ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ( kaihun ) Under the monument is empty .

    ลำดับตอนที่ #3 : CHAPTER TWO

    • อัปเดตล่าสุด 3 ส.ค. 58


                                      Under the monument is empty

    EXO / Kai x Sehun / PG17 / 3805 WORDS

     

     

     

    note : ไม่ได้ต้องการเสียดสีหรือพยากรณ์



    II

     

                ทุกอย่างเป็นภาพเบลอกระทั่งแสงสว่างจ้าวาบขึ้น

     

                ตึง!

     

                มันเป็นเสียงดังที่เกิดขึ้นตอนผมพยายามจะขยับมือทว่ากลับรู้สึกหน่วงหนักราวกับโดนล่ามตรึงไว้กับผืนเตี้ยงกระด้างเบื้องหลัง เปลือกตากระพริบปรับเข้ากับแสงสว่างเมื่อครู่ ทำให้ได้เห็นการเคลื่อนไหวของอีกหลายชีวิตที่เดินวนไปวนมาอยู่รอบผืนเตียง ความกังวลเริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อเสียงกระทบของโลหะกับแก้วและเสียงครางจากเครื่องมือที่ไม่รู้จักดังลั่นไปทั่วจนหูอื้อ

     

                “ไค...

     

                “ไค...

     

                “ไค...

     

                “ไค...

     

                เสียงเรียกชื่อพวกนั้นแผ่วเบาราวกระซิบ ทว่าแน่นหนักคล้ายกับการตอกตะปูลงไปบนไม้จนสุด

     

                ผมพยายามขยับแขนออกจากผืนเตียงอีกครั้งจึงได้เห็นว่าตนเองถูกล่ามเอาไว้ด้วยโซ่เส้นหนา ไม่ใช่แค่ที่ข้อมือแต่ยังรวมไปถึงข้อเท้าและหน้าท้อง ถูกยึดให้ติดแน่นจนไม่สามารถแม้แต่เอี้ยวตัวกลับไปมอง ครั้นพยายามจะพูดเปล่งอะไรออกมาก็ทำไม่ได้ดั่งใจต้องการ

     

                ฉับพลันใครบางคนก้าวเดินเข้ามาอยู่ในกรอบสายตาพร้อมกับคีมโลหะและมีดผ่าตัด ผิวของเขาเปล่งสว่าง ขาวราวกับปุยเมฆ มองไปก็ทำให้แสบตาคล้ายกำลังจ้องมองหลอดไฟบนเพดานห้อง ทว่าก็ไม่อาจระบุได้ว่าเป็นใครในเมื่อครึ่งใบหน้าด้านล่างถูกปิดคลุมเอาไว้ด้วยผ้าสีขาว

     

                “ไม่!ผมดีดดิ้น ตะโกนสุดเสียงจนเหมือนลำคอตะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ คนทั้งห้องหันมาสนใจผมและเขาก้าวเดินตรงเข้ามา เกิดเสียงเหล็กกระทบปึงปังยกใหญ่ รุนแรงกว่าทุกครั้ง แต่เมื่อยิ่งมันดังมากขึ้นก็ดูเหมือนว่าคนพวกนั้นจะก้าวใกล้เข้ามามากขึ้นด้วยเช่นกัน

     

                ผมกวาดตามองพวกเขาทีละคนด้วยความหวาดกลัว เหงื่อโชกไปทั้งแผ่นหลังจนรู้สึกเย็นวาบเมื่อสามารถดิ้นจนหลุดจากสายรัดตรงกลางหน้าท้องได้ หนึ่งในเหล่าชายชุดขาวปรี่เข้ามาที่ตัวของผม เขากางแขนออกสุดคล้ายต้องการจะตะครุบจับผมเอาไว้ และแน่นอนว่ามันต้องไม่เกิดขึ้น ผมยกเท้าขึ้นถีบเขาจนสุดแรง ตอนนั้นเองที่สังเกตเห็นว่าทุกคนต่างมีรอยเลือดเปื้อนอยู่บนชุดกาวน์สีขาว ทุกคน... ทุกคนจริงๆ...

