมเสียไปอีกครั้ง
“พูดแล้วก็หน่าย... ว่าแต่อาทิตย์นี้นายได้ไปหาทงเฮบ้างหรือเปล่า?”
“ยังเลย... ช่วงนี้ต้องเลี้ยงปุ๋ยเจ้าพวกนี้เป็นพิเศษ ฉันเลยฝากเซฮุนไปดูแทนหน่ะ"
“อืม... ได้ข่าวว่าจงอินไล่จับให้เจ้าหนูฮุนนั่นมาอ่านหนังสือจนหมดแรง... ฟังแล้วขำชะมัด"
“ฮะๆ ดื้อเหมือนเดิมแหละ ช่วงนี้จะสอบเลือกสายแล้วด้วย คุณจงอินคงลำบากเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า"
“สิบเท่ายังน้อยไปเลยมาร์คัส... นายไม่รู้หรอกว่าเจ้าชเวคนเล็กนั่นมันดื้อด้านขนาดไหน" หนุ่มผิวเข้มเแก้คำพูดของคยูฮยอนเสียใหม่เมื่อนึกไปถึงฤทธิ์ร้ายของลูกหลงแห่งบ้านชเว ชเวเซฮุน เด็กชายที่ทิ้งอายุห่างจากพี่ชายคนกลางของบ้านถึงแปดปี ถูกชุบเลี้ยงท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ใครๆก็ต่างเอาอกเอาใจเจ้าคนเล็กนี่จนเคยตัว เห็นเจ้าหนูนั่นกลัวอยู่อย่างเดียวก็คือ ชเวซีวอนด้วยเหตุผลที่ใครต่อใครต่างก็ยังสงสัยกันอยู่
บทสนทนาของทั้งสองดำเนินต่อไปอีกสักพักจนสมควรแก่เวลาที่คิบอมสามารถเบี้ยวงานได้ เจ้าของร้านส่งปุ๋ยลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจอย่างทุลักทุเลก่อนจะจับหมวกทรงคาวบอยของตัวเองขึ้นมาสวมไว้บนศีรษะแล้วเริ่มกล่าวลากับเพื่อนสนิทตาฟ้าที่เล่นกันมาตั้งแต่ยังเด็ก
“นี่... ถ้าทนไม่ไหวก็ไล่ตะเพิดพี่ซีวอนของนายออกจากบ้านไปเลยก็ได้นะ"
“บ้าสิคิบอม... นั่นบ้านของเขาต่างหาก ใช่ของผมที่ไหน"
“เหอะ ยังไงนายก็เหนือกว่า...เออจริงสิ...” สะดุ้งตัวขึ้นมาเมื่อนึกได้ว่าเขามีของบางอย่างที่อยากจะฝากไปให้ใครบางคน "ฝากนี่ไปให้ทงเฮหน่อยสิ" คิบอมล้วงหยิบพวกกุญแจหนังสานสีน้ำตาลออกมาจากกระเป๋า มันเป็นรูปปลาสามสี่ตัวถูกคล้องเอาไว้ด้วยโซ่ทองเหลืองเส้นเล็กดูน่ารัก
“พวกกุญแจเหรอ?”
“อืม...”
“ไม่เอาไปให้เองหล่ะ"
“...ฉันก็อยากอยู่ ถ้าทงเฮยอมเจอฉันบ้างคงดี" รอยยิ้มขื่นยื่นออกไปพร้อมกับพวกกุญแจในมือ ผู้รับฝากจึงได้แต่ตบบ่าของอีกคนเบาๆเป็นเชิงให้กำลังใจแม้จะรู้ดีว่าต่อให้ตบแบบนั้นจนคิบอมไหล่ทรุดไปข้างหนึ่ง กำลังใจก็คงไม่ได้เพิ่มพูนอะไรขึ้นมา
“คิดมากหน่า... เชื่อฉันสิ เดี๋ยวทงเฮก็จะรู้ว่าใครรักมันมากที่สุด"
“...”
“คิบอมเองก็ต้องเชื่อมั่น เข้าใจไหม"
“นายเองก็เหมือนกัน"
“อื้ม...” มาร์คัสยิ้มกว้างแล้วหันหน้ามองเข้าไปในไร่ที่ซึ่งชเวซีวอนกำลังใช้กรรไกรตัดกิ่งดอกคัทเตอร์ด้วยสีหน้าตั้งอกตั้งใจ "พระเจ้าไม่ใจร้ายมากหรอกคิบอม... เขาคงแค่อยากทดสอบความอดทนของมนุษย์เท่านั้นเอง"
- - -
ทันทีที่เข้ามาถึงบ้านในช่วงเย็นของวัน ซีวอนก็ทิ้งตัวลงบนโซฟาที่กลางบ้านทันทีโดยมิได้คำนึงว่ามันมีกลิ่นอับหรืออะไรหรือไม่ ร่างกายของเขาเหนื่อยล้าจากการเดินตากแดดตัดช่อดอกคัทเตอร์แสนสวยและฝึกผสมปุ๋ยมาทั้งวัน ซ้ำร้ายตอนบ่ายสามยังถูกเรียกให้เข้าไปขนฟางที่ฟาร์มของพ่อ โชคดีที่ได้ชเวมินโฮ น้องชายคนกลางซึ่งรับหน้าที่ต้อนแกะกลับมาช่วยเสียก่อน ไม่งั้นเขาคงจะตายไปตั้งแต่เริ่มยกกองที่สอง
“คุณซีวอน ทานข้าวก่อนไหมครับ"
“ขอสิบนาทีเถอะ ฉันจะจมเหงื่อตายอยู่แล้ว" เสียงทุ้มงึมงัมตอบออกไปอย่างหมดสภาพ ความอ่อนล้าเข้าครอบงำทั้งร่างจนซีวอนแทบไม่อยากจะอ้าปากเคี้ยวข้าวด้วยซ้ำ ใบหน้าคมซุกลงกับหมอนเน่าที่อิงอยู่กับพนักพิงแขน หลับตาลงปล่อยลมหายใจให้ผ่อนคลายไปตามจังหวะของมัน