     

                “ไม่! ออกไป! ไปให้พ้น!!กู่ร้องจนตัวโยน ก่อนจะลุกพรวดขึ้นมาจากเตียงแล้ววิ่งตรงไปยังประตูเหล็ก เอื้อมสุดแขนไปกดกระแทกปุ่มสีแดงขนาดเท่าฝ่ามือให้มันเปิดออก แสงไฟกับสัญญาณร้องเตือนสว่างวาบไปทั่วทางเดินปิดทึบ ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนของสถานที่บ้าบอนี่ ไม่รู้ว่าอยู่ในละแวกไหน ไกลจากบ้านหรือไม่ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคือที่ไหนบนโลก แต่เขาต้องวิ่ง... ต้องวิ่งหนีให้พ้นจากเสียงตึกตักที่กำลังตามมาข้างหลัง และออกไปจากที่นี่ให้ได้

     

                ฝ่าเท้าเปลือยเปล่าก้าวย่ำลงไปบนพื้นหญ้า ก้มลงหอบหายใจเมื่อไม่เห็นว่ามีใครอยู่เบื้องหลังอีกแล้ว แม้จะไม่ได้รู้สึกว่าปลอดภัยขึ้นแต่ท่ามกลางผืนป่าแห่งนี้ก็ไม่ได้มีพวกคนในชุดขาวน่ากลัวเหมือนในที่ที่หนีจากมา

     

                เสียงหญ้าเอนแอ่นสวบสาบตามจังหวะฝ่าเท้าของผม เบื้องหน้ามืดมน เบื้องหลังมองไม่เห็นอะไรสักอย่าง แต่ไม่อาจหยุดก้าวต่อไปได้ในเมื่อยังมีสิ่งที่ต้องหนีอยู่ ลมหนาวโบกพลิ้วเข้ามาปะทะกับผิวกาย ท้องฟ้ามืดมนไม่เหลือแสงสว่างใดพอจะช่วยส่องให้เห็นเส้นทางด้านได้เลยสักนิด

     

                “ไค...

     

                “ไค..

     

                “ไค...

     

                เสียงเรียกเดิมดังขึ้นอีก มันยังคงแผ่วเบาจนไม่รู้ว่ามาจากที่แห่งไหน ผมหันมองไปรอบตัว เห็นก้านเหล็กสูงตระหง่านตั้งตรงไม่ไกลออกไปนัก ความรู้สึกบางอย่างสั่งกำชับให้เงยหน้าขึ้นไปมองที่ยอดบนสุดของโครงนั่น ไม่ได้เห็นอะไรเพิ่มขึ้นแต่เสียงนั้นกลับชัดเจนยิ่งขึ้น

     

                “ไค...

     

                “ไค...

     

                ผมเดินตรงไปที่นั่นโดยปราศจากความลังเล วางมือลงกับฐานเหล็กสนิมเขรอะที่ทำให้รู้สึกสากเหมือนกำลังรูดไปบนใบหญ้าขน เกาะยึดกับโครงสร้างที่ยื่นออกมาเพื่อปีนป่ายพาตัวเองขึ้นไปบนนั้น ขึ้นไปตามหาเสียงนั้น ทว่าเมื่อก้าวไปได้เพียงไม่กี่ก้าวกลับรู้สึกได้ว่าตัวเองถูกเหนี่ยวรั้งเอาไว้

     

                ผมก้มหน้าลงไปมอง เป็นชายชุดขาวคนหนึ่ง คนเดียวกับที่ถือมีดตรงเข้ามาหาผม... เขาหรี่ดวงตาลงเล็กน้อยแล้วออกแรงกระตุกสายไฟสีดำสองครั้ง

     

                สายไฟนั่น... มันออกมาจากตัวของผมเอง 

                                       


     

                “!!!” ร่างโปร่งสะดุ้งขึ้นจากเตียงนอนจนสุดตัวด้วยความหวาดผวาที่กัดกุมไปทั้งร่าง เม็ดเหงื่อชุ่มโชกทั่วแผ่นหลัง ซึมย้อยออกมาจากผิิวกายจนสัมผัสได้ถึงความเย็นชื้นที่รัดรุมตั้งแต่หัวจรดเท้า ใบหน้าคมส่ายมองไปในความมืด ไล่สังเกตบานกระจกโปร่งใสครบทุกทิศให้แน่ใจว่าไม่ได้มีอะไรผิดปกติ ท้องฟ้าด้านนอกมืดสนิทไม่เห็นแม้แต่ไรแสงของดวงจันทร์ จงอินต้องใช้เวลาพักใหญ่ในการกอบโกยลมหายใจอย่างบ้าคลั่งให้ตัวเองกลับมาเป็นปกติในความมืดที่ทำให้เขารู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวด้วยความกลัว

     

                ผ้าห่มผืนใหญ่ถูกดันร่นลงไปเล็กน้อย เขาจับดึงกางเกงนอนที่ย้วยลงมาเกาะหมิ่นเหม่ตรงสะโพกแล้วเดินตรงไปยังประตูห้องนอน เหลือบมองอีกชีวิตที่นอนขดอยู่บนเตียงสำรองขนาดพอดีตัวก่อนจะเดินหายออกไปเมื่อเห็นลมหายใจอีกฝ่ายผ่อนเข้าออกเป็นปกติ

     

                น้ำเย็นช่วยทำให้อาการของเขาดีขึ้นเหมือนเช่นทุกครั้ง... มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องบ้าพรรค์นี้ นับครั้งไม่ถ้วนต่างหากที่เขาต้องเผชิญกับภาพเหตุการณ์น่ากลัวในกลางดึก ภาพเหล่านั้นเหมือนจริงจนกลัวว่าจะไม่ลุกตื่นขึ้นมา หลายครั้งที่เขาต้องก้มลงสำรวจตัวเองนานหลายนาทีเพื่อให้แน่ใจว่ามันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นตามแบบที่เขาเห็น ส่วนมากที่เห็นก็จะเป็นเหงื่อโชกโทรมกายสร้างความสับสนเหลือเกินว่าอะไรคือเรื่องจริงกันแน่ระหว่างร่างบนเตียงของตนเองกับภาพเหตุการณ์น่าสะพรึงเหล่านั้น

     

                ร่างโปร่งสะบัดหัวเรียกสติที่ล่องลอยไปไกล เหลือบมองนาฬิกาบนผนังที่บอกว่าเขาเพิ่งข้ามวันใหม่มาได้ไม่ถึงสองชั่วโมงดี จงอินรินน้ำเย็นจนเต็มแก้วก่อนจะเดินวกกลับเข้าไปในห้องนอนอีกครั้งพร้อมกับเครื่องดื่มสีใส ทว่าครั้งนี้เขาพบคนต่างถิ่นกำลังลุกขึ้นนั่งเก้กังบนเตียงสำรองพลางยกมือขึ้นขยี้ดวงตาไปมา

     

                “ขอโทษที... ฉันทำนายตื่นจงอินรู้สึกเกรงใจที่ทำให้การพักผ่อนคืนแรกของเซฮุนมีอันสะดุด เขาไม่รู้ว่าก่อนหน้าจะสะดุ้งตื่นขึ้นมาตัวเองมีอาการอย่างไรบ้าง แต่คิดว่าคงเปล่งเสียงดังออกมาพอจะรบกวนนิทราของเซฮุนแน่นอนเพราะลำคอมันแห้งผาดไปหมด

     

                เซฮุนเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงย่อตัวลงนั่งบนเตียงอย่างเชื่องช้า “ไม่ครับ... ผมแปลกที่เลยยังนอนไม่ค่อยหลับด้วย

     

                “เป็นธรรมดาของคืนแรก

     

                ใบหน้าหวานผงกรับก่อนจะเอ่ยคำถามออกไปคุณ...เป็นอะไรหรือเปล่า? ผมได้ยินเสียงคุณร้อง...

     

                จงอินมีท่าทางลังเลเล็กน้อยเมื่อโดนคำถามนั้นยิงใส่ เขาเอี้ยวตัวไปวางแก้วอย่างใจเย็นเพื่อยืดเวลาในการคิดว่าควรจะตอบกลับไปอย่างไรดี อันที่จริงเขาคิดแล้วว่าควรจะบอกเล่าเรื่องประหลาดนี่ให้ใครสักคนหนึ่งฟังและเซฮุนที่มาจากโลกอื่นก็น่าจะเป็นผู้ฟังที่ดีและไม่เป็นอันตรายมากที่สุด แต่ปัญหาใหญ่ก็คือเขาไม่แน่ใจเลยว่าสามารถอธิบายอาการเหล่านี้ได้ชัดเจนหรือเปล่า ในเมื่อไม่มีคำไหนในสมองที่สามารถนิยามอาการประหลาดนี้ได้