“อ่า... ก็ได้ครับ" เจ้าบ้านเพียงแค่ขานรับเบาๆก่อนจะหายตัวไปอีกครั้ง ทิ้งไว้เพียงเสียงตึกตักของฝีเท้าที่ดูท่าว่าจะกำลังวิ่งวุ่นไปมาในห้องครัวเพื่อเตรียมอาหารมื้อเย็น
ความจริงแล้วซีวอนไม่ได้อยากนอนหลับแต่มันมีอะไรบางอย่างที่ว้าวุ่นจนพาลทำให้เผลอขยับตัวทำนั่นทำนี่จนหมดกำลังและสุดท้ายก็ต้องมาจมตายอยู่ในโซฟาตัวเน่า ร่างสูงเอาปลายคางแหลมของตัวเองเกยกับท่อนแขนที่พับทบไว้แล้วมองเข้าไปในห้องครัว แผ่นหลังของคยูฮยอนเป็นอีกสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นเหมือนเวลาได้มองแม่เตรียมมื้อเย็นในห้องครัวที่บ้าน
แต่ก็มีภาพแบบนั้นให้เห็นได้ไม่นานเท่าไหร่ แม่จากไปตั้งแต่เขายังเด็ก เด็กเกินกว่าที่จะรู้ด้วยซ้ำว่าความตายเป็นเรื่องเศร้า พ่อพูดเสมอว่าแม่รีบไปเพราะแม่ไม่อยากให้เขาเสียใจและร้องไห้ฟูมฟายไม่เหมือนเป็นยอดชาย มันเป็นความคิดที่แสนจะเข้าข้างตัวเองแต่ซีวอนก็เชื่ออย่างที่พ่อบอกมาโดยตลอดว่านั่นคือความหวังดีของแม่
สุดท้ายซีวอนก็ต้องยอมดันตัวเองขึ้นจากโซฟา สาวเท้าเข้าไปในห้องครัวด้วยพลังบางอย่างที่เจ้าตัวเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันคืออะไร รู้เพียงแค่ว่าตอนนี้เขากำลังหยุดอยู่เบื้องหลังเด็กหนุ่มตาฟ้าที่ก้มหน้าก้มตาคนซุปเนื้อในหม้อ ปล่อยให้เขาเดินเข้ามาประชิดตัวจนได้กลิ่นหอมที่เหมือนน้ำผึ้งเดือนห้า
“อ่ะ!” เสียงหวานร้องขึ้นด้วยอารามตกใจที่โดนท่อนแขนใหญ่สอดเข้ามาที่รอบเอว ลำตัวของมาร์คัสเกร็งทื่อไปด้วยความรู้สึกมากมายทั้งตระหนก ตื่นเต้น และเขินอาย ยิ่งเมื่อตะแคงใบหน้าไปเห็นว่าอีกคนกำลังซบซุกอยู่บนบ่าของเขาจนเหงื่อที่ขมับซึมสายผ้ากันเปื้อนลงมายิ่งพาลทำให้ทุกอารมณ์ทั้งหมดทวีเพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัว
“...” มือหยาบกร้านผสานเอาไว้บนหน้าท้องแบนราบซึ่งมันเกร็งทื่อจนแข็งไปหมดแต่ซีวอนก็ยังคงไม่ยอมปล่อยหรือผละออกไปไหนแม้จะไม่รู้ว่าที่ทำอยู่ในตอนนี้มันเป็นพฤติกรรมที่ส่วนไหนของสมองสั่งออกมาก็ตาม
“คุณซีวอน...ม มี มีอะไรหรือเปล่า...ครับ?” คนในอ้อมแขนเอ่ยถามเสียงสั่น ความจริงมาร์คัสสั่นไปทั้งตัว แม้แต่มือที่ถือทัพพีในมือก็ยังสั่น
“เปล่าหรอก" เสียงทุ้มเอ่ยกระซิบคลอเคลียอยู่ที่ข้างใบหูขาวซึ่งตอนนี้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำเพราะอาการเขิน ซีวอนกดจมูกของตัวเองแนบลงไปกับบ่าแคบตอนเผลอนึกใบหน้าของคิมคิบอมขึ้นมา มันดูไร้เหตุผลชะมัดที่เขาเดินมาตรงนี้แล้วกอดเอวบางเอาไว้แถมยังกอดแน่นขึ้นเมื่อภาพของคยูฮยอนกับคิบอมหัวร่อต่อกระซิกกันตรงข้างไร่มันไหลบ่าเข้ามา ทำตัวเป็นเหมือนเด็กหวงของ เหมือนที่เขาเคยหวงแม่ตอนเธอสนใจเซฮุนมากกว่า
“...”
“รู้สึกเหมือนกระดูกหักทั้งตัวเลยหว่ะ...” เสียงทุ้มเปรียบเปรยออกมาอย่างที่ตัวเองกำลังรู้สึก พลันบ่ากว้างก็ได้รับสัมผัสอบอุ่นลูบไปเรื่อยเหมือนปลอบโยนที่ในอีกทางหนึ่งมันกำลังปลุกเขาให้รู้ตัวว่าเผลอทำอะไรลงไป
ซีวอนควรจะผละกายออกมา แต่มันยากมาก...
มันยากเกินไปจนชเวซีวอนไม่กล้าแม้แต่จะปล่อยมือออกจากกันด้วยซ้ำ
- - -
#fieldwonkyu
04012016
ความคิดเห็น