     

                “มัน...เป็นภาพ...เขาเริ่มต้นประโยคด้วยความสับสนพอนอนหลับไปแล้วก็เห็นภาพ... น่ากลัวมาก แต่บางครั้งก็เป็นเรื่องธรรมดา ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจากไหน แต่ก็รู้สึกอย่างกับว่ามันเกิดขึ้นจริง คล้ายๆว่านายเห็นตัวเองกำลังวิ่งอยู่ในป่า วิ่งไปจนสุดแล้วนายก็ตื่นขึ้นมาเจอตัวเองอยู่บนเตียง แต่เหงื่อออกเหมือนไปวิ่งมาจริงๆ

     

                เซฮุนเลิกคิ้วขึ้นให้กับคำอธิบายยาวเหยียดคุณกำลังฝัน

     

                “ฝัน?”

     

                “อืม

     

                “มันคืออะไร?”

     

                “หือ?” คราวนี้เซฮุนรู้สึกตื่นเต็มตา เขาเหลือบมองใบหน้าฉงนสงสัยของคนที่นั่งเปลือยอกอยู่บนเตียง รู้สึกเขินวูบเมื่อสังเกตเห็นว่าคนตรงหน้าอยู่ในสภาพใด จึงรีบหลุบสายตาลงต่ำแล้วค่อยถามสิ่งที่อยู่ในใจออกไปคุณไม่รู้จักฝันเหรอ?”

     

                “ไม่... ไม่เห็นเคยได้ยินคำนั้น

     

                “ฝันคือภาพที่คุณเห็นตอนกำลังหลับเซฮุนอธิบายให้ใจความกระชับขึ้นกว่าเก่า ท้าวข้อศอกลงกับหน้าตักของตัวเองแล้วเหลือบมองใบหน้าของจงอินอีกครั้ง พยายามละความสนใจให้ข้ามแผ่นอกสีแทนกำยำไปเสีย

     

                “มันมาจากไหน?”

     

                “หลายอย่างครับ...เสียงหวานตอบแผ่วเบาอาจจะมาจากเรื่องที่คุณไปเจอมา เรื่องที่คุณกำลังคิด จินตนาการ บางอย่างที่เกิดขึ้นไปแล้ว ผสมกับความรู้สึกของคุณ มันอาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ แต่บางทีคุณก็ไม่รู้ว่ามันมาจากไหน เหมือนมันโผล่ขึ้นมาเองก็ได้... ที่จริง ในความฝันอะไรจะเป็นอะไรก็ได้ร่างบางอธิบายยาวเหยียดให้กับคนที่มีสีหน้างงงวยหนักกว่าเดิมไปอีกหลายเท่าตัว ราวกับว่าเรื่องที่เขากำลังอธิบายนั้นเป็นสูตรทางคณิตศาสตร์ซับซ้อนยากจะเข้าใจ

     

                “อ่า... แล้วอะไรคือจินตนาการ

     

                “ภาพหรือความรู้สึกหรืออะไรก็ตามที่คุณคิดขึ้นมาแล้วมันเป็นภาพ... อาจจะด้วยความต้องการหรืออะไรสักอย่างก็ตาม

     

                “ฟังดูยากจงอินบ่นแต่ก็ยังคงพยายามจะเข้าใจสองคำใหม่ที่ตัวเองไม่แม้แต่คุ้นหู

     

                “อืมเซฮุนครางเบาๆ เขารู้สึกง่วงขึ้นมาอีกครั้ง ร่างบางเอนตัวลงไปบนเตียงสำรอง จับหมอนที่ยับยู่ให้มันกลับมาเข้าทาง ทว่าก็ต้องสะดุ้งตัวขึ้นมานั่งหลังตรงด้วยความตกใจแล้วจ้องเขม็งไปยังใบหน้าของจงอิน

     

                “คุณฝัน?!”

     

                “ถ้านายไม่ได้สอนฉันผิด... น่าจะใช่

     

                “อะไรกันเซฮุนพึมพัม คราวนี้เขาลืมเรื่องเครื่องเต่งกายที่ไม่มิดชิดของจงอินไปจนหมด ดวงตาเรียวกวาดมองชายหนุ่มผู้ช่วยชีวิตตรงหน้าตั้งแตหัวจรดเท้าคล้ายรังสีของเครื่องแสกนที่กำลังตรวจจับความผิดปกติอะไรบางอย่างและแน่นอนว่าเซฮุนกำลังทำมันอย่างถี่ถ้วน

     

                “...”

     

                “ผมเคยเรียนมาว่ามนุษย์ Blue World จะไม่มีความฝันเซฮุนพูดเขื่องช้า ชัดถ้อยชัดคำ เขาหยุดสายตาไว้กับอวัยวะแห่งการมองเห็นของอีกฝ่ายที่ฉายแววกังวลว้าวุ่นใจเว้นเสียแต่ว่า...

     

                “...”

     

                “คุณไม่ใช่คนที่นี่มาแต่กำเนิด


    - - - - -


     

                “ไหนดูความดันซิ...

     

                “...”

     

                “เยี่ยม! ปกติเหมือนเดิมร่างสูงในชุดสีขาวสะอาดทั้งตัว ถูกต้องตามมาตรฐานเครื่องแต่งกายแพทย์ที่ดีว่าขณะพิมพ์รายงานผลลงไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ตรงหน้าได้ออกกำลังกายเหมือนเดิมหรือเปล่า?”

     

                “ตามตารางเลยครับ

     

                “โอเค...เสียงทุ้มต่ำกล่าวรับ ไม่ลืมที่จะบันทึกแม้เป็นเรื่องราวเล็กน้อยที่ดูไม่ได้สลักสำคัญอะไร แต่นั่นก็คือหน้าที่ของหมอซึ่งชายตรงหน้าเขาปฏิบัติมันได้อย่างไม่บกพร่องมาตลอดเวลาที่ได้เข้าสังกัดที่โรงพยาบาลแล้วระดับสารควบคุมของนายก็อยู่ในเกณฑ์ดีเลย ทุกอย่างเพอเฟ็คต์มาก

     

                “ครับ

     

                “ร่างกายนายนี่ดีวันดีคืนจริงๆ

     

                “ผมมีหมอดีหรอกครับชายหนุ่มเยินยอคนที่ยังคงจิ้มนิ้วพิมพ์รายงานผลการตรวจอย่างตั้งใจ ซึ่งก็ไม่ใช่การพูดเกินจริงอย่างแน่นอนเพราะชื่อเสียงของคุณหมอคริสนั้น ใครต่างก็รู้ว่าเก่งกาจแค่ไหน

     

                “อย่ามาชมกันหน่า... จริงสิจงอิน... เรื่องวัตถุทดลองหายที่เขาว่ากันนี่เรื่องจริงเหรอ?” คุณหมอหนุ่มชะโงกหน้ามาถามเขาหลังจากกดบันทึกไฟล์แล้วใช้นิ้วปัดส่งผลการตรวจไปเก็บไว้ในศูนย์ข้อมูลเรียบร้อย ดวงตาคมนั้นฉายแววอยากรู้อยากเห็นอย่างปิดไม่มิด

     

                “น่าจะจริงแหละครับ

     

                “ยานขนส่งประเภทไหนกันที่ทำของร่วงกลางทาง... ควรจะปลดระวางไปเป็นยานแจกอาหารหมูไม่ประหลาดใจที่คำพูดแบบนี้จะหลุดออกมาจากปากนายแพทย์แนวหน้าผู้ได้ชื่อว่าเป็นพวกอนุรักษ์ความสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง คริส เป็นชื่อเรียกสั้นง่ายของนักวิจัย อาจารย์ และแพทย์ ซึ่งโด่งดังไปทั่วทั้ง Blue World เพราะชายคนนี้ขยันรังสรรค์ผลงานทดลองทางวิทยาศาสตร์ออกมาจำนวนมากและทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นนวัตกรรมแห่งความสมบูรณ์โดยทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะเทียม เซรุ่มกระตุ้นความคิด หรือเครื่องประเมินความสามารถ ทั้งหมดนี่ล้วนแล้วแต่พัฒนามาโดยผู้ชายคนนี้ทั้งนั้นและว่ากันว่าโครงการต่อไปของนายแพทย์คนนี้น่าจะเป็นการชุบชีวิตมนุษย์ จนหลายครั้งจงอินก็สงสัยว่าคนๆหนึ่งจะสามารถประดิษฐ์อะไรได้มากมายขนาดนี้เชียวหรือ

     

                แต่เรื่องประหลาดชวนคิดหนึ่งที่มันคาใจไม่หายและทั้งเขาและนายแพทย์หนุ่มต่างก็ไม่มีใครรู้คำตอบที่แท้จริง (เว้นเสียแต่คริสรู้แล้วไม่บอกเขา) ว่าทำไมช่างซ่อมโดรนธรรมดาอย่างคิมจงอินถึงต้องถูกกำชับให้รับการดูแลและตรวจประเมินจากคุณหมอคนนี้เท่านั้น นั่นหมายความว่าหากเขาเกิดมีอะไรผิดปกติขึ้นมานอกเวลาทำงานของคริส แพทย์ผู้ทุ่มเททั้งชีวิตกับการเฝ้ารักษาคนไข้ก็ต้องยอมสละเวลาพักผ่อนอันมีค่าของตัวเองอย่างไร้ข้อโต้แย้งใดมันเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่จงอินจำความได้แล้ว

     

                จึงไม่แปลกที่พวกเราสนิทสนมกันมาก แม้จะดูขึงเกร็งในบทสนทนาแต่คริสก็เป็นคนที่จงอินวางใจจะเล่าเรื่องราวที่พบเจอมาด้วยมากที่สุด ในขณะเดียวกัน จงอินก็รับรู้เรื่องภายในกระทรวงวิทยาศาสตร์ สถาบันการแพทย์และสถาบันวิจัยจากคุณหมอประจำตัว ทว่าครั้งนี้เขากลับไม่อาจบอกเรื่องเซฮุนกับคริสได้ เพราะมันอันตรายเกินไป คริสย่อมภักดีต่อผู้ปกครองมากกว่านายช่างซ่อมโดรนอย่างเขาเป็นแน่

     

                “ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน...จงอินพยายามข่มเสียงของตัวเองให้เป็นปกติมากที่สุดและเลือกไม่อธิบายอะไรยาวเหยียดไปกว่านั้น ซึ่งเขาคิดว่าวิธีที่ดีก็คือการบอกไปว่าตัวเองไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ทั้งนั้น

     

                “อย่างนี้นายก็ต้องได้รับคำสั่งให้ไปตรวจดู... หรือเปล่า?”

     

                “ครับ มีคำสั่งลงมาเหมือนกัน เห็นว่าออกไปกันหลายคนแต่ก็ไม่มีใครเจอมันเลย

     

                “งั้นเหรอ? พวกผู้ปกครองอยากทำให้เราตื่นเต้นเล่นๆหรือเปล่านะคริสบ่นพึมพัม

     

                “ตื่นเต้นเล่นๆ?”

     

                “ฉันหมายถึง แต่งเรื่องโกหกให้ประชาชนมีกิจกรรมทำอะไรทำนองนั้น...คุณหมอหัวเราะร่าให้กับความคิดของตัวเองแต่นั่นไร้สาระหน่า... เรื่องโกหกใน Blue World ก็คงเหมือนการเจอเพนกวินกลางทะเลทรายแหละเนอะ

     

                “แต่ทีมสำรวจก็หาอะไรไม่เจอเลยนะครับ

     

                “นั่นสิ... เห็นว่าก็ยังสำรวจกันไม่ยอมเลิก... อยากรู้จริงว่าอะไรอยู่ในนั้น

     

                “วัตถุทดลองไงครับ

     

                “รู้หน่า... ฉันหมายถึงวัตถุทดลองชนิดไหนต่างหากที่ต้องให้ค่าหัวสูงขนาดนั้นคำถามของคริสชวนให้ผู้กุมความลับอดนึกฉงนขึ้นมาไม่ได้เพราะมันก็น่าคิดอย่างที่คุณหมอบอกนั่นแหละ ใช่ว่าจะไม่เคยมีอะไรหล่นหายระหว่างการขนส่งแต่มันไม่เคยมีครั้งไหนที่คณะปกครองทุ่มเทกับการตามหามากขนาดนี้ จงอินไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าคนเหล่านั้นจะต้องการตัวโอเซฮุนไปทำอะไรกันแน่ เพราะถ้าหากพวกเขาแค่อยากได้คนจากโลกล่างขึ้นมาเพื่อทดลอง การหายตัวไปของโอเซฮุนก็จะไม่น่าระแคะระคายเลยสักนิดในเมื่อพวกเขาทำได้แม้กระทั่งบินลงไปชี้ตัวคนเดินดินธรรมดาแล้วจับบรรจุลงในกระสวยเหล็กแล้วส่งตรงขึ้นมาถึงหน้ากระทรวงวิทย์ฯด้วยซ้ำ

     

                หรือเซฮุนจะไม่ใช่แค่วัตถุทดลองอย่างประกาศบอก

     

                บ้าสิ... โลก Blue World มีสนธิสัญญาว่าด้วยเรื่องการพูดปดและมันไม่มีทางถูกละเมิดแน่!

     

                “เห็นเค้าว่าตกที่บาเรีย 483 เขตอันตรายขนาดนั้น ดีไม่ดีอาจจะโดนพวกรังสีพิษทำลายไปหมดแล้วคริสสันนิษฐานต่อไป มือเอื้อมหยิบเอาหนังสือพิมพ์อิเล็คทรอนิกส์ของเช้าวันนี้ที่ยังคงพาดหัวด้วยการโฆษณาค่าหัวของวัตถุชิ้นนั้นด้วยเลขหลายหลักน่าดึงดูดใจดูเงินรางวัลสิจงอิน... นายน่าจะลองเอาโดรนไปขับวนดู เผื่อจะได้เงินมาใส่ตระกร้าเอาไว้แต่งบ้านนะ

     

                “จะได้เอาเงินมาจ่ายค่าหมอ รักษารังสีตกค้างน่ะสิครับคำพูดของช่างหนุ่มทำให้คุณหมอตัวสูงหัวเราะร่านั่นทำให้จงอินไม่อาจกลั้นอาหารขบขันไว้ได้ในเมื่อเสียงหัวเราะแห้งเฝื่อนคล้ายแสร้งแต่งของคริสค่อนข้างตลกในสายตาของเขา และกับคนที่รู้จักกันมานานมากตั้งแต่จงอินเริ่มจดจำอะไรเป็นเรื่องเป็นราวได้ คุณหมอหนุ่มก็คงไม่ถือสาถ้าเขาจะหลุดเสียงหัวเราะออกมาบ้าง

     

                “จริงอย่างนายว่า

     

                “งานนี้ก็หมอแหละครับที่รวยสุด

     

                “สงสัยจะเป็นงั้นคริสยักไหล่แล้วเหลือบมองนาฬิกาที่ผนังห้องนายจะกลับเลยไหม? วันตรวจสุขภาพไม่มีงานนี่?”

     

                “ครับ คงกลับเลย ผมหิวข้าวจะแย่

     

                “ดีเลย งั้นเดินออกไปด้วยกัน ฉันหมดกะพอดีคริสจับเสื้อกาวน์สีขาวของตัวเองเข้ามาให้กระชับแน่น ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงที่โดดเด่นกว่าคนอื่นในโรงพยาบาล ว่ากันว่าใครต่อใครก็จดจำคุณหมอคริสด้วยรูปร่างสูงใหญ่สะดุดตานี่แหละ

     

                เขาเดินตามหมอประจำตัวออกมานอกห้อง พลันนึกถึงเรื่องฝันเมื่อคืนขึ้นมาในหัว จงอินมองแผ่นหลังกว้างของคริส นึกทวนว่าตัวเองควรจะบอกอาการประหลาดนี้ให้กับคนที่ได้ชื่อว่าต้องดูแลร่างกายของตัวเองดีหรือไม่ ใจหนึ่งเขาเอยากเล่าให้คริสฟังเผื่อว่ามันจะเป็นอาการที่นำมาซึ่งผลข้างเคียงร้ายแรง แต่อีกใจหนึ่งเขาก็รู้สึกกังวลไม่น้อยในเมื่อในช่วงหลายเดือนมานี้เขาได้ค้นพบอะไรมากมายที่ดูเหมือนจะอยู่นอกความต้องการของเหล่าผู้ปกครองไปไกลโข และถ้าหากว่า ฝัน เป็นหนึ่งในเรื่องที่คนพวกนั้นกำลังพยายามซ่อนเหมือนกับที่เซฮุนบอกว่ามันไม่เคยปรากฎในร่างของมนุษย์ Blue World จงอินก็เกรงว่านั่นจะเป็นการดิ้นรนเอาตัวเองไปหาเรื่อง

     

                และที่น่ากลัวที่สุดคือหากมันสาวไปถึงโอเซฮุนขึ้นมา เขาคงไม่มีวันให้อภัยตัวเอง

     

                “หมอคริสครับแต่ท้ายที่สุด จงอินก็ตัดสินใจเอื้อมมือไปจับที่บ่ากว้าง กระตุกเนื้อผ้าแข็งนั่นเล็กน้อยให้อีกฝ่ายหันกลับมา

     

                “ว่า?”

     

                “ผมว่าพักนี้ผมรู้สึกแปลกๆ...คริสขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น จากแค่เอี้ยวใบหน้ากลับมามองเขาตัดสินใจพลิกตัวไปประจันหน้ากับคนไข้ในความดูแลของตัวเอง สัญชาติญาณของความเป็นหมอและประสบการณ์ที่ต้องดูแลคิมจงอินมาตั้งแต่แรกพบทำให้เขาสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างที่ช่างซ่อมโดรนหัวกะทิคนนี้กำลังซ่อนไว้และบางอย่างที่ว่าคงไม่ควรจะถูกบันทึกลงไปในแฟ้มรายงานผล

     

                มิเช่นนั้นคนอย่างจงอินคงไม่เอ่ยถามเรื่องสุขภาพกับเขานอกห้องตรวจเป็นแน่

     

                “ยังไงล่ะ?”

     

                “ไม่รู้สิครับ บางทีก็เบลอๆงงๆ เหมือนเห็นภาพอะไรในหัว

     

                “...ไม่ได้ไปโดนรังสีอะไรมานะ

     

                “คิดว่าไม่นะครับ

     

                “นายคงทำงานหนักไปนายแพทย์หนุ่มสรุปอย่างง่ายดายพักผ่อนบ้างจงอิน อาทิตย์ที่แล้วก็เพิ่งไปเขต 8 มานี่... ขับยานไปไกลขนาดนั้นคงได้มีมึนกันบ้างล่ะ

     

                “คงงั้นแหละครับ

     

                “พักผ่อนให้เยอะ ยังไงซะสุขภาพก็ต้องมาก่อนคริสตบบ่าคนไข้ในความดูแลของตัวเองก่อนจะขอตัวเลี้ยวไปยังลานจอดจักรยานไฟฟ้าที่อยู่คนละฝั่งกับลานจอดโดรน จงอินส่งยิ้มให้กับนายแพทย์คนสนิทแล้วเดินเบี่ยงไปอีกทางเพื่อเตรียมกลับบ้าน พักผ่อนตามที่หมอบอก

     

                คริสไม่อาจคลายความสงสัยในใจความนั้นได้เลยสักนิดแม้เขาจะตอบจงอินไปว่ามันเป็นเพียงการพักผ่อนไม่พอเท่านั้น แพทย์หนุ่มร่างสูงเดินวกกลับมายังทางเดินอีกครั้ง เขามองตามแผ่นหลังในชุดเครื่องแบบสีเทาเข้มกริบของอีกฝ่ายกระทั่งสุดทางเดิน ลมหายใจหนักหน่วงพรูออกมาจากปลายจมูกพร้อมกับคำภาวนาที่ก้องลั่นไปทั่วหัวใจ

     

                มันต้องยังไม่ใช่ตอนนี้... ขอร้องล่ะ

     

                อย่าให้ภาพที่ว่านั่นคือความฝันเลย

     

    - - -

     

    เราไม่ได้สปอย แต่จงจับตาดูพี่หมอคริสให้ดี

    เขามีอะไรมากกว่าที่ทุกคนเห็น

    ตอนนี้มันออกจะสั้นสักนิด แต่ถ้าไม่ตัดตรงนี้ก็จะยาวบรรลัย

    เราเลยขอตัดไว้ตรงนี้ละกันเนอะ

    ขอบคุณทุกคอมเมนต์และทวิตที่เป็นกำลังใจให้นะ <3

    #UMETKH

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×